เก็บกระเป๋าหนีทุกความเดิม ๆ ของชีวิตตลอดปี แล้วลองจัดทริปฮีลใจฉบับท้าลมหนาว ที่จะมาปรับมุมมองต่อประเทศจีนให้เปลี่ยนไปตลอดกาลด้วยกันเถอะ
จีนรอบนี้ขอเล่นใหญ่จัดเต็มเช่นเดิม …. แต่เพิ่มเติมคืออากาศที่หนาวฟิน ณ “ฉางซา” เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน ที่ซึ่งกลมกล่อมไปด้วยความงามงดของธรรมชาติสุดตระการตา เรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่สอดแทรกอยู่ในสถาปัตยกรรมอย่างยิ่งใหญ่ รวมไปถึงวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อยาวนานกว่า 2,000 ปี ใช่แล้ว!!! รูท 6 วัน 6 คืน นี้ เราจะพาเพื่อน ๆ ตะลอนเที่ยวข้ามเมืองแบบสะดวกสบายด้วยรถไฟความเร็วสูง เร่ิมจากการสัมผัสความยิ่งใหญ่ชวนตะลึงงันของธรรมชาติ ณ เมือง Zhangjiajie แล้วดื่มด่ำปล่อยเวลาให้เนิบช้าไปกับ 2 เมืองโบราณ 2 สไตล์ Furong กับ Fenghuang ก่อนปิดท้ายแบบสาวชิคเก๋เดินสับ ๆ เข้าคาเฟ่ แวะเช็คอินแลนด์มาร์คโมเดิร์นร่วมสมัยเท่ ๆ ในสุดยอดเมืองไฮเทค Changsha บอกเลยว่าทั้งหมดคือใจฟู ดีงามชนิดที่ตามไปเที่ยวแล้วต้องกลับมาไหว้ขอบคุณกันเลยทีเดียว
พอตั้งใจจะไปสัมผัสลมหนาวที่จีน AirAsia ก็เป็นสายการบินแรกที่แว๊บขึ้นมาในหัวทันที นั่นก็เพราะความปังกับไฟล์ทบินตรงที่มีรูทไปจีนมากที่สุด แถมมีราคามาพร้อมโปรเลิศ ๆ ให้ใจฟูอยู่เสมอ สำหรับ ฉางซา เขาจะมีไฟล์ทบินตรงจากดอนเมืองทุกวัน ออกจากกรุงเทพฯ (DMK) 18:10 น. – ถึงฉางซา (CSX) 22:25 น. ใช้เวลาบินราว 3 ชม. นิด ๆ ไปถึงก็นอนเก็บแรง พร้อมเริ่มทริปแต่เช้าในวันถัดไปได้เลย แต่ใด ๆ สิ่งที่ห้ามลืมเลยเด็ดขาดก็คือ การเลือกที่นั่ง-สั่งอาหาร น้ำหนักกระเป๋า ด้วยแพ็กสุดคุ้ม! แล้วแน่นอนว่าต้องเพิ่มตัวเลือกที่ปังที่สุดในเวลานี้อย่าง “Red carpet” ที่ทำให้คุณเป็นคนพิเศษด้วยบริการเช็กอิน และรับกระเป๋าก่อนใคร พร้อมบริการนั่งเลาน์จก่อนบินใน Coral Executive Lounge ซึ่งเค้าจะจัดโซนรับรองพิเศษ พร้อมรับเครื่องดื่ม Signature Drink แก้วพิเศษให้ด้วย เอาสิ!! ไม่เก๋ไม่ปังยังไงพูด
Day1 : Tianmenshan
Tianmen Mountain National Park
เปิดทริปแบบแกรนด์ ๆ กับแลนด์มาร์กที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 4 ภูเขาที่สวยที่สุดในประเทศจีน อุทยานแห่งชาติภูเขาเทียนเหมิน เมืองจางเจียเจี้ย ที่มีจุดเช็กอินแสนตระการตามากมาย ให้เราได้เที่ยวชมได้แบบเต็มวัน เดินทางขึ้นเขาได้หลายทาง ทั้งรถบัสผ่าน 99 โค้ง , Cable Car หรือจะเที่ยวแบบเอกซ์ตรีมหน่อย ๆ ก็มีเส้นทางเดินป่าให้เลือกเช่นกัน แน่นอนว่าสายรักสบายอย่างเรา ต้องตีตั๋วลอยขึ้นแบบสวย ๆ ด้วยเคเบิลคาร์กับราคา 275 หยวน พร้อมทางเลือก 3 รูปแบบที่มอบความตื่นเต้น ความฟินที่แตกต่างกัน คือ Line A (ขาขึ้น : นั่ง Cableway / ขาลง : บันไดเลื่อน ต่อด้วยนั่ง Cable Car), Line B (ขาขึ้น : นั่ง Cable Car ต่อด้วยบันไดเลื่อน / ขาลง : นั่ง Cableway), Line C (ขาขึ้น : นั่ง Cable Car ต่อด้วยบันไดเลื่อน / ขาลง : บันไดเลื่อน ต่อด้วยนั่ง Cable Car)
หากใครอยากรู้ว่าสวรรค์หน้าตาเป็นยังไง ที่นี่คงจะมีภาพลักษณ์ที่ใกล้เคียงสุด เพราะหลังจากที่เรายื่นตั๋วนำตัวเข้าสู่ Cableway จากภาพเมืองในหุบเขา เริ่มลอยขึ้นสูงเสียดฟ้าแบบไม่มีที่สิ้นสุด จนเมืองเล็ก ๆ ลับหายไปจากสายตา แทนที่ด้วยทิวเขา หน้าผาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านสลับทับซ้อนกันไม่รู้จบ เห็นเส้นถนนคดเคี้ยวตามไหล่เขาสวยงามดั่งภาพวาด สวยแบบมองได้ไม่รู้เบื่อ สมแล้วที่เป็นเส้นทางกระเช้าขึ้นเขาที่ยาวที่สุดในโลกกว่า 7.5 กิโลเมตร ยิ่งเป็นคนทำบุญมาดีก็ยิ่งได้เห็นสวรรค์ได้ชัดขึ้น กับวิวฟ้าเปิดอลัง ๆ แบบนี้เลย
เมื่อมาถึงจุดสุดท้ายของกระเช้า เราก็จะเริ่มเดินเท้ากันแบบยาว ๆ โดยด้านบนเค้าจะมีไกด์ให้เลือก 3 เส้นทางคือ West Line ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินราว ๆ 1-2 ชม.), Central Line ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร (ใช้เวลา 30 นาที – 1 ชม.) และเส้นทางยาวสุด East Line ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร ( ใช้เวลา 2 ชม. ) โดยทุกคนสามารถครีเอตการเดินเที่ยวของตัวเองได้ตามกำลังขา และเวลาที่อำนวย แต่สิ่งที่ได้พบเจอเหมือนกันแน่ ๆ คือความงดงามแสนตระการตาที่ธรรมชาติได้สร้าง เป็นหลักฐานบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ โดยเขาจะสร้างทางเดินลัดเลาะตามแนวผา ให้เราชมเวิ้งเขาได้ถนัดตา ทอดมองรูปทรงภูผาแสนแปลกตา ชนิดที่ต่อยอดจินตนาการได้อย่างไม่รู้จบ เป็นความเวอร์วังที่มีพี่จีนเท่านั้นที่สามารถทำได้
ส่วนจุดไฮไลต์ที่แม้เราจะเห็นผ่านโซเชียลอย่างหนาตา แต่ก็อยากมาเดิมชมเองสักครั้งก็คือ Glass Plank Road ทางเดินกระจกใส เลียบผาสูงกว่า 1,433 เมตร ในระยะทาง 60 เมตร ซึ่งทางเดินนี้จะกระจายอยู่ทั้ง 3 เส้นทาง โดยก่อนเริ่มทุกคนจะต้องเช่าถุงเท้าในราคา 5 หยวน ใส่สวมทับรองเท้าเพื่อป้องกันกระจกไม่ให้เป็นรอย แถมยังทำให้กระจกดูใสกิ๊งมองลงไปแล้วเสียวท้องวาบ ขนาดคนไม่กลัวความสูงอย่างเรา มองช่วงแรก ๆ ยังแอบกรี๊ดในใจ พอได้สัมผัสจุดไฮไลต์แล้วเราก็สามารถเดินถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ แวะเข้าร้านอาหาร ชมคาเฟ่ไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันแล้ว
หลังจากที่เดินเต็มอิ่ม ดื่มด่ำบรรยากาศของสวนบนสวรรค์เสร็จ ก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่ประตูสวรรค์ ‘Tianmen Cave’ แลนด์มาร์กตัวมัมที่ผู้คนทั่วโลกต่างรอคอยมาพบเจอ โดยจากด้านบนเราต้องใช้บันไดเลื่อนตรงดิ่งลงมา ซึ่งความปังความจึ้งของบันไดเลื่อนนี้นั้นคือ … นางถูกสร้างไว้ในอุโมงค์ที่มีการเจาะทะลุช่องเขา ยาวต่อกันถึง 7 ช่วง คงไม่ต้องสาธยายความใหญ่โตนี้ว่ามันขนาดไหน เอาเป็นว่าขนลุกสุด พี่จีนทำได้อีกแล้วครับคุณผู้โชมมมมมมมม!!!!
Lady and gentleman welcome to Tianmen Cave!!! ขอเสียงปรบมือดัง ๆ ให้กับประตูสวรรค์ โพรงขนาดใหญ่ที่ทะลุเขาเป็นรูโหว่ อันเกิดจากการกัดเซาะและพังทลายของหน้าผาตั้งแต่ปี 263 หรือในยุคสามก๊ก ความสูงของโพรงนี้อยู่ที่ 130 เมตร กว้าง 57 เมตร ลึก 60 เมตร ยืนมองด้วยตาเนื้อคือตะลึงในความยิ่งใหญ่ งดงามสมกับที่ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ แล้วพอค่อย ๆ ลงบันไดที่ชันจนเกือบจะตั้งฉาก เหนื่อยก็หลบไปที่ชานพัก สลับหันกลับย้อนมามองประตูสวรรค์เป็นระยะ ๆ ก็ยิ่งทำให้เห็นความสวยงามที่แตกต่างกัน ถือเป็นการจบทริปวันแรกได้อิ่มเอม และเป๊ะปังสุด ๆ กับวิวนี้
สองคืนแรกในเมืองจางเจียเจี้ย เราเลือกนอนโรงแรม JI Hotel Zhangjiajie เหตุผลแรกคือโลเคชั่นปัง ใกล้กับจุดขายตั๋ว Cable สู่ Tianmen Mountain National Park ใกล้รถไฟ Zhangjiajie Station รอบ ๆ มีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ เหตุผลที่สองคือเป็นโรงแรมเปิดเพิ่งเปิดได้เพียง 3 ปี ถือว่ายังใหม่อยู่ การตกแต่งก็เรียบสวย มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ระบบต่าง ๆ ดูทันสมัย พนักงานมีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ที่สำคัญห้องนอนสะอาด กว้างขวาง สไตล์มูจิแต่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แถมวิวห้องที่เราได้มองเห็นภูเขาและกระเช้าไกล ๆ ใครมาพักเมืองนี้แนะนำเลย
Day 2 : Zhangjiajie National Forest Park
วันนี้เราจะพาทุกคนไปยล อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ที่เป็นส่วนหนึ่งของจุดชมวิวอู่หลิงหยวน (Wulingyuan Scenic Area) อุทยานแห่งชาติที่ดีที่สุด ระดับ National AAAAA Tourist Attraction ถือเป็นระดับสูงสุดของจีน และเป็นอุทยานแห่งแรก ก่อตั้งเมื่อ 41 ปีก่อน มีพื้นที่กว่า 369 ตารางกิโลเมตร แบ่งโซนเที่ยวออกเป็น 3 โซน คือวนอุทยานแห่งชาติ หุบเขาซูยี่ และภูเขาเทียนจื่อ สำหรับราคาตั๋วเข้าชมจะแบ่งเป็น 2 ช่วง Peak Season (มี.ค. – พ.ย.) ราคา 224 หยวน, Low Season (ธ.ค. – ก.พ.) ราคา 114 หยวน สามารถเที่ยวได้ต่อเนื่องกัน 4 วัน (ไม่รวมค่าลิฟต์ และ Cable car) ชมวิวเสาหินควอตซ์ให้ฉ่ำตากันไปเลย ให้รู้ว่ามรดกโลกระดับ 5A มันเป็นยังไง
พอได้ตั๋วเรียบร้อยเราก็นั่งรถบัสไปยังจุดขึ้นกระเช้าลอยฟ้า เพื่อไปยังภูเขาเทียนจื่อ (Tianzi Shan) ด่านแรกที่เราจะได้ท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย โดยจากตรงนี้นักเทรกกิงสามารถเลือกวิธีเดินป่าเลาะชมความงามไปได้เรื่อย ๆ เช่นกัน แต่วิธีนั่ง Cable Car ถือว่าสะดวกและเทควิวได้ชิลที่สุดสำหรับเรา ส่วนนี้ต้องซื้อตั๋วเพิ่มเติมในราคาอยู่ที่ 72 หยวน ใช้เวลาราว ๆ 30 นาที แต่บอกก่อนว่าอย่าเพิ่งว้าว.. จนหมดแรง เพราะวิวที่เห็นนี้เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น
Sandstone Peak Forest – The Warrior Training Horses
จุกเช็กอินแรกที่เราเแวะมาจากลงจากกระเช้าคือ Sandstone Peak Forest จุดชมวิวแบบพาโนรามากว่า 180 องศา สูงจากระดับน้ำทะเล 1,262 เมตร ด้วยความสูงนี้ทำให้เราเห็นภาพป่าหินควอตซ์อันสูงชัน ตั้งตระหง่านมากกว่า 3,000 ยอด เต็มไปด้วยช่องแคบ พร้อมพันธุ์ไม้ขึ้นอุดมสมบูรณ์ มีทั้งลำธาร และถ้ำกว่า 40 แห่ง โดยวิวจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล อย่างช่วงที่เรามาถึง ฟ้าเปิด แดดงาม ๆ กำลังสาดลงมาทำให้เกิดเงาตกกระทบ ยิ่งขับให้เขามีมิติน่ามองเข้าไปอีก แค่จุดแรกก็เล่นเอารัวชัตเตอร์จนเมื่อยนิ้วกันเลยทีเดียว
ใกล้ ๆ กันจะมี He long Park : 贺龙公园 สวนสาธารณะบนยอดเขา โดยจุดสังเกตที่ทำให้รู้ว่าเรามาถึงสวนนี้แล้วก็คือรูปปั้นนายพลเหอหลง 1 ใน 10 จอมพลแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ที่เก่งกาจ แห่งยุคประธานเหมาเจ๋อตง ตั้งโดดเด่นด้วยความสูง 6.5 เมตร กับการออกแบบรูปปั้นที่เน้นให้เข้ากับธรรมชาติโดยรอบอันเต็มไปด้วยต้นไม้เมืองหนาวสูงใหญ่ แล้วพอเราช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง ก็จะได้ภาพใบไม้เหลืองสลับส้มแซมเขียว ให้ฟีลลิ่งเหงา ๆ แบบสวย ๆ
The First Bridge under Heaven : 天下第一桥 (เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว)
สปอตที่สองที่ต้องอยู่ในลิสต์เลยก็คือสะพานหหินใต้หล้าอันดับ 1 The First Bridge under Heaven : 天下第一桥 ลักษณะเป็นสะพานหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการกัดเซาะเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปี เชื่อมระหว่างภูเขาสองลูก อยู่บนความสูงกว่า 350 เมตร ทางเดินกว้าง 4 เมตร มีความหนา 5 เมตร โดยโฟโต้สปอตที่เราหมายตาไว้อยู่ที่ฝั่งตรงข้าม กับทางเดินที่เต็มไปด้วยริบบิ้นแดง พุ่งตรงสู่ศาลเจ้าเก่าแก่ เชื่อกันว่าหากนำริบบิ้นมาผูกไว้ริมระเบียงหรือต้นไม้ ก็จะสมหวังในเรื่องโชคลาภ ความรัก สุขภาพ หรือสิ่งที่ขอพรเอาไว้นั่นเอง
Avatar Hallelujah Mountain : 南天一柱 (หนานเทียนอี๋จู้)
พระเอกที่ทำให้เราอยากมาที่นี่คงเป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่ Avatar Hallelujah Mountain : 南天一柱 หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่าเสาหินแห่งฟ้าแดนใต้ น้องเสาหินทรายขนาดใหญ่ยักษ์ สูงถึง 1,074 เมตรจากระดับน้ำทะเล เหมือนกำลังยืนหยัดค้ำระหว่างแผ่นฟ้าและผืนดิน ฟอร์มของภูเขาเป็นลักษณะคล้ายลิ่ม ยิ่งใหญ่ทว่าเพรียวบางสวยงาม จนได้เป็นต้นแบบของหุบเขาแห่งดาวแพนดอร่า ในเรื่อง Avatar ภาพยนต์ที่ทำให้จางเจียเจี้ยโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก ต่อมาภายหลังจึงถูกเรียกว่า Avatar Hallelujah Mountain ตามชื่อหนังเพื่อให้ผู้คนจดจำได้ง่ายนั่นเอง
ใช้เวลาจนถึงบ่ายแก่ ๆ เพื่อเก็บภาพตามจุดชมวิวต่าง ๆ ซึ่งถือว่ายังน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับความใหญ่โตของอุทยาน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงขายตั๋วแบบเข้าต่อเนื่องได้ 4 วัน แต่สำหรับคนมีเวลาน้อยแค่ 3 จุดที่ได้มาเห็นวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ ส่วนจุดอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นกำไรให้ละเลียดวิวระดับเวิลด์คลาส แน่นอนว่าขากลับเราเลือกประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่แบบสับกับ Bailong Elevator ลิฟต์แก้วกลางแจ้งที่สูงที่สุด และเร็วที่สุดในโลก เจ้าของความสูง 326 เมตร เคลื่อนตัวได้ไวกว่า 3 เมตร/วินาที จุได้ถึง 50 คน เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2002 ผ่านมาเกือบ 21 ปี ก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี คิดดูว่าขามาเรานั่งกระเช้าขึ้นมาตั้งครึ่งชั่วโมง ขากลับเราลงสู่พื้นราบในเวลาแค่ 2 นาทีเท่านั้น เป็นอีกไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ
Day 3 : Furong
พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มก็ถึงเวลาบอกลาเมืองแห่งภูผาสวรรค์ นั่งรถไฟความเร็วสูงมายังหมู่บ้านโบราณริมน้ำตก ที่แอบซ่อนความงดงามอยู่ในหุบเขามาหลายพันปี เมือง Furong เดิมชื่อว่า Wangchun มีเรื่องราวยาวนานตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก หรือราว ๆ 202 ปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นที่อยู่ของชาวถู่เจีย กลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของจีน ก่อนจะกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจากภาพยนตร์เรื่อง Hibiscus Town จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นฟูหรงเจิ้น เริ่มมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากขึ้น อาทิ ชาวแม้ว ชาวฮั่น รวตัวอาศัยอยู่ท่ามกลางสถาปัตยกรรมโบราณที่ขึ้นตามไหล่เขา จนถูกจัดอันดับให้เป็น National AAAA Tourist Attraction อีกด้วย โดยมีค่าเข้าชมอยู่ที่ 108 หยวน สามารถเข้าออกได้ต่อเนื่อง 3 วัน
นอกจากความงดงามของอาคารบ้านเรือนทรงจีนเก่าแก่ที่ตั้งไล่ลำดับ คุมโทน คุมสีอย่างมีเทสต์แล้ว อีกไฮไลต์ของเขาคือ Furong Town Waterfall หรือ น้ำตกฟูหรง น้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันตกของมณฑลหูหนาน แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกสูง 20 เมตร กว้าง 50 เมตร ชั้นที่สองสูง 33 เมตร กว้าง 60 เมตร ที่หลังม่านน้ำตกยังแอบซ่อนสถานที่ท่องเที่ยวอันทรงเสน่ห์อย่าง Tujia Ancestors Cave Relics ถ้ำที่ชาวถู่เจียลี้ภัยสงครามมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย ในนี้จึงเต็มไปด้วยหลักฐานทางวัฒนธรรม ว่ากันว่าถ้าอยากได้มุมน้ำตกสวย ๆ จะต้องมาช่วงมิถุนายน – สิงหาคม ซึ่งตรงกับหน้าฝน น้ำจะเยอะมาก จนถ่ายรูปน้ำตกได้เป็นสายเลย ส่วนภาพที่เห็นนี้เรามาหน้าหนาว น้ำน้องก็เลยออกจะแห้งหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนเสน่ห์ของที่นี่ลงได้เลย
สำหรับที่นี่ถือว่าไม่ได้ใหญ่มาก สามารถเที่ยวตาม route maps ที่ได้จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เลย ส่วนจุดเช็กอินที่ควรค่าแก่การร่วมเฟรมก็จะมี ‘Rock Jumping’ สะพานหินที่เชื่อมระหว่างสองฝั่งของเมืองฟูหรง เดินมาอีกนิดจะเป็น ‘Xizhou Tusi Square’ เสาทองที่สลักอักษรกว่า 2,300 ตัว พร้อมน้ำหนักกว่า 2.5 ตัน ที่สร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสงครามซีโจว ที่เกิดจากความขัดแย้งของรัฐฉู่และรัฐซี เมื่อ 1,084 ปีก่อน อีกจุดที่ถ่ายรูปทำคอนเทนต์ได้ปังคือ ‘Tuwang Bridge’ สะพานที่จะฉายแววความสวยในยามเย็น เมื่อเหล่าโคมจีนเริ่มติดไฟ สะท้อนบนผิวน้ำ เห็นแสงเงาอันละเอียดละออของโครงสร้างบ้านเรือนเป็นภาพที่ว้าวสุด ๆ
อีกจุดที่เราชอบเป็นการส่วนตัวเอามาก ๆ คือ Wuli Stone Street ถนนคนเดินลัดเลาะตามภูเขายาว 2.5 กิโลเมตร มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะจนสามารถครีเอตภาพได้สนุกสุด ๆ เรียกว่ามีรูปโปรไฟล์ไปเปลี่ยนทุกช่องทางโซเชียลแน่นอน แล้วยังเป็นแหล่งกระตุ้นเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารทั้งสองข้างทาง เดินเพลินได้แบบไม่เบื่อเลย
เมนูที่ควรค่าแก่การลิ้มลองเมื่อมาถึงที่นี่คือ หมี่ โต้ว ฝู (米豆腐) เป็นเต้าหู้ทำจากข้าวที่เห็นชาวบ้านขายทั่วทั้งเมือง รสชาติออกจืด ๆ ต้องเติมพริก เครื่องปรุงลงไปหน่อยก็กินได้แบบเพลิน ๆ ส่วนของหวานจะเป็น เฮา เฉ่า ปา (蒿草粑) ลักษณะเป็นแป้งข้าวเหนียวผสมบอระเพ็ด ที่ด้านในจะเป็นไส้หวาน ทำจากน้ำตาล เมล็ดงา แป้งถั่วเหลืองที่บดผสมกัน ก่อนยัดไส้แล้วนำไปนึ่ง กินร้อน ๆ รสชาติหวาน ๆ นุ่ม ๆ คู่กับชาท้องถิ่นแล้วเหมาะสมสุด ๆ
แล้วช่วงเวลาที่คนจะเนืองแน่นมาก ๆ คงหนีไม่พ้นตอนพลบค่ำ ที่ทั้งเมืองจะสว่างไสวไปด้วยไฟสีส้ม สะท้อนแอ่งน้ำและน้ำตก ขับความโดดเด่นให้กับเมืองโบราณแวววาวดั่งอัญมณีแสนลึกลับ เห็นแค่นี้ก็รู้สึกคุ้มค่าที่ได้มา เป็นการจบวันที่ 3 แบบใจฟูสุด ๆ แต่สำหรับสายแลนด์สเคปแนะนำให้มานอนเก็บภาพสักคืนสองคืน น่าจะได้รูปสวย ๆ อีกเพียบ!
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการเดินทางข้ามเมืองในจีนนั้นค่อนข้างเจริญแบบก้าวกระโดด อย่างรถไฟความเร็วสูงที่สุดในโลกก็อยู่ที่จีน อย่างรูทที่เรามานี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงใช้เวลาเดินทางเป็นวัน แต่ตอนนี้ชิลสะบัด รถไฟความเร็วสูงเข้าถึงแทบทุกพื้นที่ ฉะนั้นใครใฝ่ฝันอยากเที่ยวข้ามเขต ข้ามเมืองแบบเรา เลิกกังวลเรื่องเดินทางยาก สื่อสารไม่รู้เรื่องไปได้เลย แถมไวบ์การเดินทางยังดีงาม ด้วยสถานีที่สะอาด ใหญ่โต โมเดิร์น ฟีลลิ่งเหมือนของเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น และวันนี้เราก็ได้นั่งข้ามจากฟูหรงมายังเฟิ่งหวงด้วยเวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้น ราคาก็ขึ้นอยู่กับคลาสที่เลือก สามารถจองผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้าจากไทยได้เลย
Day 4 : Fenghuang
ให้วันนี้เป็นวันชิล ๆ เดินเที่ยวสวย ๆ แบบไม่สนลูกใคร หลังจากที่ข้ามเขตเทียบชานชาลามาถึง Fenghuang เที่ยง ๆ เราก็มาเช็กอินในที่พักก่อน ณ Phoenix Youran Qingsu Hotel โรงแรมที่ในย่านโอลด์ทาวน์ ติดแม่น้ำถัวเจียง ปังสุดคือเลือกห้องไทป์ river views with balcony ซึ่งมีระเบียงกว้างขวาง ให้เราออกไปนั่งจิบชาชมวิวริมน้ำ เคล้าอากาศเย็นได้อย่างเหมาะเจาะ การออกแบบเป็นแนวโมเดิร์น เรียบหรูผสานวัฒนธรรมจีนเข้าไปอย่างลงตัว ห้องพักกว้างสบาย ใช้สีโทนครีม เทา เขียวตุ่น ให้ความรู้สึกสงบ น่าพักผ่อน ซึ่งแต่ละห้องจะมีธีมแตกต่างกันออกไป พนักงานน่ารักอัธยาศัยดี ฟีลไลก์โฮมสุด ๆ
หลังจากที่เราได้เอนกายพักให้พอหายเหนื่อยล้า ก็เริ่มออกตามล่าหามื้อเที่ยง พร้อมเดินสำรวจเมืองเฟิ่งหวงแห่งนี้กัน แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ ทว่าความสง่างามนั้นช่างยิ่งใหญ่ ให้เราได้เพลิดเพลินกับเมืองโบราณริมน้ำ ที่ห้อมล้อมด้วยภูเขา โดยชื่อเมืองนั้นมาจากรูปร่างของภูเขาหูหนาน ที่หน้าตาคล้ายหงส์ เป็นที่อยู่ของชาวถู่เจียและชาวเหมียว สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง จึงมีเรื่องราวมากมายแอบซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง จนได้ถูกจัดลำดับ National AAAA Tourist Attraction และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย เอาจริง ๆ ทริปนี้มันปังอยู่นะ ไปไหนก็เจอแต่สมบัติชิ้นสำคัญของโลกทั้งนั้นเลย
จุดเด่นของเมืองคือแม่น้ำถัวเจียง ซึ่งชาวเมืองใช้คมนาคมเป็นหลัก จนได้ขึ้นชื่อว่าเวนิสเมืองจีนไปโดยปริยาย หากมองดี ๆ เราจะเห็นการออกแบบบ้านเรือน ที่ยกตัวสูงขึ้นจากพื้นดินด้วยตอไม้เรียกว่า เตี้ยวเจี่ยวโหล เพื่อป้องกันการไหลหลากของน้ำนั่นเอง บอกแล้วว่าทุกเรื่องราวมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราได้สังเกต แอบถ่ายรูป Snap มาจนเม็มกล้องแทบเต็มแน่ะ
และไฮไลต์หลักที่ต้องแวะเช็คอินก็คือ Hong Bridge สะพานหง มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า The Rainbow Bridge เป็นจุดชมวิวอีกแห่งที่ทำให้เราได้ภาพเมืองงาม ๆ มาฝากกัน โดยสะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อ 353 ปีก่อน บนสะพานจะเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านค้าขายของ ส่วนชั้นบนทำหน้าที่เป็นแกลลอรี มีร้านน้ำชาไว้ให้นั่งชิล มองออกไปเราจะเจอกับหอคอยทรงจีน 6 เหลี่ยม นั่นคือ Wanming Tower หรือ หอคอยว่านหมิง สร้างมาเมื่อ 247 ปีก่อน ใช้เป็นเตาเผากระดาษ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบให้ภาพของเมืองนี้สวยสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และยังมี Duocui Building หอคอยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดมากกว่า 400 ปี แต่ถูกสร้างใหม่ในร้อยปีต่อมา แต่ก็ยังคงมีความสวยงามอยู่มิคลาย น่าสนใจไปซะทุกจุดจริง ๆ
ขอสารภาพว่าระหว่างเดินถ่ายรูปเล่น เราได้แอบไปแทะเล็มสตรีทฟู้ดที่กระจายอยู่ทั่วเมือง พร้อมซื้อของฝากฉ่ำ ๆ มาไว้เต็มกระเป๋าแล้ว แต่สิ่งที่อยากมานำเสนอมากที่สุดคือคาเฟ่ที่มีอยู่มากมาย แบบที่นักฮอปสายชาจะต้องร้องกรี๊ด โดยเฉพาะร้าน YingZi ร้านขายชาที่มีวิวสุดจึ้ง มู้ดแสนดี จัดเสิร์ฟทั้งชาและกาแฟในรูปแบบโฮมมี่สไตล์จีน น่ารักน่าหยิกสุด ๆ ส่วนขนมก็จะเป็นบรรดาผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง ธัญพืช เป็นการกินแบบ chinese traditional ที่แท้จริง
ตอนกลางวันว่าครึกครื้นแล้ว ช่วงกลางคืนของที่นี่คึกคักยิ่งกว่า กับการจัดแสงสีทั่วทั้งหมู่บ้าน กินพื้นที่ไปถึงบนเขา ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยอล้าอลังเวอร์วัง จนไม่อยากกะพริบตา เหล่าร้านรวงก็เปิดขายกันเต็มสตรีม ผับ บาร์นั่งชิลเปิดเพลงเสียงดัง สนุกสนาน เหล่านักท่องเที่ยวออกมาเดินอย่างเริงร่า ประหนึ่งเพิ่งตื่นนอน หากอยากได้วิวเต็มตาแนะนำให้ขึ้นไปบน Fenghuang Bridge จะได้ภาพวิวเมืองในมุมสูง โดนมี Xueqiao (Snow Bridge) หรือ สะพานเสวี่ยเฉียว อีกสัญลักษณ์ของเมืองเป็นจุดเด่นนำสายตา
Day 5 : Fenghuang – Changsha
ยามเช้าของวันที่ 5 เรารีบตื่นมาสัมผัสบรรยากาศของเมืองเฟิ่งหวงอีกครั้ง ซึ่งบรรยากาศตอนนี้ดูเงียบเชียบ สุขสงบประหนึ่งแสงสีเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน บอกเลยว่ามู้ดช่วงเช้าของที่นี่มันดีมาก คุ้มค่าแก่การตื่นสุด ๆ แสงเช้าที่ตั้งทำเงากับภูเขา สะพาน บ้านเรือน สะท้อนบนผิวน้ำมันดูฟุ้งละมุนตาไปหมด มีชาวบ้านพายเรือออกมาทำกิจธุระ ผู้คนบางตาที่ออกมาเดินเล่นเหมือน ๆ กับเรา ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยซะจนรู้สึกไม่อยากให้การเดินเล่นเลาะริมน้ำนี้สิ้นสุดลง
ก่อนที่จะอำลาหมู่บ้านนี้ไป เราไม่ลืมกิจกรรมที่จะทำให้การเที่ยวเฟิ่งหวงคอมพลีทมากยิ่งขึ้นกับ Tuojiang River Boating การล่องเรือโบราณในแม่น้ำถัวเจียง ชมความงดงามของเมือง ธรรมชาติ และวิถีชีวิตของผู้คนยามเช้า บ้างมาเดินออกกำลัง บ้างก็เริ่มหอบผักหาบผลไม้ออกมาขาย เห็นเด็ก ๆ วิ่งไปมาอย่างสนุกสนาน เป็นเมืองที่สะท้อนความมีชีวิตชีวาอันหลากหลาย มองได้เพลิน ๆ จริง ๆ โดยเรือช่วงเช้านี้ราคาอยู่ที่คนละ 85 หยวน หรือราว 400 กว่าบาทเท่านั้น
ครึ่งวันหลังเราลากกระเป๋าออกจากเมืองโบราณ มุ่งตรงสู่ความศิวิไลซ์ด้วยรถไฟความเร็วสูงเช่นเคย เพื่อมาปิดทริป ณ ฉางซา เมืองหลวงแห่งมณฑลหูหนาน เมืองที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคน เป็นอีกที่ที่มีความสำคัญกับการปฎิวัติระบบการปกครองของจีน นั่นก็คือเป็นบ้านเกิดของท่านประธานเหมาเจ๋อตงนั่นเอง และที่ดีไปยิ่งกว่านั้นคือเราสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ต้องพะวงกับการสื่อสาร ไม่ต้องกลัวเรื่องหลงทาง กับราคาที่แสนดีเริ่มต้นคนละ 2 หยวนเท่านั้น เรื่องผู้คนก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน เป็นจีนยุคใหม่ที่มีระเบียบ และมารยาทดีขึ้นเยอะมาก ๆ สมมงเมืองติดอันดับ ‘เมืองที่มีความสุขที่สุดในจีน’ จริง ๆ
กว่าจะถึงฉางซาก็ใกล้จะเข้าช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เราเลยถือโอกาสนี้มาเดินเล่นเลาะริมแม่น้ำ Xiangjiang River พร้อมเก็บแสงเย็นมาฝากให้เพื่อน ๆ ได้เชยชมไปพร้อม ๆ กัน ถึงแม้ว่าที่นี่จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวของหูหนานที่ไม่เคยหลับใหล แต่การได้มาเปิดประสบการณ์กับความสงบแบบนี้ก็ถือว่าเกินคาดไปมาก เราชมวิวพร้อมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เกี่ยวกับมวลน้ำในแม่น้ำเซียงเจียงที่กำลังไหลไปรวมตัวบรรจบกลายเป็นแม่น้ำแยงซีเกียงอันยิ่งใหญ่
เมื่อท้องฟ้าสีส้มถูกทาบทับด้วยความมืดมิดก็ได้เวลาที่เราจะใช้ Nightlife ให้สนุกสุดเหวี่ยงไปกับ ‘ถนนคนเดินไท่ผิง’ (Taiping Street) ถนนที่คับคั่งไปด้วยร้านค้าร้านอาหาร บนความยาวกว่า 500 เมตร สิ่งที่ทำเราสับสนจนเลือกไม่ถูกคือบรรดาสตรีทฟู้ดที่มีอยู่มากมาย มีกลิ่นอายความ Local อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมเหล่าอาคารเก่าแก่อายุหลายพันปี และสิ่งที่ห้ามพลาดเลยคือเต้าหู้เหม็นเมืองฉางซาที่จะมีสีดำสนิท แม้กลิ่นจะไม่น่าอภิรมย์ แต่ถ้ากินร้อน ๆ แล้วเราว่ารสชาติถือว่าดีมากทีเดียว
ก่อนเข้าโรงแรมเราก็มาล้างปากกันด้วยชาเจ้าดัง ‘ฉาเหยียนเยว่เซ่อ’ 茶颜悦色 หรือเรียกง่าย ๆ ว่า Sexy Tea โดดเด่นด้วยโลโก้รูปหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ขายชาคุณภาพดีในราคาสมเหตุสมผล จึงเป็นแบรนด์ชาติดอันดับที่ชาวหูหนานต่างชื่นชอบ ซึ่งมีอยู่หลายสาขามากในมณฑลแห่งนี้ พอได้ลิ้มลองก็รู้ซึ้งถึงความหอมละมุน แบบที่สามารถกินได้ทั้งวันสามเวลา ส่วนสายหวานแนะนำให้สั่งเมนูที่มีวิปปิงด้วย มันจะเนียนนุ่มหวานน้อย แบบถูกใจใช่เลย
Day 6 : Changsha
Last Day ของทริปเราจะไม่เร่งตัวเองให้เสียมู้ด ขอตื่นสาย ๆ มาอาบน้ำให้สดชื่น หยิบชุดที่เก๋ที่สุดในกระเป๋าออกมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้พร้อม เพราะจะเป็นวันที่เราเที่ยวจีนแบบฮิป ๆ ในโหมดคนคูล เจริญหูเจริญตากับมหานครฉางซา ฉบับที่ลบภาพจำเมืองจีนโบราณอันคร่ำครึ โดยเริ่มต้นด้วย ALL RIGHT CAFE คาเฟ่ที่ตกแต่งด้วยไม้ผสมปูน โทนขาว น้ำตาล ครีมคลีน ๆ ทำให้ร้านแคบ ๆ นี้ดูสบายตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และที่เซอร์ไพรส์กว่านั้นคือผู้คนที่นี่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ มีป้ายภาษาอังกฤษบอกครบ เราเลยกล้าสั่งเครื่องดื่มแบบไม่เขินอาย ได้มาทั้งอเมริกาโน่ และลาเต้ รสชาติเข้มละมุน เป็นเชื้อเพลิงยามเช้าที่แสนดีงาม
พิกัดต่อมา ‘Meixihu International Culture & Art Center’ (梅溪湖国际文化艺术中心) เดินทางง่ายดายด้วยรถไฟใต้ดิน เดินขึ้นมาก็พร้อมเช็กอินที่เหมยซีหู ศูนย์วัฒนธรรมและศิลปะนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลหูหนาน ทำเราตื่นตะลึงไปกับโครงสร้างอาคารที่แสนแปลกตา ออกแบบโดย Zaha Hadid Architects จากประเทศอังกฤษ ให้มีความโค้งเว้าคล้ายริบบิ้นเกลียวคลื่น วาดเส้นตึกด้วยการติดกระเบื้องสีขาว และกระจกให้ดูพริ้วไหวไปตามโครง เหมือนหลุดมาจากภาพกราฟฟิกที่ดูล้ำสมัย จนกลายเป็นจุดถ่ายภาพขวัญใจของชาวต่างชาติและชาวเมืองไปโดยปริยาย
หากจะให้จำแนกถึงแนวการออกแบบที่นี่ เรียกกันว่า Neo-futurist style เป็นรูปแบบอาคารที่สะท้อนความเป็นโลกอนาคตออกมา ภายใต้รูปลักษณ์อันอ่อนช้อยนี้ก็แฝงไปด้วยความแข็งแรงของวัสดุ ความละเมียดละไมในการสร้างมิติของเสาและคาน เหมือนเป็นอีกหนึ่งชิ้นงานศิลปะขนาดมหึมาที่เราสามารถเดินชมได้ทั้งวัน โดยที่นี่จะแบ่งออกเป็น 3 อาคาร ที่บรรจุทั้งพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย, โรงละครที่จุคนได้มากถึง 1,800 ที่นั่ง, ห้องโถงอเนกประสงค์สำหรับจัดงานอีเวนต์ บอกเลยว่าสาย Architech ไม่ควรพลาด
แม้จะดื่มชามาตลอดทั้งทริป แต่ก็รู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอสำหรับเรา บ่ายนี้เลยเลือกมานั่งที่ 茶泱泱 Tea for Young ร้านชาเจ้าดังที่สร้างอาคารให้เหมือนโรงเตี๊ยม ผสานความโมเดิร์นด้วยการติดกระจกโปร่งแสงแทบทั้งตึก มีบาร์พร้อมใบชาให้เลือกมากมาย ชอบสุด ๆ ตรงชั้นบนสุด ที่ทำบันไดให้เราไปนั่งชมวิวบนหลังคาจีนโบราณ พร้อมเซตชาลุคโมเดิร์น ถ่ายทอดรสชาติแสนคลาสสิก เคล้าขนมที่มีทั้งเค้ก และของพื้นเมืองรสชาติอร่อย เป็นโมเมนต์ที่ฟินสุด ๆ
แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะปล่อยจอยกับพิกัดใจกลางเมืองที่ตึก Changsha International Finance Square (Changsha IFS) ตึกแฝดใจกลางเมืองที่รวบรวมทุกสิ่งที่ผู้คนต้องการเอาไว้ทั้งหมด มีรูปปั้นยักษ์ SEEING/WATCHING ของศิลปินชื่อดัง Kaws ประดับอยู่บนดาดฟ้าด้านบน โดยสองตัวนี้มีชื่อว่า Companion และ BFF เป็นงานศิลปะที่จะอยู่ตรงนี้แบบถาวร ด้านในตึกเรายังเพลิดเพลินไปกับบรรดาร้านค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า เครื่องประดับ บางช่วงจะมีจัดงานนิทรรศการ และงานเทศกาลอยู่เรื่อย ๆ เรียกว่ามาซ้ำกี่ทีก็จะต้องเจออะไรใหม่ ๆ แน่นอน
ถ้ายังไม่จุใจสามารถเดินมาฝั่งตรงข้ามที่ Huangxing Road Walking Street (黃興路步行街) หรือ ถนนคนเดินหวงซิง ที่รวบรวมทุกความบันเทิง และการกินดื่มเอาไว้ในที่เดียว ถือเป็นอีกย่านที่เจริญที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้ ทั้งสองข้างทางอัดแน่นไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหารจริงจัง สตรีทฟู้ด ของกินเล่นแบบพื้นเมืองน่าลิ้มลอง ถ้าไปกับเพื่อนแล้วเดินหลง เขาก็มีจุดนัดพบ บริเวณรูปปั้นท่านหวงซิงยืนมาดมั่น โดดเด่น เขาคือนักปฏิวัติรุ่นเดียวกับซุนยัตเซ็น บุคคลสำคัญที่เกิด ณ เมืองแห่งนี้ จึงตั้งชื่อถนนเป็นชื่อของเขานั่นเอง
อีกสิ่งอย่างที่ขาดไปแล้วแทบขาดใจ ก็คือการกินชาบูหม่าล่าที่จีน สิ่งเสพติดที่ทำให้เราเลิกไม่ได้เด็ดขาด หลังจากที่เดินชอปจนขาแทบแหลกสลาย เราก็มานั่งพักหายใจกันที่ 袁老四火锅(长沙旗舰店) ร้านชาบูตัวท็อปของฉางซา ที่เราปักหมุดมาตามความปังของรีวิว ประทับใจตั้งแต่การตกแต่งร้านที่ทำให้เหมือนโรงน้ำชาโบราณอันหรูหรา ทั้งประตู หน้าต่างฉลุลายจีน ติดโคมแดงดีไซน์โมเดิร์น ทำให้ร้านดูมีเสน่ห์น่ามอง พร้อมเมนูเนื้อ ผัก เครื่องเคียงที่กินแล้วรับรู้ถึงคุณภาพและความสดใหม่ จุ่มกินกับหม่าล่ารสเข้มเผ็ดชาถึงใจแล้ว กลายเป็นมื้อสุดท้ายของทริปที่มงลงจริง ๆ
จบไปอีกทริปที่ได้อัปเดตจีนส่งท้ายปี 2023 เป็นจีนยุคใหม่ ด้วยการคมนาคมหลังโควิดที่ทำให้เราอึ้งทึ่งในความล้ำสมัย แถมผู้คนก็ยังพัฒนาจนเราอดประทับใจไม่ได้ รู้สึกได้ถึงความน่าเที่ยว ความมีชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน แถมยังให้ความสำคัญกับศิลปะ การออกแบบ การจัดรูทสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สะดวกสบาย แม้จะอยู่บนภูเขาอันสูงลิ่ว เป็นทริปจีนที่เกินความคาดหวัง เกินจินตนาการของเราไปมากจริง ๆ ใครอยากสัมผัสความยิ่งใหญ่ และความชาญฉลาดของพี่จีน แนะนำให้ตามรอยทริปนี้กันได้เลย