ซินจ่าวววว~ วันนี้ขอพาทุกคนไปรีชาร์จความสุขส่งท้ายปีที่ Vietnam ด้วยแพลน 4 วัน 3 คืน เน้นเที่ยวพักผ่อนชิล ๆ ไปกับ 2 เมืองแห่งสายหมอก Sapa-Hanoi ที่มากี่ทีก็มีเรื่องราวดี ๆ กลับมาเล่าต่อ .. โดยทริปนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการนั่งกระเช้าทะลุหมอกไปพิชิตยอดเขาที่ขึ้นชื่อว่าสูงสุดในอินโดจีน! เพื่อให้ลมหนาวปะทะหน้า อากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยปังอลังการประโลมใจ ก่อนจะกลับมาเดินเล่นริมทะเลสาบใน ซาปา เมืองที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาและวิถีชีวิตแสนน่ารัก แล้วมาปิดท้ายแบบชิคแบบเท่อัพเดทคาเฟ่และมุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ใน กรุงฮานอย นอกจาก 14 พิกัดที่คัดมาแล้วว่าสวยจึ้งจิต เอ้าท์ฟิตก็การันตีว่าชิคไม่แพ้ใคร เพราะเรามิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดจาก Mc Journey ที่มีแต่ไอเท็มคูล ๆ แต่งลุคไหนก็พร้อมปังทุกทริปตามคอนเซ็ปต์ “My Mc My Journey” ไว้เต็มกระเป๋าเดินทาง
อย่างที่เกริ่นไปว่าครั้งนี้เราพร้อมอัพลุคให้ชิคเก๋ด้วยไอเท็มคูล ๆ จาก Mc Journey คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดที่ขนไปแบบเต็มกระเป๋า บอกเลยว่าพอได้ลองจับคู่มิกซ์แอนด์แมทช์ออกมาก็บอกได้คำเดียวว่าปัง! เพราะเค้ามีแต่ไอเท็มเจ๋ง ๆ หยิบจับอันไหนก็ถูกใจไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแจ็คเก็ต สเวตเตอร์ กางเกงคาร์โก้ ฮู้ดดี้ ที่ทุกตัวล้วนดีไซน์ออกมาได้โคตรเท่ นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์อย่างเสื้อยืดพิมพ์ลายสไตล์ The Journey ที่ออกแบบมาไม่ซ้ำด้วยการหยิบเอาเอเลเมนต์ของธรรมชาติมาเป็นกิมมิก แถมเนื้อผ้าลื่นสีสวย นุ่มสบายใส่ง่าย มีความคงทน ใช้งานได้นาน นำไปแมทช์ได้อีกหลายลุคในทริปต่อ ๆ ไปได้แน่นอน
และแน่นอนครั้งนี้เราเดินทางกับ AirAsia สายการบินเจ้าเดิมเจ้าประจำที่มีไฟล์ทบินตรงสู่เวียดนามหลายเส้นทางในราคาโดนใจ อย่าง ดอนเมือง(DMK) – ฮานอย(HAN) เขาก็มีให้เลือกถึง 2 เที่ยวบิน/วัน (ช่วงเช้ากับช่วงค่ำ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ถึงจะบินระสั้นเราก็แนะนำให้เพื่อน ๆ เลือกแบบแพ็คสุดคุ้ม เพราะได้ครบทั้งน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม เลือกที่นั่งตามต้องการ แถมได้อาหารร้อนมารองท้องล่วงหน้า อย่างรอบนี้ได้กินเมนูโชกุปังกับชานมไข่มุก บอกเลยว่าฟิน พอแลนดิ้งลงสวย ๆ ช่วงเช้าก็ลากกระเป๋าเที่ยวต่อได้ทันที …. ส่วนขากลับเราเลือกไฟล์ทมืดหน่อย จะได้มีเวลาเที่ยวในเมืองฉ่ำ ๆ เก็บภาพให้คุ้มค่าคุ้มเวลาไปเลย
Day 1
01 Hanoi Old Quarter
ปักหมุดจุดเช็กอินแรกไปที่ Hanoi Old Quarter พิกัดที่บอกว่าเราได้เดินทางมาถึงใจกลางเมืองฮานอยเรียบร้อยหลังจากแลนด์ดิ้ง ถ้าหันซ้ายมองขวาเริ่มเจอบรรดารถที่ขวักไขว่ขับสวนกันไปมา หรือคลับคล้ายคลับคลาว่าจะพุ่งมาที่เราก็ไม่ต้องตกใจ เพราะนี่คือการเดินทางมาถึงเวียดนามอย่างสมบูรณ์แบบ โดยตลอดสองข้างทางจะเจอกับสิ่งที่ทำให้ว้าวตลอดเวลา อย่างรถเข็นขายสตรีทฟู้ดที่ผ่านไปผ่านมาจนอยากโบกลองชิมซะทุกคัน หรือรถเข็นขายดอกไม้ที่เริ่มกลายเป็นภาพคุ้นตาในโลกโซเชียลก็ทำเอาเราอยากกวักมือซื้อสักกำสองกำเอาไว้เป็นพร็อพถ่ายรูปกับตึกเก่าคลาสสิกข้างทาง
Hanoi Old Quarter ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 600 ปี ทำให้ตลอดสองข้างทางรวมถึงย่าน 36 Old Street เป็นย่านหัตถกรรมที่มีตรอกซอกซอยที่ขายของแตกต่างกันไป ทั้งข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า แหล่งขายของพื้นเมือง และร้านขายของฝากที่ใหญ่ที่สุดในฮานอย ไปจนถึงร้านกาแฟสวย ๆ มากกว่าร้อยร้านตั้งเรียงรายจนเลือกไม่ถูก น้อง ๆ อิตาลีก็คนเวียดนามนี่แหละที่กินกาแฟเก่งที่สุดในโลก! สายคาเฟ่ฮอปคือเลิฟเว่อร์
02 Phan dinh Phung Street
ตัดภาพวาร์ปขึ้นแท็กซี่มาลงที่ Phan dinh Phung Street เสิร์ชชื่อตามนี้ได้เลย จะเจอกับถนนสายดอกไม้ที่เก๋ที่สุดในฮานอย หนึ่งในสปอตที่สาว ๆ เวียดนามตั้งใจมาถ่ายรูปชิค ๆ คู่กับดอกไม้ เพราะสองข้างทางจะสะพรั่งไปด้วยดอกไม้สวย ๆ หลากหลายสายพันธุ์จากรถเข็นที่จอดเรียงรายจนกลายเป็นซิกเนเจอร์แสนคุ้นตา ทำให้ถนนสายนี้มีชีวิตชีวาและสีสันชวนมอง เราก็ขออินเทรนด์แวะซื้อดอกเดซี่ช่อใหญ่มายืนโพสท่าคู่กับจักรยานคันเท่สักสองสามแชะให้ได้ฟีลสาวปารีเซียง โดยชุดที่แมทช์มาก็เป็นเสื้อเชิร์ตทับสเวตเตอร์ทรง Regular ของ Mc ที่ใช้เทคนิคงานตัดต่อชิ้นผ้ามาจากเนื้อผ้าอินเตอร์ล็อค ที่ผลิดจากเส้นใยฝ้ายคุณภาพสูง 100% ผสมกับโพลีเอสเตอร์ ทำใส่สบาย นุ่มลื่น ไม่ระคายเคืองผิว ลุคที่ได้ก็จะดูสบาย ๆ เหมาะกับอากาศในเมืองที่เย็นกำลังดี
03 Serein Cafe and Lounge
ด้วยความที่เมืองฮานอยละลานตาไปด้วยคาเฟ่ เราก็อดไม่ได้ที่จะสวมบทคาเฟ่ฮอปปิงแล้วปักหมุดเช็กอินกินกาแฟและเครื่องดื่มสดชื่นแบบไม่ทิ้งโมเมนต์ได้ภาพสวยไปที่ Serein Cafe and Lounge คาเฟ่โคตรเท่ที่เราประทับใจกับสไตล์การตกแต่งไม้ ๆ ที่ให้ความรู้สึกวินเทจวินใจ เหมือนนั่งอยู่ในร้านกาแฟหรือคลับแถบยุโรป ทุกมุมเค้าดีไซน์แบบคิดมาเผื่อแล้วสำหรับคนชอบถ่ายรูปจริง ๆ
หากเดินต่อขึ้นไปยังชั้นสาม ก็ต้องเซอร์ไพร์สกับวิวรถไฟจากมุมหน้าต่างทรงโค้ง โดยเราจะเห็นสะพานรถไฟ Long Bien สุดคลาสสิกที่เป็นคานเก่าแก่ สร้างตั้งแต่ปี 1903 แล่นตรงออกจากสถานี Long Bien ข้ามฝั่งจากแม่น้ำแดงไปย่านฮว่านเกี๊ยมได้สวยสะดุดตาของสีน้ำตาลแดงที่เกิดจากการผุกร่อนผ่านช่วงเวลามานานกว่า 120 ปี งานนี้พอได้ซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง Raspberry Cherry Tea และ Honey Tea มาจิบไปชมวิวไปบนชั้น Rooftop ที่ด้านบนจะมีบันไดเล็ก ๆ ให้เดินเชื่อมต่อไปยังดาดฟ้าเพื่อชมวิวได้แบบ 360 องศา ก็ต้องบอกว่าลงตัวที่สุด และถึงแม้อากาศช่วงปลายปีที่ฮานอยจะหนาว เราก็ยังชิคและอุ่นด้วยเสื้อสเวตเตอร์ และแจ็คเกตลูกฟูกที่ผลิดจากคอตตอนสีดำ อัดแน่นมาด้วยเทคนิคการผลิดสารพัด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบซิปหน้า มีสาบเสื้อ ตอกกระดุมโลโก้ พร้อมกระเป๋าข้าง ตลอดจนฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริง
04 Ourlog Cafe
ทิ้งท้ายเมืองฮานอยวันนี้ไว้ในย่าน Dang Van Ngu Neighborhood ย่านสุดชิคที่วัยรุ่นเวียดนามทั้งประเทศมารวมตัวกันแบบไม่ได้นัดหมาย เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอแต่หนุ่มเวียดนามหน้ามนสาวเวียดนามหน้าใสแต่งตัวกิ๊บเก๋ตามเทรนด์ฮิตมานั่งจิบกาแฟในซอยที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ปัง ๆ ตลอดเส้นทาง เราเลือกปักหลักมา Ourlog Cafe คาเฟ่ที่ให้ฟีลอบอุ่นดีต่อใจตั้งแต่หน้าร้านด้วยไม้สีเอิร์ธโทน แถมช่วงนี้ใกล้คริสต์มาสเข้ามาทุกทีร้านเลยประดับตกแต่งด้วยต้นคริสมาสต์แบบคิ้วต์ x2
ด้านหน้าจะเป็นเก้าอี้แคมป์ปิ้งน่ารัก ๆ เข้ากับอากาศที่เริ่มเย็นนิด ๆ เหมือนเป็นใจให้เราสั่งลาเต้ร้อนที่โปะวิปครีมหนานุ่มใส่แก้วมัคสุดน่ารักมาจิบแบบฟิน ๆ อีกเมนูที่เราลองสั่งมาจะเป็นเป็นช็อกโกแลตร้อน รสชาติหวานกำลังดี จิบคู่กับครัวซองต์ที่อบใหม่ ๆ จากเตา โอ้โหรู้ตัวอีกทีสวรรค์อยู่ใกล้แค่ฮานอยเองหรอ ออ แล้วด้านบนร้านจะมีระเบียงยื่นออกมาสามารถยืนออกมารับลมชมบรรยากาศครึกครื้นด้านล่างได้ด้วย เก๋สะบัดเลยยยย
Day 2
05 Viettrekking Hotel
เมื่อนอนมาอย่างเต็มอิ่ม … รถบัสนอนก็พาเรามาถึงซาปาในยามเช้าตรู่ เราแวะมาเช็คอินเก็บกระเป๋าเข้าโรงแรมกันที่ Viettrekking Hotel จากนั้นก็ขอใช้เวลาเดินสำรวจบรรยกาศมยามเช้าก่อนออกเที่ยว ซึ่งไฮไลต์หลักที่เราเลือกพักที่นี่ก็เพราะคาเฟ่ด้านล่างของ รร ที่มองออกไปเห็นวิวรถไฟสีแดงกำลังวิ่งมุ่งตรงไปยังสถานีปลายทางที่ Muong Hao Station ถือเป็นภาพคุ้นตา พ.ศ. นี้ ที่ทุกคนไปซาปาต้องมีรูปติดเครื่องกลับมา
ส่วนด้านบนดาดฟ้ายังเป็นสระว่ายน้ำกว้างแบบ infinity ที่มองออกไปแล้วสบายตาสบายใจ จากวิวภูเขาตัดสลับกับสีท้องฟ้าสวย ๆ และสระว่ายน้ำได้แบบพอดิบพอดี งานนี้จะมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าลุคไหนจาก Mc Journey คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด ก็ได้รูปสวยปังเข้ากับวิวด้านหลังแน่นอน อย่างเสื้อกั๊กตัวเท่ตัวโปรดตัวนี้เขาผลิตมาจากผ้า Polyester คุณภาพสูง 100% อัดแน่นมาด้วยกระเป๋าด้านหน้าถึง 4 ใบ โดยด้านบนซ้ายมีซิปด้านข้างติดป้าย Mc Journey ด้านบนขวามีปากเปิด ส่วน 2 ใบด้านล่างติดกระดุมสแนป แถมด้านในขวามีช่องอเนกประสงค์สกรีน The Journey สียาง และด้านในซ้ายมีช่องอเนกประสงค์แบบซิป แต่งโลโก้ Mc และ The Jorurney เป็นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์สายเที่ยวอุปกรณ์เยอะ เรียกว่าโคตรคูล ยกมือบอกลาเสื้อกั๊กแบบเดิม ๆ ไปได้เลย
06 Sapa Center
ใครจะคิดว่าเมืองท่ามกลางสายหมอกที่อยู่แสนไกลจากฮานอยจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวรวมถึงชาวพื้นเมืองที่ออกมาใช้ชีวิตและรวมตัวกันทำกิจกรรมร้องเล่นเต้นบริเวณวงเวียนเกาะกลางของซาปาที่เรียกว่า Quang Truong Square จัตุรัสกลางเมืองที่มองเห็นวิวสวย ๆ ของภูเขาและตึก Sunplaza อันโออ่าและโดดเด่น แถมรอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยร้านรวงให้เราเดินช้อปปิ้งซื้อของฝากจากคนพื้นเมือง แวะกินสตรีทฟู้ดอร่อย ๆ แบบเพลิน ๆ
มาเที่ยวต่างประเทศทั้งที Outfit มันก็ต้องปังกันหน่อย … หนาว ๆ บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ไม่พลาดที่จะหยิบไอเท็มตัวเก่งจากคอลเลกชั่น Mc Journey มาใส่มิกซ์แอนด์แมทช์โทนสีเขียว-น้ำตาลคู่กัน เริ่มจากเสื้อเชิ้ตผ้าโพลีเอสเตอร์สะท้อนน้ำสีเขียวขี้ม้าที่ให้กระเป๋ามาแบบจุใจ กับเสื้อยืดพิมพ์ลายสบาย ๆ และกางเกงยีนส์ตัวโปรด เข้ากับเพื่อนซี้ที่มาในลุคคูล ๆ ในกางเกงคาร์โก้ที่ทำมาจากผ้า Cotton twill แบบ 100% และบอมเบอร์แจ็คเก็ตโอเวอร์ไซส์ดีไซน์เท่กับฟังก์ชันกระเป๋าที่ใช้งานได้จริง เอาไว้ใส่กันลมหนาวแบบมีสไตล์
สำหรับพระเอกที่ทำให้ทุกลุคของเราคอมพลีทและเท่ได้ง่าย ๆ ต้องยกให้ กางเกงคาร์โก้ ของคอลเลคชั่น Mc Journey ตัวนี้ ที่มีคุณสมบัติและฟังก์ชันการใช้งานโคตรเจ๋ง เร่ิมจากเอวที่มีการเย็บประกบ 2 ชั้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ซิปใช้แบบ YKK คุณภาพดี โดดเด่นด้วยสีทองรมดำ มีกระเป๋าและช่องเอกประสงค์ด้านหน้าและด้านหลังรวม 6 ช่อง แถมพ่วงมาด้วยสายผ้าเย็บแต่งไว้แขวนอุปกรณ์อเนกประสงค์ตรงใต้กระเป๋าซ้ายด้านหลัง
07 Sunworld Fasipan Legend
เดินเล่นในเมืองจนหนำใจที่แรกในเมืองซาปาที่เราตั้งใจไปให้ถึงคือ ฟานซิปัน ยอดเขาสูงที่สุดในอินโดจีน โดยมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,143 เมตร ซึ่งเราสามารถขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดแบบหน้าผมยังเป๊ะโดยไม่เสียแรงแม้แต่นิด เพราะที่นี่เค้าปรับปรุงให้การเดินทางไปสัมผัสความงามของยอดเขานั้นสะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม นั่นก็คือซื้อตั๋วขึ้นรถไฟคันจิ๋วจาก Sunplaza เพื่อนั่งไปยังสถานี Muong Hao Station จากนั้นค่อยต่อกระเช้าลอยฟ้าทะลุหมอกไปที่ Sunworld Fasipan Legend อย่างง่ายดาย
ด้านบนมีจุดแวะพักก่อนขึ้นเคเบิลคาร์ให้ถ่ายรูปสวย ๆ ก่อนออกเดินทางต่อด้วยกระเช้าไฟฟ้าที่ขึ้นไปยังยอดเขาฟานซีปัน ซึ่งเคยถูกจัดอันดับให้เป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกด้วยความยาวถึง 6,292 เมตร ที่ทำเอาใจหวิวแบบวูบวาบไม่รู้เพราะความสูงเหมือนอยู่บนสวรรค์ หรือตื่นเต้นกับเคเบิลคาร์ที่กำลังเคลื่อนที่เข้าสู่ทะเลหมอกกันแน่ ระหว่างทางเราจะผ่านน้ำตกและลำธารหลายสาย รวมถึงนาขั้นบันไดมุมสูงได้แบบ 360 องศา ถ้าได้มาช่วงฤดูก่อนเก็บเกี่ยวรับรองว่าภาพตรงหน้าต้องสวยกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า
เมื่อมาถึงด้านบน เราเลือกนั่งรถรางต่อขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิม พระพุทธรูปองค์ใหญ่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้า Bich Van ก่อนเลือดนักสู้ในกายจะเรียกร้องบอกว่าลองเดินต่อขึ้นบันได เพื่อขึ้นไปยังจุดที่ทั่วโลกต่างเรียกกันว่า ‘หลังคาอินโดจีน’ (นั่งรถลางขึ้นไปได้เช่นกัน … สำหรับคนไม่ไหว) เราค่อย ๆ ขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างช้า ๆ ยุบหนอ พองหนอ ประกอบกับวิวสวยตลอดทางให้ได้หยุดถ่ายรูปเป็นระยะจนลืมเหนื่อย ในที่สุดก็มาถึงฝั่งฝันบนหลังคาอินโดจีนที่สูงที่สุดแบบที่ไม่กล้าฝันแต่ก็ได้มาแบบไม่ต้องฝัน อากาศฟินมาก
Day 3
08 Holy Rosary Church
เข้าสู่วันที่สามของทริป เราขอตื่นมายืดเส้นยืดสายด้วยการออกไปเดินเล่นชมเมืองสูดอากาศยามเช้าอันแสนสดชื่นกันสักหน่อย เพราะใกล้กันกับจตุรัสกลางเมืองจะมีโบสถ์หินเก่าแก่ที่ชื่อว่า Holy Rosary Church ตั้งตระหง่านอยู่คู่ชาวเมืองที่นับถือคาทอลิกมาอย่างยาวนาน ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเวียดนาม จะเห็นว่าตัวโบสถต์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันโกธิค หน้าต่างรอบโบสถ์จะตกแต่งด้วยกระจกสีสันสดใสสะท้อนเรื่องราวของพระเยซูตั้งแต่ประสูติจนถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้านในเปิดให้เข้าชมตามช่วงเวลา จะแวะมาเดินเล่นชมความสวยงามเวลาไหนก็สวยงามไม่แพ้กันเลย
สำหรับคนที่ชอบใส่เสื้อฮู้ดดี้ คอลเลคชั่นนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะนอกจากทาง Mc จะเลือกใช้ผ้าอินเตอร์ล็อคที่ผลิดมาจากเส้นใยฝ้ายคุณภาพดี 100% ทำให้ใส่ไม่ระคายเคืองแล้ว แมทช์กับชุดในชีวิตประจำวันได้ง่ายแล้ว ยังโดดเด่นด้วย Photo Print ด้านหลังที่พิมพ์ลายมาอย่างสวยงาม แถมเติมความเก๋กับคำว่า The Journey ที่ปักด้วยเทคนิคหนานูนด้านหน้าของเสื้อ
09 Sapa Lake
จากนั้นก็ได้เวลาเดินทอดน่องชมเมือง ชมวิถีชีวิตชาวบ้านไปเรื่อย ๆ จนมาถึงอีกจุดที่เราสามารถมองเห็นบรรยากาศสวยงามสุดโรแมนติกของ Sapa Lake ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกระจกเงาสะท้อนตึกรามบ้านช่อง ภูเขา ลงบนผืนน้ำได้งามงดจับใจ เอาจริงแค่แมทช์ชุดจาก Mc Journey มาถ่ายรูปกับวิวปัง ๆ แบบนี้ แค่นี้ก็คือคอมพลีทมากแล้วจ้าาาาา พี่จ๋า
จากที่ได้มีโอกาสใส่เสื้อยืดจาก Mc ในหลาย ๆ ทริป ต้องบอกว่าประทับใจมาก และประทับใจเข้าไปอีกกับคอลเลคชั่นล่าสุดเพราะเนื้อผ้าทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ ผ่านกระบวนการฟอกสุดพิเศษแบบ Silky ทำให้สัมผัสอ่อนนุ่ม ซึมซับเหงื่อ ระบายอากาศได้ดี แถมสีและสารเคมีที่ใช้ก็ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไร้ซึ่งสารก่อมะเร็งและโลหะหนักปนเปื้อน เรียกว่าสวยแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ไม่เกินจริง
010 Moana Sapa
ไปต่อกับอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปสุดชิคในตำนานที่ท็อปฮิตติดอันดับของซาปาไม่แพ้การนั่งเคเบิลคาร์ไปยังภูเขาฟานซีปัน กับประตูสวรรค์ของบาหลีที่ไม่ต้องไปถึงอินโด ฮ่าาา และรูปปั้นสาวสวย ที่แค่ยกกล้องถ่ายย้อนกลับไปให้เห็นมือใหญ่ ๆ กำลังโอบอุ้มเราไว้ ตัดกับหมอกบนท้องฟ้า ก็จะได้มุมอันซีนว้าว ๆ เหมือนลอยอยู่บนฟ้าแบบนี้เลย ส่วนใครที่อยากได้มุมมินิมอลแนะนำให้เดินขึ้นบันไดสวรรค์สีขาว ที่พุ่งตรงขึ้นมาบรรจบกัน ปรับมุมกล้องเชิดขึ้นสะหน่อยก็ได้อีกมุมสวยกลับไปอัพลงโซเชียลได้ยาว ๆ ตลอดทั้งปี โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้จะต้องอยู่ภายในโรงแรม Moana Sapa
011 Sailing Sapa Cafe
บ่ายนี้เราขอออกไปสูดอากาศและธรรมชาติสวย ๆ นอกเมืองซาปาแบบใกล้ชิด กับลิสต์ที่ปักหมุดมาจากบ้าน Sailing Sapa Cafe คาเฟ่ในโฮสเตย์หลังเล็ก ๆ บนเนินเขาที่มองลงไปเห็นวิวนาขั้นบันได ยิ่งถ้ามาตรงช่วงที่นาเขียวสะพรั่งเต็มทุ่ง รับรองว่าจะได้วิวสวยกว่านี้อีก 10 เท่าเลย แต่เเค่นี้ก็ดีต่อใจมาก เพราะทางเราคือรัวชัตเตอร์ไม่หยุด ใด ๆ คือรักบรรยากาศสบาย ๆ ตรงนี้ที่มีหมอกลงจาง ๆ คอยพัดพาไอความเย็นมาให้ฟินเป็นช่วง ๆ พร้อมก๊วนน้องหมาที่ออกมาต้อนรับด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู ที่นี่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 นาที สามารถโบกรถกอล์ฟโดยสารมาได้เลย สะดวกมาก
ไฮไลต์ของคาเฟ่นอกจากมองเห็นวิวสวยแบบ 360 องศา ที่เห็นอยู่ไกลลิบ ๆ จะเป็นลำธารขนาดใหญ่ โอบล้อมด้วยภูเขาและทุ่งนากว้างสุดสายตา มีหินเล็กหินใหญ่คอยกั้นไม่ให้น้ำไหลเชี่ยว เจอบรรยกาศแบบนี้ Outfit ที่เตรียมมาบอกเลยว่าถูกต้องที่สุด เพราะคอลนี้เค้ามีหมวกทรงบักเก็ตและเสื้อกั๊กเท่ ๆ ได้ฟีลตั้งแคมป์เดินป่า ผ้านุ่มใส่สบาย และมีกระเป๋ามากสุดถึง 6 ช่อง สายของเยอะอย่างเราก็ฟินเลย ออกทริปไม่ต้องกลัวของหาย เก็บของสำคัญไว้กับตัวชัวร์กว่า เลิศจ้าาาา
Day 4
012 Bat Trang Pottery Museum
เปิดวาร์ปมาเช้าวันที่ 4 ณ เมืองฮานอย วันนี้ขอแมทช์ลุคเท่ ๆ จาก Mc Journey แล้วออกไปเช็คอินโลเคชั่นใหม่ ๆ ปัง ๆ ถ่ายรูปสวย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ โดยเริ่มต้นจากการนั่งรถข้ามไปอีกฝั่งของเมืองเพื่อหากิจกรรมเบา ๆ ทำแบบชิล ๆ หลังจากเที่ยวแบบจัดเต็มมาสามวันที่ Bat Trang Pottery Museum พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่ด้านนอกจะดีไซน์หมือนชั้นดินเผาต่อกันเหมือนตอนที่เห็นวางบนแท่นหมุน ด้านในจัดแสดงวัตถุโบราณสมัยต่าง ๆ ของเวียดนาม จัดมุมให้ชมดีงามพระราม 8 แบบไม่มีเบื่อ เพราะเครื่องปั้น เครื่องลายครามที่เค้าเอามาจัดให้ชมสวยงามตามยุคแบบประเมินค่าไม่ได้หลายโซน
ที่เราถูกอกถูกใจนอกจากได้รัวชัตเตอร์ถ่ายรูปสวย ๆ คู่กับตัวอาคารแบบไม่กลัวแบตหมดแล้ว ชั้นใต้ดินยังมีกิจกรรมเวิร์กช้อปให้ได้โชว์ฝีมือปั้นดินเป็นสารพัดจานชามแก้วตามใจชอบอีกด้วย โดยเค้ามีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยสอนเราอย่างใกล้ชิดชนิดที่แทบจะจับมือปั้น งานนี้ไม่ได้จานสวย ๆ ก็ต้องเป็นแก้วรูปทรงง่าย ๆ สักใบกลับมาบ้างหล่ะ อ้อ ทางมิวเซียมเค้ามีบริการเผาให้ฟรี รอไม่เกิน 15 นาที ก็ได้ของฝากกลับมาเป็นความทรงจำดี ๆ อีกด้วย
013 โบสถ์เซนต์โยเซฟ (St. Joseph Cathedral)
ช่วงเที่ยง ๆ เรามาเติมพลังหาของอร่อยกินแถว Old Quarter อีกครั้ง แต่รอบนี้ขอเดินออกมาไกลหน่อยแถวโบสถ์เซนต์โยเซฟ เพราะย่านนี้มีแต่ของอร่อยตั้งแต่สตรีทฟู้ดง่าย ๆ อย่างแหนมเนียง กาแฟไข่ ไปจนถึงร้านเฝอมิชลินสตาร์ พออิ่มท้องก็อิ่มอกอิ่มใจกันต่อด้วยการเดินชมความสวยงามของโบสถ์ประจำเมืองฮานอย St. Joseph Cathedral ที่จึ้งสะระอึ้งก็เพราะโบสถ์เซนต์โยเซฟสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ในยุคที่ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนาม เดินเล่นชมรอบตัวโบสถ์จะเห็นว่าเป็นสไตล์โรมันโกธิคโดยมีต้นแบบมาจากวิหารนอทเทอร์ดามในกรุงปารีส และยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคที่ใหญ่ที่สุดในฮานอยอีกด้วย
014 The Haflington
ก่อนกลับเราขอพาไปเช็กอินร้านลับบรรยากาศสุดคูลที่ The Haflington ค็อกเทลบาร์ที่ใช้คำว่าเท่ได้เปลืองมาก เริ่มตั้งแต่จองโต๊ะล่วงหน้าผ่าน inbox FB (ร้านเปิดหลัง 15.00 น.) พอถึงเวลาจะมีพนักงานหนุ่มหล่อมาพาเดินเข้าทางลับ ๆ ขนาดเล็กไปยังด้านหลังอาคารพาณิชย์เก่าแก่ เพื่อขึ้นบันไดแคบ ๆ ไปต่อยังชั้นสาม ระหว่างทางไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเรากำลังจะเดินเข้าสู่บาร์ที่เปิดประตูเข้ามาแล้วว้าวในทันที กับการตกแต่งด้านในให้เรานึกถึงบรรยากาศในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว เริ่มตั้งแต่โครงกระดูกขนาดใหญ่ของไดโนเสาร์ห้อยอยู่เหนือบาร์กลางร้าน กรอบรูปเก่า โต๊ะเก้าอี้ไม้สีเข้มประกอบกับเคาน์เตอร์บาร์แล้วสวยสุดใจ แถมลุคของเราที่ใส่มาเป็นเสื้อยืดเนื้อดีของ Mc Journey เสริมเลเยอร์ด้วยเสื้อเชิ้ตสีเอิร์ธโทน ยิ่งทำให้ให้ฟีล Wild&Nature เข้ากับบรรยากาศร้านไปอี๊กกกก
ค็อกเทลของที่นี่จะมีตั้งแต่แบบคลาสสิกทั่วไปไปจนถึงโมเดิร์นคลาสสิก และเมนูในแต่ละช่วงฤดูกาลที่เค้าครีเอตขึ้นมาพิเศษให้ได้ลองชิมกัน ก่อนกลับไปสนามบินเราก็ขอลองจิบแบบเบา ๆ เป็นตัว The Birding Land ที่ได้กลิ่นหอม ๆ ของสมุนไพรกับเบอร์รีสดชื่นเหมาะกับสาว ๆ และ Wild, Rice & Unique รสชาติหวานอมเปรี้ยวที่เอาเปลือกมังคุดมาเป็นกิมมิกตกแต่งเก๋ ๆ
ปลายปีนี้ยังไม่มีทริปเที่ยวได้หรอ เราขอปิ๊ง! ไอเดียชวนมาเที่ยวเวียดนามที่สองสุดชิลที่ดีต่อใจสุด ๆ อย่าง ‘ฮานอย-ซาปา’ เที่ยวครบตั้งแต่สีสันจัดจ้านของร้านกาแฟที่มีให้ฮอปทั่วมุมถนน จุดถ่ายรูปเท่ ๆ ก่อนย่างกรายเข้าสู่เมืองสายหมอกที่มองไปทางไหนก็เจอแต่ความโรแมนติก และวิวภูเขาอลังการดาวล้านดวงที่ธรรมชาติสรรค์สร้างบันดาลมาบนยอดเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาแห่งอินโดจีน ทริปนี้จะเพอร์เฟคมั่นใจได้รูปสวยคู่กับวิวปัง ๆ ไม่ได้ถ้าไม่ได้หยิบชุด Mc Journey คอลเลกชั่นใหม่จากแบรนด์โปรดมาแมทช์ลุคเติม Outfit เท่ ๆ ติดกระเป๋ามาด้วย ใครที่สนใจก็เข้าไปส่องแล้วกด CF เอาไว้ไปเที่ยวทริปหน้ากันได้เลยที่ https://www.mcshop.com/page/collection-mc-journey-2023