หากถามหาเหตุผลของการออกเดินทาง เชื่อว่าแต่ละคนต้องมีคำตอบอยู่ในใจแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรเราถือว่ามันคือเรื่องดี เพราะมันคงทำให้ทุกคนอยากออกมาผจญภัยในโลกกว้างไปพร้อม ๆ กับเรา สำหรับทริป Italy ในรอบนี้ อยากชวนทุกคนมาดื่มด่ำความคลาสสิกที่ Milan เมืองแห่งสีสันอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวในอดีต ที่กำลังบรรเลงท่วงทำนองบอกเล่าวัฒนธรรมอันลุ่มลึก ความคลาสสิกอันชวนพิศมัย ผ่านสถาปัตยกรรมแสนวิจิตรงดงามระดับโลก เราจะพาไปชมผลงานศิลปะร่วมสมัยระดับตำนานของเหล่าศิลปินชื่อดัง เดินเนียนไปกับผู้คนในย่านที่อยู่อาศัยสุดคลาสสิก ก่อนจะตอกย้ำความเป็น Iconic ด้านแฟชั่นระดับโลกบนเส้นถนนอันหรูหรา แวะชิมเจลาโตไอศกรีมเนื้อเนียน รวมถึงมาชมต้นกำเนิด Lambretta แบรนด์สกู๊ตเตอร์คันโปรดที่พาเราท่องเที่ยวทั่วไทยมาแล้วกว่า 10 ทริป เอาเป็นว่ามิลานกับ 7 แลนด์มาร์กครั้งนี้จะประทับจิตประทับใจมากขนาดไหน ตามมาดูกันเลย
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรกว่า … แรงบันดาลใจที่ทำให้เรามีทริปสุดเพอร์เฟคนี้ได้ ต้องขออวยยศให้กับ Lambretta สกู๊ตเตอร์สายเลือดอิตาลี ที่ทำให้เราซึมซับความเป็นเลิศด้านการขับขี่มาตลอดทั้งปี รวมกว่า 10 ทริปทั่วไทย และตอนนี้เราได้ยืนอยู่ที่เมืองมิลาน มาชมต้นกำเนิดของแบรนด์จากรุ่นแรกพัฒนามาถึง Lambretta iรุ่นปัจจุบัน วัสดุทุกชิ้นเป็นของอิตาลีมีความพรีเมี่ยมไม่เหมือนใคร อย่างโครงเหล็กเขาใช้แนวคิดเดียวกับการทำเครื่องบินให้รถมีน้ำหนักเบา ทนทาน ดูแลรักษาง่ายอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าใจง่าย เหมือนกับเมืองมิลานที่ดูเหมือนเมืองเก่าแต่เต็มไปด้วยที่เที่ยวเท่ ๆ เข้าถึงสะดวก ที่เรากำลังจะพาทุกคนไปชม ณ บัดนี้
01 Duomo Milano
ขอเปิดโลเคชั่นแรกด้วยแลนด์มาร์กประจำเมือง ชนิดเห็นผ่านตาก็รู้ทันทีว่า นี่คือมิลาน ดินแดนแห่งอารยะและความเจริญที่ผสมปนเปกันอย่างลงตัว อย่างที่ Duomo Milano มหาวิหารสไตล์กอทิก ที่หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ตั้งอยู่กลางจัตุรัส Piazza del Doumo ย่านเศษรฐกิจและท่องเที่ยวที่อยู่ยงมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 โดยเราจะเห็นตัววิหารนี้ตั้งเด่นมาแต่ไกล ด้วยยอดวิหารอันสวยงามสูงกว่า 157 เมตร กินพื้นที่ 11,700 ตารางเมตร ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 579 ปีเลย ซึ่งใหญ่พอที่จะจุคนได้มากถึง 40,000 คน ถือเป็นหนึ่งในโบสถ์แบบกอทิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เราขอเริ่มพาทุกคนสัมผัสวิหารแห่งนี้จากชั้นดาดฟ้า ด้วยการเดินละเลียดไปบนหลังคาโบสถ์ ชมงานสถาปัตยกรรมที่แสนละเอียดสวยงาม และวิวเมืองมุมท็อป มองจากด้านล่าง เราจะเห็นยอดวิหารทั้ง 135 ยอด เป็นงานแกะสลักตะปุ่มตะป่ำ แต่เมื่อเข้ามาดูใกล้ ๆ เราได้พบกับความวิจิตรบรรจงของงานหินอ่อน บนยอดแหลมจะมีรูปปั้นของเหล่านักบุญ ทวยเทพ การ์กอยล์ ยักษ์ ฯลฯ ส่วนยอดตรงกลางเป็น Madunina รูปปั้นพระแม่มารีทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ถือเป็นไฮไลต์ที่แฟนคลับงานสถาปัตยกรรมกอทิกจะต้องฟินเหมือนอยู่บนสวรรค์เลยล่ะ
จากความโอ่อ่าภายนอกสู่ความโอ่โถงภายใน ตัวโบสถ์สูงจนต้องเงยหน้าสุดคอ เพื่อมองรูปทรงของเพดานให้ครบ ที่ยอดเสาทุกต้นมีงานสลัก มองไปสุดทาง เราจะเห็นแท่นบูชาขนาดใหญ่ ทุกจุดมีรูปปั้นประดับ จัดแสดงไว้กว่า 3,000 รูป ซึ่งมองดี ๆ เราจะเห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดในทุกอณูกระทั่งเส้นเลือดที่ข้อมือ มัดกล้ามเนื้อ ความพริ้วไหวของเส้นผมและขดผ้า ดูเป็นธรรมชาติประหนึ่งรูปปั้นเหล่านี้มีชีวิตเลย อีกสิ่งที่รู้สึกถึงความทรงพลังในงานออกแบบคือ Stained Glass งานศิลปะจากกระจกหลากสีขนาดใหญ่ สร้างลวดลายอย่างละเอียด ยามต้องแสงก็ทำให้สีจากกระจกฉาบตัวโบสถ์ดูน่ามองน่าค้นหายิ่งขึ้น
จากที่เราเกริ่นไปว่า Piazza del Duomo เป็นจัสตุรัสศูนย์กลางย่านเศรษฐกิจ พอได้มาเดินดูแล้วเราจะเห็นรูปปั้นโบราณ ตึกทรงยุคเก่าล้อมรอบเต็มไปหมด พร้อมบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนและกิจกรรมของคนยุคใหม่ เช่น การแสดงดนตรีเปิดหมวก คนนั่งจิบกาแฟกลางแจ้ง นักท่องเที่ยวถ่ายภาพสร้างคอนเทนต์ ตกเย็นมีแสงสีทองกระทบมาที่ตัวตึก ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ปนความคลาสสิกจนเราอดไม่ใจไหว ต้องขอ Snap ไว้เป็นที่ระลึกสักกรุบ
พอได้เห็นความสวยงามของบ้านเมือง เรายิ่งรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสน่ห์ของมัน จนอดคิดไม่ได้ว่าการออกแบบของ Lambretta V200 Special รถคันโปรดคู่ใจของเรานั้นสะท้อนภาพลักษณ์ของเมืองนี้ได้มาก ๆ แค่จินตาการว่าหากเปลี่ยนจากขับที่ไทยมาขับลัดเลาะถ่ายภาพตามจัตุรัสคงได้ภาพสวย ๆ กลับไปเยอะแน่ ๆ เพราะแม้สกู๊ตเตอร์คันนี้จะดูเรียบแต่เขาก็มีความปราดเปรียวคล่องตัว ดีเทลความเรโทรก็ยังอยู่ครบ ขับขี่ง่าย ๆ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งหน้าปัดเรือนไมล์แบบ Semi-Digital Display บอกข้อมูลครบ เพิ่มลูกเล่นด้วยจอที่สามารถปรับโทนสีได้ มืดค่ำก็เปิดทางสว่างไสวด้วยไฟ Full LED มีกิมมิกน่ารัก ๆ ด้วยการซ่อน Logo Lambretta อีกเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เหมาะกับคนรักในความใส่ใจรายละเอียดสุด ๆ
02 Galleria Vittorio Emanuele II
อีกหนึ่งสถานที่ที่พลาดไม่ได้บนจัตุรัสแห่งนี้คือ Galleria Vittorio Emanuele II ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลีและในโลก ถ้าถามถึงความประทับใจก็คงต้องบอกว่า เป็นห้างที่ใช้คำว่าสวยเปลือง สวยเกินต้านมาก ๆ ออกแบบด้วยศิลปะแบบ Arched โดย Giuseppe Mengoni สถาปนิกผู้ช่ำชอง ใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 12 ปี เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1877 หรือราว ๆ 145 ปีที่แล้วนั่นเอง (นานม๊ากกกกก) ชื่อที่ตั้งเป็นชื่อของกษัตริย์องค์แรกของอิตาลี คือ พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 2 ความโดดเด่นของอาคาร 4 ชั้นนี้ นอกจากซุ้มประตูสไตล์ Arched แล้ว เขายังประดับตกแต่งงานแกะสลักทุกมุมเสา ประตูหน้าต่างทุกบาน ที่ยอดอาคารแต่ละตึกมีภาพเพ้นท์โบราณดูหรูหรา แต่งแต้มสีสันด้วยกระเบื้องโมเสกที่พื้น เป็นภาพตราสัญลักษณ์ของเมืองหลวงทั้ง 3 ของอิตาลี
จุดที่น่าสนใจอีกจุด คือตรงกลางทางเดินรูปแปดเหลี่ยม เขาสร้างโดมกระจกครอบ และทอดยาวไปตามทาง ทำให้ที่นี่สวยกระจ่างตาในเวลากลางวัน และดูโรแมนติกเมื่อเปิดไฟสีส้มฉาบสะท้อนกับกระจกอันมืดมิดยามค่ำคืน พูดถึงร้านรวงก็จะเน้นไปทางสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำของโลก ทั้ง GUCCI PRADA Louis Vuitton CHANEL แบรนด์แฟชั่นมากมาย และที่พักระดับ 5 ดาวรอบริการเหล่านักช้อป ถือเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองได้สมมงเมืองแห่งแฟชั่นจริง ๆ
เมื่อพูดถึงอิตาลี ของหวานขึ้นชื่อชูชื่นชูใจก็ต้องเป็นเจลาโตเนื้อเจ้มจ้น ทางเราขอเลือกชิมที่ร้านระดับตำนาน Ristorante Savini ร้านอาหารที่เปิดมานานกว่า 155 ปี หน้าร้านหาไม่ยาก อยู่ตรงข้ามกับ PRADA นี่เอง โดยเขาแบ่งโซนทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ริมทางเดิน มีทั้งเมนูอาหารสุดหรูแบบฉบับอิตาเลียนแท้ ๆ หรือจะแวะซื้อเจลาโตแบบเราก็ได้ เราเลือกชิมรสช็อกโกแลตแสนเข้มข้น เท็กเจอร์หนุบหนับหอมกลมกล่อมมาก อร่อยจนน้ำตาไหลเลย
หรือถ้าใครมองหาของกินเล่นกรุบกริบก่อนจะไปจัดหนัก ขอแนะนำให้เดินทะลุออกมาที่ร้าน Luini กับเมนู Panzerotti ขนมปังฟีลเหมือนพิซซ่าทอด อาหารพื้นเมืองที่มีมานานกว่าร้อยปี ลักษณะเป็นแป้งหนานุ่มสอดไส้มะเขือเทศและมอสเซอเรลล่าชีส ก้อนขนาดเท่ากำปั้นเอาลงไปทอด ซึ่งเป็นสูตรลับเฉพาะของเจ้าของร้าน Giuseppina Luini นำสูตรนี้มาจาก Puglia เมืองทางตอนใต้ของอิตาลีเข้าสู่มิลาน เปิดเป็นร้าน Luini ได้ 70 กว่าปีมาแล้ว โดยได้รับการรีวิวว่าอร่อยตาแตก จนคนมายืนรอต่อคิวยาวเหยียดแทบตลอดเวลาเลย
เราลองสั่งไส้ออริจินอลมาลอง เนื้อแป้งจะออกแห้ง ๆ ไม่อมน้ำมันเน้นความหอม กัดไปเจอชีสฉ่ำ ๆ และมะเขือเทศเฟรซ ๆ หนุบกำลังดี ถือเป็นรสชาติที่ทำให้เราตาแวววาวกับความอร่อยได้เลย และนอกจากเมนูนี้ เขาก็ครีเอทไส้มาให้อีกเพียบ พร้อมเมนูของหวานรอคอยให้เราไปจิ้มเลือกอีกมากมาย ยกให้เป็น the must!! ใคร ๆ ก็แนะนำซึ่งเราก็ขอดันต่ออีกหนึ่งเสียง 🙋♂️
03 Museo Del Novecento
ออกมาเที่ยวเอาใจสายอาร์ตมิวเซียมกันต่อ กับอีกด้านหนึ่งของจัตุรัส Piazza del Duomo ที่ Museo Del Novecento แปลตรงตัวว่า “พิพิธภัณฑ์แห่งศตวรรษที่ 20” เพื่อจัดแสดงงานศิลปะแบบโมเดิร์นอาร์ตช่วงศตรรษที่20 (1900-2000) นั่นเอง ภายในอาคารที่รีโนเวทมาจากปราสาท Arengario เริ่มเปิดเมื่อ 12 ปีที่แล้ว มีทั้งงานนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน ที่จะเน้นงานศิลปะของชาวอิตาเลียน ตอกย้ำความเป็นประเทศที่ผลิตอาร์ติสชั้นนำของโลกมากมาย และยังมีจุดชมวิวจากหอคุยสูงให้เราได้มองเห็นวิวจัตุรัสได้อย่างถนัดตา
แม้ภายนอกจะดูเป็นตึกโบร่ำโบราณ แต่พอเราเดินเข้าไปข้างในก็เหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกเลยทีเดียว เด่นสุดคือบันไดวนที่เชื่อมต่อตั้งแต่ชั้นรถไฟใต้ดินจนถึงระเบียงชมวิวด้านบน งานจัดแสดงที่เราได้ชมเป็นงานนิทรรศการถาวร รวมกว่า 400 ชิ้น และมีงานมาสเตอร์พีซที่เก็บสะสมมาตั้งแต่ปี 1902 อาทิงานของ Georges Braque, Kandinsky, Umberto Boccioni, Giacomo Balla ฯลฯ ทำให้เราเห็นวิวัฒนาการของงานอาร์ตในช่วง 10 ปีมานี้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ เขายังมีร้านหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ ร้านอาหารรอต้อนรับเราอยู่ด้วย
04 Sempione Park (Parco Sempione)
ว่าด้วยเรื่องพื้นที่สีเขียวของเมืองมิลานก็ไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน กับสวนสาธารณะ Sempione มีทั้งต้นไม้นานาพรรณ และสิ่งปลูกสร้างโบราณบรรจุอยู่ในสวนสวยอายุกว่า 130 ปี ทำให้มีต้นไม้ใหญ่มากมายประหนึ่งป่าในเมือง และยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สนามกีฬา ซุ้มประตู และปราสาทยุคกลาง รวมพื้นที่แล้วใหญ่ถึง 116 เอเคอร์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถเที่ยวหมดในหนึ่งวันอยู่แล้ว เราเลยคัดจุดไฮไลต์ที่ตรงจริตเราและเพื่อน ๆ ให้มากที่สุดมาแนะนำกัน
เริ่มต้นจากด้านหน้าสุดก่อนเลย ที่ Castello Sforzesco ปราสาททรงคลาสสิกเข้ากันดีกับเมืองแสนคลาสซี่ มี Fontane di Milano น้ำพุขนาดใหญ่ แลนด์มาร์กที่ผู้คนมานัดพบปะอยู่เบื้องหน้า ฉากหลังคือป้อมปราการและปราสาทที่สร้างจากอิฐแดงจำนวนมาก ดูปลอดภัยน่าเกรงขาม ถ้านับจากครั้งแรกที่สร้างปราสาท อายุรวมก็ประมาณ 650 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวปะทะศึกสงครามนับไปถ้วน การบูรณะปราสาทครั้งล่าสุดจึงอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 นี้เอง
นอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันยาวนานที่บรรจุอยู่ในปราสาทให้เราเข้าไปสำรวจแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์อีกมากมาย ทั้งพิพิธภัณฑ์ด้านดนตรี งานจัดแสดงสมบัติจากอียิปต์ และที่พลาดไม่ได้คือ The Museum of Ancient Art พิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมงานศิลปะตั้งแต่ยุคโบราณ ยุคกลาง และเรเนซองส์ อย่างไฮไลต์อันเป็นที่หมายตาของผู้คนทั่วโลกคือรูปปั้น Rondanini Pietà ผลงานชิ้นสุดท้ายที่ยังทำไม่เสร็จของ Michelangelo ศิลปินอิตาลีผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเรเนซองส์นั่นเอง
เดินทะลุใจกลางสวนมาเรื่อย ๆ เราจะเจออีกหนึ่งเช็คอินสปอต “Arco della Pace” ประตูชัยที่ทำจากหินอ่อนขนาดมหึมาที่มองเผิน ๆ คล้ายกับประตูชัยในประเทศฝรั่งเศส แต่ของมิลานจะมีเหล่าทหารและม้าศึกยืนอย่างสง่าด้วยท่าทีฮึกเหิม สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแห่งชัยชนะของนโปเลียน เมื่อปี 1806 แล้วเสร็จตอน 1838 หรือราว ๆ 180 กว่าปีที่ผ่านมา โดยสถาปนิกยุคนีโอคลาสสิก Luigi Cagnola ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมสำคัญ ๆ มากมายในอิตาลี
05 Navigli District
สถานที่ชิล ๆ ในมิลานไม่ได้มีแค่ชมอาร์ตชมสวนเท่านั้น เขามีพื้นที่ริมน้ำในย่านสุดติส Navigli พื้นที่อยู่อาศัยที่ทำให้เราเห็นความเป็นมิลานแบบเรียล ๆ มีทั้งอาร์ตแกลลอรี่ซ่อนอยู่ตามซอกซอย ร้านขายของแฟชั่นวินเทจ ร้านอาหาร-คาเฟ่แบบเอาท์ดอร์ เอ็นจอยกับบาร์เล็ก ๆ นั่งดูหนุ่มสาวชาวมิลานออกมาแฮงค์เอาท์กัน ช่วงเวลาที่เหมาะสุด ๆ ในการแวะมา คือตั้งแต่ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป เพราะร้านรวงเปิดอย่างคึกคัก ไปจนถึงมืดค่ำที่ทั้งสองฝั่งริมน้ำเปิดไฟส้ม เสริมให้ตึกสไตล์ยุโรปรอบ ๆ ดูคลาสสิกมากยิ่งขึ้น
เราเดินเล่นลัดเลาะริมน้ำซึมซับความเป็นอิตาลีเรื่อย ๆ จนมาเจอ Amorino อีกร้านเจลาโตโลโก้เทวดาน้อยถือไอติมอันโด่งดัง ที่ต้นกำเนิดมาจากใจกลางกรุงปารีส เริ่มเปิดเมื่อปี 2002 และขยายสาขาไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วกว่า 200 สาขาในปัจจุบัน ซิกเนเจอร์อยู่ที่หน้าตาของเจลาโตซึ่งจัดเสิร์ฟให้เหมือนดอกกุหลาบบานชูช่อบนโคนอย่างสวยงาม เนื้อสัมผัสนวลเนียนกลมกล่อมจากวัตถุดิบที่คัดสรรอย่างดี ปราศจากสารกันบูด สารปรุงแต่งต่าง ๆ โดยเราสามารถเลือกรสชาติได้มากเท่ากับกลีบดอกไม้ ซึ่งมีให้เลือกถึง 36 รสชาติเลยทีเดียว ซื้อมากินพร้อมเดินชมบรรยากาศรับลมเย็น ๆ มันสุดจะฟินจริง ๆ
06 Lambretta Museum
มาถึงเมืองต้นกำเนิดสกู๊ตเตอร์คู่ใจ เราก็ไม่พลาดที่จะขอแวบออกมาทักทายบรรพบุรุษสุดเท่ของเพื่อนรักเราสักหน่อยที่ Lambretta Museum ซึ่งตั้งอยู่ในเมือโรดาโน ห่างออกมาจากกลางเมืองมิลานเพียง 11 กิโลเมตร โดยจะเปิดให้เหล่าคนรักรถวินเทจแบรนด์ดังนี้เข้าชมได้ฟรี เห็นหน้าร้าน ใจก็ดี๊ด๊าอยากรีบเข้าไปหาเพราะพี่ ๆ Lambretta รุ่นเดอะรุ่นเก๋าสะอาดเงาวับยืนรอเราเข้าไปเชยชมอย่างเนืองแน่น
ผู้ก่อตั้งที่นี่คือคุณ Vittorio ที่เปิดร้าน Lambretta Service สาขาแรกในอิตาลีด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น เขาได้ออกเดินทางทั่วประเทศเพื่อหาอะไหล่ตามที่ลูกค้าต้องการ ทำทุกอย่างจากความหลงใหลในเสน่ห์ของ Lambretta จนเมื่อ 37 ปีก่อน เขาได้ขยายเป็นพิพิธภัณฑ์ในบ้านของตัวเอง จริงจังขนาดได้รับเอกสารและสื่อวิดีโอโดยตรงจากครอบครัว Innocenti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ และยังได้รับ Lambretta รุ่นหายากมาวางตั้งโชว์อีกด้วย ต่อมาในช่วงปี 2006 ทางเมืองโรดาโนก็ได้มอบพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเอง
ที่นี่ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของรถแต่ละยุค มีจัดแสดงรถรุ่นพิเศษ สีสันแปลกตา พร้อมอธิบายความเป็นมาและประวัติ ช่วยบ่งบอกถึงความคลาสสิกอย่างชัดเจน เมื่อหันมามองรุ่นล่าสุดที่เราได้มาใช้ท่องเที่ยวร่วมกันในหลาย ๆ ทริป Lambretta V200 Special ก็ยังมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกับรุ่นเก่า เวลาขับไปไหนก็เหมือนได้หอบหิ้วความเรโทรร่วมสมัยเก่าใหม่ไปด้วยทุกที่ ให้ความรู้สึกเท่ปนอบอุ่น ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาเพื่อตอบโจทย์การเดินทาง ครอบคลุมไปจนถึงความปลอดภัย ค่อย ๆ เก็บรายละเอียดจนได้สกู๊ตเตอร์สุดเพอร์เฟคอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
07 Via Monte Napoleone
โลเคชั่นสุดท้ายนี้ขอมอบให้แก่คนรักแฟชั่นเน้น ๆ เดินสับขามารัว ๆ กับแหล่งช้อปปิ้งแสนหรูหราที่บ่งบอกว่ามิลานคือเมืองแห่งแฟชั่นตัวจริง ด้วยการรวบรวมแบรนด์เนมชั้นนำไว้บนถนนเส้นเดียว จัดเป็นถนนที่มีราคาแพงอันดับสามของยุโรป สินค้ามีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงร้านคาเฟ่เก่าแก่เสิร์ฟเค้กสไตล์มิลาน ที่อยู่บนถนนนี้มานานกว่า 70 ปี บางแบรนด์ถึงกับมีคอลเลกชั่นเก๋ ๆ ที่วางขายเฉพาะสาขานี้เท่านั้นด้วย บอกเลยว่าหนุ่มสาวนักช้อปนักสะสมจะต้องปลื้ม วิ่งซื้อของจนลืมคำว่าเมื่อยไปเลย
นอกจากภาพลักษณ์ที่ลงตัวลงใจกับเมืองต้นกำเนิดที่เราได้มาสัมผัสแล้ว เรื่องระบบเครื่องยนต์ Lambretta V200 Special เขาก็พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง จากที่เราได้เที่ยวเล่นขับขึ้นเนินลงเขามาเกือบปี รู้สึกเป็นการสัญจรที่แสนสบายใจ ทั้งเครื่องยนต์ขนาด 168.9 ซีซี 13 แรงม้า 1 สูบ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนด้วยสายพาน ระบายความร้อนด้วยอากาศ ทำให้เราสามารถเร่งหรือผ่อนเครื่องได้ดั่งใจ ขับได้ทั้งมือโปรและมือใหม่ ยิ่งเกียร์เป็นแบบ Automatic CVT ยิ่งเพิ่มความง่าย เติมความปลอดภัยด้วยระบบเบรค CBS ดิสก์เบรคหน้าหลัง เจอทางขรุขระยังผ่านฉลุยด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Telescopic และกันสะเทือนหลังแบบคู่ พร้อมฟังก์ชั่นเอาใจคนรักษ์โลกกับมาตรฐานท่อไอเสีย Eur4 ไม่สร้างมลภาวะเพิ่ม ประสิทธิภาพแน่นขนาดนี้ไม่ให้รักได้ไง
แม้ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะซื้อของ แค่มาเดินดูบรรยากาศ ซึมซับความเป็นอิตาลี เราว่ามันก็เพลินมากแล้ว ทั้งผู้คนที่แต่งตัวมาแบบคุมโทนดูสมาร์ทดูแพง อาคารบ้านเรือนทรงยุโรปแสนเรียบง่าย แต่ดูผู้ดีเป็นเอกลักษณ์ จนหลายประเทศนำมาเป็นแม่แบบสร้างโรงแรม ที่พัก เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มี character เด่นชัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสกู๊ตเตอร์ที่เราขับอยู่บ่อย ๆ ถึงได้ดูสมาร์ทคลาสสิก สะท้อนความเป็นมิลานได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด … อีกฟังก์ชันหนึ่งของ Lambretta V200 Special ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือช่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ ใส่ได้ตั้งแต่หมวกกันน็อค กระเป๋าถือ หนังสือ พร้อพปิกนิก แล้วยังมีตะแกรงด้านหน้าและหลังให้เราผูกสัมภาระไว้กับรถได้ ตัวเบาะออกแบบมาเป็นแบบยาว รับสรีระทั้งผู้ขับและผู้นั่ง ตอกย้ำกับความคลาสิก บ่งบอกถึงความเป็นอิตาลีแบบทริปที่เรามาเยือนได้อย่างดี จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเพื่อน ๆ ได้ครอบครองจะต้องปลื้มปลิ่มกับความเพอร์เฟคนี้แน่นอน ใครสนใจสามารถไปดูได้ที่ช้อป Lambreatta หรือตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราได้ใช้ไปกับเมืองมิลานแห่งนี้ เป็นอีกเมืองของยุโรปที่มีความสุดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ พื้นที่สีเขียว ที่นั่งชิล แหล่งช้อปปิ้ง และการได้มาเห็นต้นกำเนิดสกู๊ตเตอร์แสนรัก Lambretta ก็ยิ่งทำให้เราหลงรักการเก็บดีเทล การพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของเขามากขึ้นไปอีก ใครมีโอกาสแวะมาเที่ยวมิลาน แนะนำให้มาตามรอยเราให้ครบนะ เชื่อว่าได้ทุกรสสนุกทุกวันแน่นอน