รีวิวออสเตรเลีย :: The Ultimate 5 Days Summer in Sydney Itinerary 🇦🇺

แพลนเที่ยว Sydney ฉบับชิคเก๋ เท่ ๆ ชิล ๆ ใน 5 วัน

ท้องฟ้า ทะเล แสงแดด และกาแฟ สมัยเรียนจำได้ว่าคำเหล่านี้เป็นคำนาม แต่พอโตขึ้นมากลับรู้สึกว่าคำพวกนี้มันควรถูกจัดอยู่ในหมวดคำวิเศษมากกว่า ก็ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่นึกถึงคำนามเหล่านี้ทีไร เปอร์เซ็นต์ความสุขในหัวใจก็ลอยฟุ้งพุ่งทะยานเสมอ กางแผนทริปเที่ยวคราวนี้เราเลยเสาะหาสถานที่รับจบ จุดนับพบของคำวิเศษที่จะมาเสกความสุขในทุกกลางวัน ทุกยามเย็น และทุกค่ำคืน สถานที่ที่ท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆ ท้องทะเลกว้างใหญ่ที่ชวนให้ตกหลุมรัก แสงแดดอุ่นร้อนที่สะท้อนประกายความสดใส และกลิ่นหอมของกาแฟอันชุบชูจิตใจ “ซิดนีย์, ออสเตรเลีย” ชื่อแรกและชื่อเดียวที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด คอมบิเนชั่นคำวิเศษแห่งความสุขจะปลุกค่าพลังในหัวใจได้มากขนาดไหน กดไลค์ กดแชร์ กดเซฟ แล้วออกบินไปฟินด้วยกันได้เลย

กรุงเทพ-ซิดนีย์ กับเวลาบิน 9 ชั่วโมงกว่า ๆ ที่ต้องข้ามประเทศ ข้ามทวีป จากกลางเมืองกรุงฯ สู่แดนจิงโจ้ หนทางเดียวที่จะทำให้การเดินทางไปเสพสุขไม่ทุกข์ตั้งแต่เริ่มคือ การเลือกสายการบิน นาทีนี้การบินไทยเค้าได้จัดเที่ยวบินตรง กรุงเทพ-ซิดนีย์ ด้วยเครื่อง Airbus A350-900 มาเป็นช้อยเก๋กู๊ดให้เลือกถึง 2 เที่ยวต่อวัน คือ

ขาไป Suvarnabhumi Airport (BKK) – Kingsford Smith (SYD)
TG475 : 08:30 – 21:30 และ TG471 : 22:00 – 11:20 (+1)

ขากลับ Kingsford Smith (SYD) – Suvarnabhumi Airport (BKK)
TG476 : 11:00 – 16:20 และ TG472 : 15:50 – 21:10

ส่วนเราที่วางแพลนถึงแบบลากกระเป๋าเก็บปั๊บ เริ่มออกเที่ยวได้ปุ๊บ เลยเลือกบินจากไทยเวลา 22:20 น. เพื่อจะได้แลนด์ 11:20 น. เวลากำลังสวย ออ ใครที่เลือกบินชั้นธุรกิจ หรือเป็นสมาชิกบัตรทอง ก็อย่าลืมแวะเลาจ์การบินไทยเพื่อใช้สิทธิก่อนออกเดินทางกันด้วยนะ

เปิดทริปมาก็ปังได้แบบไม่ต้องพึ่งดวง เพราะเลือกบิน Business Class ซึ่งที่นั่งจัดเป็นแบบ 1-2-1 เราเลือกนั่งชิดติดริมหน้าต่างสุดไพรทเวทไว้มองฟ้า มองฝนแบบคนจะออกไปล่าฝัน นั่งแบบเพลิน ๆ พี่ ๆ แอร์ก็นำอาหารมาเสิร์ฟ 2 มื้อคือมื้อเย็นหลังบินมาได้สักพัก กับมื้อเช้าก่อนแลนด์ โดยผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจ และสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส บัตรแพลทินัมและบัตรทองที่เดินทางในชั้นประหยัดสามารถเลือกอาหารบนเครื่องบินล่วงหน้าได้ด้วย เรียกว่าตามใจผู้โดยสารแบบสุด ระหว่างเดินทางก็สามารถออเดอร์ขนมและเครื่องดื่มได้ฉ่ำตลอดเที่ยวบิน เอนเตอร์เทนเม้น หนัง เพลงก็เยอะจุก เรียกว่าถ้าไม่อยากนอนยาวแบบสบาย ๆ ก็มีอะไรให้ทำตลอดเวลาแน่นอน

Day 1

* Circular Quay
* Sydney Opera House
* Harbour Bridge
* Observatory Hill


Day 2

* THEECA
* St. Mary’s Cathedral
* Hyde Park
* Art Gallery of New South Wales
* State Library of New South Wales
* Royal Botanic Garden     
* Mrs Macquarie’s Chai


Day 3

* Sydney Fish Market
* Manly ( Skittle Lane Manly, Manly Markets 2095 , Manly beach )
* Taronga Zoo Sydney
* Museum of Contemporary Art
* Luna Park

Day 4

* Celsius Coffee & Dining
* Cremorne Point Wharf
* Bondi Beach
* Watsons Bay / Camp Cove Jetty / Lightkeeper’s Cottages 1858



Day 5

* bills
* Dad and the Frog Café
* Artificer Coffee
* Bourke Street Bakery Surry Hills
* Skittle Lane
* Sydney Town Hall
* Queen Victoria Building

Day 1

01 Circular Quay

เช็คอิน เก็บกระเป๋า เราก็รีบสาวเท้าออกจากห้องอย่างว่องไว จุดเริ่มต้นของการเดินทางในทริปนี้เราปักหมุดไว้ที่ Circular Quay จุดเชื่อมต่อการเดินทางหลักของเมืองซิดนีย์ ที่เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1837 ศูนย์รวมการเดินทางทั้งรถบัส รถไฟ และเฟอร์รี่ ที่จะพาเราออกเดินทางไปยังหมุดหมายต่อไปได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะเป็น Museum of Contemporary Art, Customs House – Heritage Listed, built 1844-1845, City of Sydney Library (in Customs House) ฯลฯ เรียกได้ว่าอยากจะไปที่ไหนก็สามารถมาเริ่มต้นที่นี่ได้ นอกจากความสะดวกของการเดินทางแล้วที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ของชาวออสซี่อีกด้วย เพราะมันคือจุด First Fleet หรือก็คือจุดที่บริติสได้เริ่มสร้างอาณานิคมในดินแดนของชาวอะบอริจิ้นนั่นเอง

02 Sydney Opera House

ยืนชื่นชมการคมนาคมของประเทศโลกที่หนึ่งได้สักพัก ก็เหมือนจะได้ยินเสียงเรียกจากหมุดหมายที่สองของเรา เดินชิล ๆ จากท่าเรือเซอร์คูลาร์มาทางขวาประมาณ 5 นาที ภาพที่เคยเห็นจากบนโปสการ์ด หลังคาสีครีมที่คล้ายทรงเปลือกหอย หรือจะก้อนเมฆ หรือผลวอลนัท หรือการผสมผสานของกลิ่นอายต่าง ๆ สถาปัตยกรรมชิ้นเอกแห่งศตวรรษที่ 20 มรดกโลกที่ชาวออสซี่บรรจงสร้างกว่า 14 ปี ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าเราอย่างงดงาม และนี่ก็คือ Sydney Opera House

ซิดนีย์โอเปร่าเฮาส์ ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวซิดนีย์ ภายในมีโรงโอเปร่า, โรงละคร, โรงภาพยนตร์, โรงแสดงคอนเสิร์ต และไปป์ออร์แกนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้านนอกสามารถเดินเล่นเยี่ยมชมได้ 24 ชม. แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนด้านในโรงละครจะเปิดทำการทุกวันยกเว้นวันคริสต์มาสและวันศุกร์ก่อนวันขอบคุณพระเจ้าตั้งแต่ 09.00 น.-17.00 น. โดยสามารถซื้อทัวร์ได้ที่ The Sydney Opera House Tour ส่วนตัวเราแค่ได้เดินชมรอบ ๆ ในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจแบบนี้ ก็รู้สึกเต็มอิ่มฟูลฟิลแบบสุด ๆ แล้ว ยิ่งจังหวะที่เดินอ้อมไปด้านหลังแล้วเจอน้อง Benny แมวน้ำประจำถิ่นตัวอวบอ้วนมานอนโชว์ความชิลสไตล์ออสซี่ให้เราได้ชื่นชมยิ่งฟินแบบขั้นสุดไปเลย สมกับเป็นเมืองที่ได้รับความชื่นชมในเรื่องความหลากหลาย เพราะนอกจากคนจากหลายประเทศจะอยู่ร่วมกันได้ที่นี่แล้ว สัตว์ต่าง ๆ ก็ยังเพลิดเพลินไปกับวิถีชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

03 Harbour Bridge

จุดต่อมาก็ห้ามพลาดไม่แพ้กันกับ Harbour Bridge เพราะนี่คือหนึ่งในแลนด์มาร์กที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของออสเตรเลีย สะพานเหล็กรูปโค้งความยาว 1,149 เมตร ที่ใช้เวลาสร้างเกือบ 10 ปี และใช้แรงงานถึง 1,400 คนนี้ พาดตัวผ่านอ่าวซิดนีย์ ใช้ตัวเองเป็นจุดเชื่อมระหว่างย่านธุรกิจ(CBD) และชายฝั่งทางเหนือของเมือง ยิ่งใหญ่อลังการจนติดอันดับหนึ่งในสะพานโค้งเหล็กที่ยาวที่สุดในโลก แถมยังมีชื่อเล่นน่ารัก ๆ ว่า “The Coathanger” หรือ “ไม้แขวนเสื้อ” เพราะรูปร่างของมัน ที่นี่มองข้างล่างก็ได้เห็นความอลังการของสะพาน ส่วนหากขึ้นไปเดินด้านบนก็จะเห็นความอลังการแบบพาโนราม่าของเมืองได้แบบเต็มสองตา ถ่ายภาพลงมาก็จะได้มุมปัง ๆ แบบใช้โดรนบินแต่จริง ๆ แค่ใช้แรงงานคนเดินขึ้นล้วน ๆ เท่านั้นเอง

04 Observatory Hill

ไวป์ดีแบบต้องบอกต่อ เพราะนี่คือจุดชมวิวแห่งชาติที่เราไม่อยากให้แกพลาดเป็นที่สุด ที่นี่คือเนินเขาสูงที่ตั้งอยู่ในใจกลางซิดนีย์ ที่ตั้งของ Sydney Observatory หอดูดาวเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1858 อดีตหอดูดาว สถานที่ศึกษาสภาพอากาศ และบอกเวลา แต่ในปัจจุบันมัน คือจุดที่ผสมผสานทั้งประวัติศาสตร์และวิวทิวทัศน์ได้อย่างลงตัว แถมใครที่หลงใหลเรื่องดาราศาสตร์ก็ยังสามารถมาชมดวงดาวผ่านกล้องโทรทรรศน์โบราณได้อีกด้วย

ความสวยงามของที่นี่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับพระอาทิตย์ที่เคลื่อนตํ่าลงเรื่อย ๆ แสงสีส้มฉาบทั่วทั้งเมือง และผู้คนอย่างอ่อนโยน แสงแดดอ่อน ๆ สะท้อนผิวน้ำและสะพานเหล็กยักษ์ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ไฟจากตึกสูงค่อย ๆ เปิดขึ้น นี่คือช่วงเวลาที่เนินเขาแห่งนี้จะเปลี่ยนเป็นที่ที่แกไม่อยากจากไป มันคือฉากที่บอกได้เพียงคำเดียวว่า “โคตรฟิน” ภาพวาดขนาดใหญ่ที่ธรรมชาติและมนุษย์จับมือกันรังสรรค์มาขนาดนี้ จะให้มาสักอีก 4 5 6 7 ครั้งก็ยังไหว

หลังโบกมือลาอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราก็มาใช้เวลาช่วงคํ่าวันแรกแบบชิล ๆ เพื่อดื่มด่ำไวป์ดี ๆ ที่ Circular Quay ซึ่งตอนนี้ทั้งเมืองที่ถูกความมืดหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าปกคลุม แต่เหมือนความครึกครื้นจะไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย แสงไฟจากแลนด์มาร์กต่าง ๆ ที่มองจากตรงนี้ไม่ว่าจะเป็น Harbour Bridge, Opera House ตึกรามบ้านช่อง ร้านอาหาร และผู้คนควักไขว่ ต่างพร้อมใจเพิ่มเสน่ห์ให้เมืองนี้จนเราเคลิบเคลิ้ม และรู้สึกตัวแล้วว่าเราตกหลุมรักซิดนีย์เข้าอย่างจัง

Day 2

05 THEECA

café by day & vinyl bar by night, at the heart of Darlinghurst. แค่คำโปรยที่จั่วหัวอยู่บนเวบไซต์ของร้านก็ดูมีเสนห์และลูกเล่นแบบชาวออสซี่จนทำให้เราต้องกดเซฟ และลากเข้าไว้ในแพลนมื้อเช้าแบบงง ๆ THEECA เป็นร้านที่มีคอนเซ็ปต์เก๋ ๆ เพราะช่วงกลางวันเป็นคาเฟ่ที่เสิร์ฟอาหารเช้าและกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนจะกลายเป็นบาร์สุดชิคพร้อมเสียงเพลงจากแผ่นไวนิล ร้านตั้งอยู่ในย่าน Darlinghurst ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเมือง ภายใต้ตึกสีครีมทรงรีที่ยาวขนานไปกับถนน จุดพักที่แกควรจะมาแวะอย่างยิ่ง

เมนูของที่นี่จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เมื่อหาที่นั่งได้แบบเหมาะเจาะ เราเลือกสั่งเป็น AVOCADO TOAST ที่มีส่วนประกอบของขนมปัง sourdough, lemon, avocado บวกไข่ต้มเพิ่มอีกฟอง แล้วสั่ง Cappuccino ที่ท้อปด้วยลายอาร์ตสวย ๆ มานั่งดื่มนั่งทานพร้อมกับมองผู้คนที่เริ่มทยอยเดินทางไปทำงาน ไปโรงเรียน แอบสังเกตกาแฟที่เค้าดื่ม อาหารที่เค้าสั่ง แอบฟังสำเนียงแปร่งหู กับคำทักทาย Good day mate ที่ขึ้นจมูกนิด ๆ เซกซี่แบบหน่อย ๆ ของชาวออสซี่ ตอนนี้คือ หลง หลงแบบหาทางออกไม่เจอแล้วกับเมือง ๆ นี้

06 St. Mary’s Cathedral

St. Mary’s Cathedral คือหนึ่งในมหาวิหารสไตล์โกธิคสีส้มอิฐที่โดดเด่นที่สุดของออสเตรเลีย เพราะนี่คือโบสถ์คาทอลิกแห่งแรกในออสเตรเลีย สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1821 แต่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในปี 1865 แม้มหาวิหารแห่งนี้จะไม่ได้มีรูปแบบแบบดั้งเดิมหลังจากนั้น แต่ความสวยงามของหอระฆังคู่สูงสง่า กระจกสีและโมเสกที่บอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ ก็ยังทำให้ที่นี่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างคุณค่าทางจิตใจและความทันสมัยของเมืองได้อย่างดี

เมื่อเข้าสู่ภายในมหาวิหารก็สัมผัสได้ถึงความสงบและร่มเย็น แสงแดดที่สาดส่องผ่านกระจกสีเล็ก ๆ เล่าเรื่องราวที่คนต่างศาสนาอย่างเราเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แสงสีส้มที่เรืองรองจากตะเกียงและเทียนไขรอบ ๆ ตัวโบสถ์ ต่อให้ภายนอกร้องแรงกว่านี้ วุ่นวายกว่านี้ แต่ภายในวิหารของพระเจ้าก็ปลอบประโลมและนำพาความสงบอย่างแปลกประหลาดมาสู่จิตใจได้อย่างมากมาย นอกจากบรรยากาศชวนให้สงบจิตสงบใจแล้ว ศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประดิดประดอยก็ทำให้เรารู้จากเบื้องลึกว่านี่คือการเถิดทูนต่อพระเจ้าที่คนสร้างรักอย่างที่สุด ไม่ว่าจะมุมโค้งของหลังคา เสา จั่ว รูปปั้น และโถงทางเดินใต้ดินก็ล้วนละเมียดละไม

07 Hyde Park

ออกจากมหาวิหารแค่ข้ามฝั่งมาเราก็จะเจอกับ อัญมณีสีเขียวใจกลางเมืองซิดนีย์ สวนไฮด์พาร์ค (Hyde Park) สวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย กินพื้นที่กลางเมืองกว่า 40 เอเคอร์ ซึ่งนี่คืออีกจุดที่เราอิจฉาชาวเมืองมาก เพราะต่อให้อยู่กลางเมืองขนาดไหน เดินไปเดินมา แป๊บ ๆ ก็เจอสวนสาธารณะอยู่ตลอด จะเล็ก จะใหญ่ คือกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัวมีอยู่จริง ๆ ที่นี่นะแก

นอกจากความร่มรื่นชวนให้หาผ้ามาปูนั่งปิกนิกทานชายามบ่าย อ่านหนังสือ อาบแดดเพลิน ๆ แล้ว ที่นี่ยังมีแลนด์มาร์กในแลนด์มาร์กที่ห้ามพลาดอยู่ด้วย ได้แก่ Archibald Fountain อนุสรณ์ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1, ANZAC Memorial อนุสรณ์สถานเพื่อสดุดีทหารออสเตรเลียที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามอื่น ๆ, Sandringham Gardens สวนที่ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าจอร์จที่ 5 และพระราชินีแมรี และ Avenue of Figs เส้นทางที่ต้นฟิกแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา และอวดความสวยแบบสวนสไตล์ฝรั่งไปพร้อม ๆ กัน

08 Art Gallery of New South Wales

ถ้าจะบอกว่าซีดนีย์เมืองแห่งการเสพสุขที่แท้ทรูก็คงไม่ผิดอะไร เพราะไวป์ต่าง ๆ ของเมืองมันช่างดีซะเหลือเกิน ก็เนี่ยเดินเพลิน ๆ จากปาร์คเผลอแป๊บเดียวเราก็มาอยู่ด้านหน้า Art Gallery of New South Wales ที่ใครเป็นสายมิวเซียมเลิฟเวอร์ล่ะก็เราขอให้ใส่ดอกจันทร์โลเคชั่นนี้ไว้สักสิบดอก เพราะเค้าทำถึงแบบเกินเรื่องมาก คือเกินเรื่องตั้งแต่การก่อตั้งเลยทีเดียว ที่นี่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1871 โดยกลุ่มคนที่รักงานศิลปะ 30 คนที่มารวมตัวกันสนับสนุน ให้ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะบนพื้นที่โล่ง ๆ ไม่มีแม้แต่ตึก ไม่มีแม้แต่ของสะสมแม้เพียงชิ้นเดียว

ก่อนจะพัฒนาจนล่วงเลยมากว่า 150 ปี ในวันนั้นจนถึงวันนี้ คือยิ่งใหญ่ อลังการ ผลงานแน่น และขยายตัวมากขึ้นอีกในปี 2022 โดยมีการสร้างคอมเพล็กซ์ใหม่ภายใต้ชื่อ Sydney Modern project ที่เค้าได้ผสานอาร์ตแกลลอรี่ทั้งสองตึกด้วยสวนแห่งศิลปะ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเขตวัฒนธรรมที่สวยงามที่สุดในโลก ที่สำคัญคือเข้าฟรีไปอีก เราเลยยิ่งรู้สึกได้ชัดเลยว่าเมืองนี่เค้าส่งเสริมความสุขให้กับผู้คนอย่างแท้จริง

ภายในอาร์ตแกลลอรี่แห่งนี้เค้าได้แบ่งโซนการแสดงผลงานออกเป็นหลายโซนมาก ๆ มีทั้งโซนผลงานถาวร นิทรรศการหมุนเวียน มีทั้งงานปั้น ภาพเขียน โรงภาพยนต์ศิลปะ ฯลฯ สำหรับคนที่รักศิลปะสามารถใช้เวลาได้แบบทั้งวันโดยไม่เบื่อแน่ ๆ ขนาดเราที่อินแบบกลาง ๆ ยังเดินไปร้องอื้อหือในใจแทบตลอดทาง เพราะนอกจากความสวยงามของผลงานแต่ละชิ้นแล้ว การจัดวางผลงานต่าง ๆ ก็ยังช่วยขับเน้นให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นด้วย

09 State Library of New South Wales

เติมอาหารสมองกันต่อกับ State Library of New South Wales ห้องสมุดที่เปิดดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในออสเตรเลีย ภายใต้สโลแกนที่ทำให้เราอบอุ่นหัวใจอย่าง พื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ คอลเลกชันที่หลากหลาย แกลอรี่ การเรียนรู้ และวัฒนธรรม ที่พร้อมเปิดให้บริการแก่ทุกคน โดยเริ่มเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในปี 1862 ถึงแม้ว่าเริ่มแรกจะเปิดให้บริการโดยเอกชน แต่ภายหลังรัฐบาลก็ได้เล็งเห็นถึงคุณค่าของห้องสมุดแห่งนี้ จึงซื้อกิจการเพื่อเปิดเป็นห้องสมุดสาธารณะตั้งแต่ปี 1869 โดยเริ่มต้นด้วยการมีหนังสือ ประมาณ 20,000 เล่มในตอนนั้น ส่วนในตอนนี้ก็คงไม่ต้องคิดแล้วว่าที่แห่งนี้จะขยายตัวเป็นแหล่งรวมความรู้ พิพิธภัณฑ์อันทรงคุณค่า และสถานที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความคิดเห็นให้กับผู้คนที่อยู่ในเมืองได้มากขนาดไหน

อันที่จริงแล้ว ถ้าจะให้บอกว่าที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่มีหนังสืออยู่ เราก็เชื่อนะ เพราะนอกจากส่วนพิพิธภัณฑ์แล้ว การก่อสร้างแผนผังอาคารล้วนถูกจัดวางให้มีความเป็นศิลปะ ทั้งจากตัวโครงสร้าง แผนผังการจัดการล้วนสวยงามลงตัว ขอยกให้ที่นี่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญที่สายถ่ายรูปไม่ควรพลาด แต่ก็ต้องไม่ลืมด้วยนะว่าน้องคือห้องสมุด เพราะฉะนั้นเราจะต้องเคารพกฎระเบียบ ไม่เสียงดังจนรบกวนคนอื่น

10 Royal Botanic Garden

ย่างเข้าบ่ายแก่ ๆ ก็ถึงเวลาที่เราจะย้ายตัวเองไปยังสวนสาธารณะอีกแห่งหนึ่ง ที่เป็นจุด must see ของเมืองซิดนีย์ Royal Botanic Garden สวนพฤกษศาสตร์ที่มีสถานะเป็นสถาบันวิจัยพันธ์พืชทางวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย มีเป้าหมายคือการรวบรวม จัดเก็บคอลเลกชันทางวัฒนธรรม และมรดกทางพืชพรรณ ทั้งภายในประเทศ ระหว่างประเทศ ที่มีมูลค่ากว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

ที่นี่นอกจากเราจะได้เห็นพันธุ์ไม้หลากหลาย สูงบ้าง เตี้ยบ้าง มีดอกสีสดบ้าง ไร้ดอกไร้ผลบ้างแล้ว เมื่อมองเลยจากแนวรั้วสีเขียวของพืชพันธุ์ไม้ที่ให้ร่มเงา ก็จะเห็นอาคารสูงตระหง่านเสียดฟ้าตั้งอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงใหลเมืองซิดนีย์แบบไม่จบไม่สิ้น การผสมผสานระหว่างความเป็นธรรมชาติและความเป็นเมืองใหญ่ได้อย่างลงตัวลงใจ ช่วงเวลายามเช้า และเวลากลางวัน เราจึงเห็นพนักงานออฟฟิศ ล้วนนำอาหารมานั่งทาน กาแฟมานั่งดื่มสบาย ๆ ใต้ร่มเงาแบบคับคั่งแทบจะทุกสวนสาธาณะ มันดี๊ดีจริง ๆ

11 Mrs Macquarie’s Chair

เดินทะลุประตูสวนเสพไวป์ช่วงซัมเมอร์มาเรื่อย ๆ เราก็จะเจอกับ จุดเช็กอินสุดปังต้องห้ามพลาด Mrs Macquarie’s Chair สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ป๊อบปูล่าสุด ๆ ณ บริเวณขอบด้านตะวันออกของ the Royal Botanic Garden โดยเฉพาะช่วงยามเย็น เอกลักษณ์ที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นก็คือหินทรายแกะสลักรูปม้านั่ง ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยการสกัดเข้าไปในหิน โดยนักโทษตั้งแต่ปี 1810 ตามคำสั่งของผู้ว่าการรัฐในขณะนั้น เพื่อให้ภรรยาของเขา เอลิซาเบธ แม็คควอรี ได้นั่งพักผ่อนเฝ้ามองเรือที่แล่นไปมาและรับลมชิล ๆ จากปากอ่าว

หากมองในมุมความสวยงามที่นี่ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่เรายกให้สวยที่สุดในซิดนีย์ได้แบบไม่ติด เพราะเราจะได้เห็นโอเปร่าเฮาส์เปร่งประกายเคียงคู่กับ Harbour Bridge อย่างลงตัว พระอาทิตย์ทอแสงสีส้มอมชมพูสะท้อนคลื่นน้ำ ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนหลุดมาจากฉากในหนังโรแมนติกดี ๆ สักเรื่อง ยิ่งช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ช่างเหมือนกับว่าโลกหยุดหมุนให้เราได้ดื่มด่ำกับความงามนั้นนานขึ้นอีกนิด ถ้าหากเวลาซื้อได้ … นี่คงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เราอยากซื้อเก็บไว้มากที่สุด

Day 3

12 Sydney Fish Market

อยู่ใกล้ท่าเรือขนาดนี้ถ้าไม่ได้ทานอาหารซีฟู้ดของเมือง ก็คงจะถือว่าผิดหลักการไปมาก เช้าวันนี้เราเลยมาเริ่มต้นวันกันที่ Sydney Fish Market หนึ่งในตลาดซีฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1945 ตั้งอยู่ที่ Pyrmont ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกลางเมืองเท่าไหร่นัก ดังนั้นถ้าจะถามถึงความคึกคักและความหลากหลายเราก็ต้องบอกว่านี่คือที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของอาหารทะเล ทั้งปลา หอย กุ้ง ปู ฯลฯ บอกเลยว่าอยากกินสิ่งใด ก็สามารถตามหาสิ่งนั้นได้ในตลาดแห่งนี้เนี่ยแหละ ส่วนความหลากหลายของร้านอาหาร ก็ต้องยกให้เป็นที่ 1 ไม่แพ้กัน มีทั้งร้านอาหารแบบบ้าน ๆ ไปจนถึงร้านอาหารแบบลักซ์ชัวรีให้เลือกทาน

เดินชมของสดแบบเพลิน ๆ ท้องก็เริ่มหิว ตาก็เริ่มพล่ามัวเห็นอะไรก็อยากจะคว้าใส่ปากไปซะหมด แต่วันนี้เราขอเลือก Peter’s Fish Market ร้านที่มีให้เลือกทั้งของดิบของสุก และเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1944 ที่สำคัญเปิดให้บริการทุกวัน ไม่มีวันหยุด ยกเว้นวันคริสต์มาสวันเดียวเท่านั้น สไตล์อาหารก็มีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น Aburi Bar, Sushi&Sashimi Bar, Oyster Bar และครัวร้อน พอได้ลองทานก็ไม่แปลกใจจริง ๆ ที่ร้านเค้าอยู่มาได้นานขนาดนี้ สด อร่อย และฉ่ำสุด ๆ ไปเลย

13 Manly Beach

และแล้วเราก็ได้เดินทางมาถึงแลนด์มาร์กของแลนมาร์กทั้งหลายแหล่ Manly Beach ชายหาดที่เรียกว่าป๊อปปูลาร์ที่สุดในเมืองซิดนีย์ เพราะที่นี่คือจุดเริ่มต้นแรกของการแข่งขันเซิร์ฟบอร์ดที่ถูกจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1964 ดังนั้นสิ่งแรกที่เราจะได้เห็นเมื่อมาถึงหาดแห่งนี้ก็คือ ผิวสีแทนของชาวออสซี่ และกลิ่นกันแดดลอยคลุกเคล้ามากับสายลม เป็นเสน่ห์ที่ชวนให้นึกถึงภาพของสายลม และผมแบบ salty hair สุด ๆ

แต่หากมองภาพกว้าง ๆ ให้เลยไปอีกสักนิด เราก็จะได้เห็นทรายหาดสีขาวที่ทอดยาวสุดลูกหูสุดลูกตา ท้องทะเลสีฟ้าครามที่เต็มไปด้วยคลื่นลูกเล็กลูกใหญ่ ตั้งยอดสีขาวนวลก่อนจะแตกฟุ้งจนฟองกระจาย ที่นี่มีกิจกรรมมากมายให้เลือกทำ ไม่ว่าจะลองเรียนเซิร์ฟบอร์ด ดำน้ำดูปะการังแบบชิล ๆ หรือจะแค่มานั่งเล่นรับลม อาบแดดชมหาดทราย และชมผู้คน ไวป์ดีแบบดี ดีแบบติดตราตรึงใจ สามารถพูดได้เลยว่านี่คือหนี่งในหาดที่ดีที่สุดที่เราเคยสัมผัสมา

อีกหนึ่งสิ่งที่อยากให้ทุกคนมาทำกันเมื่อมาถึงหาดแห่งนี้ก็คือ การมาเดินตลาดนัดที่เปิดประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 09.00 น.-17.00 ยกเว้น วันทหารผ่านศึก, คริสต์มาส, boxing day และวันปีใหม่ โดยตลาดแห่งนี้เขาจะเน้นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่ผลิตโดยศิลปินมากหน้าหลายตา ดังนั้นเราจึงเห็นงานอาร์ต งานคราฟต์ งานทำมือ และงานที่หาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วในโลกอย่างมากมาย นอกจากได้เดินดูของเพลิน ๆ แล้ว การได้เห็นชาวออสซี่เดินเล่นพูดคุย ทักทาย ก็ยิ่งทำให้เราได้สัมผัสถึงความเป็นออสซี่อย่างแท้จริง

แม้จะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา แต่แสงแดดของช่วงฤดูร้อนก็ทำให้แผ่นหลังของเราแทบจะเปียกชุ่ม ตอนนี้คงเป็นเวลาดีที่สุดที่เราจะแวะนั่งพักชิล ๆ พร้อมกับจิบกาแฟดี ๆ สักแก้ว และบนถนนที่เต็มไปด้วยความครึกครื้นของผู้คน สายตาเราก็เหลือบไปเห็นร้านกาแฟที่ดูมินิมอลเรียบง่าย โทนขาวน้ำตาล บรรดาชาวเมืองที่แต่งตัวคูล ๆ และกลิ่นหอมของกาแฟ ที่ลอยมาตามลมแบบอ่อน ๆ เสมือนเสียงกระซิบเชิญชวนให้เราเข้าไปพักผ่อน นี่คือ Skittle Lane Manly ร้านดังที่มีหลายสาขา เหมาะสำหรับสายคาเฟ่ฮอปปิ้งที่อยากหามุมถ่ายรูปสวย ๆ ไปจนถึงสายกาแฟเลิฟเวอร์ที่อยากจะดื่มด่ำกาแฟระดับพรีเมี่ยม

เคาน์เตอร์หินสีขาวกับเครื่องกาแฟที่เงาวับ … แค่เห็นก็ทำให้เราอดใจไม่ไหวที่จะลองสั่งทั้งกาแฟนมและเอสเปรสโซช็อตมาดื่มแบบควบสอง ความอุ่นร้อนกำลังดีของกาแฟ ช่างเข้ากันได้ดีกับความกรอบนุ่มของครัวซองต์ชิ้นโต อร่อยเพลินจนแทบจะลืมเวลาไปเลย นอกจากเครื่องดื่ม และเบเกอรีต่าง ๆ แล้ว สาขานี้ยังมีเสื้อผ้า ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นแนว Eco friendly ให้เราเลือกชอปปิงกันด้วย

14 Taronga Zoo Sydney

หนึ่งในมิชชั่นที่เราต้องทำให้คอมพลีทเมื่อมาถึงซิดนีย์ก็คือการได้เห็นภาพยีราฟยืนคู่กับโอเปร่าเฮ้าส์ การหลอมรวมสุดแปลกประหลาดในสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง Taronga Zoo Sydney สวนสัตว์ที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1916 กินพื้นที่ถึง 69 เอเคอร์ รวบรวมสัตว์มากกว่า 4000 ตัว กว่า 350 สปีชี่ส์ จากทั่วโลก ตั้งอยู่บริเวณซิดนีย์ฮาร์เบอร์  ทำให้เราได้เห็นสัตว์จากนานาประเทศทั่วโลกโดยฉากหลังเป็นเมืองซิดนีย์ ภายในมีทั้งร้านค้า ร้านของฝาก คาเฟ่ และศูนย์ข้อมูลที่จะให้ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์นานาชนิด

ที่นี่เค้าแบ่งสัตว์ออกเป็น 6 โซนหลัก ๆ ตามภูมิภาคของพวกมัน เช่น African Savannah Wild Asia ฯลฯ แต่ที่เราชอบมากที่สุดก็คือโซน Australian Walkabout เพราะนี่คือที่แรกที่เราได้เห็นจิงโจ้และโคอาลาตัวเป็น ๆ และน้อง ๆ ทุกตัวก็ขายของเก่งมาก โชว์ความน่ารักตะมุตะมิกันแบบสุดพลัง ทั้งบิดขี้เกียจโชว์กล้อง นอนหลับด้วยท่าทีแสนสบาย แทะเล็มกินใบยูคาลิปตัสอย่างช้า ๆ หรือแค่นั่งเฉย ๆ บนกิ่งไม้ก็ชวนมอง จนเผลอกดชัตเตอร์มาแบบรัว ๆ ซะเมมเกือบเต็ม

15 Museum of Contemporary Art

นั่งเรือเฟอร์รี่กลับจากสวนสัตว์เราก็ขอหลบแดดเข้ามาชมงานอาร์ตต่อที่ Museum of Contemporary Art ที่ตั้งอยู่แถว Circular Quay ในย่าน The Rocks หนึ่งในสถานที่สำคัญด้านศิลปะของออสเตรเลียที่โดดเด่นทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและการจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย มันถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1991 โดยมีเป้าหมายเพื่อเน้นการจัดแสดงศิลปะร่วมสมัยจากศิลปินทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการส่งเสริมศิลปะพื้นเมืองของชาวอะบอริจิน ภายในมีทั้งนิทรรศการถาวรที่จัดแสดงงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, วิดีโออาร์ต รวมไปถึงศิลปะดิจิตอล และนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งแทบจะทั้งหมดเราสามารถเข้าชมได้ฟรี ยกเว้นบางนิทรรศการเท่านั้น หากใครอยากได้ไกด์อาสาสมัคร ก็ยังมีบริการแบบไม่คิดเงินด้วย นอกจากนี้ ยังมีร้านขายของที่ระลึก และหนังสือเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัย และอาร์ตแกลลอรี่คาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าพร้อมวิวโอเปร่าเฮาส์ด้วย

ตึกสี่เหลี่ยมรูปทรงโมเดิร์น กับงานประติมากรรมสีเงินที่ตั้งอยู่ด้านหน้า แค่เห็นก็สัมผัสได้ถึงความร่วมสมัยเป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อเดินผ่านโถงทางเดินเข้าสู่ห้องจัดแสดงนิทรรศการ ได้เห็นทั้งภาพวาดที่มีสีสันแปลกใหม่กับสไตล์ที่ดูเป็นเอกลักษณ์  ผนวกกับการจัดแสงโดยใช้ทั้งแสงธรรมชาติและแสงไฟที่ทางพิพิธภัณฑ์ตั้งใจจัดวางไว้เป็นอย่างดี ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึก ราวกับกำลังเดินเข้าสู่โลกของงานศิลปะอย่างแท้จริง และราวกับได้ยกระดับของจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

16  Luna Park

แค่ก้าวเข้าสู่หัวถนนในย่าน Milsons Point เสียงกรี๊ดกร๊าดที่ปนไปด้วยความสุข ความสนุก ก็ดังแทรกมากับสายลม ยิ่งเมื่อได้เห็นหน้าคนยิ้มแย้มขนาดใหญ่กับชิงช้าสวรรค์ริมท่าเรือ ก็รู้ได้ทันทีว่าเรามาถูกที่แล้ว Luna Park สวนสนุกยอดฮิตที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1935 สถานที่ที่เราจะมาปลดปล่อยความเป็นเด็กให้สุดเสียง สุดตัว และสุดหัวใจ หรือถ้าใครไม่อยากเล่นเครื่องเล่นใด ๆ ก็สามารถเข้าชมที่นี่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนถ้าใครอยากเล่นสนุกก็สามารถเลือกซื้อบัต เฉพาะเครื่องเล่นที่อยากเล่นได้เลย

สิ่งที่ทำให้สวนสนุกแห่งนี้โดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่น ก็คือการออกแบบที่ให้บรรยากาศและความรู้สึกราวกับย้อนยุคไปในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 การใช้แสงไฟนีออนและสถาปัตยกรรมสไตล์คาร์นิวัลแบบคลาสสิก รวมถึงเครื่องเล่นที่มีตั้งแต่ชิล ๆ เอาใจสายเพลิดเพลินและสายเสพบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นม้าหมุนและชิงช้าสวรรค์ ที่ใครเห็นก็อยากจะกระโจนขึ้นไปลองนั่งในทันที หรือใครที่ชอบความเร้าใจ ก็ห้ามพลาดไปลองเล่น Wild Mouse รถไฟเหาะขนาดเล็กที่ความเสียวไม่ได้เล็กตามขนาด หรือจะเป็น Big dipper Sledgehammer, Hair Raiser และ Rotor ซึ่งแค่ฟังชื่อก็ชวนเสียวท้องน้อยจนอยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ แล้ว

ปลดปล่อยความเป็นเด็ก ไปกับเครื่องเล่นสุดเสียวจนจิตวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ช่วงเย็นย่ำแดดร่มลมตก เราจึงมาขอเดินเล่นปล่อยจอยเก็บรวบรวมเศษเสี้ยวของสติสตางค์ที่หลุดลอยไปให้กลับเข้าร่างอีกครั้งที่ย่าน โอเปร่าเฮาส์ (อีกแล้ว ชอบม๊าก) ลมเย็น ๆ พัดผ่านเส้นผม สองเท้าก้าวเดินไปแบบเรื่อยเปื่อย เสียงหัวเราะจากกลุ่มคนรอบข้าง ทำให้เส้นทางตรงหน้าสวยงามและมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก เรามาหยุดตัวเองอยู่ที่ Bennelong Lawn อีกหนึ่งพื้นที่สีเขียวที่สามารถมองเห็นทั้ง Opera House และ Harbour Bridge ในมุมที่ไม่คุ้นตา แค่ได้นั่งเฉย ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรก็ทำให้หัวใจพองโตได้ไม่ยาก

Day 4

17 Celsius Coffee & Dining

หนึ่งในช่วงเวลาที่ชอบมากสุดตลอดทั้งทริปที่อยู่ในซิดนีย์ก็คือช่วงการหาร้านทานมื้อเช้า วันนี้ล็อคมงมาที่ Celsius Coffee & Dining ร้านสไตล์ New Hampton ที่ตั้งอยู่ภายใน Kirribilli Whar ที่นี่พร้อมเสิร์ฟอาหารที่หลากหลาย และกาแฟคุณภาพดี ในราคาที่ไม่ทำให้ล้มละลาย แต่ได้บรรยากาศชวนละลายเพราะความสวยระดับถ้าเต็ม 100 อย่างน้อยต้องได้ 99 ร้านทรงสีเหลี่ยมสีเขียวมะกอก กับหน้าต่างบานใหญ่ มีบางส่วนที่ยื่นเข้าไปในท้องทะเลราวกับว่ามันคือเรือลำหนึ่งที่กำลังบรรทุกผู้โดยสาร และกาแฟคุณภาพให้เคลื่อนที่ไปพร้อมกัน แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้ากระทบกับคลื่น จนเกิดประกายระยิบระยับเหมือนกับไข่มุกเม็ดงามที่ลอยละล่องอยู่ในท้องทะเล เสียงของนกนางนวลที่โบยบินอย่างอิสระ ยิ่งเติมยามเช้าของเราราวกับภาพฝัน

ที่นี่เขาไม่ได้มีดีแค่ขายวิวหลักล้านเท่านั้น แต่ยังขายอาหารที่หลากหลายและมีคุณภาพด้วย จากที่ดูรีวิวมาอยากจะรูดนิ้วเลือกสั่งทุกอย่างมาอย่างละหนึ่ง แต่พอนึกถึงภาพชูชกก็เลยได้แต่หยุดหัวใจเอาไว้ก่อน เราเลือกเป็น MUSHROOM BENEDICT ที่ในจานจะประกอบไปด้วย Truffle butter mushroom sauté, truffle hollandaise, tempura enoki และ poached eggs on toasted brioche เรื่องรสชาติก็ต้องบอกว่าแสงพุ่งออกปากกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะกลิ่นทรัฟเฟิลที่หอมเตะจมูก บวกกับเห็ดทอดที่กรอบกำลังดี ไม่มีความอมน้ำมัน ส่วนไข่ก็ทำออกมาได้แบบเพอร์เฟค รับส่งดีงามกับขนมปังอบกรุบกรอบนุ่นนิดแน่นหน่อย ผสมกันได้ดีใน 1 คำ แล้วตามด้วยคาปูชิโน่ร้อน ๆ คือ คอมพลีทมากกกกกกกก

18 Cremorne Point Wharf

อิ่มหนำสำราญจนหน้าบานเท่ากะด้ง พิกัดต่อไปคือ Instagrammable Spots ที่ชาวเอเชี่ยนมาตามรอยกันแบบไม่หวาดไม่ไหว จุดนี้คือ Cremorne Point Wharf อีกจุดขนส่งทางเรือที่สำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณฝั่งเหนือของท่าเรือซิดนีย์ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งสะพาน Harbour Bridge Sydney, Harbour และ Sydney Opera House ส่วนจุดน่ารักที่สุดที่ไม่อยากให้พลาดก็คือ ศาลารอรถบัสสีชมพูแซลมอนที่ข้างกันคือกล่องไปรษณีย์เล็ก ๆ สีแดง มุมเก้าอี้กับวิวพาโนราม่า ซึ่งถ้าใครไม่มีเวลาก็สามารถข้ามมุมนี้ไปได้ แต่ถ้าใครพอจะมีเวลา และอยากสรรหามุมธรรมดาที่แสนพิเศษ เราก็ขอแนะนำเลยล่ะ

19 Bondi Beach

อีกหนึ่งหมุดหมายที่แทบจะเรียกได้ว่าหากไม่ได้มาที่นี่ ก็เหมือนมาไม่ถึงซิดนีย์กับ Bondi Beach ชายหาดรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวที่มีความยาวประมาณ 1 กม. และหากแปลตามภาษาท้องถิ่นแล้ว หาดนี้ก็มีความหมายว่าเสียงคลื่นที่กระทบกับโขดหิน หาดนี้ได้เปิดตัวขึ้นครั้งแรกภายใต้ทรัพย์สินส่วนบุคคล ก่อนเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยรัฐบาลในปี 1882 และนับจากวันนั้นจนวันนี้ หาดแห่งนี้ก็คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาพักผ่อน และทำกิจกรรมที่หลากหลายตลอดทั้งปี เราก็ไม่แปลกใจเลยจริง ๆ เพราะการมาถึง Bondi Beach คือการได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติที่ลงตัว และไวป์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสของซัมเมอร์ หาดทรายขาวละเอียดกับเท้าที่เปลือยเปล่า เสียงคลื่นที่กระทบโขดหิน กลิ่นสดชื่นและสายลมเย็น ๆ คือข้อความทักทายที่หาดแห่งนี้ ส่งตรงถึงทุกผู้คนที่มาเยือน

อีกหนึ่งภาพจำที่ชายหาดแห่งนี้คงหนีไม่พ้น ‘Bondi Icebergs’  สระว่ายน้ำที่เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1929 โดยกลุ่มนักว่ายน้ำที่ต้องการสร้างพื้นที่สำหรับการฝึกซ้อม พวกเขาจึงออกแบบสระที่มีความยาวถึง 50 เมตร ที่ยื่นออกไปในทะเลและหาดบอนได จนมันกลายมาเป็นไอคอนนิคสำคัญของชายหาดแห่งนี้

ส่วนใครที่เป็นสายลุยและยอดนักเดิน เราขอแนะนำ Bondi to Bronte Coastal Walk หนึ่งในเส้นทางเดินชมวิวที่เชื่อมต่อระหว่าง Bondi Beach และ Bronte Beach โดยมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ทุกก้าวที่เดินไปบนทางเดินที่ทอดยาวริมทะเล ทำให้ความเหนื่อยล้าและความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังจะหมดไฟ ค่อย ๆ จางหายไป ท้องฟ้าและฝูงนก น้ำทะเลสีฟ้าเข้มกับเกลียวคลื่น ภาพบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตามองศาของแสงแดด ต้นไม้ใบหญ้ารูปร่างแปลกตา แต่ละก้าวเดินล้วนเป็นการเพิ่มความทรงจำที่ดีเข้าสู่สมองก่อนจรดลงในหัวใจ

20 Watsons Bay

Watsons Bay หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลียแห่งนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1788 โดยตั้งชื่อตามผู้ช่วยในเรือของกองทัพเรืออังกฤษ นายโรเบิร์ต วัตสัน ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคการล่าอาณานิคมของอังกฤษในประเทศออสเตรเลีย มันเคยถูกใช้เป็นฐานที่มั่นทางการทหาร เพื่อป้องกันอ่าวซิดนีย์จากการรุกรานทางทะเล ชายหาดที่ยาวประมาณห้าร้อยเมตรของที่นี่ไม่ได้คราคร่ำไปด้วยผู้คนเหมือนชายหาดใหญ่อื่น ๆ ของเมือง แต่มันก็มีร้านอาหารทะเลสด ๆ โรงแรม และจุดชมวิวที่มีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัว ระหว่างทางบนเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือเซอร์คูลาร์มาจนถึงอ่าวแห่งนี้ ก็มีทั้งบ้านพักตากอากาศริมทะเล และธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาให้ชื่นชมตลอดทาง ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่เรายอมซื้อ

การได้ค่อย ๆ ใช้เวลาเดินสำรวจเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยกับทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตาในประเทศที่เพิ่งเคยมาในครั้งแรก ถือเป็นอีกหนึ่งมิชชั่นที่เรามักจะทำเสมอทุกการเดินทาง จากท่าเรือเราเลยเลือกเดินลัดเลาะริมทะเล ผ่านถนนหนทางของชาวท้องถิ่น เพื่อไปยัง Camp Cove ชายหาดเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและว่ายน้ำ ชายหาดนี้คือจุดที่กัปตันฟิลิปป์เคยตั้งแคมป์ครั้งแรกเมื่อเขามาถึงออสเตรเลียในปี 1788 ถือเป็นจุดที่ได้ดื่มด่ำธรรมชาติพร้อมกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน เดินเล่นเรื่อย ๆ เราก็พาตัวเองมาอยู่ที่ท่าเทียบเรือ Camp Cove Jetty  ณ ปลายสุดของชายหาด บ้านหลังเล็ก ๆ สีเหลืองกับทางเดินสั้น ๆ ที่ยื่นลงไปในทะเล ถ่ายรูปออกมาแล้วน่ารัก นุ่มฟู เข้าคู่กับท้องฟ้าและน้ำใส ๆ ของท้องทะเลเป็นที่สุด

แสงสีทองของพระอาทิตย์เริ่มส่องประกายสว่างไสว เป็นสัญญาณให้เราได้รู้กันว่าเวลาของวันนี้กำลังใกล้จะหมดลง แต่ความสุขไม่ใช่ว่ากำลังจะหมดไป เรายังคงเดินหน้าไปต่อบนเส้นทาง South Head Heritage trail ที่จะพาไปสู่ Hornby Lighthouse ประภาคารเก่าแก่สีขาวสลับแดง อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของอ่าวแห่งนี้ มันถูกสร้างขึ้นในปี 1858 เพื่อลดอุบัติเหตุจากการเดินเรือ ท้องฟ้าวันนี้ถูกทาด้วยสีส้มอ่อน กิ่งไม้ใบหญ้าสลับกันพลิ้วไหวไปตามสายลม หลังจากนั่งสูดกลิ่นอายทะเลได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็จมลงท้องทะเลอย่างรวดเร็ว 1 วันแห่งการผจญภัยก็จบลง เราหลับตาลงเบาๆ สูดลมหายใจลึก ๆ นี่คืออีกวันที่วิเศษจริง ๆ

Day 5

21 bills

เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊บเดียว!!!! วันสุดท้ายของทริปก็มาถึง แพลนวันนี้เลยขอเป็นอะไรชิล ๆ ตามความถนัด เน้นคาเฟ่ฮอปปิง เดินดูตึกรามบ้านช่องและจิบกาแฟ โดยเร่ิมเปิดหัววันกันที่ร้านแรกสุดโด่งดัง bills ที่มีอยู่หลายสาขาแต่เช้านี้จิ้มเลือกมาที่สาขา Darlinghurst ร้านกาแฟที่ภายนอกเป็นสีขาวเทา แต่ภายในกลับตกแต่งด้วยสีสันจัดจ้าน สดใส ชวนมอง ผสมผสานของสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากัน แต่เข้ากันได้แบบลงตัวเป๊ะ ทั้งโต๊ะทรงกลมจับคู่กับเก้าอี้กทรงเหลี่ยม รูปภาพสีเขียวสะท้อนแสงที่วางคู่กับภาพวาดสีชมพูนีออน แค่เดินเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความสดชื่น ที่สำคัญยังไม่ทันจะนั่งลง บริกรสุดน่ารักก็ส่งเสียงทักทายตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าร้าน เนี่ยแหละสไตล์แบบออสซี่ที่เราชอบ

เมนูก็ละลานตามากมีทั้งอาหารเช้าคาวหวานสไตล์ออสซี่  เครื่องดื่มชา กาแฟ ไปจนถึงไวน์ รวมถึงอาหาร Vegetarian คือชวนเพื่อนที่มีความชอบหลากหลายมาจอยกันในที่เดียวได้เลย ส่วนตัวเราก็ขอเลือกตามเมนูที่มีคนรีวิวเยอะที่สุดนั่นก็คือ Ricotta Hotcakes with Honeycomb Butter รูปร่างหน้าตาต้องถือว่าธรรมดาทั่วไปไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก แต่หลังจากเห็นได้เพียง 2 3 วิ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเนยที่กำลังละลายลงบนแป้งนุ่มฟูร้อน ๆ และกลิ่นหวานนิด ๆ ของไซรัป ก็ลอยเข้าจมูก ทำเอาน้ำลายสอตั้งแต่ยังไม่ได้ทาน กลิ่นดีขนาดนี้เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง เรารู้แล้วละว่าทำไม … เมนูนี้ถึงมีคนรีวิวเยอะมากที่สุด แพนเค้กผิวกรอบนอก นุ่มใน อบอวลด้วยกลิ่นหวานของไซรัป ตัดกับความเค็มอ่อน ๆ ของเนยที่ชุ่มฉ่ำ ตัดรสกันสักนิดด้วยรสชาติของอเมริกาโน่ขม ๆ กระตุ้นให้สมองเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว ความสุขท่วมท้น ประทับใจ จนเลิกสงสัยล่ะว่าทำไมตอนนี้ร้านนี้ถึงมีสาขานอกประเทศแล้ว

22 Dad and the Frog Café

เคลื่อนตัวช้า ๆ ต่อไปยัง Dad and the Frog Café ร้านน่ารักสุดอบอุ่น ไวป์เหมือนเรากำลังเดินทางไปเยี่ยมบ้านเพื่อน เป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเบาสบาย เสียงพูดคุยของผู้คน และเสียงเห่าเบา ๆ ของเจ้าสุนัขตัวน้อยที่ยืนอยู่กลางร้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่าร้านนี้วอร์มเวลคัมขนาดไหน ส่วนมาสคอตของที่นี่ก็เป็นเจ้ากบ ที่ดูมาดกวนและยียวนอยู่หน่อย ๆ แต่ก็ดูเคร่งขรึมอยู่น้อย ๆ แอบชวนให้เรานึกถึงคุณปู่ ผมขาว ที่มีอดีตแบบแซ่บ ๆ แต่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นบาลิสต้าสุดเก๋า คอยเล่าเรื่องราวเก่า ๆ ให้เราได้ฟังแบบมันส์ ๆ

ร้านนี้มีทั้งเมนูอาหารเช้า เมนูอาหารกลางวัน เมนูอาหารเย็น และเครื่องดื่ม ใครว่างตอนไหนก็มาได้เลยตอนนั้น ส่วนเราสะดวกตอนนี้เลยขอสั่งเป็นลาเต้นวล ๆ ที่ท้อปด้วยโฟมนมอาร์ต ๆ รูปเจ้ากบ มาทานกับทาร์ตไข่สีเหลืองอ่อน คาเฟอีนและความหวานพุ่งขึ้นตา ปะทะกับความสุขและความชิลที่พุ่งสูงจนแทบทะลุปรอท ไวป์ชาวออสซี่เค้าดีจริง ๆ แก

23 Artificer Coffee

ยังคงอยู่กันในย่านเดิม Surry Hills กับ Artificer Coffee ร้านกาแฟแบบโอเพนแอร์ ที่ดูเก๋าเกมส์ เพราะทั้งบาริสต้าที่ดูจะเชี่ยวชาญในเรื่องของกาแฟแล้ว ผู้คนที่นั่งอยู่ในร้านก็ยังดูเป็นสไตล์ชิค ๆ ราวกับเป็นจุดรวมตัวของคนรักกาแฟที่แท้ทรู ความเจ๋งคือทางร้านคั่วเมล็ดกาแฟเองด้วยเครื่องคั่ว Joper แบบดั้งเดิมที่ตั้งโชว์ให้เห็นอยู่ด้านในสุดของร้าน ทำให้อเมริกาโน่สีดำขลับในแก้วกาแฟสีเข้ม ความอุ่นร้อนจากอุณหภูมิที่พอเหมาะส่งผ่านถึงมือที่จับแก้วกาแฟ เข้าสู่ลิ้นที่ได้รับรส แผ่ซ่านส่งรสขมแต่รู้สึกหวานไปทั่วร่างกาย กาแฟดีมีคุณภาพอีกแล้วครับท่าน

24 Bourke Street Bakery Surry Hills

เดินย่อยชิล ๆ ไปสักพัก สายตาของเราก็ไปสะดุดกับตึกสีน้ำตาล ที่มีรูปวาดคนอบขนมปังขนาดใหญ่เท่าตัวตึก และกลิ่นหอมของเบเกอรี่ที่ลอยมาตามลม ต่อให้อิ่มกว่านี้ก็ไม่มีทางที่จะไม่เดินผ่าน แล้วก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ กับ Bourke Street Bakery Surry Hills ร้านที่มีประวัติยาวนานถึง 20 ปี และได้ขึ้นแท่นมาเป็น 1 ใน Most Iconic Food Destinations ของซิดนีย์ เพราะเบเกอรี่ทุกชิ้นของเขานั้นทำด้วยมือและอบสดใหม่ด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุดวันต่อวันเท่านั้น ที่สำคัญราคาดีมาก บอกเลยว่าสามผ่านจ้าา มื้อนี้เราเลือกเป็นขนมเบสิกอย่างครัวซองต์และลาเต้อุ่น ๆ อีกหนึ่งแก้ว ครัวซองต์ข้างนอกรอบโปร่งเบา ข้างในนุ่มหนึบกำลังดี กัด 1 คำอ่านหนังสือ 1 หน้า รู้ตัวอีกทีก็เหลือแต่จานเปล่า กับความหอมที่ยังอวนอยู่ในปาก

25 Skittle Lane

เคยมีคนถามเราว่า ในหนึ่งวันจะกินกาแฟได้สักกี่แก้ว สายกาแฟฮอปปิ้งอย่างเราก็ตอบได้แค่ว่า 8 นอน หรือ อินฟินิตี้นั่นเอง ก็ถ้าของมันดีเป็นของรักของชอบเราจะห้ามตัวเองไปทำไม อีกหนึ่งร้านกาแฟที่เราประทับใจตั้งแต่ไปเยือนสาขา Manly วันนี้เมื่อมีโอกาสผ่านมาที่ Skittle Lane สาขา Sydney CBD ก็ยังต้องขอแวะอีกสักหน่อย เพราะไวป์ของที่นี่จะเป็นแนวเท่ห์ปนครึม แต่ก็มีความหรูหราจากเคาน์เตอร์บาร์ลายหินอ่อนสีดำขนาดใหญ่และเครื่องชงกาแฟสีเงินเงาวับ ที่ดูก็รู้ว่าแพงหูฉีก ครั้งนี้เราจัดไปเลยเต็ม ๆ 2 แก้วคนเดียวทั้งลาเต้และเอสเปรซโซ่ดับเบิลช็อต ซึ่งรสก็ยังคงคุณภาพสูงได้มาตรฐานตามสาขาก่อนหน้าที่เคยลอง งานนี้ใครส่งเพลง Too Sweet มาให้ จะขอส่งเพลง Espresso กลับไปในทันที

26 Sydney Town Hall

ดีดกว่านี้คงมีแต่กีตาร์ เราเลยขอพักกาแฟแล้วมาเดินเล่นชมเมืองและผู้คนกันสักนิดที่ Sydney CBD ย่านใจกลางเมืองที่ครึกครื้น เพราะเป็นที่ตั้งของบรรดาห้าง ร้านอาหาร ตลอดจนแลนด์มาร์กหลัก ๆ รวมไปถึง Sydney Town Hall หรือ ศาลาว่าการนครซิดนีย์ ที่ตั้งอยู่บนถนน George Street โดยที่นี่ได้เริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ปี 1868 และเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 1889 มีการออกแบบตามสถาปัตยกรรมสไตล์ Second Empire ตัวอาคารถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายที่มาจากท้องถิ่น เราจึงเห็นว่ามันเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ แบบธรรมชาติ ภายในมีห้องประชุมขนาดใหญ่ชื่อว่า Centennial Hall ที่มีชื่อเสียงจากการมี Grand Organ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น โดยออร์แกนนี้มีท่อกว่า 9,000 ท่อ ทำให้มันยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปเช็คอินอีกแห่งหนึ่งในซิดนีย์

27 Queen Victoria Building

พิกัดสุดท้ายเราขอพาทุกคนมาจบที่ Queen Victoria Building อาคารโบราณอายุกว่าร้อยปี ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1898 ออกแบบโดย George McRae ในสไตล์ Romanesque Revival โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตลาดค้าส่งและศูนย์การค้าหลักในซิดนีย์ และถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นการระลึกถึงการครองราชย์ครบ 60 ปีของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ภายนอกของอาคารโดดเด่นด้วยโดมขนาดใหญ่ซึ่งทำด้วยทองแดงสองโดม และมีโดมเล็ก ๆ เรียงรายอยู่โดยรอบ ตัวอาคารสร้างจากหินทราย มีหน้าต่างทรงโค้งและประตูไม้ที่ออกแบบอย่างประณีต รวมถึงรูปปั้นและการแกะสลักที่สวยงาม การมาเยือนที่แห่งนี้จึงเป็นเหมือนการมาเดินเล่นและการมาชมผลงานศิลปะไปในตัว

เดินเข้ามาข้างในที่เป็นชอปปิ้งเซ็นเตอร์ 4 ชั้นลอย และ 2 ชั้นใต้ดิน เอาจริง ๆ ไม่เหมือนมาเดินห้าง แต่เหมือนมาเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ หลังคาทรงโคที่ประดับด้วยกระจกสีชิ้นเล็ก ๆ มากมาย เสาและรั้วรอบที่ถูกสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง นาฬิกาตัวเลขโรมันเรือนใหญ่ที่อยู่ใจกลาง ร้านค้า ร้านกาแฟ พื้นพรม ผู้คน และแชนเดอเรีย สมกับคำร่ำรือที่มีคนกล่าวไว้ว่า หากจะเปรียบโอเปร่าเฮ้าส์เป็นดังสาวงามประจํามหานคร ตึกควีนวิคตอเรียก็เปรียบเหมือนมงกุฎประดับอัญมณีลํ้าค่าที่โดดเด่นเป็นศรีแห่งมหานครซิดนีย์ จะมาเดินเล่น ถ่ายรูป ชอปปิง จิบกาแฟ และอีสขนม ก็รับรองว่าได้มุมถ่ายรูปที่สวย เก๋ ปิดทริปได้แบบแกรนด์ ๆ แน่นอน

และแล้วเวลาแห่งความจริงก็เดินทางมาถึง เวลาที่เราจะต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว ณ เมืองเทพสร้าง ขากลับเราเลยขอกลับแบบมีนางฟ้ามาส่ง ด้วยสายการบินเดิมที่ทำให้เราประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นจนจบทริป จะเป็นสายการบินไหนไปไม่ได้นอกจาก การบินไทย สายการบินแห่งชาติที่ตอนนี้นอกจากจะซิดนีย์แล้ว ยังมีเส้นทางบินสู่เมืองอื่น ๆ ของออสเตรเลียอย่างเมลเบิร์น เพิร์ท ใครกําลังวางแผนเดินทางเร็ว ๆ นี้สามารถเข้าไปจองตั๋วได้เลยที่ thaiairways.com หรือติดต่อสํานักงานขายการบินไทย, ตัวแทนจําหน่ายทั่วประเทศ หรือ THAI Contact Center โทร 0-2356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

ท้องฟ้า ทะเล แสงแดด และกาแฟ จะให้พูดกี่ครั้ง พบเจอกี่หน ก็รู้สึกได้ถึงความวิเศษอยู่เสมอ พลังพิเศษที่จะช่วยหลอมรวมให้ความอบอุ่นและโอบกอดจิตใจที่ห่อเหี่ยว เหนื่อยล้า ให้กลับมาขึ้นฟู นุ่มนิ่ม สดใส เหมือนใส่ผงฟูลงไปเต็ม ๆ ในหัวใจด้วยปริมาณที่พอเหมาะพอดี นับจากนี้ซิดนีย์จะไม่ใช่แค่เมือง ๆ หนึ่งบนแผนที่โลกอีกต่อไป เพราะมันได้กลายมาเป็นหนี่งในเมืองที่เรารักมากที่สุด ความอบอุ่นจากแสงแดด เสียงคลื่นทะเลที่ซัดสาด และรสชาติของกาแฟที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดนี้รวมกันกลายเป็นบางสิ่งที่มีคุณค่า และเมื่อการเดินทางครั้งนี้จบลง มันจึงไม่ใช่การจากลา แต่เป็นการเริ่มต้นความหลงที่ไม่มีวันสิ้นสุด กับเมืองที่ขโมยหัวใจของเราไปทั้งดวงตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย