เหนือภิภพคือสวรรค์ เหนือเหมันต์คือท้องฟ้า เหนือนางงามคือนางงามจักรวาล เหนือสุดแดนสยามคือเชียงราย ความงามที่ว่างามก็ยังมีความงามเหนือสิ่งทั้งปวง ที่เที่ยวที่สวยงามก็ต้องยอมแพ้ให้กับสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เกริ่นมาขนาดนี้เราจะมาแบบไม่ธรรมด๊าาาาาาาา เพราะวันนี้เราจะพาทุกคนไปชมสิ่งมหัศจรรย์เหนือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งปวงที่โลกยอมรับ หนึ่งในอารายธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก หนึ่งในสถานที่ที่โลกยุค 2000 ยังตั้งคำถามกับการก่อสร้าง หนึ่งในอารายธรรมที่เค้าเล่าว่ามีคำสาป หนึ่งเดียวในโลก ณ ดินแดนแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ดินแดนไอยคุปต์ หรือ ประเทศอียิปต์
หากนี่คือความฝันเราก็ยังยืนยันว่าต้องตื่นมาเขียนให้ได้ ความงามที่ทำให้เราขนลุกตั้งแต่ภาพแรกที่เห็น หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยประถม ภาพปีระมิดบนโปสเตอร์สื่อการสอนกับภาพตรงหน้าช่างต่างกันยิ่งนัก ที่นี่ทำให้เราไม่สามารถหยุดตั้งคำถามกับตัวเองได้ สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมาและมันถูกสร้างมาแล้วเมื่อกว่า 4600 ปี จนโลกไม่ว่ายุคไหนก็ยังไม่สามารถหาคำตอบของวิธีการสร้างได้ จนหลายคนจึงเชื่อว่าชาวอียิปต์โบราณต้องได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ในอนาคตหรือไม่ก็มนุษย์ต่างดาวเป็นแน่ พอความงามบวกกับความมหัศจรรย์ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นที่สุดแห่งที่สุดติดอันดับในใจเราไปแล้ว
นอกจากความตื่นเต้น ปริศนาต่าง ๆ มากมายแล้ว ศิลปะและความงามในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ก็ยังเป็นที่น่าหลงไหลไม่แพ้กัน ภาพวาดแบบสองมิติที่ไม่ได้มีรายละเอียดใดใดมากนัก ไม่มีแสงเงา ไม่มีมิติ แต่ให้ความใส่ใจกับเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อมากกว่า ซึ่งมันโค ตะ ระ น่าหลงไหลมากกก รูปวาดสองมิติที่ดูแล้วไม่เข้าใจเป็นส่วนมากแต่มันมีแรงดึดดูดที่ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้จริง หรือนี่จะเป็นคำสาปฟาโรห์
การขอวีซ่า :
ในส่วนของการการขอวีซ่านั้นก็แสนง่ายดายยิ่งสำหรับคนที่ไปเที่ยวเพราะไม่ต้องมีสัมพงสัมภาษณ์ใดใดให้เสียเวลา และที่สำคัญไม่ต้องจองล่วงหน้าด้วย เพราะคนไม่ได้เยอะแยะอะไรขนาดนั้น วิธีการก็แค่ตื่นมา อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งหน้าให้สวยใส นั่งรถเมล์ไปต่อบีทีเอสและเดินอีกนิดหน่อยก็ขอวีซ่าได้ละ ส่วนสถานที่ยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศอียิปต์ก็จะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจาก สถานทูตอียิปต์ (Egypt Embassy of Thailand) ที่ตั้งอยู่ชั้น 31 อาคารสรชัย ถ.สุขุมวิท 63 ซอยเอกมัย ห่างจาก BTS เอกมัย ประมาน 400 เมตร วันและเวลาการยื่นวีซ่า : จันทร์-ศุกร์ / 09.30 – 12.00 น. วันและเวลาการรับวีซ่า : จันทร์-ศุกร์ / 14.00 – 15.00 น. ระยะเวลาดำเนินการ: 4 – 5 วัน (ไม่นับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดของสถานฑูต)
การเดินทาง :
สำหรับการเดินทางจากไทยไปอียิปต์ปัจจุบันมีให้เลือกเดินทางค่อนข้างหลากหลายสายการบิน มีทั้งบินตรง บินต่อ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสกิลการวางแผนการเดินทางว่าจะสามารถช่วงชิงตั๋วโปรได้ดีมากแค่ไหน ส่วนทริปนี้ของเราเป็นการตัดสินใจไปแบบเฉียบพลันเลยโดนเน้น ๆ ที่ประมาณ 28,474.715 บาท โดยเลือกบินสองต่อทั้งไปและกลับเพื่อราคาที่ถูก ขาไปบิน Royal Jordanian แวะเปลี่ยนเครื่องที่จอร์แดน ส่วนขากลับบินของ Etihad Airways แวะเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี ดังน้านนนน วางแผนและจองตั๋วโปรเถอะจะได้คุ้ม ๆ
: : Day 1 : :
หลังจากที่พาตัวเองบินลัดฟ้าข้ามมหาสมุทรจากกรุงเทพมายังเมืองไคโร ภาพแรกที่ได้เห็นหลังจากเดินผ่าน ตม. คือต้นอินทผาลัม และรูปปั้นที่ได้กลิ่นอายความเป็นอียิปต์ตั้งตระหง่านต้อนรับนักท่องเที่ยวในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ทุกอย่างเหมือนดีงามบรรยากาศช่างชวนฝัน แต่ก็ฝันต่อได้อีกแป๊บนึง ก่อนที่เพื่อนหนึ่งคนในทริปจะติด ตม. ด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งแรก ๆ เราก็ยืนคอยท่าชมนกชมไม้เรื่อยเปื่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากหนึ่งเป็นสองชั่วโมง จากสองชั่วโมงเป็นสามชั่วโมง และจากสามชั่วโมงเป็นสี่ชั่วโมง!!!! โอ้วแม่เจ้าสฟริงก็สฟริงเถอะมาเจอกับเราที่หัวเสียตอนนี้ก็คงต้องถอยเหมือนกัน มันจะนานไปไหนกัน!!! แต่ก็ต้องขอบคุณคนไทยในอียิปต์และสถานฑูตไทยที่ให้ความช่วยเหลือ เจรจาให้กับพวกเราทำให้เวลาไม่ล่วงเลยไปมากกว่านี้!!! หึหึหึ นี่สินะสีสันของการเดินทาง
แผนการเที่ยวของเราจึงต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพราะเวลาได้ล่วงเลยเกินกว่าที่เราคาดคิดไปมาก แต่การเดินทางมันก็เป็นงี้แหล่ะแก ถึงจะไม่ได้เป็นไปตามแผนแต่ก็มีเรื่องไว้เมาส์ได้อีกสามวันสี่คืนว่าเฮ้ย ข้าเคยรอเพื่อนติด ตม. จนนึกว่าโดนคำสาปฟาโรห์ไม่ให้ออกจากห้องเย็นนานสี่ชั่วโมงเลยนะเออ มีใครให้มากกว่านี้ม้ะ อะไรแบบนี้อ่ะ มันก็มีสตอรี่มีเรื่องราวไปอีกแบบนะ ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะไม่ขำก็ตาม แต่มาคิด ๆ ดูมันก็ไม่ขำ แต่พอจะขำมันก็ขำอ่ะ งงม้ะ ถ้างงก็ออกเดินทางไปเจออะไรนอกแผนดูดิ๊
• Le Méridien Pyramids Hotel & Spa
พอหลุดพ้นเป็นอิสระจาก ตม. พวกเรารีบเหมาแทกซี่มุ่งหน้าสู่ที่พักคืนแรกของเรานั่นก็คือ Le Méridien Pyramids Hotel & Spa ที่พักแสนดีงามแค่อ่านซื่อก็รูว่าไม่ธรรมดา อ่ะลองอ่านอีกรอบ เลอ เมอรีเดียน ปีรามิด ขีดเส้นใต้ ปีรามิด ใช้แล้วจ้าาาา ที่พักของเราในคืนนี้เป็นวิวหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอะแก๊ แกลองนึกภาพยามเย็นที่แสงแดดอ่อน ๆ เริ่มทอดลงต่ำเรื่อย ๆ เงาของปีระมิดเริ่มเปลี่ยนทิศทาง และแม้ว่าเบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยทราย แต่แสงแดดอุ่น ๆ ยามเย็นก็ยังสะท้อนเหนือผืนทรายนั้นอย่างสวยงาม มันช่างเป็นภาพยามเย็นที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่เคยเฝ้ามองมา แต่ระดับเราที่ลงทุนกับเครื่องบินไปหมดแล้วจึงต้องกระทำตามวิถีทางแห่งนักท่องเที่ยวผู้มากประสบกาณร์ คือเราจะต้องจองที่พักที่นี่ในราคาดีที่สุดให้ได้ด้วยการกดเข้าเวบไซต์จองที่พักประจำของเราตั้งแต่สมัยฝึกเดินทางจนปีกงอกขาแข็งเช่นทุกวันนี้ เพราะที่นี่เค้ารวมที่พักราคาดี๊ดีจากทั่วโลก พร้อมรีวิวและรูปถ่ายจากนักท่องเที่ยวจริง ๆให้ตัดสินใจ รับรองไม่โดนต้ม ตุ๋น อุ่น ทอด แน่นอน ซึ่งพิเศษเพิ่มไข่สองฟองสำหรับลูกเพจ จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น ตามไปจองที่พักที่ไหนก็ได้ผ่าน ลิ้งนี้ พวกแกก็จะได้รับสวนลด 1,000 บาท ย้ำ จองที่พักที่ไหนก็ได้ โอ๊วแม่เจ้าเป็นรอบที่แปดของวัน คุ้มเกินเบอร์เกินเรื่องมากมากจนถ้าไม่จองคงรู้สึกผิดแน่ ๆ จองซ๊าาาาาา
และนี่คือวิวจริง จากสถานที่จริง เรื่องจริง ๆ ไม่หลอก ไม่แต่ง ไม่เติม บอกตรง ๆ ว่าตื่นเต้นมาก ตอนที่เปิดห้องเข้ามาแล้วได้รู้ว่าจะได้นอนเคียงข้างปีระมิดแห่งกีซ่าในค่ำคื่นนี้ เราหันไปมองหน้าเพื่อนอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็กำลังยืนอึ้งไม่ต่างกัน หรือนี่จะเป็นของขวัญปลอบใจจากฟาโรห์หลังจากที่เราเหนื่อยล้าจากการที่เพื่อนติด ตม. มาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าไม่ใช่แต่เพราะจองจาก booking ตามที่บอกไปไงแก๊ อ่านรีวิวเตรียมตัวมาดิบดี แม้จะรู้อยู่แล้วแต่เมื่อได้มาเห็นเองก็ขนลุกเหมือนกันนะ เราสามคนจึงแยกย้ายคนละมุมห้อง ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย และจัดของสำหรับวันพรุ่งนี้ โดยมีปีระมิดยามเย็นเป็นฉากหลัง พอม่านจัดแสดงปีระมิดจบลงเราจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปยังห้องอาหารก่อนจะกลับขึ้นมานั่งวางแผนเที่ยวกันใหม่แล้วกล่าวราตรีสวัสดิ์
: : Day 2 : :
• The Great Pyramid Of Giza
ในที่สุดเช้าวันแรกที่ได้เที่ยวอย่างจริงจังของพวกเราก็มาถึง เราเริ่มต้นกันที่แลนด์มาร์คหลักที่เป็นแรงจูงใจให้มาอียิปต์ครั้งนี้ The Great Pyramid Of Giza มหาปิระมิดแห่งกีซา หรือปิระมิดคูฟู หรือปิระมิดคีออปส์ ซึ่งเป็นปิระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่ปิระมิดทั้งสามแห่ง เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 หรือเมื่อประมาณ 4600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น ปีระมิดนี้คือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ความสวยก็จัดได้ว่าเป็นระดับตัวท้อป ทั้งสวยทั้งมหัศจรรย์จนดูไปขนลุกไป คือไม่ว่าจะหันมองมุมไหนมันก็ทำได้แค่อ้าปากค้างและกดถ่ายรูปวนไป ใจก็ได้แต่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่ปริศนาการสร้างปิระมิดจะถูกเปิดเผยสักที ทั้ง ๆ ที่โลกก็เข้าสู่ยุคที่คนไปถึงดวงจันทร์กันเป็นว่าเล่นแล้ว กับแค่สิ่งสร้างโบราณทำไมเราถึงไม่อาจหาคำตอบได้
หรือคำตอบมันจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปตลอดกาลจึงไม่มีใครกล้าพูด เช่น โลกเราถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาว หรือในปิระมิดนั้นแท้จริงคือเส้นทางสู่โลกอีกด้านหนึ่ง หรือฟาโรห์ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพ โอ้โห อย่าปล่อยคนมีจินตนาการไว้กับอะไรแบบนี้จะดีกว่า เพราะชักจะสนุกกับความคิดตัวเองไปใหญ่ละ แต่ใครจะห้ามความคิดแปลก ๆ ได้หล่ะถ้าได้มายืนอยู่หน้าสิ่งสร้างที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติที่มีน้ำหนักกว่า 600,000 ตัน และฐานใหญ่กว่าสนามฟุตบอลสองสนามรวมกันแห่งนี้ หยุดความมโนตรงนี้แล้วไปมโนต่อกันตรงอื่นดีกว่า !!!
สำหรับราคาบัตรเข้าชมก็อยู่ที่ 120 EGP เมื่อเข้าไปแล้วใครสายแข็งอยากเดินอยากประหยัดก็สามารถเดินเล่นลัดเลาะชมความงามของปิระมิดได้ด้วยตัวเอง แต่เราสายเที่ยวไปมโนไปแน่นอนว่าต้องเป็นอูฐเท่านั้น แม้จะมีม้าให้เลือกด้วยก็ตามที ส่วนราคานั้นก็ให้จำไว้ว่า แกต้องจิตแข็ง แกต้องอย่ายอมง่าย ๆ ต้องรู้จักตั้งรับและต่อรอง ที่สำคัญแน่วแน่เข้าไว้ว่าเคยตกลงกันว่ายังไง ให้อะไรบ้าง นานเท่าไหร่ ไปกี่จุด ราคารวมทุกอย่างรึยัง และจ่ายเมื่อครบตกลงตามแต่ละจุดเท่านั้น ไม่งั้นอาจเจอความตุกติกและเสียเหลี่ยม เสียเงินเพิ่มแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้นะจ้ะ ส่วนสกิลระดับเจ้าชายอาหรับของเราก็ได้มาที่คนล่ะ 200 EGP นั่งชิวชิวชมความอลังการของปีรามิดไป 1 ชั่วโมง เมื่อตกลงเป็นอันพอใจเรารีบก้าวขาขึ้นขี่อูฐด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าเป็นสายอ่อนแน่นอน เมื่อขึ้นนั่งด้วยความทุลักทุเลเป็นที่เรียบร้อย เจ้าอูฐคู่ใจเราก็ยกขาทั้งสี่ยืดเหยียดพร้อมก้าวเดิน บอกได้เลยว่าวิวบนหลังอูฐโคตรต่างจากเดินเท้าเป็นอย่างมาก เพราะยิ่งสูงยิ่งเห็นอะไรมากขึ้น แถมไม่เหนื่อยด้วย
แน่นอนว่าความยิ่งใหญ่ของปีรามิดทำเราอิ้งอ้าปากค้างตั้งแต่ย่างเข้าประตูแล้ว แต่ก็ต้องอิ้งมากกว่าเมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ใกล้ เรียกว่าอึ้งในอึ้งกันเลยทีเดียว เพราะหินแต่ละก้อนก็ไม่ใช่เล็ก ๆ นาจา ลองเปรียเทียบกันคนดูเอาล่ะกันว่าใหญ่โตขนาดไหน โดยน้ำหนักของแต่ละก้อนก็จัดไปที่เบาะ ๆ 2.5 ตันต่อก้อน โดยแต่ละปิระมิดจะมีหินเรียงกันตั้งแต่ 2 – 2.6 ล้านก้อนเท่านั้นเอ๊งแก๊ แค่นี้ถ้าว่าอึ้งแล้วก็ยังไม่ที่สุดนะจ้ะ เพราะเจ้าหินที่นำมาสกัดทำปิระมิดเนี่ยต้องขนส่ง ลำเรียงเดินทางมาจากเมืองหลวงเก่าอย่าง Aswan ที่อยู่ห่างออกไปแค่ร้อยกว่าไมล์เท่านั้นเอ๊ง โอ๊ยยยยย ชิ๊วชิ๊วม๊ากสำหรับชาวอียิปต์โบราณจริงจริ๊งง โอยยย เสียงสูงตลอดเวลาจนกล่องเสียงแทบแตก ก็จะไม่ให้เสียงสูงตื่นเต้นตลอดเวลาได้ไงล่ะ เพราะขนาดนักประวัติศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ยังทึ่ง แล้วเราคนธรรมดาคนนึงจะไม่ตะลึงก็แปลกแล๊ววว
ถ้าถามว่าหินขนาดจริงที่ขนมากจากเมืองหลวงเก่าที่อยู่ทางใต้ของอียิปต์ปัจจุบันใหญ่ขนาดไหน มันก็จะเป็นคำถามที่จะพาทุกคนไปยังสฟิงซ์ ซึ่งเค้าบอกว่าหินก่อนที่จะนำมาสกัดนั้นใหญ่ขนาดที่สามารถสร้างสฟิงซ์ขึ้นมาได้ด้วยหินก้อนเดียว ขนลุกไปอีกใหญ่เว่อร์ ซึ่งสฟิงซ์ในแต่ละภูมิภาคก็จะมีความแตกต่างกันออกไป แต่สฟิงซ์ของอียิปต์เป็นพันธุ์ที่เราเรียกว่า แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ ว่ากันว่า สฟิงซ์ คือ รูปเหมือนขนาดใหญ่กว่าร่างจริงสองเท่าของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่าง กายเป็นสิงโต มีเศียรเป็นฟาโรห์อียิปต์
• Restaurant Pharou
ร้านอาหารโลคอลสุดคูลที่สร้างแทรกตัวอยู่ใต้ต้นอินทะผาลัม การตกแต่งเน้นไปที่วัสดุจากธรรมชาติ เครื่องจักรสาน ไม้ และดิน เพิ่มสีสรรอีกนิดให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไปด้วยการลงสีผนัง เฟอร์นิเจอร์ ผ้าปูโต๊ะ และหมอนรองนั่ง ทุกอย่างดูเหมือนไม่ตั้งใจแต่มันช่างลงตัว ทันที่ที่พวกเราเดินทางมาถึงและเก้าขาลงจากประตูรถปุ๊บ เสียงดนตรีพื้นบ้านโดยชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสามก็บรรเลงขึ้นเป็นการกล่าวต้อนรับ
ตรงด้านหน้าทางเข้าร้านด้านซ้ายมือจะมีหญิงสาวคุมผ้าฮีญาบนั่งตีแป้งอะไรสักอย่างก่อนจะเอาเข้าเตาอบ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งเรามารู้ทีหลังเค้าเรียกแป้งนี้ว่า เอช (Aish) ที่แปลว่าชีวิตนั่นเอง เอชเป็นแป้งที่ลักษณะคล้าย ๆ กับแป้งนานของทางอินเดียแต่ที่นี่จะมีความหนา นุ่มมากกว่า ยิ่งกินตอนร้อน ๆ จะยิ่งอร่อย จะฉีกกินกับแกง หรือแบ่งครึ่งแล้วแหวกตรงกลางออกเป็นเหมือนกระเป๋าใบเล็ก ๆ ตักอาหารใส่ลงไปเป็นไส้ก็ได้เหมือนกัน
และเนื่องจากที่นี่อยู่ไม่ไกลจาก Saqqara Pyramids มากนักทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แถมบรรยากาศยังถูกใจนักเดินทางสุด ๆ พนักงานก็น่ารักใจดี และมีมุขตลกมาหยอกล้อลูกค้าเสมอ จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นนักท่องเที่ยวส่วนมากมาแวะพักกันที่จุดนี้
ด้วยความที่มาอียิปต์เป็นครั้งแรกเราจึงสั่งอาหารอย่างช่ำชองด้วยการกระซิบบอกพนักงานว่าขอแบบโต๊ะข้าง ๆ เพราะสายตาเหยี่ยวของเราได้จับสังเกตุตั้งแต่เข้ามาแล้วว่าทุกโต๊ะจะต้องสั่งเซตนี้ เลยเดาว่าต้องเป็นของเด็ดและมันก็เด็ดจริง ๆ ตามที่คิด โดยในเซตนี้จะประกอบด้วยเครื่องเคียงหลายอย่าง จานกลม ๆ ที่คล้ายทอดมันคือผักหลากชนิดสับรวมกันแล้วชุบแป้งทอด ที่เป็นแท่งยาวยาวคล้ายปอเปี้ยมันคือกะหล่ำปีพันข้าวข้างในเหมือนใส่ผักชีลาวด้วยกลิ่นหอมดีอันนี้เราชอบ ส่วนจานตรงกลางเป็นมะเขือยาวผัดกับมะเขียเทศโรยด้วยผักใบเขียวรสชาติคือผัดผัก ส่วนซุปจะเป็นซุปมันฝรั่งข้น ๆ ทานตอนร้อน ๆ คล่องคอดีมาก เสริฟพร้อมแป้งเอชและซอสสองแบบให้เลือกจิ้ม ส่วนเมนูหลักที่ดูเว่อวังอลังการคือเนื้อบดอัดเป็นแท่งย่างกับไก่ย่างที่หอมอร่อยมาก ๆ ยิ่งสาดพริกยาว ๆ กับผักที่คล้ายผักชีลงไปอีกยิ่งเด็ด บอกเลยว่าเซทนี้ทำให้เรารู้ว่าอาหารอียิปต์โอเครมาก ไม่ฉุนเครื่องเทศแบบที่คิดไว้ตอนแรก อิ่มมงลงก่อนจะตบท้ายด้วยกาแฟสไตล์อาหรับเข้ม ๆ เมื่อกินอิ่มท้องแล้วสองเท้าก็พร้อมไปลุยต่อกับแลนมาร์คถัดไป เอฟวายไอสำหรับราคาค่าเสียหายของอาหารทั้งหมดรวมเครื่องดื่มจะอยู่ที่ 800 EGP
• Saqqara (Sakkara) Pyramids, Cairo ( Step Pyramid )
จากร้านอาหารเราตรงดิ่งมาเพื่อชม Step Pyramid หรือพีระมิดแห่งโจเซอร์ หรือ พีระมิดขั้นบันได โบราณสถานที่ยังคงอยู่ในสุสานแห่งเมืองซัคคาราทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเมมฟิส มันถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสตกาล สำหรับการฝังศพของฟาโรห์โจเซอร์ ซึ่งมีผู้ออกแบบพีระมิดคือ อิมโฮเทป เป็นปิระมิดแห่งแรกของอียิปต์ที่ก่อสร้างจากหินแกรนิตตัดที่มีขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ด้านหลังประตูที่สูงตระหง่านแห่งนี้ เมื่อลอดเข้าไปแล้วจะพบเสาโบราณที่เรียงรายกันทั้งซ้ายและขวา และเมื่อเดินผ่านเสาหินขนาดยักษ์เราจึงจะได้พบสเต็บปีระมิดที่สมบูรณ์ที่สุด
ที่นี่ถ้าเปรียบเทียบกับกีซ่าแล้วถือว่าค่อนข้างเงียบ คนไม่พลุกพร่าน อาจจะด้วยความอลังการที่ไม่สามารถสู้ได้กับปิระมิดแห่งกีซ่าและปิระมิดบางอันก็ยังมีการปรับปรุงอยู่ ซึ่งถ้าเทียบกับค่าเข้าที่ต้องจ่ายเท่า ๆ กับการเข้าชมปิระมิดแห่งกีซ่าในราคา 120 EGP เท่ากัน เราก็คิดว่าคุ้มนะ เพราะแม้ว่าที่นี่จะไม่ใหญ่เท่า หรือไม่สมบูรณ์เท่าก็ตาม แต่การได้มาเห็นได้มาสัมผัสด้วยตัวเองในระยะที่มือเอื้อมถึงมันก็คุ้มมากมายแล้วล่ะ อีกอย่างตัวปิระมิดและลักษณะการสร้างก็ค่อนข้างมีความแตกต่างกัน แต่น่าเสียดายที่เรามีเวลาค่อนข้างจำกัดเลยพลาดชมมิวเซียมด้านใน
หลังจากเดินอึ้งกับปิระมิดแล้วเราก็พอจะมีเวลาเล็กน้อยในการเดินเก็บภาพรอบ ๆ ตัวปิระมิด และแม้ว่าที่นี่จะเป็นทะเลทรายแต่ก็ไม่ได้ร้อนเท่าที่คิด เพราะเราไปในช่วงที่ตรงกับฤดูหนาวของอียิปต์พอดี๊ ซึ่งปกติอียิปต์เองก็มี 4 ฤดูเหมือนในฝั่งยุโรปเลย ฤดูร้อนในอียิปต์ จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนกันยายน อากาศก็จะร้อนและแห้งมาก ฤดูหนาวเริ่มจากเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม ในฤดูหนาวอุณหภูมิในทะเลทรายจะต่ำที่สุดได้ถึง 0 องศาเซลเซียส ฤดูใบไม้ผลิเริ่มจากมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม และในช่วงเวลานี้แกสามารถเยี่ยมชมหุบเขากษัตริย์เพื่อที่จะเห็นปิรามิดแห่งกิซ่าได้อีกด้วย ส่วนฤดูใบไม้ร่วงคือช่วงกันยายนถึงพฤษจิกายน เป็นช่วงที่อบอุ่นกำลังดี๊ดีเลย จะเลือกไปช่วงไหนก็ลองศึกษาเอาตามความพอใจละกันนะจ๊ะ
: : Day 3 : :
เราออกเดินทางจากกรุงไคโรในตอนกลางคืนเพื่อให้มาถึงเมือง Aswan ในตอนเช้าพอดี ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้เราเลือกนั่งรถไฟนอนในราคา 80 USD เป็นห้องที่มีเตียงสองชั้น ถ้าเป็นห้องส่วนตัวนอนคนเดียวจะอยู่ที่ 110 USD และสาเหตุที่เราเลือกเดินทางด้วยเจ้าเหล็กยักษ์ในห้องแคบ ๆ ที่กว้างแค่หมุนตัวสองทีและยาวกว่าตัวเราไม่เกินหนึ่งศอกเพราะความรู้สึกของการเดินทางด้วยรถไฟมันแสนคลาสิคชนิดที่หาอย่างอื่นมาแทนไม่ได้ เสียงหวูดที่ดังขึ้นเป็นระยะ ประกอบกับเสียงผู้คนที่เดินผ่านหน้าห้องไปมา อาจเป็นเสียงที่หลายคนไม่อยากได้ยิน แต่สำหรับเรานี่แหล่ะคือเสียงแห่งชีวิตที่ยังมีชีวิต เสียงแห่งการออกเดินทาง ความหวัง และความฝัน รถไฟขบวนนี้กำลังขนสิ่งต่าง ๆ ที่มากกว่าผู้คนให้ไปถึงปลายทาง เราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองนั่งรถไฟลงไปตอนใต้สุดของอียิปต์เช่นเดียวกับเรา
ก่อนที่รถไฟจะจอดเที่ยบยังสถานีปลายทาง เจ้าหน้าที่บนรถไฟจะเดินมาเคาะประตูห้องแต่ละห้องเพื่อนำอาหารเช้ามาเสริฟ ในถาดที่เรารับมามีขนมปัง ชีส และโยเกิต แม้อาหารจะไม่ได้น่าประทับใจอะไร แต่ในเวลาที่ท้องหิวการได้อาหารมารองท้องก็นับว่าวิเศษมากแล้ว ส่วนอาหารเช้านี้ไม่ต้องจ่ายเพิ่มเพราะรวมอยู่ในราคาตั๋วเรียบร้อยแล้วจ้าาาา
Aswan เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขื่อนอัสวาน (Aswan Dam) และอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ อยู่ห่างจากเมืองไคโรไปทางตอนใต้ ประมาณ 680 กิโลเมตร เมืองโบราณริมฝั่งแม่น้ำไนล์แห่งนี้เป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจจะมาให้ได้รวมทั้งเราด้วย เพราะที่เมืองนี้นอกจากจะมีทิวทัศน์สวยงามแล้ว สิ่งปลูกสร้างของเมืองนี้ก็ยังมากมายไปด้วยประวัติศาสตร์อีกด้วย และเราจะพาพวกแกไปดูสถานที่ต่าง ๆ นี้ด้วยกันนั่นแหล่ะ ตามมาาาาาาา
จริง ๆ การเที่ยวมันก็ไม่ได้กำหนดหรอกนะว่าจะต้องวางแผนไรมากมาย แต่บางครั้งที่เวลามันน้อยเราก็ไม่อยากจะพลาดสิ่งสำคัญไป เพราะฉะนั้นหลังแกได้สติ และก้าวขาลงจากรถไฟก็ให้มองหา tourist information และมุ่งหน้าสวย ๆ ไปหาเจ้าหน้าที่ในนั้นได้เลย เพราะถึงแม้บางครั้งมือเราจะกำแผนที่ค่อนข้างเป๊ะแน่นขนาดไหนก็ไม่ได้หมายความว่าแผนนั้นจะสามารถเป็นจริงได้ร้อยเปอร์ ความชัวร์ที่แท้จริงก็คือการเดินหาและถามกับพนักงานว่าแผนที่เราวางมาแบบนี้สำหรับเวลาแค่นี้มันโอเคร๊ไหม ไม่ใช่เฉพาะอียิปต์นะรวมถึงการไปเที่ยวประเทศอื่นอื่นบนโลกใบนี้ด้วย เพราะแกคงไม่อยากยืนงงในดงตึกแปลก ๆ และภาษาที่ไม่เข้าใจพร้อมกับโทรศัพท์ที่แคปหน้ารีวิวกับแผนที่ออฟไลน์ไว้ในมือแต่ก็ยังทำได้แค่ยืนหมุนตัว 360 องศา ในใจก็ฮัมเพลง งง งง งง งง น้องงง น้องงง น้องงง และพลาดที่เด็ด ๆ เพราะมัวเสียเวลาอยู่หรอกนะ
และสิ่งแรกที่เราต้องการหลังจากสอบถามข้อมูลและได้รับคำแนะนำเรียบร้อยแล้วก็คือการมองหาแท็กซี่สักคันเพื่อพาเอากระเป๋าลากไปเก็บยังที่พักและทิ้งตัวลงนอน แต่คนเมืองนี้เหมือนถูกเทรนมาให้เป็นพนักงานขายตรง เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะมีคนมาขายทัวว์เยอะแยะต่างต่างมากมายให้เรา แต่แกอย่าเพิ่งจิตใจอ่อนไหวง่ายดายกับเจ้าไหน ให้ลองเชิดหน้ามองฟ้าสูดหายใจลึก ๆ แล้วก้มมาเชคราคาพูดคุยสอบถามให้พอได้ข้อมูลมาระดับนึง ก็ถึงเวลาหนีขึ้นเทกซี่กลับโรงแรมมาเอนหลังสองนาที ตั้งหลักคำนวนราคาในใจได้เรียบร้อยก็ถึงเวลาหา private ทัวร์สักหนึ่งเจ้า และจากเวลาที่เรามีเหลือ ณ วันนี้จึงทำให้เราไปได้แค่ 3 ที่ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องแพลนเพราะแกรแค่แจ้งพวกทำทัวร์ พวกนางจะจัดสถานที่เที่ยวให้ได้แน่นอน เพราะด้วยความที่นางโปรเฟสชั่นแนลหรือเพราะการแข่งขันสูงก็ไม่แน่ใจ จะมารูปแบบไหนนางก็ยินดีจัดให้ สำหรับค่าทัววันนี้กับ 3 สถานที่พวกเราโดนนแบบเหมาเหมาไป 620 EGP รวมติบคนขับล่ะ ( ราคานี้ยังไม่ได้รวมค่าตั๋วเข้าสถานที่ต่างต่าง ) ส่วน 3 สถานที่วันแรก ณ เมือง Aswan จะมีที่ไหนบ้างตามมาดูเลย
• Aswan Dam
เขื่อที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนโดยสหภาพโซเวียต มีความสูงถึง 365 ฟุต และกว้างถึง 3280 ฟุต ด้วยความใหญ่ของเขื่อนนี้ทำให้เกิดทะเลสาปขนาดใหญ่ใหญ่ชื่อนัสซอร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่สร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ โดยกว้าง 10 ไมล์ และยาวถึง 200 ไมล์ เรียกได้ว่าทั้งยาวและใหญ่จริง ๆ เมื่อเรามาถึงก็เสียค่าเข้าต่อคนอยู่ที่ 30 EGP เพื่อจะได้มีโอกาสเข้าชมความยิ่งใหญ่ของเขื่ออัสวาน
• Philea Temple
จากเขื่อนไปต่อที่ Philea Temple ซึ่งเป็นวัดที่เสียค่าเข้าสองต่อต่อแรกคือซื้อตั๋วเข้าชมราคาคนละ 100 EGP แต่ราคาอันนี้มันคือแค่ค่าเดินผ่านประตูเข้ามายังท่าเรือโอนลี่ ซึ่งระหว่างประตูไปจนถึงท่าเรือเราก็จะเจอการขายตรงของเหล่าพ่อค้าที่ต่างเชื้อเชิญบ้าง ยื้อยุดบ้างให้ดูของที่ระลึกที่วางขายบนพื้นข้างทางทั้งซ้ายขวา แต่ก็ไม่ได้แอ้มเรานะจ้ะ และเมื่อมาถึงท่าเรือปราการสำคัญ การควักเงินต่อที่สองที่จะทำให้เราได้ไปยัง Philea Temple ก็เริ่มขึ้น โดยเราต้องใช้สกิลการต่อรองราคาเพื่อเหมาเรือเข้าไปเพราะแกไม่สามารถทำใจแข็งถอดเสื้อผ้าใส่ตีนกบแล้วว่ายฟรีสไตล์เข้าไปได้แน่นอน อันนี้แนะนำเลยควรมีเพื่อนสกิลการต่อรองขั้นเทพแล้วทุกอย่างจะถูกเว่อ พวกเราสามคนเหมากันได้ราคา 260 EGP เรือจะไปส่งแล้วรอรับกลับ
วิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพ Isis โดยสร้างขึ้นในสมัย New Kingdom เดิมตั้งอยู่บนเกาะ Philae แต่เพราะการสร้างเขื่อน จึงทำให้ระดับน้ำของแม่น้ำไนล์สูงขึ้นและท่วมวิหารในปี 1906 ภายหลังจึงมีการย้ายทั้งวิหารมายังเกาะใหม่คือเกาะ Agilkia ในปัจจุบัน โดยอาศัยความร่วมมือจาก UNSCO และประเทศต่าง ๆ ในปี 1971 ทำให้สภาพวิหารยังคงเหลือร่องรอยให้เห็นเป็นแถบของระดับน้ำที่เคยท่วมวิหารครั้งที่วิหารยังอยู่ที่เดิม ดังนั้นการมาท่ีนี่ต้องนั่งเรือมาเด้อ ระหว่างทางก็ชมวิวแม่น้ำไนล์ไปด้วย แสนเกร๋จะตาย
อีกครั้งที่เราต้องขนลุกให้กับอียิปต์ วิหารที่ทำจากหินขนาดใหญ่นี้เคยถูกทำให้จมลงในแม่น้ำ และถูกย้ายขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้ง แค่คิดยังรู้สึกว่ามันต้องยากมากแน่นอนเลย แต่ถ้ามนุษย์ร่วมมือกันแล้วหล่ะก็ไอ้ที่ยากก็พอจะเป็นจริงได้อยู่เหมือนกัน เราเดินมองเสาหินแกะสลักนูนต่ำไปทีละต้น ๆ สลับ ๆ กับรูปวาดสองมิติบนกำแพง เราไม่เข้าใจความหมายของมันนักหรอก แต่เราก็เข้าใจในความศรัทธาที่คนในยุคนั้นมี และนับถือในความเชื่อของเค้าที่ทำให้สามารถสร้างวิหารได้ออกมายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้พระเจ้าไม่มีจริงพวกเค้าก็ควรได้รับรางวัลจากโลกใบนี้ในความพยายามอันแรงกล้าอยู่ดี ที่นี่มนุษย์ดูตัวเล็กกว่าที่อื่น ๆ ไม่ใช่เพราะรูปร่างของพวกเราหรอกนะ แต่เพราะความยิ่งใหญ่ของอียิปต์ต่างหาก
นอกจากความใหญ่โตโอฬารของสถานที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราว๊าวในความผลงานดีมีคุณภาพยิ่งกว่าโฟร์เอสสร้างสรร นั่นก็คือที่นี่เป็นวัดแรกของทริปที่เราได้เห็นลวดลายแกะสลักนูนต่ำ ที่มีดีเทลและความละเอียดเป็นเลิศ ถึงขนาดที่ว่าแม้เราจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวบนกำแพงแต่เราก็อินจนน้ำตาแทบไหล เพราะซึ้งในความพยายามและดีใจที่เราได้มาเห็นสิ่งสร้างที่วิเศษขนาดนี้ด้วยตัวเราเอง ยิ่งเราเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับถามตัวเองในใจว่าถ้าอียิปต์ไม่โดนรุกราน หรือพ่ายแพ้ให้กับสงครามจนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแล้วล่ะก็ ปัจจุบันอียิปต์จะไปได้ไกลกว่านี้หรือไม่ แต่นั่นแหล่ะ มันก็คงเป็นได้เพียงจินตนาการที่ไม่อาจล่วงรู้คำตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่สึกได้แน่ชัดคือ ชาวอียิปต์โบราณเนี่ยคงได้รับความรู้และมันสมองมาจากเทพเจ้าสักองค์แน่ ๆ
หลังกลับเข้าเมือง Aswan พวกเราล่องเรือบนแม่น้ำไนล์แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในโลกไปเที่ยวกันต่อที่ Nubian Village โดยระหว่างที่ล่องเรือไปยัง Nubian Village เราได้แต่เฝ้ามองสีน้ำเงินครามของสายน้ำ ที่ตัดกับเนินทะเลทรายบนชายฝั่ง และต้นไม้สีเขียวต้นเตี้ย ๆ ที่มีให้เราเห็นไม่มากนัก สำหรับแม่น้ำไนล์นั้นเป็นแม่น้ำที่ยาวถึง 6,695 กิโลเมตร นับว่าเป็นแม่น้ำสายสำคัญในทวีปแอฟริกา เพราะเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงทวีปที่แห้งแล้งจนทำให้เกิดอารยธรรมโบราณขึ้นมากมาย ที่รู้จักกันดีคืออารยธรรมอียิปต์ที่มีมาตั้งแต่สมัยมากกว่ากว่าห้าพันปีที่แล้ว และยังสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ริมฝั่งน้ำแถบนั้นอีกด้วย เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เราไม่รู้สึกง่วงหรือเบื่อเลย เพราะภาพตรงหน้าที่ไหลผ่านตัวเราไปเรื่อย ๆ พร้อมกับสายน้ำที่แหวกออกเป็นทางในยามเย็นเช่นนี้ มันน่าตื่นเต้นเกินกว่าที่ร่างกายจะหลับได้ลง
• Nubian Village
Nubian Village เป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำไนล์ของประชากรอียิปต์ดั้งเดิม หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสีสันน่ารักแปลกตาไปจากหมู่บ้านหรือเมืองอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ที่เราเจอ และแม้ว่าที่นี่จะไม่ได้มีอะไรให้ตื่นเต้นแต่เราก็ชอบหมู่บ้านนี้นะ โดยเฉพาะอาคารบ้านเรือนสีฟ้าที่สะท้อนลงในแม่น้ำไนล์และแม่สีต่าง ๆ ที่ชาวบ้านใช้แต่งแต้มให้เกิดเป็นงานศิลปะสีสันสดใสชวนแปลกตา ผู้คนอยู่กันง่าย ๆ มีร้านขายของที่ระลึกกระจุ๊กกระจิ๊ก และยังมีอูฐไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวสายขี้เกียจที่อยากจะเยี่ยมชมหมู่บ้านอีกด้วย
ถ้าใคร ๆ เป็นคนขี้สงสัยหรือช่างสังเกต จะต้องเกิดคำถามแบบเราแน่นอนว่าทำไมที่อยู่อาศัยแทบจะ 95% ของชาวอียิปต์ถึงเหมือนสร้างไม่เสร็จ มีเหล็กเส้นโผล่มาตรงหลังคาบ้าง และถึงแม้ด้านหน้าบ้านหรืออาคารจะฉาบปูนเพ้นสีสวยงามเพียงใด แต่ถ้าเดินวนดูรอบบ้านก็จะพบว่าด้านข้างด้านหลังก็ยังทำเหมือนช่างหนีระหว่างก่อสร้าง จากการหาคำตอบก็พบว่าบ้านหลังไหนที่ทำเสร็จสมบูรณ์สวยงามทุกกระเบียดนิ้วจะต้องจ่ายภาษีให้รัฐเพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่า และนั่นคือเหตุผลของบ้านเรือนที่ดูแปลก ๆ เป็นเราเราก็คงทำเสร็จแบบไม่สุดเหมือนบ้านเหล่านี้แหล่ะ และด้วยความที่หมู่บ้านค่อนข้างไกลบวกกับมัวแต่ตกตะลึงกับวัดก่อนหน้านี้นานไปหน่อย จึงทำให้เรามีเวลาที่หมู่บ้านน้อยไปนีสสสสส เก็บภาพได้ไม่มากนัก ก่อนจากไปด้วยความรู้สึกเพลิน ๆ อย่างน้อยก็ได้พักขนลุกจากสิ่งมหัศจรรย์ได้บ้าง
• Mövenpick Resort Aswan
ที่พักในคืนนี้เราเลือกพักกันที่ Mövenpick Resort Aswan เป็นโรงแรมสุดคูลที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำไนล์ โดยใกล้แม่น้ำจะมีเรือรับส่งสำหรับใครที่อยากจะข้ามมายังตัวเมือง ข้อเด่นของที่นี่คือวิวแม่น้ำอัสวาน ที่มีเรือใบเฟลุกกะเรือใบที่ชาวอียิปต์ไว้ใช้ในการสัญจรทางน้ำแล่นสัญจรไปมา และแม้ว่าอากาศจะค่อนข้างหนาวเย็นแต่เราก็ยังแอบห่อตัวด้วยเสื้อกันหนาวและผ้าห่มมานั่งมองวิวยามค่ำของที่นี่ก่อนเข้านอน ซึ่งเป็นการปิดวันอันแสนตื่นเต้นให้จบลงอย่างสงบและสวยงามเหมือนน้ำในแม่น้ำไนล์เลยล่ะ
: : Day 4 : :
• Abusimbel Tempel
เริ่มต้นวันกันด้วยความอลังการรอบที่ร้อย ณ อียิปต์ วิหารขนาดยักษ์ที่ได้รับการเคลื่อนย้ายมาจากตำแหน่งเดิม(อีกแล้ว ทำไมขยันย้ายของง่ายๆกันจัง) เนื่องจากอียิปต์สร้างเขื่อนกั้นน้ำอัสวานแล้ว น้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้นจนท่วนวิหารแห่งนี้ (โดยก่อนหน้านี้เคยจมลงในทรายและถูกค้นพบมาก่อน) ซึ่งแน่นอนว่าความยากระดับยกภูเขาทั้งลูกนี้จะเป็นที่จะต้องทำและคุ้มค่าที่จะลงทุนเพื่อรักษาความมหัศจรรย์เหล่านี้ไว้ให้มวลมนุษยชาติรุ่นหลังๆได้ดู วิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel) สร้างโดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 ฟาโรห์องค์ที่สามแห่งราชวงค์ที่สิบเก้าเป็นฟาโรห์องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์เป็นวิหารที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์ อยู่ใกล้เขตแดนประเทศซูดาน มีขนาดใหญ่มาก สร้างขึ้นเมื่อปี 1270 BC หรือประมาณ 3260 ปีมาแล้ว
ด้านหน้าวิหารมีรูปหินแกะสลักของฟาโรห์ Ramses II นั่งบนบัลลังก์ 4 องค์ เรียงกันข้างละ 2 องค์ หันหน้าไปทางแม่น้ำ เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ที่คอยดูแลปกป้องเหล่าเรือใบที่แล่นในแม่น้ำไนล์ เหนือประตูทางเข้า The Great Hypostyle Hall มีรูปสลักของเทพเหยี่ยว รูปของ Ramses II ยืนตรงข้างละ 4 องค์ อีกหนึ่งเหตุผลนอกจากคำว่าแลนมาร์คหลักของเมือง Aswan ที่ทุกคนต้องมา คือเราเคยเห็นความยิ่งใหญ่ของวิหารนี้ผ่านรูปภาพสุดคูลของคู่รักที่โด่งดังสุดฮอตจากไอจีนามว่า doyotravel ซึ่งเรามีพวกนางเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากไปหลายที่มากบอกเลย
และแม้จะเคยทั้งจมลงในทรายและเกือบจมลงในน้ำแต่ธรรมชาติก็ไม่อาจทำลายความยิ่งใหญ่ของวิหารนี้ได้จริง ๆ ทุกอย่างยังดูสมบูรณ์แบบ แม้บางจะมีบางส่วนที่เสียหายตามกาลเวลาก็ตาม แต่ที่นี่ก็ไม่ได้ถูกลดความสวยงามหรือความขลังลงได้เลย เราต้องแหงนหน้าจนตะวันแยงตาถึงจะสามารถมองเห็นยอดของภูเขาหลังวิหารแห่งนี้ได้ ยิ่งเห็นสีฟ้าบนท้องฟ้าตัดกับสีน้ำตาลของภูเขาหินทำให้ชักลังเลแล้วว่านี่คือการสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าหรือท้าทายอำนาจของพระเจ้ากันแน่ แต่น่าเสียดายที่วิหารแห่งนี้ไม่อนุญาติให้เราถ่ายรูปด้านใน เราเลยมีภาพความอลังการจากภายนอกมาฝากเท่านั้นเอง ใครที่อยากเห็นก็ลองเสริจกูเกิ้ลหรือจองตั๋วเครื่องบินเอาก็ได้นะ
สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมชมที่ Abusimbel สามารถเลือกเหมารถมาเองเฉพาะกลุ่มก็ได้ หรือจะซื้อทัวร์จอยกรุ๊ปกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ก็ดี ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือกแบบหลังเพราะราคาถูกสุด พวกเราออกเดินทางจากตัวเมืองอัสวานด้วยรถบัสรอบแรกเวลานัดหมายประมาณตีสี่ สาเหตุที่ต้องเช้าเบอร์แรงขนาดนี้ก็เพราะว่า Abusimbel อยู่ห่างจากตัวเมืองอัสวานลงไปทางใต้ราว 4 ชั่วโมง กล่าวคืออยู่ใต้สุดของอียิปต์แบบอีกนิดนึงทะลุออกประเทศ Sudan เราเลยอยากรีบไปรีบกลับเพื่อให้ทันแพลนต่อไปของวันนี้
• Egyptian Felucca Ride On The Nile
ในเมืองบนถนนเส้นเรียบแม่น้ำไนล์เส้นนี้ไม่ว่าจะเดินไปไหน เราก็จะได้รับคำเชื้อเชิญจากเหล่าบรรดานักขายตรงทั้งหลายที่เชิญชวนไปนั่งเรือ Felucca เจ้าเรือใบเฟลุกะรูปร่างทันสมัยนี้จริง ๆ เค้าใช้กันมาตั้งแต่ดั้งแต่เดิมในอียิปต์แล้วนะแก โดยปกติชาวบ้านก็เอาไว้ใช้สัญจรไปมาหาสู่กันนี่แหล่ะ แต่พอเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเค้าก็เปิดโอกาสให้เราได้ลองสัมผัสแบบใกล้ชิด ซึ่งปกติคนส่วนมากเค้าจะใช้เวลาล่องกันอยู่ที่ 1 ชั่วโมง ในช่วงเวลาป้อบปูล่าคือยามอาทิตอัสดงได้ฟิวโรมแมนติกแบบสุด ๆ แต่การนั่งเรือเฟลุกะของเราครั้งนี้จะต้องแหวกทุกการรีวิวที่เคยมีบนโลกใบนี้ เราจะไม่นั่งแค่ 1 2 หรือ 3 ชั่งโมง แต่เราจะนั่งยาวกันตั้งแต่เย็นยันสว่างเรียกง่ายง่ายอยู่กินกันบนเรือไปเลย
ปกติแล้วการล่องเรือแม่น้ำไนล์เค้าจะล่องกันแบบ 3 วัน 2 คืน กันแบบหรูหรูบนเรือ Cruise ที่ครบครันทุกความบันเทิง จากเมือง Aswan ไปยัง Luxor โดยระหว่างล่องเค้าก็จะแวะเที่ยวเมืองสำคัญ จุดสำคัญต่าง ๆ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดและทัวร์ที่ขายให้เรานางก็ช่างสรรหาทางเลือกมาให้นางก็เลยแนะนำให้นั่งเรือเฟลุกะแบบ 2 วัน 1 คืน ซึ่งจะนั่งตอนเย็นจากเมือง Aswan ไปเช้าที่ Kom Ombo แล้วนางก็ตัดเข้าช่วงขายต่อเลยจร้าเรื่องรถเหมาที่จะมารอรับเราเพื่อพาไปแวะเที่ยวต่อที่เมือง Edfu ก่อนจะพายิงยาวไปเก็บอีกหนึ่งแลนด์มาร์คในเมือง Luxor แล้วค่อยพาไปส่งที่ รร ที่เราได้ทำการจองไว้ผ่าน booking ณ เมือง Luxor ราคาเหมาเหมาแพ็คเก็ตนี้ที่พวกเราต้องจ่ายรวมกันสามคนก็คือ 4,000 EGP หลังจากตกลงราคาเรียบร้อยนางก็พาพวกเรานั่งรถผ่านบ้านเรือนออกไปนอกเมืองเพื่อไปยังจุดขึ้นเรือซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 20 นาที
แค่มาถึงจุดจอดเรือก็เริ่มถอดใจเพราะลมตอนนี้พัดแรงเอามากมาก ยิ่งเวลาเย็นอากาศก็ยิ่งหนาวเหมือนเช่นทุกวัน นี่ขนาดพระอาทิตย์ไม่ลับขอบฟ้าเรายังหนาวเบอร์สุดขนาดนี้แล้วคืนนี้จะเป็นยังไง ได้แต่คิดและก็สงสัยแต่ยังไงก็ต้องเผชิญเพราะตังค์ก็จ่ายแล้วถอยหลังก็ไม่รู้จะไปนอนไหน และในระหว่างที่คิดจิตใจก็เริ่มหวั่นหวั่นเพราะเรือใบไร้เครื่องยนต์ลำนี้กำลังโยกซ้ายทีขวาที น้ำกระเด็นกระดอน เราได้แต่ถอนหายใจว่าจะรอดไหมคืนนี้ นั่งหวั่นหวั่นสักพักเราก็เข้าใจธรรมชาติของมันว่าการที่มันเอียงแบบน้ำแทบจะเข้าเรือได้คือเรื่องปกติ คือจริงจริงเราก็ไม่ควรวิตกกังวลกลัวไรหรอก เพราะคนบังคับเรือและคนดูแลอีกหนึ่งพวกเค้าดูปกติไม่ได้แสดงถึงท่าทีอันตรายอะไร แต่ก็แค่ตกใจบ้างตามประสาคนบอบบางเท่านั้นเอง
ภาพตัดมาที่เช้าของอีกวันเรากับเพื่อนที่ห่อตัวด้วยเสื้อผ้าคนล่ะห้าหกชั้นนอนขดเรียงกันราวกับได้เสียกันมาเมื่อคืนก็เริ่มคลายหนาวเมื่อแสงตะวันเริ่มสาดเข้ามา และภาพตรงหน้าหลังจากขยี้ตาตื่นก็คือชาวบ้านกำลังหาปลากันอย่างขมักเขม่นที่แม่น้ำไนล์ ซึ่งมันเป็นภาพที่ตอกย้ำว่าไม่ว่าจะชนชาติไหนจะเป็นประเทศที่เจริญสุดขีดหรือยากจนการดำรงชีวิตริมแม่น้ำก็ยังเป็นภาพที่หาได้เสมอ และไม่แปลกใจว่าทำไมหลายอารยธรรมจึงเริ่มต้นขึ้นที่แถบแม่น้ำใหญ่สำคัญของโลก ….
มื้อเช้าอันน่าตกใจกับไข่หลายฟอง ชีสหลายชิ้น ที่เสิรฟมากับแป้งเอช แล้วแถมแยมมาอีกครึ่งขวด ทุกอย่างดีหมดคนเรือเฮฮา แต่อาหารที่เตรียมมาให้คือแบบ ฮัลโหล!! อะไรเนี่ยเราไม่โอเครอย่างแรง แต่โชคดีที่บนเรือมีน้ำร้อนให้เช้านี้พวกเราก็เลยจัดมาม่าไข่ต้มถือเป็นมือที่ฟินมากเพราะห่างอาหารไทยมานานหลายวัน พออิ่มท้องพวกเราก็ไปนั่งคูล ๆ ห้อยแข้งห้อยขาถ่ายรูปตรงด้านหน้าลำเรือ ซึ่งเก็บภาพได้สักพักเรือก็พาพวกเรามาส่งยังฝั่ง ณ เมือง Kom Ombo อย่างปลอดภัย
: : Day 5 : :
• Edfu Temple
Edfu เป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญที่อยู่ถัดจาก Kom Ombo ขึ้นมา ที่นี่มีหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญที่ต้องแวะนั่นก็คือ วิหารเอดฟู (TEMPLE OF EDFU OR TEMPLE OF HORUS) เราจ่ายค่าเข้าชม 100 EGP ต่อคน ก็มีโอกาสได้เข้ามายังวิหารที่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิหารอียิปต์โบราณที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด เป็นวิหารขนาดใหญ่ที่สวยงาม สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพฮอรัส (HORUS) มีเศียรเป็นเหยี่ยว เป็นเทพเจ้าแห่งความดีและฉลาดรอบรู้ มองได้ไกลเหมือนเหยี่ยว กำแพงของวิหารด้านในเป็นตอนฮอรัสออกไล่ล่าเซตผู้เป็นอาที่แปลงกายเป็นฮิปโป จนในที่สุด เทพเซตในร่างฮิปโปก็ถูกฆ่า และเรื่องราวในตอนนี้ก็คือ สงครามแห่งมหาเทพ นั่นเอง แต่ถ้าถามว่าเราดูรู้เรื่องแปลเป็นตำนานได้เลยมั้ย ก็ต้องตอบดัง ๆ เลยว่าไม่ แต่ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องแต่เราก็อินกับภาพวาดต่าง ๆ เหมือนกันนะ เพราะมันเหมือนมีอารมณ์บางอย่างล่องลอยอยู่เหนือรูปวาดเหล่านั้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าจินตนาการนั่นเอง
ความใหญ่โตเว่อวังอลังการงานอียิปต์ที่นี่ก็ไม่น้อยหน้าเมืองอื่น ข้างในวิหารมีรูปสลักสวยงามและสมบูรณ์มากมาย โดยเราจะเห็นได้ว่ามีรูปสลัก รูปปั้น รูปแกะของนกอยู่ทั่วทุกแห่ง ซึ่งก็อย่างที่เล่าให้ฟังตอนต้นนั่นแหล่ะว่ามันคือเรื่องราวของอาหลานที่ไล่ฆ่ากัน ถึงแม้จะรู้ประวัติก็ไม่ใช่จะอ่านและเข้าใจหรอกนะ แต่บางอย่างถึงไม่เข้าใจแต่เราก็รู้สึกและมีอารมณ์ร่วมไปกับมันได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ
• Mortuary Temple Of Hatshepsut
จาก Edfu เรามุ่งตรงสู่เมืองที่จะเป็นที่พำนักพักพิงเมืองสุดท้ายของทริปนั่นก็คือ Luxor และก่อนที่เราจะเข้าไปพักชิว ๆ กันใน รร เรามุ่งตรงไปอีกฝั่งของแม่น้ำไนล์ซึ่งที่นั่นเป็นที่ตั้งของ Mortuary Temple Of Hatshepsut จะต้องพูดคำว่ายิ่งใหญ่อลังการ ตื่นตะลึง ขนลุก เหนือธรรมชาติอีกกี่ครั้งกันนะกับดินแดนลึกลับแห่งนี้ แต่มันก็เรื่องจริงนี่หน่าเพราะทุกที่มันชวนให้รู้สึกแบบนั้นไปหมดจริง ๆ ที่นี่ก็เช่นกัน Temple of Queen Hatshepsut เป็นสุสานที่ขุดเจาะเข้าไปในภูเขาที่เมืองเดียร์อัล-บาฮารี (Dier el Bahri) สุสานของพระนางฮัตเชปสุตสร้างโดยสถาปนิกชื่อ เซนมุท สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 1450 ปีก่อนคริสตกาล ประกอบด้วยถนนใหญ่ตัดตรงไปสู่วิหาร บริเวณสองข้างทางมีสฟิงซ์เรียงรายอยู่ หน้าวิหารมีเสาซึ่งเป็นแท่งหินจารึกอักษรภาพ
ภายในอาคารแต่ละชั้นมีภาพสลักนูนต่ำระบายสี แสดงเรื่องราวของพระนางตั้งแต่ประสูติ สถาปนาเป็นราชินี ไปจนถึงสิ้นพระชนม์ ประติมากรรมในสมัยนี้นิยมทำทั้งแบบเหมือนจริงและแบบอุดมคติ รูปสลักลอยตัวของพระนางฮัตเชปสุต มีหลายรูปแบบ เช่น ประทับนั่งคุกเข่า สวมมงกุฎขาวของอียิปต์บน, ประทับนั่งบนบัลลังก์ แต่งองค์แบบฟาโรห์ โดยที่นี่เป็นที่แรกที่เราได้เห็นการระบายสีด้วยสีที่สดใส ชัดเจน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้วิหารแห่งนี้แตกต่างและโดดเด่นจากวิหารอื่น ๆ ความละเอียดละออของงานสลักหินภายในโบสถ์ยังคงความสวยงาม อลังการ ทำให้เรารู้สึกสนุกและมีจินตนาการมากขึ้นไปอีกกับการเดินดูเรื่องราวเหล่านี้
: : Day 6 : :
• Hilton Luxor Resort & Spa
ที่พักดีงามสมราคาฮิลตันที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย การตกแต่งของที่นี่ก็เช่นกัน มีความปราณีตในลวดลาย ดูสะอาดตา แม้ว่าจะมีความโบราณอยู่นิด ๆ แต่ภาพรวมคือดีงาม โดยเฉพาะอาหารเช้าที่มีให้เลือกมากมายจนตาลายสุดท้ายด้วยความแต่มึนงงและตื่นเต้นเลยได้กินแค่สลัดและขนมปังนิดหน่อย และอีกหนึ่งความดีงามที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือวิวแม่น้ำไนล์ที่ดูกี่ทีก็ไม่มีทางเบื่อ จะดูตอนกลางวันก็สดใส จะดูตอนยามเย็นก็โรแมนติก โรงแรมค่อนข้างเงียบสงบและไม่วุ่นวาย พนักงานก็น่ารักและใส่ใจบริการมาก ๆ คืนนี้เตียงนุ่ม ๆ ก็คงทำให้เราได้ฝันหวาน ๆและชาร์ตพลังได้อีกคืน
เช้าวันใหม่ที่ไม่ค่อยจะสดใสสักเท่าไหร่ เรานั่งมองบอลลูนที่ลอยบนฟ้าพร้อมกับดวงตะวันที่ค่อยค่อยโผล่ขึ้นมาด้วยความอิจฉา บอกเลยว่ามีเงินเยอะแค่ไหน ให้เปย์หมดหน้าตักก็ไม่สามารถขึ้นไปนั่งในช่วงเวลาที่ดีดีที่สุดได้ จริง ๆ คือต้องโทษตัวเองที่ไม่หาข้อมูลให้ดี เพราะมันต้องจองแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากเราไปช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่รอบบอลลูนที่จะขึ้นเพื่อไปรอพระอาทิตย์ขึ้นก็เลยเต็มหมด มีว่างอีกทีคือขึ้นตอน 7 โมง ซึ่งเรากับเพื่อนก็เลยตัดสินใจว่าไม่เอา หลังจากทำตาปริบ ๆ มองบอลลูนอยู่นาน นานพอจนทำใจกับควาามเสียดายครั้งนี้ได้ เราสะบัดหัวแรง ๆ หนึ่งที เอาวะ จะมัวมานั่งตาละห้อยก็ไม่ได้เห็นวิวบนนั้นหรอก สู้เปลี่ยนใจไปเอนจอยกับมื้อเช้าแสนอร่อยให้อิ่มเต็มพุง ว่ายน้ำให้ตัวเปื่อยในสระสวย ๆ ของโรงแรม ก่อนที่จะขึ้นไปอาบน้ำเก็บของแล้วออกไปเก็บอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมือง Luxor
• Karnak Temple
มหาวิหารคาร์นัก เป็นมหาวิหารที่มีความกว้างใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลักซอร์ 3 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา (สุริยะเทพ) และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ใช้เวลาก่อสร้างจากรุ่นสู่รุ่นหรือผ่านฟาโรห์มาประมาณ 30 พระองค์ ลานกว้างหน้าวิหารลักซอร์จะเต็มไปด้วยรูปปั้นสฟิงซ์ ตั้งอยู่สองข้างทางยาวเหยียดไปตลอดแนวจนถึงวิหารคาร์นัค รองจากมหาปิระมิดแห่งกีซ่าเราชอบที่นี่มากที่สุด เพราะมันกว้างใหญ่ไพศาล มีเรื่องเราวตั้งแต่พื้นดินจรดปลายเสา เหมือนกับที่นี่เป็นโลกอีกโลกนึงที่เราเดินเข้ามาได้ง่าย ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนมันก็ทึ่งในความสามารถของมนุษย์ด้วยกันเองแบบยากจะจินตนาการได้ตลอดเส้นทาง
เสาใหญ่ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเรานี้เดิมทีคือเสาที่เราเห็นผ่าน instagram คู่รักนักเดินทางคู่เดิมนามว่า doyou travel ไอดอลของเรานั่นล่ะ ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ในอียิปต์ที่เราตั้งใจว่าจะมาให้ได้ และเมื่อมันตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเรามันก็ใหญ่โตจนเรายากจะหาคำไหนมาบรรยายได้ถูก มันไม่น่าเชื่อได้เลยว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ยุคโบราณและก่อสร้างมาแล้วหลายพันปี เพราะมันสูงถึงยี่สิบสามเมตร รวมทั้งสิ้นร้อยสามสิบสี่ต้น !!!!
Karnak Temple เป็นวัดที่ใหญ่มากมีมุมให้เก็บภาพเยอะ เราว่าควรอยู่เที่ยวสักครึ่งวันเอาให้คุ้มกับค่าเข้า 120 EGP และถ้าแกเดิน ๆ ถ่ายรูปอยู่ แล้วมีพวกคนดูแลเดินเข้ามาแนะนำให้ไปถ่ายตรงนั้นตรงนี้ไม่ต้องตกใจหรือกลัวใดใดทั้งสิ้น แต่จงเดินตามไปมันเป็นมุมที่ดีงามจริง ๆ ส่วนที่นางมาแนะนำก็เพราะนางอยากได้ทิป นอกจากประเทศนี้จะเป็นประเทศแห่งการขายตรงแล้วยังเป็นประเทศของการขอทิปอีกด้วย ทุกการบริการ นั่งเรือ รถ เข้าวัด พักโรงแรม เค้าขอทิปกันเป็นเรื่องปกติมาก ส่วนเราก็ให้บ้างไม่ให้บ้าง แล้วแต่ว่าตอนนั้นจะมีเศษแบ่งย่อยหรือป่าว
หกวันในดินแดนทะเลทราย ที่สุดแห่งความลึกลับและปริศนาที่คนทั้งโลกยังรอคอยคำตอบ มหัศจรรย์สิ่งสร้างกว่า 4600 อันเป็นปริศนา ความสวยงามอันน่าตื่นตะลึงจนขนลุกในความทึ่ง เส้นทางที่เราต้องเปิดตาและประสาทสัมผัสของตัวเองให้ดี เพื่อเก็บรวบรวมความงามอันน่าพิศวงนี้ให้ได้มากที่สุด ที่สุดแห่งการเดินทางในชีวิตของเรากับทั้งหกวันที่ตกต้องในมนต์สะกด ณ ดินแดนฟาโรห์ ที่นี่คือที่ท่องเที่ยวที่เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าคือที่สุดแห่งความงามและความมหัศจรรย์ที่ไม่ควรพลาดถ้าแกมีโอกาส เพราะที่นี่ยังมีปริศนาและดินแดนแปลกตาอีกหลายแห่งให้เราได้เดินทางท่องเที่ยวกันแบบไม่รู้จบ ทั้งทะเลทรายขาว เทือกเขา Sinai ปราสาทฟาโรห์ หรือทะเลสาปนัสเซอร์
เพราะที่นี่ คือ อียิปต์ดินแดนแห่งฟาโรห์ …..