รีวิวญี่ปุ่น :: Autumn Foliage in Chubu Region ( Nagano – Toyama – Gifu ) _ Explore Central Japan in 5 Days 🇯🇵

“Chubu” ชูบุหนึ่งในภูมิภาคของญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะแวะมาเที่ยวฤดูไหน ความอลังการของธรรมชาติ วิถีชีวิตโลคอลที่งดงาม และความศิวิไลซ์ของเมืองใหญ่ ก็จะสร้างความประทับใจให้เราได้เสมอ

ครั้งนี้เราขอมาแจกแพลนโร้ดทริป ขับรถเที่ยว 5 วันแบบฉ่ำใจในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี กับรูทสุดฟิน 3 จังหวัด เริ่มจากบินตรงลง Nagoya แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนเทือกเขาเจแปนแอลป์ Nagono จังหวัดที่ถูกโอบอุ้มด้วยเทือกเขาสลับทับซ้อน ใช้เวลาช้า ๆ ดื่มด่ำความสงบ ลิ้มรสของพื้นเมืองแสนอร่อย ก่อนจะวิ่งเข้าใส่ธรรมชาติสุดอลังการต่อที่จังหวัด Toyama มุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแสนหวานของภูเขาที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงเหลืองส้มประจำฤดูกาล แล้วปิดจบแบบย้อนวันวานสู่อดีต ณ เมืองเก่าแห่งจังหวัด Gifu ชมวิถีชีวิตผ่านตลาดเช้าและหมู่บ้านโบราณอย่างเพลิดเพลินใจ รับรองว่า 14 พิกัดทริปนี้จะสร้างไวป์การพักผ่อนของทุกคนให้เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำอย่างแน่อนอน

ขอต้อนรับครึ่งปีหลังด้วยข่าวดีกับการกลับมาของเที่ยวบินตรง กรุงเทพฯ – นาโกย่า จาก ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ที่มีให้เลือกถึง 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ( ทุกวันจันทร์ พุธ พฤหัสบดี และอาทิตย์ ) โดยขาไปจะเป็น XJ638 กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) 00:45 น. – นาโกย่า 08:40 น. ส่วนขากลับจะเป็น XJ639 นาโกย่า 10:30 น. – กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) 14:35 น. เรียกว่าเวลาดีงามทั้งไปและกลับ แถมเส้นทางนี้มาพร้อมเครื่องบินลำใหญ่ บินสะดวก ราคาคุ้ม ยิ่งกด Value Pack ตอนจองแล้วด้วย … ยิ่งแสนคุ้ม เพราะสามารถเลือกที่นั่งมุมโปรด อาหารอุ่นร้อนระหว่างทริป และได้น้ำหนักกระเป๋าจุก ๆ สำหรับเส้นทางนี้จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2024 เป็นต้นไป ใครเล็งบรรยกาศซัมเมอร์เขียว ๆ วางแพลนไปสัมผัสหิมะหนาว ๆ ช่วงสิ้นปี หรือจะตามรอยไปฟินช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบทริปนี้ของเรา เตรียมรอโปรงาม ๆ แล้วกดจองกันได้เลย airasia.com หรือแอป AirAsia MOVE

Day 1 : Nagano Prefecture

001 Nakamura Farm

เริ่มต้นทริปแบบฟีลกู้ดขั้นสุดที่ Nakamura Farm ด้วยการพาชมฟาร์มสไตล์ญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่นากาโน่ กับผลไม้แสนโปรดปราน องุ่นลูกโตระดับพรีเมียมที่เรามักเห็นวางขายอยู่ในตู้แช่ผลไม้ราคาแพง นอกจากกิจกรรมเด็ดองุ่นทานสด ๆ จากต้นแล้ว บรรยากาศของเขายังแสนสดชื่น และสงบไร้นักท่องเที่ยวให้เราได้พักผ่อนได้อย่างสบายอารมณ์ ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะกับการปลูกองุ่น ผลของเขาจึงมีขนาดใหญ่ ไร้เม็ด หวานละมุน บางพันธุ์มีเนื้อกรอบ บางพันธุ์มีเท็กซ์เจอร์นุ่มหนึบ มาถึงที่… เราก็กินให้นจุกอกจุกใจไปเลย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/4Q6uZWiwRtSP59Ya7?g_st=ic

โดยองุ่นที่ไร่นี้ เขาจะมีอยู่ 3 สายพันธุ์ด้วยกัน

Shine Muscat องุ่นสีเขียวที่นิยมปลูกในจังหวัด Yamanashi และ Nagano สายพันธุ์ที่ญี่ปุ่นคิดค้นและพัฒนา จนได้ผลที่มีรสชาติหวาน หอม กรอบ เป็นที่นิยมทั้งในจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย ฯลฯ แม้ตอนนี้หลายประเทศจะเริ่มปลูก แต่ถ้าเพื่อน ๆ อยากสัมผัสรสชาติที่ดีที่สุดแบบออริจินอลก็ต้องมาลิ้มลองที่ญี่ปุ่น
Nagano Purple พันธุ์ดั้งเดิมของนากาโน่ ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย มีเนื้อนุ่มฉ่ำ เปลือกบาง รสอมเปรี้ยวนิด ๆ 
Queen Nina พันธุ์นี้พิเศษหน่อยด้วยเนื้อที่แน่น รสชาติหวานมาก และมีเท็กซ์เจอร์นุ่มเหมือนเยลลี่ จึงได้ตำแหน่งราชินีองุ่นแห่งญี่ปุ่นไปแบบไร้ข้อกังขา

ราคาที่ไทยแต่ละพวงจะอยู่ที่หลายพันบาทขึ้นไป แต่กินที่นี่เริ่มต้นเพียง 2,800 เยนเท่านั้น แถมได้เด็ดกินสด ๆ จากต้น มันยิ่งฟินนะแก

002 Obuse Village

จากสวนสู่ย่านเมืองเก่า Obuse Village หมู่บ้านโอบุเซะยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ศิลปะ และวัฒนธรรมเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะเอาไว้ ภายในอาคารเก่าเหล่านี้ ก็จะเป็นทั้งโรงผลิตสาเกโบราณ ร้านค้า ร้านอาหารแบบดั้งเดิม รวมถึงมิวเซียมจัดแสดงศิลปะ ที่นี่ถือเป็นที่เที่ยวยอดนิยมของนากาโน่ เราจะเห็นเหล่าวัยรุ่นชาวยุ่นเดินแวะเวียนเข้าร้านรวงอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังไม่ป๊อปมากสำหรับคนไทย ฉะนั้นใครอยากเที่ยวก็รีบมากันนะ สำหรับการเที่ยวในย่านนี้ สามารถเดินได้ทั่ว แต่ถ้าอยากชมโซนรอบ ๆ สัมผัสธรรมชาติ ความสงบ และวิถีชีวิตเรียล ๆ แนะนำให้เช่าจักรยานปั่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเมืองนี้เลย เรามาเช่าที่ Maaru Bike Cafe ร้านที่เป็นทั้งร้านเช่าจักรยาน ที่พัก และคาเฟ่

003 Milgreen

ปั่นชมนกชมใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมอากาศที่กำลังเย็นขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงที่หมาย Milgreen ร้านขายไอศกรีมและเจลลาโต้ ท่ามกลางฟาร์มเลี้ยงวัว ให้เราเห็นกันชัด ๆ ว่าวัตถุดิบของเขามาจากนมวัว 100% แม้วัวของที่นี่จะมีจำนวนน้อย จนเรียกว่าเป็นฟาร์มที่เล็กที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แต่มันก็ทำให้เขาสามารถใส่ความรักความใส่ใจแก่พวกมันได้อย่างเต็มที่จนได้นำ้นมที่มีคุณภาพนั่นเอง แถมวัวที่นี่ก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ.. เป็นโคนมพันธุ์เจอร์ซี่ วัวที่ผลิตน้ำนมที่ดีที่สุดเพราะมีปริมาณไขมันสูง จึงทำให้ไอศกรีมของเขามีความครีมมี่ขั้นสุด โดยมีให้เราเลือกถึง 10 รสชาติ ที่ใช้เบสจากนมวัว เราเลือกสั่งรสพิสตาชิโอ และรสนมซิกเนเจอร์มีโคนกรุบกรอบปักมาด้านบน บอกเลยว่ารสชาตินุ่มละมุน หอมนมแบบเต็มสิบ

004 Kurabu (小布施 寄り付き料理 蔵部)

ปั่นชมวิวจนเพลิน รู้ตัวอีกที ท้องก็เริ่มร้องกิ่วเลยรีบเร่งฝีเท้ามาฝากท้องที่ร้าน Kurabu (小布施 寄り付き料理 蔵部) เป็นอาคารบ้านทรงญี่ปุ่นสมัยเอโดะ รายล้อมด้วยต้นไม้เมืองหนาวที่กำลังเปลี่ยนสี การตกแต่งภายในเป็นแบบ Traditional แฝงด้วยความโมเดิร์น เน้นวัสดุไม้ดูสบายตา มีกระจกบานใหญ่ให้เราเทควิวธรรมชาติด้านนอกเคล้ากับอาหารรสเลิศได้อย่างเต็มอิ่ม

สำหรับอาหารของเขาก็จะจัดเสิร์ฟอย่างพิถีพิถันสไตล์นิปปอน จากวัตถุดิบที่สดใหม่ในพื้นที่ชินชู(ชื่อเรียกเก่าของพื้นที่แถบนากาโน่) ตั้งแต่เนื้อปลา ผัก เห็ด และถั่วจากฟาร์มท้องถิ่น โดยเมนูชูโรงของเขาจะมีให้เลือก 4 เซ็ต ซึ่งเราสั่งมา 2 ชุดที่เป็นไฮไลต์ ชุดแรกคือทากิโกมิ โกฮัง หรือข้าวทรงเครื่องสไตล์ญี่ปุ่นที่ใส่โชยุ เหล้า ผักและเนื้อสัตว์คลุกเคล้าหุงจนเข้าเนื้อด้วยเตาถ่าน ทำให้มีความหอมไม่เหมือนใคร เสิร์ฟมาพร้อมกับออเดิร์ฟ 8 อย่าง ส่วนชุดที่สองคือชุดแซลมอนชินชู จัดเสิร์ฟเป็นซาชิมิ ซึ่งแซลมอนนี้เป็นพันธุ์พิเศษที่เลี้ยงในนากาโน่เท่านั้น บอกเลยว่ารสชาติอร่อยลงตัวแบบฟ้าประทาน แถมอิ่มกำลังดีด้วย

ขอมาอินดีเทลกับ Shinshu Salmon อีกสักหน่อยว่าที่มาเป็นอย่างไร.. ด้วยความที่นากาโน่มีภูมิประเทศเป็นพื้นที่เขาไม่ติดทะเล เขาจึงมีปลาแซลมอนพันธุ์พิเศษ ที่เพาะระหว่างปลาเทราต์สีรุ้งและปลาเทราต์สีน้ำตาล จุดเด่นคือไขมันน้อยและรสชาติอ่อน เลี่ยนน้อยกว่าแซลมอนทะเล ถือเป็นปลาแซลมอนจากเทือกเขาแอลป์ที่หาทานยาก ถ้าอยากทานสด ๆ ก็ต้องนากาโน่เท่านั้น

หลังจากฟาดข้าวเรียบจนเกลี้ยงจาน ก็มาเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่ากันต่อ ซึ่งตรงกลางหมู่บ้านนี้เป็นเหมือนถนนคนเดินขนาดย่อม ที่ไม่ค่อยมีรถสัญจรเท่าไหร่ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยอาคารโบราณสีเข้มแบบฉบับของนากาโน่ มีพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาล อย่างหน้านี้จะเป็นแอปเปิ้ล สินค้าจากผลไม้แปรรูป อูเมะชู สาเกต่าง ๆ ช่วงที่เรามาเป็นช่วงของเกาลัดพอดี เลยมีโอกาสลองชิมจากคุณลุงคุณป้าที่ยื่นมาให้ชิมเกือบตลอดทาง ซึ่งเกาลัดญี่ปุ่นจะลูกใหญ่ หวานและหอมหนุบหนับมาก และยังมีคาเฟ่ ของฝากกระจุกกระจิกน่ารัก ๆ เต็มไปหมด

005 Sakurai-kanseido Hokusaitei

ถ้าใครมองหาร้านขายของฝากเราแนะนำร้าน Sakurai-kanseido Hokusaitei เพราะทันทีที่เดินเข้าไป เราจะได้กลิ่นหอมของอาหารและขนมที่คละคลุ้งไปทั่ว โดยเมนูของเขาจะมีเกาลัดเป็นวัตถุดิบหลัก เมนูซิเนเจอร์คือ kuri okowa ข้าวเหนียวนึ่งเม็ดเกาลัดทานกับเครื่องเคียงเป็นชุด ๆ  และยังมีน้ำแข็งไส พาร์เฟต์ ซอฟต์เสิร์ฟ โดรายากิ เราลองสั่งซอฟต์เสิร์ฟที่ท็อปด้วยเกาลัดบดและบีบเป็นเส้น.. คือมันดีมากเลยแก มันมีกลิ่นและเท็กส์เจอร์หยาบ ๆ ของเกาลัดญี่ปุ่นกินกับไอศกรีมเนื้อนวลแล้วลงตัวสุด

Day 2 : Nagano Prefecture – Toyama Prefecture

006 Tateyama Kurobe Alpine Route

วันที่สองนี้… เราขอพาทุกคนมาปรับภาพจำกำแพงหิมะอันสูงตระหง่านช่วงใบไม้ผลิ ให้กลายเป็นทิวเขาอันงามงดที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงกับรูท Tateyama Kurobe Alpine Route โดยเส้นทางทาเตยามะ–คุโรเบะนี้ เป็นเส้นทางสุดประทับใจที่ลัดเลาะผ่านเทือกเขาทาเตยามะ เชื่อมชายขอบระหว่างจังหวัดนากาโน่ที่ สถานีโอกิซาว่า (О̄gizawa – 扇沢) และจังหวัดโทยามะที่ สถานีทาเตยามะ (Tateyama Station – 立山駅) ซึ่งหากเพื่อน ๆ ต้องการเที่ยวให้ครบรูท จะต้องใช้บริการขนส่งที่แตกต่างกันทั้งหมดถึง 6 ชนิด ไม่ว่าเป็นรถราง กระเช้า และบัส เป็นต้น รวมระยะทางกว่า 32.7 กิโลเมตร โดยตลอดเส้นทางเราจะได้พบกับความอัศจรรย์ที่บอกเลยว่าสักครั้งในชีวิตควรมาสัมผัสและเห็นด้วยตาตัวเอง แต่ด้วยเวลาจำกัดของทริปนี้… ทางเราจึงเลือกเฉพาะสปอตที่อยากไป และขึ้น-ลงฝั่ง Toyama เท่านั้น

เราเริ่มต้นที่ Tateyama Station โดยมีเป้าหมายจุดเช็คอินแรกเป็น Midagahara ทุ่งหนองน้ำธรรมชาติบนความสูง 1,930 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ปูทางเดินด้วยแผ่นไม้ตัดกลางทุ่งยาวไปไกลสุดลูกตา ให้เราได้เดินสำรวจและดื่มด่ำกับความสวยงามของพุ่มไม้เมืองหนาวรูปทรงแปลกตา แน่นอนว่าหากมาในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี นอกจากสีส้ม แดง เหลือง ของต้นไม้ใบหญ้าที่พร้อมใจกันย้อมพื้นที่แห่งนี้ให้สวยสดงดงามแล้ว เพื่อน ๆ จะได้พบกับทะเลทะเลเมฆ (unkai, 雲海 ) แต่หากมาช่วงหลังฝนตกแบบเราบอกเลยว่าความฟุ้งของทะเลหมอกจะยิ่งขับให้ที่นี่สวยราวกับเดินอยู่ในดินแดนสนธยา สำหรับที่นี่เราสามารถจัดสรรเวลาได้ตามสะดวกจะมาถ่ายรูปกรุบกริบสัก 10 20 30 นาที หรือเดินสำรวจจริงจัง 1-2 ชม. ก็ได้หมด เรียกว่าเป็นจุดการเริ่มต้นที่ดีสำหรับการดื่มด่ำอากาศบริสุทธิ์พร้อมวอร์มขาให้พร้อมลุยเจแปนแอลป์ได้ตลอดวัน

จากนั้นก็มาดื่มด่ำกับไฮไลต์สุดฟินที่ราบ Murodo บนนี้มีทางเดินเทรลง่าย ๆ สู่ Mikuriga-ike Pond บึงน้ำที่อยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine Route ณ ความสูง 2,405 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราขอเริ่มความประทับใจกับทางเดินที่เขาปูพื้นหินให้เราเดินได้สบาย ๆ สามารถจ้องมองธรรมชาติเบื้องหน้าได้แบบไม่ต้องกลัวสะดุด แล้วบนนี้ยังมีสิ่งปลูกสร้างให้เราได้ชมด้วย ทั้งกระท่อมไม้เล็ก ๆ ที่มีความสำคัญด้านศาสนาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 12 มีที่พักพร้อมบ่อออนเซ็นธรรมชาติ และเมื่อมาหยุดอยู่หน้าบึงน้ำ Mikuriga-ike ก็ต้องสตันกับความงดงามของบ่อน้ำสีฟ้านิ่งสงบที่สะท้อนเงาภูเขาแสดงถึงความใสของน้ำ โดยบึงนี้เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อ 10,000 ปีก่อน มีความลึก 15 เมตร และใหญ่ครอบคลุมระหว่างเมือง Toyama และ Nagano เลยทีเดียว

กว่าจะเดินเสร็จก็ใช้เวลาไปเยอะเกินคาด เราจึงเลือกตัดจบเส้นทางนี้ที่ Kurobedaira ในช่วงเวลาแค่ 7 นาทีบนกระเช้าเชื่อมระหว่างภูเขา 2 ลูกนี้ เราได้พบกับวิวอันงดงามจนเกือบลืมหายใจ เมื่อพืชพรรณในหุบเขาทั้งสองฝั่งพร้อมใจกันผลัดใบกลายเป็นสีส้ม เหลือง ดูสว่างไสวราวสมบัติล้ำค่า และเมื่อมาถึงจุดลงกระเช้าก็ต้องตื่นตะลึงกับภาพเทือกเขายาวขนาดอลังการที่มีหิมะปกคลุมประปรายอยู่บนยอด พอลองถ่ายรูปโดยใช้แมกไม้เป็นโฟร์กราวด์ก็ยิ่งสวยกว่าฤดูไหน ๆ และบนนี้ยังมีร้านค้าขายของที่ระลึก และคาเฟ่ขายอาหารเครื่องดื่มไว้รอบริการอีกด้วย

นอกจากนี้เขายังมีแลนด์มาร์กอีกมากมายให้เราเยี่ยมชมอย่าง น้ำตกโชเมียว (Shomyo Falls) น้ำตกที่ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในญี่ปุ่นไหลลงมาเป็นทางยาวกว่า 350 เมตร ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่หิมะเริ่มละลายจะมีน้ำตกฮันโนกิสูงกว่า 500 เมตร ไหลลงที่ด้านข้างบรรจบลงสู่แอ่งน้ำแห่งเดียวกัน และยังมีเขื่อนคุโรเบะ (Kurobe Dam) ยิ่งใหญ่ขนาดใช้เวลาสร้างนาน 7 ปี มีความสูงถึง 186 เมตร ถือเป็นเขื่อนที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นเช่นกัน ใครจะมาตามก็สามารถจัดสรรรูทเที่ยวได้ดั่งใจเลย ยิ่งถ้าขับรถเที่ยวเองก็ยิ่งไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา

Day 3 : Toyama Prefecture

007 Toyama Prefectural Museum of Art and Design

วันนี้เราขอเอาใจสายอาร์ตฉ่ำ ๆ กับมิวเซียมประจำเมืองที่ออกแบบได้โมเดิร์นเกินต้าน Toyama Prefectural Museum of Art and Design (TAD) ที่นี่เปิดมาได้ 7 ปี โครงสร้างของอาคารจึงมีความมินิมอล แต่แอบซ่อนไปด้วยดีเทลห้องสไตล์ญี่ปุ่น อาทิห้องสตูดิโอทำเป็นที่นั่งพื้น งานไม้เป็นที่งานคราฟต์ท้องถิ่น อาคารด้านหนึ่งเผยกระจกใสตลอดแนว หากมาวันอากาศแจ่มใส ฟ้าเปิด เราจะได้เห็นวิวพาโนรามาของเจแปนแอลป์เป็นแนวยาว ถือเป็นอีกจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ Toyama ด้วย โดยอาคารจะมีทั้งหมด 3 ชั้น พร้อมชั้นดาดฟ้าซึ่งทำเป็นสนามเด็กเล่น ภายในจะมีนิทรรศการหมุนเวียนและถาวร วางชิ้นงานของสะสมจากศิลปินระดับโลกทั้ง Pablo Picasso, Henri de Toulouse-Lautrec, Francis Bacon ฯลฯ และผลงานของศิลปินชื่อดังของญี่ปุ่นอีกมากมาย

มาสคอตประจำมิวเซียมแห่งนี้คือหมีขาวที่วางอยู่ลานด้านนอก เป็นผลงานของ Atsuhiko Misawa ศิลปินแกะสลักไม้ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่โด่งดังจากผลงาน “ANIMALS’ ซีรีส์ที่เขาตั้งใจแกะสลักรูปปั้นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขนาดเท่าตัวจริง พร้อมระบายสี ตระเวนจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ถึง 5 แห่ง ส่วนหมีที่เราเห็นนั้นมีสตอรีอยู่ว่า พวกมันได้เดินเล่นออกจากป่า พอเดินแวะเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ก็รู้สึกถึงความโคซี่จนไม่ยอมย้ายก้นออกไปไหน ตั้งใจจะนั่งชมวิวเขา Tateyama อยู่ตรงนี้ตลอดไปนั่นเอง

008 Gokayama

เต็มอิ่มกับงานศิลปะเราก็มุ่งหน้าสู่ Gokayama อีกหมู่บ้านมรดกโลกที่อยู่ภายในจังหวัดโทยามะ ดูเผิน ๆ อาจจะคล้ายชิราคาวาโกะอันโด่งดัง แต่เมื่อมาเยือนด้วยตัวเอง บรรยากาศนั้นเงียบสงบกว่า เมื่อก่อนเมืองโกคายามะเป็นเมืองผลิตดินประสิว เพื่อใช้ทำดินปืนตั้งแต่สมัยเอโดะ ทำให้ที่นี่ได้รับการปกป้องและดูแลอย่างดีจากเมืองหลวง มีความเจริญรุ่งเรืองมากในตอนนั้น บ้านแต่ละหลังจึงมีขนาดใหญ่และยังคงครบสมบูรณ์ จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1995 โดยจุดเด่นของหมู่บ้านในโกคายามะ คือบ้านแบบกัชโชสึคุริ บ้านไม้หลังใหญ่ที่หลังคามุงด้วยหญ้าเป็นพื้นหนาลาดเอียงลงค่อนข้างมาก เนื่องจากภูมิอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตกหนักในหน้าหนาว จึงต้องทำหลังคาแบบนี้เพื่อให้หิมะที่ทับถมไหลลงมาได้ง่าย ปัจจุบันภายในบ้านเหล่านี้เขาเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ดินประสิว พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตคนสมัยนั้น และเปิดเป็นที่พักแรมให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตในบ้านทรงเอกลักษณ์นี้ด้วย

009 Yusuke (勇助 )

เพื่อซึมซับความโลคอลใกล้ชิดผู้คนในเมืองมรดกโลกอีกนิด แน่นอนว่าคืนนี้เราจึงเลือกพักในบ้านกัชโชสึคุรินี่ซะเลย ที่ Yusuke (勇助 ) ซึ่งเขาเป็นที่พักในรูปแบบเกสท์เฮ้าส์ มีผู้ดูแลคือ 2 ลุงป้าผู้น่ารัก รับลูกค้าเพียง 1 กลุ่มต่อคืน จำนวนไม่เกิน 4 คนเท่านั้น เมื่อเราเดินเข้ามา คุณป้าจะจัดเสิร์ฟชาเขียวเข้มข้นและขนมให้เรานั่งจิบไปพลาง ฟังเขาอธิบายเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของบ้านไปพลาง ไออุ่นของกองไฟที่ก่อไว้ในหลุมกลางบ้านก็ค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้าร่างกายเป็นระยะ มันรู้สึกอบอุ่น feel like home มาก ๆ

คุณลุงทำหน้าที่พาเราเดินสำรวจห้องนอน สอนวิธีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ และโซนอาบน้ำที่แยกส่วนออกจากกันตามสไตล์บ้านญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งอาคารนี้สร้างขึ้นมานานกว่า 154 ปี หรือช่วงปลายเอโดะ แต่ทุกอย่างภายในยังดูสะอาดเอี่ยม รับรู้ได้ถึงการดูแลอย่างดี ถัดขึ้นมาชั้นสองเขาเปิดเป็นมิวเซียมด้วยจ้า.. มีการจัดวางข้าวของเครื่องใช้ จำลองการใช้ชีวิตของคนสมัยก่อน พร้อมทั้งประวัติ ภูมิปัญญาของชาวเมืองโกคายามะ ที่โดดเด่นเรื่องการทำกระดาษวาชิ การผลิตดินประสิว และที่ห้องใต้หลังคายังคงเป็นโครงสร้างของโรงเลี้ยงไหม ซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมของคนเมืองนี้จริง ๆ 

ในการเข้าพักที่นี่ เขาจะมีข้าวเช้าข้าวเย็นให้เสร็จสรรพ ค่ำนี้ เราร่วมทานดินเนอร์กันที่หน้ากองไฟ ที่มีกาน้ำชาสีดำตั้งอยู่ตรงกลางบ้าน แบบที่เห็นในซีรีส์ย้อนยุคบ่อย ๆ ซึ่งอาหารที่เขาจัดเสิร์ฟก็อร่อยฟินหนักมาก แม้จะเป็นผักมากมายเช่นเคย แต่รสชาติคือสดกรอบ กินยังไงก็ไม่เบื่อ พร้อมปลาแม่น้ำขนาดกลางย่างมาหอม ๆ เคียงด้วยซาชิมิสีสดเนื้อเด้ง จิบสาเกชั้นเลิศระหว่างคำ ช่วยเพิ่มอุณภูมิร่างกายพร้อมสติที่เริ่มกรึ่ม ๆ ทำเรานอนหลับฝันดีตลอดคืน

Day 4 : Toyama Prefecture – Gifu Prefecture

วันนี้เราตั้งใจตื่นแต่เช้าตรู่… ขึ้นมาตรงจุดชมวิวหมู่บ้าน เพื่อเจอทิวเขาและหมอกฉ่ำ ๆ ที่กำลังล่องลอยโอบกอดหมู่บ้าน พร้อมแมกไม้สีเขียว-น้ำตาลที่กำลังผลัดใบ กลิ่นหอมบริสุทธิ์ของธรรมชาติ มีลมเอื่อย ๆ และไอน้ำเย็น ๆ พัดปะทะผ่านผิว เห็นฝูงนก เหล่าสัตว์ตัวน้อยเริ่มส่งเสียงออกหากิน ทุกอย่างรวมกันแล้วเหมือนฉากสวย ๆ ในอนิเมะ มันดีจนอยากเก็บวิวนี้ไว้ในความทรงจำไปอีกนาน ๆ หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าจนเต็มอิ่ม ก็ได้เวลาเดินลัดเลาะกลับมาเก็บข้าวของ ณ บ้านพัก เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังจังหวัดกิฟุ

010 Matsuya

ก่อนออกจากหมู่บ้าน เราขอฝากท้องกับอาหารโลคอลฟู้ดที่นี่กันสักมื้อ ณ ร้าน Matsuya เป็นร้านขายของฝากริมทางเดิน ที่มีโต๊ะวางเรียง บ่งบอกเป็นนัยว่ามีอาหารวางขาย เมนูของเขาจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ก็ยังใจดีมีรูปภาพให้ดู เราเลือกจิ้มชุดโซบะเย็นที่เขาจะเสิร์ฟมากับผักต้ม ข้าวปั้น และเทมปุระผักถาดโต เข้าใจว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นฤดูเก็บเกี่ยว เราจึงได้เมนูผักที่หลากหลาย พลาดไม่ได้คือเต้าหู้โกคายามะ ที่เขาผลิตด้วยวิธีดั้งเดิม มีเนื้อแน่นและมีปริมาณน้ำน้อย พอซดกับซุปหวาน ๆ เค็ม ๆ แล้วมันอร่อยกว่าเต้าหู้ทั่วไปเยอะเลย

011 Takayama

จัดเรียงของฝากเก็บเข้ากระเป๋าเรียบร้อย เราก็รีบออกเดินทางนั่งรถบัสมาเที่ยวกันต่อที่เมืองเก่า Takayama ให้ทันเดินชิลยามเย็นในย่านซันมาชิซูจิ หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า Little Kyoto ย่าน Old Town คูล ๆ ที่อยู่คู่ทาคายาม่ามานานกว่า 300 ปี หรือช่วงยุคเอโดะ มีบ้านทรงญี่ปุ่นโบราณเรียงรายตามสองข้างทาง กั้นกลางด้วยถนนเส้นเล็ก ๆ บ้านส่วนใหญ่เป็นโทนไม้สีเข้ม หลังคาสีดำ แบ่งออกเป็น 3 ซอยต่อ ๆ กัน มีทั้งโซนที่คึกคักไปด้วยร้านขายของ และโซนอยู่อาศัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นที่สุด

ฉันก็รักของฉัน เข้าใจใช่มั้ย.. บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งที่ 4 ที่เราได้มาเดินเส้นนี้ และสิ่งที่เราโหยหาขั้นสุดจนต้องกลับมาซ้ำคือ Hida Beef Sushi ที่เสิร์ฟบน Senbai Plate ของร้าน kotteushi ตัวเนื้อฮิดะที่แทบจะละลายในปากหอมอบอวลไปด้วยข้าวและสาหร่าย ไข่ดิบที่เพิ่มความนัว กินเสร็จกัดเซมเบ้ล้างปากก็คืออูมามิไม่ไหว กินแล้วกินได้อีกไม่มีวันพอเลย นอกจากนี้รอบ ๆ ยังมีซอฟต์เสิร์ฟและสาหร่ายโรลหน้าเนื้อด้วย เรียกว่าเป็นสตรีทฟู้ดขนาดย่อมได้เลย

012 Shinhotaka Ropeway (Base Station)

โลเคชั่นสุดท้ายของวัน เราขอปิดท้ายแบบฟิน ๆ ด้วยการขึ้นไปสัมผัสความสวยงามของทาคายาม่าในมุมสูง ความพิเศษของกระเช้านี้คือเป็นกระเช้ากอนโดล่าสองชั้นแห่งแรกของญี่ปุ่น กว่าจะขึ้นไปถึงยอดสูงสุดได้ เราจะต้องต่อกระเช้าถึง 2 สถานี ให้เราดื่มด่ำกับบรรยากาศที่กระเช้ากำลังขึ้น เผยแมกไม้จากใกล้เป็นภาพกว้างใหญ่ของธรรมชาติ เหล่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแต่งแต้มทั่วผืนป่า กลายเป็นภาพที่สวยหมดจดจนแทบไม่อยากกะพริบตา

โดยจุดแรกที่กระเช้าหยุด ก็เรียกได้ว่าเป็นครึ่งทางของภูเขา ที่นี่จะมีบริการร้านค้า ร้านเบเกอรี่ สวนยะมะโนะ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีน้ำพุร้อนให้แช่เท้า เรียกว่าครบทุกบริการสำหรับนักท่องเที่ยว เหมาะกับผู้คนทุกช่วงอายุเลย

และเมื่อขึ้นมาต่อจนถึงจุดชมวิวสูงสุด เราก็ได้พบกับวิวจึ้ง ๆ ดั่งที่หวังไว้ เบื้องหน้าเป็นภาพทิวเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเทือกเขาใหญ่มหึมายาวสุดตาทั้งซ้ายและขวา เริ่มมีหิมะสีขาวปกคลุมบนยอดที่สูงละฟ้า มีเงาเมฆเลื่อนผ่านช้า ๆ ตามแรงลม พร้อมกับป่าสนเมืองหนาวที่กำลังเปลี่ยนสี เป็นวิวธรรมชาติที่สวยตามแบบฉบับญี่ปุ่น ที่เราแสนคิดถึง พอจมูกเริ่มชาจากความหนาวก็เดินเข้าคาเฟ่ไปหาเครื่องดื่มอุ่น ๆ ขนมร้อน ๆ มากินเคล้ากับวิวนี้ก็ฟินดีเหมือนกันนะ

Day 5 : Gifu Prefecture

013 Jinya-Mae Market

ยามเช้า นาฬิกาปลุกแทบไม่ได้ทำงาน เพราะร่างกายเหมือนมีสารกระตุ้นให้เราตื่นเองเกือบทุกเช้า มีอินเนอร์อยากเที่ยวพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา สถานที่สุดท้ายนี้ เราขอทิ้งทวนภูมิภาคชูบุกับการเดินตลาดเช้าของทาคายาม่า ซึ่งมีให้เลือกเดินอยู่ 2 จุดคือ ตลาดจินยะเมะ (Jinya-Mae Market) ตั้งอยู่หน้าอาคาร Takayama Jinya จวนผู้ว่าเก่า อีกที่เที่ยวสุดป๊อปของที่นี่ ในตลาดเขาจะวางขายพืชผักผลไม้ของของเหล่าเกษตรกร ฟีลเหมือนเพิ่งขุดขึ้นมาจากดินเลย สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว.. แถมยังใกล้ชิดคนท้องถิ่นมาก ๆ เพราะมีแต่คนทาคายาม่ามาจับจ่ายทั้งนั้น

014 Miyagawa Market

ขยับมาอีกนิดก็จะเจอกับตลาดมิยางาวะ (Miyagawa Market) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิยางาวะ ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวเยอะหน่อย คงเพราะโลเคชั่นอยู่ริมน้ำทำให้บรรยากาศมันแสนจะชิล น้ำใสขนาดเห็นตัวปลา มีนกเป็ดน้ำว่ายเล่นเป็นกลุ่ม ๆ และมีของให้เราเลือกซื้อเยอะหน่อย นอกจากสินค้าทางการเกษตรแล้ว ยังมีร้านขายขนม กาแฟ ของเล่น ของกินให้เราเพลิดเพลินตลอดทาง ส่วนของฝากที่ห้ามพลาดเลย คือตุ๊กตาซารุโบโบะ ตุ๊กตาร่างคล้ายคนแต่ไม่มีหน้าที่มีเฉพาะในกิฟุเท่านั้น เมื่อก่อนใช้เป็นเครื่องรางเรื่องการคลอดบุตรให้ง่ายและปลอดภัย เวลาผ่านไปก็กลายเป็นของติดตัวให้แก่หญิงสาวที่กำลังจะออกเรือน เพื่อเป็นทั้งเพื่อนและเครื่องรางช่วยให้มีความโชคดีด้านครอบครัวนั่นเอง

015 Kamikochi

อิ่มเอมกับบรรยากาศโลคอล ฟินกับอาหารท้องถิ่น ก็ได้เวลาออกเดินทางไปจบทริปแบบจึ้ง แบบปัง กับผลงานมาสเตอร์พีซที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้กับภูมิภาคชูบุ Kamikochi สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติสุดฮอตฮิตทางเหนือของเทือกเขา Japan Alps. ใน Nagano ที่นี่จะเปิดให้เที่ยวเฉพาะกลางเดือน เมษายน-พฤศจิกายน ของทุกปี โดยมีทั้งเส้นทางเดินสบาย ๆ ริมแม่น้ำอาซุสะให้เราได้เดินทอดน่องดื่มด่ำกับวิวเพลิน ๆ แต่ถ้าสายลุยหน่อยเขาก็มีเส้นทางปีนเขาแบบจริงจังให้เลือกเดิน ส่วนใครอยากเจอวิวใบไม่ร่วงสวยสับแบบในรูปก็มาช่วงปลายตุลาคมต้นพฤศจิกายนได้เลย … เราว่ากำลังโอเคเลย 

โดยจุดไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวต่างต้องการมาเช็คอินนั้นคือ สะพานคัปปะ สะพานแขวนทรงงามที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำอะซุสะ เป็นสะพานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่องดินแดนของ ‘กัปปะ’ ภูติวิญญาณแห่งผืนน้ำ ความจึ้งไม่ได้อยู่ที่สะพานเท่านั้น ยังอยู่ที่วิวยอดเขาโฮตะกะ และเมียวจินดาเกะที่มีหิมะปกคลุมอยู่เสมอ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง พอบวกกับเหล่าใบไม้สีแดง เหลือง ท้องฟ้าโล่งโปร่ง น้ำสีเทอควอยซ์แล้ว มันสวยราวกับภาพสีน้ำมันเลยล่ะ

รอบ ๆ สะพานคัปปะจะคึกคักตลอดทั้งวัน เพราะจุดนี้จะมีร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก ขนมนมเนย ชากาแฟ รวมถึงร้านอาหารไว้ให้บริการ แน่นอนว่าหลังจากที่เดินเท้าชมความงามจนลืมเรื่องปากท้อง มาถึงตรงนี้มันก็เริ่มหิวโหย รีบเดินตามกลิ่นหอม ๆ ของโซบะร้อน จัดไปหนึ่งเซ็ต มานั่งละเลียดกินพลางชมวิว มองดูผู้คนที่กำลังเซลฟี่ นั่งเล่น เดินเล่น รวมถึงศิลปินที่มาแต้มสีลงบนผ้าใบอย่างละละเมียดละไม บอกเลยว่าฟีลกู๊ด ดีต่อใจสุด ๆ ไปเลย

นอกจากไฮไลท์ที่เราแนะนำ ในคามิโคจิยังมีจุดน่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สระน้ำไทโช ( Taisho Pond ), สระน้ำทาชิโระ ( Tashiro Pond ), ที่ลุ่มทาเกะซาวะ ( Takezawa Marsh ) รวมไปถึงสระน้ำเมียวจิน ( Myojin Pond / Myojinike ) สามารถเลือกรูทเดินได้ทั้งใกล้ไกล แต่ระยะทางที่นักเดินป่าระดับ biginner นิยมมากันคือเส้นทางสระน้ำไทโช ( Taisho Pond ) – สระน้ำเมียวจิน ( Myojin Pond ) ระยะทาง 7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินต่อเนื่องประมาณชั่วโมงครึ่ง ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จัดสรรเส้นทางได้ดี การบริการครบวงจรเหมาะกับนักเดินป่ามือใหม่จริง ๆ

ถือเป็นแพลนเที่ยวตะลุย 3 เมืองที่เราได้เต็มอิ่มกับธรรมชาติและศิลปะขั้นสุด ยิ่งเลือกไทม์มิงดี ๆ ตรงกับช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีกันอย่างเต็มที่ เส้นทางนี้ก็ถือเป็นเหมือนหนทางสู่สวรรค์ของเหล่านักถ่ายภาพธรรมชาติเลยทีเดียว หากใครยังไม่เคยได้สัมผัสญี่ปุ่นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็ลองให้รูทนี้เป็นทริปเปิดประสบการณ์ รับรองว่าจะติดใจจนอยากกลับมาอีกหลาย ๆ ทีแน่นอน และที่สำคัญยังเดินทางง๊ายง่ายจากนาโกย่าแค่กดจองตั๋วกับ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์