มาแล้วกับทริปญี่ปุ่นแบบเต็มคาราเบล !!
วันนี้เราขอพาคนคิดถึงญี่ปุ่นทุกคนไปสัมผัสความฟินในช่วงใบไม้ร่วงกันที่ภูมิภาคชูบุ ที่อยู่อาศัยของเหล่าเทือกเขาเจแปนแอลป์อันงดงาม ตอบโจทย์ทุกสายการท่องเที่ยวตั้งแต่นั่งกระเช้าขึ้นจุดชมวิวแสนดีที่หาชมได้ที่นี่เท่านั้น เข้าฟาร์มไปเก็บผลไม้ระดับพรีเมียมกินกันสด ๆ ชมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น้อยคนจะได้เห็น ร้อยเรื่องราวสมัยเอโดะผ่านสถาปัตยกรรมเก่าแก่แสนสมบูรณ์ และวิถีชีวิตเรียบง่ายอันน่ารักในโฮมสเตย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก รวมทั้งหมด 4 วัน 3 จังหวัด Nagano-Toyama-Takayama บอกเลยว่า ทริปนี้เราหิ้วร่างมาพร้อมความร่าเริง ภาพที่ถ่ายออกมาจึงสดใสกว่าปกติ ใครเห็นจะต้องใจบางอยากตามมากันอย่างแน่นอน
Day 1 : Nagano Prefecture
Nakamura Farm
เริ่มต้นทริปกันด้วยความฟีลกู้ดขั้นสุด กับการชมฟาร์มสไตล์ญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่นากาโน่ กับผลไม้แสนโปรดปราน องุ่นลูกโตระดับพรีเมียมที่เรามักเห็นวางขายอยู่ในตู้แช่ผลไม้ราคาแพง นอกจากกิจกรรมเด็ดองุ่นทานสด ๆ จากต้นแล้ว บรรยากาศของเขายังแสนสดชื่น และสงบไร้นักท่องเที่ยวให้เราได้พักผ่อนได้อย่างสบายอารมณ์ ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะกับการปลูกองุ่น ผลของเขาจึงมีขนาดใหญ่ ไร้เม็ด หวานละมุน บางพันธุ์มีเนื้อกรอบ บางพันธุ์มีเท็กซ์เจอร์นุ่มหนึบ มาถึงที่ เราก็กินให้หายคิดถึง กินจนจุกอกจุกใจไปเลย
โดยองุ่นที่ไร่นี้ เขาจะมีอยู่ 3 สายพันธุ์ด้วยกัน
Shine Muscat องุ่นสีเขียวที่นิยมปลูกในจังหวัด Yamanashi และ Nagano สายพันธุ์ที่ญี่ปุ่นคิดค้นและพัฒนา จนได้ผลที่มีรสชาติหวาน หอม กรอบ เป็นที่นิยมทั้งในจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย ฯลฯ แม้ตอนนี้หลายประเทศจะเริ่มปลูก แต่ถ้าเพื่อน ๆ อยากสัมผัสรสชาติที่ดีที่สุดแบบออริจินอลก็ต้องมาลิ้มลองที่ญี่ปุ่น
Nagano Purple พันธุ์ดั้งเดิมของนากาโน่ ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย มีเนื้อนุ่มฉ่ำ เปลือกบาง รสอมเปรี้ยวนิด ๆ
Queen Nina พันธุ์นี้พิเศษหน่อยด้วยเนื้อที่แน่น รสชาติหวานมาก และมีเท็กซ์เจอร์นุ่มเหมือนเยลลี่ จึงได้ตำแหน่งราชินีองุ่นแห่งญี่ปุ่นไปแบบไร้ข้อกังขา
ราคาที่ไทยแต่ละพวงจะอยู่ที่หลายพันบาทขึ้นไป แต่กินที่นี่เริ่มต้นเพียง 2,800 เยนเท่านั้น แถมได้เด็ดกินสด ๆ จากต้น มันยิ่งฟินนะแก
Obuse Village
จากสวนสู่ย่านเมืองเก่าที่หมู่บ้านโอบุเซะ ย่านที่ยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ศิลปะ และวัฒนธรรมเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะเอาไว้ ภายในอาคารเก่าเหล่านี้ ก็จะเป็นทั้งโรงผลิตสาเกโบราณ ร้านค้า ร้านอาหารแบบดั้งเดิม พร้อมมิวเซียมจัดแสดงศิลปะมากมาย ถือเป็นที่เที่ยวยอดนิยมของนากาโน่ เราจะเห็นเหล่าวัยรุ่นชาวยุ่นเดินแวะเวียนเข้าร้านรวงอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังไม่ป๊อปมากสำหรับคนไทย ฉะนั้นใครอยากเที่ยวก็รีบมากันนะ สำหรับการเที่ยวในย่านนี้ เราสามารถเดินได้ทั่ว แต่ถ้าอยากชมโซนรอบ ๆ สัมผัสธรรมชาติ ความสงบ และวิถีชีวิตเรียล ๆ แนะนำให้เช่าจักรยานปั่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเมืองนี้เลย เรามาเช่าที่ Maaru Bike Cafe ร้านที่เป็นทั้งร้านเช่าจักรยาน ที่พักและคาเฟ่
ปั่นชมนกชมใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมอากาศที่กำลังเย็นขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงที่หมาย หน้าร้าน Milgreen ร้านขายไอศกรีมและเจลลาโต้ ท่ามกลางฟาร์มเลี้ยงวัว ให้เราเห็นกันชัด ๆ ว่าวัตถุดิบของเขามาจากนมวัว 100% แม้วัวของที่นี่จะมีจำนวนน้อย จนเรียกว่าเป็นฟาร์มที่เล็กที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แต่มันก็ทำให้เขาสามารถใส่ความรักความใส่ใจแก่พวกมันได้อย่างเต็มที่จนได้นำ้นมที่มีคุณภาพนั่นเอง
วัวที่นี่ก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ.. เขาเลี้ยงโคนมพันธุ์เจอร์ซี่ วัวที่ผลิตน้ำนมที่ดีที่สุดเพราะมีปริมาณไขมันสูง จึงทำให้ไอศกรีมของเขามีความครีมมี่ขั้นสุด โดยมีให้เราเลือกถึง 10 รสชาติ ที่ใช้เบสจากนมวัว เราเลือกสั่งรสพิสตาชิโอ และรสนมซิกเนเจอร์มีโคนกรุบกรอบปักมาด้านบน บอกเลยว่ารสชาตินุ่มละมุน หอมนมแบบเต็มสิบ
กินเสร็จ เราก็เดินแวะเข้าไปดูฟาร์มของเขาสักนิดสักหน่อย vibe ดีมากเลยแก.. รอบด้านเต็มไปด้วยกิ่งไม้พลิ้วไหว เสียงใบสนเสียดกันยามลมพัด มีลูกวัวตัวน้อยออกมาทักทายอย่างน่ารัก พร้อมเส้นทางเดินให้เราไปชมนานาพรรณไม้ได้ยาว ๆ ถือเป็นสวรรค์ของคนรักความกรีนอีกที่เลย
ปั่นชมวิวจนเพลิน รู้ตัวอีกที ท้องก็เริ่มร้องกิ่วเลยรีบเร่งฝีเท้ามาฝากท้องที่ร้าน Kurabu (小布施 寄り付き料理 蔵部) เป็นอาคารบ้านทรงญี่ปุ่นสมัยเอโดะ รายล้อมด้วยต้นไม้เมืองหนาวที่กำลังเปลี่ยนสี การตกแต่งภายในเป็นแบบ Traditional แฝงด้วยความโมเดิร์น เน้นวัสดุไม้ดูสบายตา มีกระจกบานใหญ่ให้เราเทควิวธรรมชาติด้านนอกเคล้ากับอาหารรสเลิศได้อย่างเต็มอิ่ม
สำหรับอาหารของเขาก็จะจัดเสิร์ฟอย่างพิถีพิถันสไตล์นิปปอน จากวัตถุดิบที่สดใหม่ในพื้นที่ชินชู(ชื่อเรียกเก่าของพื้นที่แถบนากาโน่) ตั้งแต่เนื้อปลา ผัก เห็ดและถั่วจากฟาร์มท้องถิ่น โดยเมนูของเขาจะมีทั้งหมด 4 เซ็ตชูโรง ซึ่งเราสั่งมา 2 ชุดที่เป็นไฮไลต์ ชุดแรกคือทากิโกมิ โกฮัง หรือข้าวทรงเครื่องสไตล์ญี่ปุ่นที่ใส่โชยุ เหล้า ผักและเนื้อสัตว์คลุกเคล้าหุงจนเข้าเนื้อด้วยเตาถ่าน ทำให้มีความหอมไม่เหมือนใคร เสิร์ฟมาพร้อมกับออเดิร์ฟ 8 อย่าง ส่วนชุดที่สองคือชุดแซลมอนชินชู จัดเสิร์ฟเป็นซาชิมิ ซึ่งแซลมอนนี้เป็นพันธุ์พิเศษที่เลี้ยงในนากาโน่เท่านั้น บอกเลยว่ารสชาติอร่อยลงตัวแบบฟ้าประทาน แถมอิ่มกำลังดีด้วย
ขอมาอินดีเทลกับ Shinshu Salmon อีกสักหน่อยว่าที่มาเป็นอย่างไร.. ด้วยความที่นากาโน่มีภูมิประเทศเป็นพื้นที่เขาไม่ติดทะเล เขาจึงมีปลาแซลมอนพันธุ์พิเศษ ที่เพาะระหว่างปลาเทราต์สีรุ้งและปลาเทราต์สีน้ำตาล จุดเด่นคือไขมันน้อยและรสชาติอ่อน เลี่ยนน้อยกว่าแซลมอนทะเล ถือเป็นปลาแซลมอนจากเทือกเขาแอลป์ที่หาทานยาก ถ้าอยากทานสด ๆ ก็ต้องนากาโน่เท่านั้น
หลังจากฟาดข้าวเรียบจนเกลี้ยงจาน ก็มาเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่ากันต่อ ตรงกลางหมู่บ้านนี้เป็นเหมือนถนนคนเดินขนาดย่อม ที่ไม่ค่อยมีรถสัญจรเท่าไหร่ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยอาคารโบราณสีเข้มแบบฉบับของนากาโน่ มีพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายพืชผลทางการเกษตรตามฤดูกาล อย่างหน้านี้จะเป็นแอปเปิ้ล สินค้าจากผลไม้แปรรูป อูเมะชู สาเกต่าง ๆ ช่วงที่เรามาเป็นช่วงของเกาลัดพอดี เลยมีโอกาสลองชิมจากคุณลุงคุณป้าที่ยื่นมาให้ชิมเกือบตลอดทาง ซึ่งเกาลัดญี่ปุ่นจะลูกใหญ่ หวานและหอมหนุบหนับมาก และยังมีคาเฟ่ ของฝากกระจุกกระจิกน่ารัก ๆ เต็มไปหมด
นอกจากอาหารเด็ด ๆ ซอฟต์เสิร์ฟเลิศ และบรรยากาศความชิลของหมู่บ้านโอบุเซะที่มองไปมุมไหนก็น่าหลงใหลแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Hokusai-kan Museum พิพิธภัณฑ์ของ คัทซึชิคะ โฮะคุไซ ศิลปินอันยิ่งใหญ่ยุคเอโดะ ที่สร้างผลงานแบบศิลปะอุคิโยเอะ มีผลงานระดับตำนานที่ยังทรงอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะภาพเกลียวคลื่นยักษ์นอกฝั่งคานางาวะ ที่วาดและลงสีด้วยเส้นที่อ่อนช้อยแต่หนักแน่น ฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นภาพที่เรามักเห็นในงานแฟชั่น นิตยสาร บัตรโดยสารต่าง ๆ เรียกว่ากลายเป็นอีกสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ในช่วงระยะเวลา 70 ปีที่โฮะคุไซ ใช้ชีวิตเป็นศิลปิน เขาได้สร้างผลงานไว้มากมาย และที่นี่ก็สามารถเก็บรวบรวมไว้อย่างดี ให้เราเห็นทั้งภาพออริจินอลทั้งแบบดราฟต์และแบบเสร็จสมบูรณ์ ยังมีภาพอีกมากมายที่เราประทับใจ เช่น Thirty-Six Views of Mount Fuji ภาพมุมต่าง ๆ ของภูเขาไฟฟูจิสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ที่วาดไว้ถึง 36 ภาพ และยังมีภาพสัตว์ในตำนาน หญิงสาวญี่ปุ่นสมัยเอโดะที่วาดด้วยลายเส้นวิจิตรบรรจง การใช้สีอันกลมกล่อมน่าค้นหา หากมองแต่ละภาพอย่างละเอียดเชื่อว่ากินเวลาเป็นวันแน่นอน
ถ้าใครไม่อยากเข้าไปชมมิวเซียม และต้องหาที่นั่งรอ ฝั่งตรงข้ามเขามีร้านขายของฝากและคาเฟ่ให้บริการเช่นกัน ที่ร้าน Sakurai-kanseido Hokusaitei เดินเข้าไป เราจะได้กลิ่นหอมของอาหารและขนมที่คละคลุ้งไปทั่ว โดยเมนูของเขาจะมีเกาลัดเป็นวัตถุดิบหลัก เมนูซิเนเจอร์คือ kuri okowa ข้าวเหนียวนึ่งเม็ดเกาลัดทานกับเครื่องเคียงเป็นชุด ๆ และยังมีน้ำแข็งไส พาร์เฟต์ ซอฟต์เสิร์ฟ โดรายากิ เราลองสั่งซอฟต์เสิร์ฟที่ท็อปด้วยเกาลัดบดและบีบเป็นเส้น.. คือมันดีมากเลยแก มันมีกลิ่นและเท็กส์เจอร์หยาบ ๆ ของเกาลัดญี่ปุ่นกินกับไอศกรีมเนื้อนวลแล้วลงตัวสุด
Yayoiza
ในส่วนของมื้อค่ำวันนี้ เรามาฝากท้องในตัวเมืองนากาโน่ ชื่อร้าน Yayoiza ร้านอาหารที่บ่งบอกความเป็นนากาโน่อย่างแท้จริง ตั้งแต่ตัวอาคารอายุกว่า 160 ปี วัตุดิบปรุงอาหารที่ใช้ตามฤดูกาลหาได้ในภูมิภาค กระทั่งถาดไม้ที่จัดเสิร์ฟยังทำจากไม้สนจากหุบเขาคิโซะ ส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ บรรยากาศของร้านค่อนข้างคลาสสิกและมีความเป็นบ้านอยู่ด้วย ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายตลอดมื้ออาหาร
โดยอาหารของเขาจะเป็นการนำผักในฤดูนั้น ๆ มานึ่งกับซอสมิโซะในถาดไม้ ทำให้มีรสชาติหวานเค็มอ่อน ๆ ทานคู่กับน้ำจิ้มพอนสึ น้ำจิ้มถั่ว คล้ายชาบู แต่พอเป็นการนึ่งมันกลมกล่อมกว่ามาก ทั้งตัวเนื้อที่ยังมีความจุ๊ยซี่และกลิ่นเนื้อหอมตีขึ้นจมูก ผักหวานกรอบที่มีน้ำซอสอยู่ทุกอณูของผิว กินกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือเส้นโซบะแล้วมันเข้ากันดี แถมเฮลตี้อีกต่างหาก
Day 2 : Nagano Prefecture – Toyama Prefecture
Gokayama
เราเริ่มออกเดินทางสาย ๆ มาที่ Gokayama อีกหมู่บ้านมรดกโลกที่อยู่ภายในจังหวัดโทยามะ ดูเผิน ๆ อาจจะคล้ายชิราคาวาโกะอันโด่งดัง แต่เมื่อมาเยือนด้วยตัวเอง บรรยากาศนั้นเงียบสงบกว่า เมื่อก่อนเมืองโกคายามะเป็นเมืองผลิตดินประสิว เพื่อใช้ทำดินปืนตั้งแต่สมัยเอโดะ ทำให้ที่นี่ได้รับการปกป้องและดูแลอย่างดีจากเมืองหลวง มีความเจริญรุ่งเรืองมากในตอนนั้น บ้านแต่ละหลังจึงมีขนาดใหญ่และยังคงครบสมบูรณ์ จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1995 โดยจุดเด่นของหมู่บ้านในโกคายามะ คือบ้านแบบกัชโชสึคุริ บ้านไม้หลังใหญ่ที่หลังคามุงด้วยหญ้าเป็นพื้นหนาลาดเอียงลงค่อนข้างมาก เนื่องจากภูมิอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตกหนักในหน้าหนาว จึงต้องทำหลังคาแบบนี้เพื่อให้หิมะที่ทับถมไหลลงมาได้ง่าย ปัจจุบันภายในบ้านเหล่านี้เขาเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ดินประสิว พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตคนสมัยนั้น และเปิดเป็นที่พักแรมให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับการใช้ชีวิตในบ้านทรงเอกลักษณ์นี้ด้วย
เรามาถึงหมู่บ้านราว ๆ เที่ยงเลยตัดสินใจฝากท้องกับอาหารโลคอลฟู้ดที่นี่กันสักมื้อ ที่ร้าน Matsuya เป็นร้านขายของฝากริมทางเดิน ที่มีโต๊ะวางเรียง บ่งบอกเป็นนัยว่ามีอาหารวางขาย เมนูของเขาจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ก็ยังใจดีมีรูปภาพให้ดู เราเลือกจิ้มชุดโซบะเย็นที่เขาจะเสิร์ฟมากับผักต้ม ข้าวปั้น และเทมปุระผักถาดโต เข้าใจว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นฤดูเก็บเกี่ยว เราจึงได้เมนูผักที่หลากหลาย พลาดไม่ได้คือเต้าหู้โกคายามะ ที่เขาผลิตด้วยวิธีดั้งเดิม มีเนื้อแน่นและมีปริมาณน้ำน้อย พอซดกับซุปหวาน ๆ เค็ม ๆ แล้วมันอร่อยกว่าเต้าหู้ทั่วไปเยอะเลย
จัดอาหารชุดใหญ่ก็ถึงเวลาเดินย่อย เราเดินรอบ ๆ หมู่บ้าน ชมวิถีชีวิตของคนเมืองเก่า เห็นการทำไร่ทำสวนแบบโบราณ ท้ังดอกไม้และพืชผักออกดอกออกผลอย่างงดงาม ผ่านศาลเจ้า แม้ช่วงที่เรามาจะไม่ใช่ช่วงที่พีคที่สุดของใบไม้เปลี่ยนสี แต่เสน่ห์ของที่นี่ก็ทำเราตกหลุมรักเข้าอย่างจัง
จากนั้น ช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 เรามีนัดดูการแสดงพื้นบ้านที่ โคคิริโคะ คัน (Kokiriko Kan / こきりこ館) จัดแสดงเพลงพื้นบ้านของชาวเขาแถบนี้ ที่โด่งดังคือ เพลง Kokiriko และเพลง Mugiyabushi เพลงที่เก่าแก่สุดในญี่ปุ่น จนถูกระบุให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ โดยผู้ร่ายรำจะใส่ชุดฮากามะ พร้อมหมวกสานที่หน้าตาคล้ายร่มปิดหน้าปิดตา ร่ายรำพร้อมสะบัด Binzasara เครื่องตีชนิดหนึ่งให้เป็นจังหวะไปตามเพลง
เพื่อซึมซับความโลคอลใกล้ชิดผู้คนในเมืองมรดกโลกอีกนิด คืนนี้เราจึงเลือกพักในบ้านกัชโชสึคุรินี่ซะเลย ที่ Yusuke (勇助 ) ซึ่งเขาเป็นที่พักในรูปแบบเกสท์เฮ้าส์ มีผู้ดูแลคือ 2 ลุงป้าผู้น่ารัก รับลูกค้าเพียง 1 กลุ่มต่อคืน จำนวนไม่เกิน 4 คนเท่านั้น เมื่อเราเดินเข้ามา คุณป้าจะจัดเสิร์ฟชาเขียวเข้มข้นและขนมให้เรานั่งจิบไปพลาง ฟังเขาอธิบายเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของบ้านไปพลาง ไออุ่นของกองไฟที่ก่อไว้ในหลุมกลางบ้านก็ค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้าร่างกายเป็นระยะ มันรู้สึกอบอุ่น feel like home มาก ๆ
คุณลุงทำหน้าที่พาเราเดินสำรวจห้องนอน สอนวิธีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ และโซนอาบน้ำที่แยกส่วนออกจากกันตามสไตล์บ้านญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งอาคารนี้สร้างขึ้นมานานกว่า 154 ปี หรือช่วงปลายเอโดะ แต่ทุกอย่างภายในยังดูสะอาดเอี่ยม รับรู้ได้ถึงการดูแลอย่างดี ถัดขึ้นมาชั้นสองเขาเปิดเป็นมิวเซียมด้วยจ้า.. มีการจัดวางข้าวของเครื่องใช้ จำลองการใช้ชีวิตของคนสมัยก่อน พร้อมทั้งประวัติ ภูมิปัญญาของชาวเมืองโกคายามะ ที่โดดเด่นเรื่องการทำกระดาษวาชิ การผลิตดินประสิว และที่ห้องใต้หลังคายังคงเป็นโครงสร้างของโรงเลี้ยงไหม ซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมของคนเมืองนี้จริง ๆ
ในการเข้าพักที่นี่ เขาจะมีข้าวเช้าข้าวเย็นให้เสร็จสรรพ ค่ำนี้ เราร่วมทานดินเนอร์กันที่หน้ากองไฟ ที่มีกาน้ำชาสีดำตั้งอยู่ตรงกลางบ้าน แบบที่เห็นในซีรีส์ย้อนยุคบ่อย ๆ ซึ่งอาหารที่เขาจัดเสิร์ฟก็อร่อยฟินหนักมาก แม้จะเป็นผักมากมายเช่นเคย แต่รสชาติคือสดกรอบ กินยังไงก็ไม่เบื่อ พร้อมปลาแม่น้ำขนาดกลางย่างมาหอม ๆ เคียงด้วยซาชิมิสีสดเนื้อเด้ง จิบสาเกชั้นเลิศระหว่างคำ ช่วยเพิ่มอุณภูมิร่างกายพร้อมสติที่เริ่มกรึ่ม ๆ ทำเรานอนหลับฝันดีตลอดคืน
Day 3 : Toyama Prefecture – Gifu Prefecture
วันนี้ เราตั้งใจตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นมาตรงจุดชมวิวหมู่บ้าน และรู้สึกว่าแต้มบุญของเรายังมีอยู่เยอะมาก เพราะได้เจอกับวิวหมอกฉ่ำ ๆ กำลังล่องลอยโอบกอดหมู่บ้าน พร้อมแมกไม้สีเขียว-น้ำตาลที่กำลังผลัดใบ กลิ่นหอมบริสุทธิ์ของธรรมชาติ มีลมและไอน้ำเย็น ๆ พัดปะทะผ่านผิว เห็นนกและเหล่าสัตว์ตัวน้อยเริ่มส่งเสียงออกหากิน ทุกอย่างรวมกันแล้วเหมือนฉากสวย ๆ ในอนิเมะจนอยากอบเก็บวิวนี้ไว้ในความทรงจำไปอีกนาน ๆ
หลังจากที่เราเดินลัดเลาะจนหลงลืมเวลา ก็ต้องรีบย่ำเท้ากลับไปทานอาหารเช้าที่ที่พัก จากความหนาวเย็นภายนอก เมื่อเข้ามาในตัวบ้านก็รู้สึกอุ่นขึ้นทันที เพราะไฟที่ก่อไว้อยู่กลางบ้านนั้นยังคงลุกโชนทำหน้าที่อย่างดี มีชุดอาหารเช้าวางรออย่างเรียบร้อย เขาจะเน้นอาหารเบา ๆ แค่ผัก ไข่ โอเด้ง เนื้อสัตว์เล็กน้อย พร้อมผลไม้และซุป ฟีลลิ่งเหมือนกับข้าวฝีมือแม่เลย
ก่อนออกจากหมู่บ้าน เราขอแวะทำกิจกรรมเวิร์คช้อปเอาใจสายคราฟต์กันสักนิดนึง นั่นคือการทำกระดาษวาชิ (washi) ที่ Washi Paper Workshop กระดาษอีกชนิดที่ได้บันทึกเป็นมรดกวัฒนธรรมญี่ปุ่น เพราะเป็นกระดาษที่มีความทนทานและคุณภาพสูง มีการค้นพบบันทึกอายุ 1,300 ปีที่เขียนบนกระดาษชนิดนี้เป็นจำนวนมาก โดยที่นี่ เขาจะใช้เนื้อใยจากต้นโคโสะหรือต้นมัลเบอร์รี ใช้เวลาทำเพียง 10 นาทีเท่านั้น จากนั้นก็เริงร่ากับการจับจ่ายซื้อของฝากต่อ ณ ที่เดียวกันได้เลย
Takayama
จัดเรียงของฝากเก็บเข้ากระเป๋าเรียบร้อย เราก็รีบออกเดินทางนั่งรถบัสมาเที่ยวกันต่อที่เมืองเก่า Takayama ให้ทันเดินชิลยามเย็นในย่านซันมาชิซูจิ หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า Little Kyoto ย่าน Old Town คูล ๆ ที่อยู่คู่ทาคายาม่ามานานกว่า 300 ปี หรือช่วงยุคเอโดะ มีบ้านทรงญี่ปุ่นโบราณเรียงรายตามสองข้างทาง กั้นกลางด้วยถนนเส้นเล็ก ๆ บ้านส่วนใหญ่เป็นโทนไม้สีเข้ม หลังคาสีดำ แบ่งออกเป็น 3 ซอยต่อ ๆ กัน มีทั้งโซนที่คึกคักไปด้วยร้านขายของ และโซนอยู่อาศัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านเหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นที่สุด
ฉันก็รักของฉัน เข้าใจใช่มั้ย.. บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งที่ 4 ที่เราได้มาเดินเส้นนี้ และสิ่งที่เราโหยหาขั้นสุดจนต้องกลับมาซ้ำคือ Hida Beef Sushi ที่เสิร์ฟบน Senbai Plate ของร้าน kotteushi ตัวเนื้อฮิดะที่แทบจะละลายในปากหอมอบอวลไปด้วยข้าวและสาหร่าย ไข่ดิบที่เพิ่มความนัว กินเสร็จกัดเซมเบ้ล้างปากก็คืออูมามิไม่ไหว กินแล้วกินได้อีกไม่มีวันพอเลย นอกจากนี้รอบ ๆ ยังมีซอฟต์เสิร์ฟและสาหร่ายโรลหน้าเนื้อด้วย เรียกว่าเป็นสตรีทฟู้ดขนาดย่อมได้เลย
เราเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าศาลเจ้าซากุระยามะ ฮาจิมังกู (Sakurayama Hachimangu) อีกศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในทาคายาม่า เชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ในศตวรรษที่ 4 ในยุคจักรพรรดิ Nintoku มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับการสู้รบกับสิ่งเหลือเชื่อจนกลายเป็นตำนานของเมือง ก่อนที่จะเริ่มมีการจดบันทึกในศตวรรษที่ 7 รอบ ๆ ศาลเจ้าค่อนข้างเงียบสงบมาก เราจะเห็นผู้คนเข้ามาไหว้ขอพร จากที่หาข้อมูลส่วนใหญ่จะมาขอเรื่องความสำเร็จและสุขภาพ และในทุก ๆ วันที่ 9-10 ตุลาคมของปี ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดงาน Takayama Matsuri หนึ่งในสามเทศกาลขบวนแห่ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย
Shinhotaka Ropeway (Base Station)
โลเคชั่นสุดท้ายของวัน เราขอปิดท้ายแบบฟิน ๆ ด้วยการขึ้นไปสัมผัสความสวยงามของทาคายาม่าในมุมสูง ความพิเศษของกระเช้านี้คือเป็นกระเช้ากอนโดล่าสองชั้นแห่งแรกของญี่ปุ่น กว่าจะขึ้นไปถึงยอดสูงสุดได้ เราจะต้องต่อกระเช้าถึง 2 สถานี ให้เราดื่มด่ำกับบรรยากาศที่กระเช้ากำลังขึ้น เผยแมกไม้จากใกล้เป็นภาพกว้างใหญ่ของธรรมชาติ เหล่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแต่งแต้มทั่วผืนป่า กลายเป็นภาพที่สวยหมดจดจนแทบไม่อยากกะพริบตา
โดยจุดแรกที่กระเช้าหยุด ก็เรียกได้ว่าเป็นครึ่งทางของภูเขา ที่นี่จะมีบริการร้านค้า ร้านเบเกอรี่ สวนยะมะโนะ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีน้ำพุร้อนให้แช่เท้า เรียกว่าครบทุกบริการสำหรับนักท่องเที่ยว เหมาะกับผู้คนทุกช่วงอายุเลย
และเมื่อขึ้นมาต่อจนถึงจุดชมวิวสูงสุด เราก็ได้พบกับวิวจึ้ง ๆ ดั่งที่หวังไว้ เบื้องหน้าเป็นภาพทิวเขาที่สูงกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเทือกเขาใหญ่มหึมายาวสุดตาทั้งซ้ายและขวา เริ่มมีหิมะสีขาวปกคลุมบนยอดที่สูงละฟ้า มีเงาเมฆเลื่อนผ่านช้า ๆ ตามแรงลม พร้อมกับป่าสนเมืองหนาวที่กำลังเปลี่ยนสี เป็นวิวธรรมชาติที่สวยตามแบบฉบับญี่ปุ่น ที่เราแสนคิดถึง พอจมูกเริ่มชาจากความหนาวก็เดินเข้าคาเฟ่ไปหาเครื่องดื่มอุ่น ๆ ขนมร้อน ๆ มากินเคล้ากับวิวนี้ก็ฟินดีเหมือนกันนะ
Day 4 : Gifu Prefecture
ยามเช้า นาฬิกาปลุกแทบไม่ได้ทำงาน เพราะร่างกายเหมือนมีสารกระตุ้นให้เราตื่นเองเกือบทุกเช้า มีอินเนอร์อยากเที่ยวพลุ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา สถานที่สุดท้ายนี้ เราขอทิ้งทวนภูมิภาคชูบุกับการเดินตลาดเช้าของทาคายาม่า ซึ่งมีให้เลือกเดินอยู่ 2 จุดคือ ตลาดจินยะเมะ (Jinya-Mae Market) ตั้งอยู่หน้าอาคาร Takayama Jinya จวนผู้ว่าเก่า อีกที่เที่ยวสุดป๊อปของที่นี่ ในตลาดเขาจะวางขายพืชผักผลไม้ของของเหล่าเกษตรกร ฟีลเหมือนเพิ่งขุดขึ้นมาจากดินเลย สดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว.. แถมยังใกล้ชิดคนท้องถิ่นมาก ๆ เพราะมีแต่คนทาคายาม่ามาจับจ่ายทั้งนั้น
และตลาดมิยางาวะ (Miyagawa Market) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิยางาวะ ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวเยอะหน่อย คงเพราะโลเคชั่นที่อยู่ริมน้ำทำให้บรรยากาศมันแสนจะชิล น้ำใสขนาดเห็นตัวปลา มีนกเป็ดน้ำว่ายเล่นเป็นกลุ่ม ๆ และมีของให้เราเลือกซื้อเยอะหน่อย นอกจากสินค้าทางการเกษตรแล้ว ยังมีร้านขายขนม กาแฟ ของเล่น ของกินให้เราเพลิดเพลินตลอดทาง ส่วนของฝากที่ห้ามพลาดเลย คือตุ๊กตาซารุโบโบะ ตุ๊กตาร่างคล้ายคนแต่ไม่มีหน้าที่มีเฉพาะในกิฟุเท่านั้น เมื่อก่อนใช้เป็นเครื่องรางเรื่องการคลอดบุตรให้ง่ายและปลอดภัย เวลาผ่านไปก็กลายเป็นของติดตัวให้แก่หญิงสาวที่กำลังจะออกเรือน เพื่อเป็นทั้งเพื่อนและเครื่องรางช่วยให้มีความโชคดีด้านครอบครัวนั่นเอง
แม้จะจบทริปกันแบบเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่การเดินทางในภูมิภาคชูบุก็ยังมีอีกหลายเมือง หลายสปอตให้เราได้ค้นหา แถมการเดินทางยังง่ายด้วยระบบขนส่งที่ทั่วถึง มีตารางเวลาและแผนที่แม่นยำ เชื่อว่าทุกคนสามารถแพลนตามเรามาพร้อมแทรกที่ที่ตัวเองชอบได้แบบง่าย ๆ เลย ฉะนั้น ก่อนจะถึงหน้าหนาวรีบตีตั๋วมาดื่มด่ำกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีด้วยกันนะ