บางคนเชื่อว่าชีวิตคือการเดินทาง
เราก็เช่นกัน… แล้วแกรล่ะเชื่อมั้ย??
ถ้าเชื่อก็มาร่วมเดินทางด้วยกันเถอะ
และการเดินทางในครั้งนี้เราขอให้คอนเซปกับมันว่า “ดื่มด่ำ” เพราะเราจะทำตัวเหมือนครั้งแรก ๆ ที่ออกเดินทาง เราจะตื่นเต้น เฝ้ามองสิ่งรอบข้าง และสนุกไปกับมันตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งหากวันนี้คือการเดินทางครั้งแรกเราคงเตรียมตัวล่วงหน้าอยู่เป็นวัน ๆ อาจจะพลิกดูข้อมูลแล้วข้อมูลอีก เชคหมายเลขบนตั๋วว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ถึงแม้มันจะไม่ใช่เราก็พบว่าสิ่งที่ไม่ต่างจากการเดินทางครั้งแรกเลยคือ ความรู้สึก เพราะทริปนี้เราไปด้วยรถไฟวิธีการเดินทางสุดแสนคลาสสิค ที่เราเชื่อว่าก้นของแกหลายคนจะต้องเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวสีเขียวหม่น ๆ มือกำตั๋วไว้รอเวลาที่นายตรวจจะเดินมาขอดู เสียงฉึกฉัก ฉึกฉักจะก้องกังวารทั้งยามหลับและยามตื่น กลิ่นไก่ย่างจะลอยเข้าปลุกโดยอัตโนมัติเมื่อถึงจุดแวะพักระหว่างสถานี และเมื่อถึงปลายทางหน้าของแกจะรู้สึกชายิบ ๆ กึ่ง ๆ ว่ายังรู้สึกหรือเป็นอัมพาตจากลมที่ตีหน้า ระหว่างทางอาจมีบ่นบ้างเบื่อบ้าง แต่เมื่อถึงปลายทางรับรองว่ารถไฟจะทำให้แกมีเรื่องเล่าไว้เม้าส์ได้อีกสามวันสองคืน
คืนก่อนการเดินทางเรารวบข้าวของที่จำเป็นหย่อนลงเป้คู่ใจ เลือกสรรเสื้อผ้าให้เหมาะกับอากาศ เสื้อตัวเก่ง และหมวกใบเก๋ก็ถูกใส่ตาม ๆกันลงไป มาถึงชิ้นที่ยุ่งยากใจมากที่สุดก็คือรองเท้าเพราะเจ้ารองเท้า PONY คู่โปรดของเราดันมีทั้งแบบหุ้มข้อ ไม่หุ้มข้อ สีขาว และสีดำ ความเท่ห์ที่กินกันไม่ลงทำให้เรานั่งคิดอยู่นาน แต่หลังจากที่แม่บอกว่ามัวลีลาระวังตกรถไฟ เราก็หยิบสีดำข้อต่ำสุดเท่ห์คู่เดิม ที่พากันไปมาหมดตั้งแต่ในเมือง ภูเขา และทะเลมาวางข้างเป้เราได้สักที
เรามาถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงกันตั้งแต่เที่ยงเพื่อเตรียมตัวให้แน่ใจว่าจะไม่พลาดรถไฟขบวนสำคัญ สถานีรถไฟแห่งนี้เหมือนเป็นใจกลางของรถไฟสายหลัก ทำให้เสียงผู้คนในสถานีค่อนข้างจะคึกคักจนออกจะชุลมุนไปนิดหน่อย แต่เมื่อเสียงหวูดรถไฟที่ลากยาวสลับกับเสียงนกหวีดของนายสถานี ณ เวลา 15.15 น. เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเดินทางของเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว วันนี้เราจะทอดน่อง ทอดกาย เป็นระยะเวลา 18 ชั่วโมงเบา บนรถไฟขบวนนี้ที่มุ่งหน้าตรงสู่ปลายทาง ณ สถานนียะลา เรานั่งมองข้างทางสลับกับอ่านหนังสือได้ไม่นานเท่าไหร่ รถไฟก็จอดเทียบสถานี ๆ หนึ่ง เสียงผู้คนเริ่มคึกคักมากขึ้น มีพ่อค้าแม่ค้าทยอยขนของขึ้นมาบนสถานี ทั้งไก่ย่าง หมูทอด น้ำดื่ม แต่ท้ายที่สุดเราก็ได้พบตำนานอันลือเลื่องของสถานีราชบุรีมัน คือ ก๋วยเตี๋ยวหมูกล่องละ 10 บาท ตำนานอันโอชะทำให้กระเพาะของเราเริ่มโวยวาย จะรอช้าอยู่ใย เอาของมาแล้วเอาเงินไปคือสถานการ์ณสั้น ๆ ที่เกิดขึ้น
สายลมเย็น ๆ และเสียงเพลงที่เราเตรียมไว้ก่อนออกเดินทาง เป็นเหมือนตัวขับกล่อมอย่างดี ราวกับว๊าบผ่านประตูมิติ เพราะเราหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่สองสามงีบมารู้ตัวอีกทีก็มาถึง จ.พัทลุง กันแล้วววววว และพอกระพริบตาปริบ ๆ อีกสามทีเราก็เดินทางมาถึง จ.ยะลาแล้วนะจ๊ะ นาฬิกาตีบอกเวลา 11.25 น. ณ ขณะนี้สองเท้าของเราได้เหยียบย่างอยู่บนจังหวัดที่มีการจัดวางผังเมืองแบบใยแมงมุมที่สวยที่สุดของประเทศไทย สมคำขวัญ “ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” แต่ก่อนที่คิดเรื่องใดใดให้ไกลกว่านี้ ท้องของเราเริ่มส่งเสียงโครกครากฟ้องเราว่าน้ำย่อยกำลังจะย่อยตัวเองอยู่แล้ว เราแวะตลาดเล็ก ๆ ในเมืองเลือกอาหารที่จะได้กินไวที่สุด ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากข้าวราดแกง เมื่อกระเพาะเริ่มสงบก็ถึงเวลาไปเดินตลาดอีกนิดหน่อยเพื่อแวะซื้อไก่สด เครื่องปรุง และวัตถุดิบอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้เป็นเสบียงสำหรับมื้อถัดไป
เรียบร้อยจากตลาดเราก็ออกเดินทางจากตัวเมืองยะลาไปอีก 113 กิโลเมตร สู่เบตง โดยเป้าหมายหลักของเราในวันนี้กับสองชั่วโมงของการเดินทางที่เต็มไปด้วยสีเขียวสดชื่นทั้งสายตาและจิตใจ แต่ด้วยความที่เรากำลังเดินทางขึ้นภูเขาทำให้ตลอดระยะทางเราจะโดนเหวี่ยงไปมา ดังนั้นขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าใครเมารถได้ง่ายกรุณากินยาดักไว้ก่อนออกเดินทาง มิเช่นนั้นคุณจะได้ถุงพลาสติคเป็นเพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งใบ
ระหว่างเส้นทางเราจะพบกับสะพานข้ามทะเลสาบฮาลา-บาลา สะพานเชื่อมยะลาและเบตง ที่กว้าง 15.7 เมตร ยาว 264 เมตร ณ ทางหลวง 410 ยะลา-เบตง อำเภอธารโต ที่เราสามารถหยุดแวะพักเพื่อถ่ายรูปและบาลาซ์นน้ำในหูกันเล็กน้อย มุมนี้บอกได้คำเดียวว่าหรอยแรง เพราะเบื้องหลังสะพานยาว ๆ เส้นนี้คือผืนน้ำและภูเขาสลับซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะจินตนาการว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรหากไม่ใช้พลังของธรรมชาติ ความงามเบื้องหน้าทำให้เรารู้สึกตัวเล็กจิ๋วหลิวลงอย่างมาก ธรรมชาติแสนยิ่งใหญ่นี้เองที่เป็นที่พึ่งพิงให้กับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราเสมอมา เราหลับตาลงเบา ๆ พร้อมกระซิบผ่านสายลมถึงความขอบคุณจากหัวใจ
เมื่อน้ำในหูกลับมาเป็นปกติแล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่หมู่บ้านไปรวมตัวกับทีมงานที่เราได้ติดต่อไว้เพื่อจะขึ้นไปยังภูเขาฆูนุงซีลีปัต จุดชมทะเลหมอกของอำเภอเบตง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อ ต.ตาเนาะแมเราะ กับ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา อยู่ห่างจากเมืองเบตงไปตามเส้นทางหมายเลข 410 ( ยะลา – เบตง ) ประมาณ 21 กิโลเมตร จากนั้นจะต้องใช้รถ 4×4 เดินทางต่ออีกประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วต้องเดินเท้าปีนเขาอีกประมาณ 20-30 นาที ที่นี่ได้รับการกล่าวขานว่ามีสุดยอดทะเลหมอก ณ สุดปลายด้ามขวานของสยาม หลังจากเตรียมตัวกันเรียบร้อยพวกเรากับทีมรวมกันทั้งสิ้น 5 คน ไม่รอช้ารีบปีนขึ้นรถจีฟสีเขียวหม่นกับบรรยากาสที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงบ้างเตี้ยบ้างสลับกันไปมาทำให้เราเริ่มตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ สายลมอ่อน ๆ เย็น ๆ พัดกระทบผิวหน้าราวกับกำลังเชิญชวนให้เราเดินทางเข้าไปหา
ไม่นานเกินรอเราก็เดินทางมาถึงจุดกลางเต๊นท์พร้อม ๆ กับที่พระอาทิตย์กำลังลาลับไปก่อนจะส่งดวงดาวและพระจันทร์มาเป็นตัวแทนในค่ำคืนนี้ แม้จะมีดวงดาวอยู่เป็นเพื่อนหลายล้านดวง ทั้งดาวเหนือที่คอยบอกทาง ดาวลูกไก่ที่อยู่ในนิทาน ไปจนถึงดาวนายพรานผู้หาญกล้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอุ่นกายเหมือนที่อุ่นใจเท่าไหร่เลย ลมหนาวพัดแรงขึ้นอีก เรากระชับเสื้อกันหนาวตัวเก่งไว้แน่น ก่อนจะลงมือจุดเตาถ่าน โขลกพริกไทยดำกับกระเทียมเตรียมหมักไก่ เมื่อถ่านร้อนได้ที่ก็ไม่รอช้าที่จะปิ้งไก่เพื่อนำเข้าท้องทดแทนสเบียงช่วงกลางวันที่ได้หมดลงเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะล้างหน้าล้างตาและนอนเอาแรงสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอนตีห้าดังขึ้น เรายังเมาขี้ตาไม่หายและรู้สึกว่าอยากนอนต่ออีกสักหน่อย แต่เมื่อคิดถึงภาพสุดยอดทะเลหมอกไว้ในหัวก็สามารถต่อสู้กับผ้าห่มและเอาชนะได้เป็นที่เรียบร้อย ไม่รอช้าเรารีบสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งสุดเท่ห์บัดดี้คู่ใจที่ไปผจญภัยด้วยกันหลาย ๆ ทริปมาสวมอีกครั้ง เพราะเราเชื่อว่าเจ้า PONY คู่นี้จะพาเราไปถึงยอดดอยแบบเบาสบายนิ่มเท้าสุด ๆ เราปีนบ้างตะกายบ้างจนเหงื่อเริ่มซึม ๆแม้ว่าจะมีลมพัดผ่านตัวเราตลอดการเดินทางก็ตามที แต่เมื่อได้ขึ้นมายืน ณ สุดปลายด้ามขวานแห่งนี้เราก็พูดได้คำเดียวว่า “หรอยอย่างแรงนิ” นี่มันสวรรค์ป่าววววววว้าแกร
ทะลเหมอกที่รายล้อมรอบตัวเราทำให้เรานึกถึงกาแฟร้อน ๆ เพราะงั้นก็อย่ารอช้ารีบตั้งกาน้ำร้อน ต้มกาแฟดื่มท่ามกลางวิวสองหมื่นห้าพันล้านนี้กันดีกว่า ทะเลหมอกสีขาวที่ไหลจากภูเขาลูกนู้นมาลูกนี้ และไหลเอื่อย ๆ ล่องลอยไปตามลมดูแล้วสนุกสนามไม่เบา จริง ๆ ก็แอบคิดอยากลองวิ่งตามแต่ก็คาดว่าจะได้ไปวิ่งบนสวรรค์แทน เลยเปลี่ยนใจวิ่งเล่นแอคท่าถ่ายรูปกับรองเท้าคู่ใจและคนข้างกายแทนดีกว่า
ยืนชมจนสมใจก็ได้เวลากลับเข้าเมืองมนุษย์กันอีกครา มาถึงแดนใต้ทั้งทีสิ่งที่โด่งดังพอ ๆ กับฝั่งฟ้าอันดามันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ไก่ทอดหาดใหญ่ นั่นเอ๊งงงงงงงงง เมื่อใช่กระเพาะก็นำทางเรามุ่งหน้าสู่ อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา อำเภอที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ หน้าด่านระหว่างไทยและมาเลเซีย ทำให้ที่นี่มีคำขวัญว่า “ชุมทางปักษ์ใต้ หลากหลายเศรษฐกิจ ชีวิตอุดม รื่นรมย์ธรรมชาติ ชายหาดแหลมโพธิ์ ส้มโอสีชมพู คู่คลองอู่ตะเภา ขุนเขาโตนงาช้าง” แค่คำขวัญก็รู้ละล่ะว่าที่นี่เค้ามีดีในหลายด้านจริง ๆ แต่จะเด็ดแค่ไหนก็ตามมาชมกันเลย
เริ่มต้นเช้าวันใหม่อันจะสดใสหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าอาหารมื้อแรกของวันนั้นจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงวางเป้าหมายไว้ที่ตลาดสดหาดใหญ่พลาซ่า หน้าหอนาฬิกา ตลาดใหญ่ที่มีทั้งของกิน ของใช้ ของสด ของทอด ของต้ม ของๆๆๆๆ คือมันเยอะ มันใหญ่ มันฟินส์สไตล์สตรีทสุด ๆ ดังนั้นใครชอบเดินเล่นตลาดเช้าเพื่อหาของกินพื้นถิ่นรวมถึงไก่ทอดหาดใหญ่ก็มาที่นี่ได้เลยนาจา รับรองได้ว่ามีมากมายหลายหลากให้เลือกเลยล่ะ
เมื่อกินอิ่มหนำสำราญบานตะไทเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินย่อย เราเดินเล่นมาเรื่อย ๆ ถัดจากตลาดจะเป็นสถานีชุมทางรถไฟหาดใหญ่ ที่มีมุมชิค ๆ มากมายหลายมุมให้เลือกถ่ายรูป โพสท่าได้แบบเพลินจนเมมกล้องเต็มแบบไม่รู้ตัวเลยล่ะ เพราะหันซ้ายก็เจอโบกี้รถไฟเก่าสุดคูล ทางขวาก็เป็นสะพานข้ามทางรถไฟสุดชิค ส่วนด้านหน้าก็เป็นวิวตัวเมืองหาดใหญ่ที่ถ่ายรูปมาปุ้บก็จะละม้ายคล้ายญี่ปุ่นเบาเบา
ขอเอฟวายไอกันตรงนี้เลยสำหรับสายกินทั้งหลาย ตรงหน้าสถานทีรถไฟมีร้านลูกชิ้นทอดอยู่เจ้านึงซึ่งซื่อเสียงเรียงนามเราก็ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่แน่คือน้ำจิ้มแซ่บเว่อ บอกได้สามคำว่า “ควรไปโดน”
หลังถ่ายรูปเล่นกันมาได้พักใหญ่ ๆ ก็ได้เวลาไปหาของหร่อยหร่อยสำหรับมื้อเที่ยงวันนี้กันแล้วนะก๊ะ ซึ่งเที่ยงนี้เราเลือกร้านอาหารไทย – จีนเล็ก ๆ ที่อยู่ในซอย ตลาดกิมหยงนิพัทธุ์อุทิศ 3 ซอย 1 ชื่อร้าน “ในรู” แม้ชื่อจะดูงง ๆ แต่ร้านนี้ก็เปิดมานานถึง 18 ปีล้าวววนะแกร อย่าพลาดที่จะมาลองล่ะ ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 11 โมงยัน 2 ทุ่มโน่น มีเวลาให้มาฝากท้องกันได้หลายช่วงเลย
ส่วนเมนูแนะนำคือ ปอเปี๊ยะทอดไส้เค็ม ปอเปี๊ยะทอดกรอบไส้เน้น ๆ ไม่อมน้ำมัน แค่กัดคำแรกก็รู้ว่าโดนใจสายของทอดแบบเราสุด ๆ คำที่สองเราลองกินกับน้ำจิ้มสีส้มอ่อน ๆ รสหวานนำดูบ้าง อืมมมมม คำต่อ ๆ มาก็ตามมาอย่างไวเลยจ้าทีนี้ เมนูต่อมาคือไอคลั่งทะเลโหด ซึ่งก็โหดสมชื่อจริง ๆ เพราะกุ้งเค้ามาแบบเนื้อ ๆ เน้นๆ รสชาติกลมกล่อม ยิ่งกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ยิ่งน้ำลายไหล ส่วนเมนูสุดท้ายคือกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาหมูกรอบ เมนูปราบเซียนสำหรับร้านอาหารจีนทุกร้าน กะหล่ำปลีกรอบ ๆ หอมกลิ่นไหม้ของก้นกระทะและน้ำปลาดี ยิ่งกินยิ่งหิวเมนูนี้คือเมนูเรียบง่ายแต่โดนใจเราที่สุด
อาหารรองท้องก็ได้จบไปเป็นที่เรียบร้อย (กินเบอร์นี้กล้าเรียกรองท้อง) เราก็หอบท้องอีกส่วนมากินเพลินเดินเล่นกันที่ตัวเมืองสงขลา และร้านแรกในย่านนี้เราก็ตกลงปลงใจไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใต้โรงงิ้ว (ป้าเล็ก) หากว่าไม่เคยหรือกำลังมึนงงสงสัย?? ว่าทำไมเวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวต้องก้มหัวก้มตัวด้วยถึงจะได้กิน เราขอพาไปเฉลยและลิ้มรสกับก๋วยเตี๋ยวดังกล่าว ร้านป้าเล็กซ่อนตัวตั้งร้านขายอยู่ใต้ถุนโรงงิ้วเตี้ย ๆ ภายในศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งถ้าไม่สังเกตอาจมองผ่านเลยไป และด้วยความที่ใต้ถุนเตี้ย ๆ ของโรงงิ้วตามที่กล่าว ฉะนั้นเวลาจะเข้ามาในร้านจำเป็นต้องก้มตัวและหัวให้ต่ำ ๆ เข้าไว้ หรือจะเรียกว่ามุดเข้ามาใต้ถุนโรงงิ้วเลยก็ว่าได้ ถึงจะได้เจอกับโต๊ะเก้าอี้ที่นั่ง ถึงแม้ต้องมุดคลานเข้าไปแต่บอกเลยว่าอากาศถ่ายเทสะดวกนั่งแล้วไม่อึดอัดสักเท่าไหร่
ก๋วยเตี๋ยวที่ร้านป้าเล็กเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ราคาธรรมดา 50 บาท พิเศษ 60 บาท ในชามมีเครื่องที่ใส่มาคือ กระดูกหมูกับตีนไก่ที่ต้มมาได้แบบเปื่อยนุ่มกำลังดี ส่วนรสชาติของน้ำซุปนั้นช่างหอมหวานกลมกล่อมมีเอกลักษณ์และลักษณะที่โดดเด่นชวนลองลิ้มเสียเหลือเกิน ถ้าจะทานให้แซ่บคูณสองทางร้านแนะนำให้ปรุงโดยให้ใส่น้ำตาล 1 ช้อน น้ำส้ม 1 ช้อน และพริก 1 ช้อน จากนั้นก็คลุกเคล้าตักชิมก็จะฟินจนต้องยกนิ้วให้ในความอร่อยโดนใจ
กินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่ แต่ของหวานในวันนี้เราขอหันหลังให้ขนมฝั่งตะวันตก หันมาซบขนมโบราณที่แบบหาทานได้ยากมากใน พ.ศ. นี้ ซึ่งขนมที่ว่าก็คือ การอจี้ เป็นร้านที่ขายบนรถเข็นโบราณ ซึ่ง การอจี้ กะลอจี๊ หรือ กะลอจี๋ เป็นขนมที่ใช้ในพิธีไหว้ในเทศกาลต่าง ๆ ของชาวจีนร่วมกับขนมเข่งและขนมเทียน กะลอจี๊ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวกวนกับน้ำจนข้น เติมน้ำร้อน แล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำไปทอดน้ำมันให้เหลืองกรอบ เมื่อจะรับประทานจึงตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ คลุกด้วยงาและน้ำตาล สนนราคากระทงละ 20 บาท แป้งมัน ๆ เหนียวหนึบ ถั่ว และงาคั่ว ลงตัวกับน้ำตาลทรายที่โรยมา ทำให้ได้รสชาติที่หวาน หอม โดนใจเราไปไม่น้อยเลยแก
ทานร้อนแล้วก็มาหาอะไรเย็น ๆ ดับร้อนกันหน่อย ไอติมโอ่ง ร้านฮิตในหมู่เด็กวัยรุ่น เพราะราคาไม่แพงและมีหลายหลากเมนูให้เลือก วัยรุ่นอย่างเราจึงขอลองสักหน่อย เราเลือกแบบวัยรุ่นสุดคือแบบดั้งเดิมทรงเครื่อง (วัยรุ่นต้องอยากลองของโบราณ) เป็นไอศกรีมกะทิโรยหน้าด้วยโอวันติน และเครื่องเช่นถัวเขียว ถั่วเหลืองฯ รสชาติถือว่าได้มาตรฐานไอติมกะทิ อร่อย หวานเย็นชื่นใจ แต่ที่พิเศษคือเสริฟมาในโอ่งด้วยราคาเพียง 20 บาทเท่านั้นเอง ร้านอยู่ ถ.นางงามตรงข้ามก๋วยเตี๋ยวในรู เปิด 11 โมงถึงหนึ่งทุ่มนาจา
เมื่อมีของหวานเข้าร่างกายอะดีนะรีนก็เริ่มพวยพุ่งก็ถึงเวลาที่เราจะพาทุกคนมุ่งไปเก็บภาพคูลคูลกับ Street Art ย่านเมืองเก่าอำเภอสงขลา ที่ที่จะทำให้สายถ่ายรูปแบบเราได้เพลิดเพลินเดินกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผ่านถนนนั้นออกถนนนี้ ไล่ตั้งแต่ ถ.ยะลา ถ.นครนอก ถ.นครใน ถ.ยะหริ่ง ถ.นางงาม ไปจนถึง ถ.รามัญ และหลืบซอกซอยอีกยิบย่อย จากที่คิดว่าไม่เหนื่อยก็หอบอยู่เหมือนกันนะ ก็เล่นเดินข้ามไปข้ามมาขาลากไปหนึ่งขา แต่เอาจริง ๆ ก็ต้องขอบคุณเจ้ารองเท้าคู่ใจที่คอยซัพพอร์ตทุกย่างก้าวให้เราเดินทางได้แบบไม่มีสะดุดในทริปนี้
แม้จะเดินจนขาลากไปหนึ่งขาแต่เรารับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาของสตรีทอาร์ทที่นี่เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากภาพวาดที่สะท้อนวิถีชิวิตของคนที่นี่แล้ว ข้าง ๆ กันของภาพแต่ละภาพ ถนนแต่ละสายที่เชื่อมโยงเข้าหากันยังมีภาพของชีวิตจริง ๆ ที่ดำเนินเคียงคู่กันไปจนคล้ายว่าภาพนั้นมีชีวิต และในชีวิตก็มีภาพซ้อนกันอยู่ถนนเส้นเหล่านี้จึงมีชีวิตขึ้นด้วยวิถีและมีชีวาขึ้นด้วยภาพวาด
หลังจากพลังงานเริ่มลดจากการเดินถ่ายรูปแบบเอาเป็นเอาตายสายตาเหยี่ยวของเราก็ไปสะดุดตากับอีกหนี่งร้านแสนเก๋ อันเหมาะกับเวลาช่วงบ่าย ๆ แก่ในขณะที่เพิ่งเสียพลังงานไปแบบนี้ซะเหลือเกิน ร้านที่ว่าก็คือร้าน ขนมหวาน ๒๔๕๙ ร้านอาหารตรงข้ามศาลเจ้าตั้งเซ้งอ๋อง ติดถนนนางงามและถนนยะหริ่งแห่งนี้ คือการนำบ้านเรือนไทยสร้างในสมัย 2459 ตามชื่อร้านมาดัดแปลง แต่งนิด เสริมหน่อย จนออกมาอร่อย กลมกล่อม น่าลิ้มลอง นอกจากขนมหวานแล้ว ทางร้านอาหารเค้าขายอาหารพื้นเมือง และขนมจีนด้วย เรียกว่ามาที่เดียวมีครบทั้งของคาวทั้งหวาน แถมเมื่อลองแล้วก็ต้องขอยกนิ้วโป้งการันตีความยอดเยี่ยมด้วยเลยล่ะ
แม้จะอิ่มจนแทบกลิ้งแทนเดิน เราก็ไม่ยอมแพ้ ต้องหาคาเฟ่ชิลต่อตามนิสัยประจำ หลังจากขับรถวนดูประมาณสองสามรอบก่อนจะเจอร้านที่ถูกใจ Samo Coffee ซึ่งร้านสโมคอฟฟี่เป็นร้านกาแฟสไตล์ลอฟท์เน้นโทนขาวดำ และความคมเข้มของไม้แซมด้วยสีเขียวสดใสของต้นไม้ใบหญ้า มีที่นั่งทั้งอินดอร์ และเอ้าท์ดอร์ให้เลือก แถมมุมถ่ายรูปก็มีอยู่หลายมุมตั้งแต่หน้าทางเข้ายันพื้นหน้าร้านเลยทีเดียว เรียกว่ากดกันชัตเตอร์แทบค้าง เพราะร้านตกแต่งได้เข้ากับชุดเท่ห์ ๆ และรองเท้าสุดชิคสุดคูลดูดีอย่าง PONY ของเราสุด ๆ ร้านอยู่ไม่ไกลจาก ม.สงขลานครินทร์ ทำให้ที่นี่ป๊อบในหมู่นักศึกษาพอสมควร จะเลือกมานั่งอ่านหนังสือจิบกาแฟ หรือนั่งจิบกาแฟชมนักศึกษาก็ไม่ผิดกติกา ร้านเปิดตั้งแต่ 11 โมงถึงห้าทุ่มเด้อ
เราสั่งบลูเบอร์รี่ชีสเค้กเนื้อเนียนหนึ่งชิ้นและกาแฟขม ๆ หอม ๆ มาอีกหนึ่งแก้ว พลางเลือกรูปที่จะลงหลังกดไปแสนแปดภาพ ความหวานและหอมก็ทำให้เราเคลิ้มจนลืมเวลาไปเลยล่ะ
บ่ายแก่ ๆ คล้อยผ่านไป ยามเย็นได้ก้าวเข้ามาแทนที่ แสงสีทองลอดผ่านช่องตึก ลมอ่อน ๆ โชยเบา ๆ ผู้คนต่างเริ่มออกมาจับจ่ายซื้อของกันที่ตลาดสำหรับมื้อเย็นในวันนี้ เด็ก ๆ ออกมาวิ่งเล่นหลังโรงเรียนเลิก แม้ว่าจะเริ่มมีเสียงดังจอแจ แต่นี่ก็เป็นความคึกคักแบบที่หาไม่ได้ใน กทม. แม่ค้าพ่อขายกล่าวทักทายพลางเชิญชวนเหล่าชาวบ้านที่หิ้วตระกร้ากันมาในวันนี้ ทั้งผักสด ของสดถูกนำเสนอกันแบบเรียงหน้ากระดาน อันไหนหายากหน่อยก็ถูกเรียงแยกไว้เป็นตัวท้อปของแผง ส่วนตัวเราขอใช้กลิ่นนำทางไปสู่ไก่ทอดหาดใหญ่ ที่มีขายอยู่ทั่วทุกที่ และเมื่อมาเยือนถึงถิ่นทั้งทีหากไม่ได้มาดูว่าออริจินัลเป็นอย่างไรก็คงพลาดอยู่ไม่น้อย ไก่ทอดหาดใหญ่มีลักษณะเด่นที่ไก่หนังกรอบแต่เนื้อในนุ่มหวานฉ่ำ โรยกระเทียมเจียว เคี้ยวคู่กับข้าวเหนียวเป็นอะไรที่เข้ากันยิ่งกว่าส้อมที่คู่กับช้อนเสียอีก อยากจะกราบไม่แบมือให้คนคิดค้นไก่ทอดหาดใหญ่เสียจริง ๆ
4 วัน 3 คืนแบบหลากหลายอารมณ์ของเรา ทั้งขึ้นป่า เดินเขา วิ่งบนยอดดอย ก่อนกลับมาเดินทอดน่องจนทั่วสตรีทอาร์ต กว่าแสนก้าวที่เราเดินทางในทริปนี้ทำให้เราเชื่อว่าทุกเส้นทางที่ก้าวไปมีเรื่องราวมากมายให้เราได้เรียนรู้และลิ้มลอง ดังนั้นถ้ายังมีโอกาสนั้นอยู่จงลองและไขว่ขว้าไปตามหัวใจที่ยังเต้นอยู่ เพราะทุกเส้นทางที่เราก้าวเดินไปเหมือนเป็นการต่อเติมไฟให้ชีวิตนี้ ก่อนจบทริปเราหันไปบีบมือเพื่อร่วมทางของเราเบา ๆ และส่งยิ้มหวาน ๆเ ป็นการขอบคุณที่ช่วยให้ทริปนี้สนุกเป็นสองเท่า ก่อนจะก้มลงปัดฝุ่นที่รองเท้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอบคุณรองเท้าคู่ใจของเราอย่างเจ้า PONY ที่ทำให้ทริปนี้ผ่านพ้นมาได้อย่างราบรื่นและโคตะระจะเท่ห์เลยแกร๊