ถ้าฝันอยากเที่ยวฟีลเจ้าหญิงเจ้าชายในเทพนิยาย เดินเล่นปราสาทในฝัน เริงร่าท่ามกลางหมู่บ้านชาเลต์แถบชนบท และชมวิวตามเส้นทางสุดอลังการ ทุกอย่างล้วนเป็นจริงได้ง่าย ๆ ณ “สวิตเซอร์แลนด์” ประเทศที่หันไปทางไหนก็มีแต่คำว่าสวยแบบตะโกน ส๊วย!! โดยรีวิวนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสความดีงามช่วงซัมเมอร์ ที่ทุกพื้นที่จากเคยปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนได้กลายเป็นสีเขียวชุ่มฉ่ำ พร้อมดอกไม้เมืองหนาวแย้มสวยรอต้อนรับอย่างเบิกบาน กับ 12 จุดเช็คอินที่ชวนฟินสุด ๆ ทั้งเที่ยวป่า ชมเมือง นั่งเรือ ขึ้นกระเช้า รับรองว่าใครได้มาตามรอยเรา จะต้องใช้คำว่า สวย!! เปลืองที่สุดในชีวิต แล้วยิ่งได้ใช้ vivo X80 Pro 5G มาช่วยบันทึกภาพความทรงจำ ก็ยิ่งได้ภาพจึ้ง ๆ กลับไปแน่นอน
ท่องเที่ยวจากเอเชียสู่ยุโรป กล้องถ่ายรูปอันดับหนึ่งในใจจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ vivo X80 Pro 5G เพราะนอกจากพกพาสะดวก ประมวลผลเร็วแล้ว ตัวกล้องเขายังพัฒนาร่วมกับ ZEISS แบรนด์ผลิตเลนส์ชั้นนำของโลก อัดเลนส์คุณภาพมาให้ถึง 4 ตัวแน่น ๆ ครอบคลุมทุกระยะ ทั้งเลนส์หลักความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซล, เลนส์ซูม Pericope Telephoto ซูมสะใจ 5 เท่า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, Telephoto สำหรับโหมด Portrait ลูกเล่นแพรวพราว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีระบบ Dual Pixel PDAF โฟกัสอัตโนมัติ ชัดเจนไม่พลาดทุกโมเมนต์ประทับใจ และ Ultra Wide ความกว้าง 114 องศา เก็บครบได้แม้สถานที่จะแคบ กับความละเอียดมากถึง 48 ล้านพิกเซล แค่นี้ก็เพอร์เฟคพอที่จะทำให้เราเก็บภาพปัง ๆ ผ่าน 12 โลเคชั่นจากดินแดนในฝันมาฝากทุกคนได้แล้ว
01 : Gimmelwald
ขอเริ่มที่แรกกับโลเคชั่นประหนึ่งหลุดมาจากเทพนิยาย Gimmelwald หมู่บ้านเล็ก ๆ บนเขาที่เราชอบที่สุด เพราะที่นี่จัดเป็นหมู่บ้านปลอดรถยนต์แห่งสุดท้ายของสวิตเซอร์แลนด์ การท่องเที่ยวจึงเป็นการเดินเท้าทั้งหมด ก่อนจะเดินไปถึงจุดสูงสุดของหมู่บ้าน เราจะเจอกับร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวให้ได้เติมพลังกันก่อน จากนั้น ออกเดินทางรับอากาศบริสุทธิ์กันให้เต็มปอด ชมทิวทัศน์กันให้เต็มตา กับหมู่บ้านเกษตรกรตามเนินเขา บ้านไม้โบราณดูสะอาดแข็งแรง ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ด้วยความสูงกว่า 1,367 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้จุดชมวิวแต่ละแห่ง เราจะพบกับเมฆหมอกที่ลอยปกคลุมยอดเขาอยู่บางเบา หนึ่งในวิวนั้นจะมี Jungfrau-Aletsch-Bietschhorn เหล่าเทือกเขาแอลป์และทะเลสาบอันสวยงามติดอันดับท็อปของยุโรป จนได้ขึ้นเป็นพื้นที่มรดกโลกกับ UNESCO ถือเป็นไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้
แม้ที่นี่จะไม่หวือหวาใหญ่โตเท่าสถานที่ยอดนิยม แต่เราก็ได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติสุดอลังการนี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยมุมไฮไลต์สำหรับเราขอยกให้เก้าอี้ไม้บนเนินเขา มีวิวเบื้องหน้าเป็นยอดเขาสีเทาและเขียวของหญ้าที่ขึ้นมาแทนที่หิมะ ลาดลงมาตามแนวเขาแซมด้วยดอกไม้เมืองหนาวชูช่อแต่งแต้มให้มีสีสัน พร้อมบ้านไม้ ฟาร์ม โรงเก็บฟืน กระท่อมทรงน่ารัก เห็นน้องวัว แพะ แกะออกมาแทะเล็มหญ้าอย่างเป็นธรรมชาติ แค่ได้มาเดินถ่ายรูปรอบ ๆ ก็ฟินจนเก็บไปนอนฝันแล้ว
02 : Mürren
อีกหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวย ด้วยโลเคชั่นที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ บนความสูง 1,638 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้เรามองเห็นยอดเขาอื่น ๆ จากตัวหมู่บ้านได้อย่างถนัดตา ไม่ว่าจะเป็น Eiger, Monch, Tschuggen, Lauberhorn ฯลฯ มองสลับกับบ้านไม้สไตล์ชาเลต์แบบยุโรปแท้ ๆ ที่ตั้งเรียงอย่างเป็นระเบียบตลอดเส้นถนน บรรยากาศก็แสนจะสงบ บอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า Mürren เป็นหมู่บ้านที่เหมาะกับการเดินวนชมให้ทั่วในหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาวเหล่านักกีฬาเอ็กซ์ตรีมก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเล่นสกีกัน เพราะเขามีทั้งลานสกี และโรงเรียนสอนอัพสกิลเลื่อนขั้นไปเป็นมือโปรกันได้เลยทีเดียว หรือจะมาเดินฮอปคาเฟ่ นั่งรับแดดอุ่น ๆ ที่ร้านอาหาร แวะซื้อของติดไม้ติดมือตามร้านของฝากก็เพลินไม่แพ้กัน
พูดถึงวิวและบรรยากาศ มีเต็ม 10 ขอให้เต็ม 100 ไปเลย แม้เราจะเจอนักท่องเที่ยวมากมาย ร้านรวงค้าขายกันอย่างคับคั่ง แต่บรรยากาศแสนจะสงบ มีแค่เสียงลม กิ่งไม้ไหว เสียงคนพูดคุยเบา ๆ และเสียงกระดิ่งจากคอของน้องวัวที่เดินเล็มหญ้าอย่าอิสระเท่านั้น ฟีลเหมือนมาไพรเวททริป พอลองจินตนาการถึงหน้าหนาวและใบไม้ร่วง ก็มั่นใจว่าฤดูไหน ที่นี่ก็คงมีความสวยงามที่แตกต่างกันไปอย่างแน่นอน
03 : Lauterbrunnen
จุดมุ่งหมายสำหรับหมู่บ้านนี้ คือ การได้ชมธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวและเป็นหนึ่งในที่สุดของยุโรป หมู่บ้าน Lauterbrunnen เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาในรัฐเบิร์น ถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นทางผ่านเพื่อไป Mürren และ Schilthornbahn จึงไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ต่างต้องแวะเช็คอิน ภายในหมู่บ้านมีทั้งคาเฟ่น่ารัก ๆ ที่พักหรูหราติดดาว ให้เรา take view ธรรมชาติเมืองหนาวได้แบบ non-stop รับรองเลยว่าบรรยากาศดีงามไม่แพ้ที่อื่น ทำเอาคนเมืองร้อนอย่างเราตื่นตาตื่นใจ อดอิจฉาคนที่นี่ไม่ได้เลยทีเดียว
มุมไฮไลต์ห้ามพลาดของที่นี่คือน้ำตก Staubbach น้ำตกใจกลางหมู่บ้าน ที่ตกลงมาจากหน้าผาแนวดิ่งสูงถึง 300 เมตร ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในยุโรป ผู้มาเยือนจะได้เห็นกลุ่มหมู่บ้านสีคุมโทน โบสถ์ฟอร์มมินิมอลสูงขาวเด่นนำสายตา พร้อมน้ำตกไหลผ่านเป็นแบล็คกราวด์ และเหล่าเทือกเขาหิมะที่โอบล้อม สวยราวกับภาพวาด แค่เอาตัวเองลงไปเดินก็เพิ่มยอดไลค์ได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว
04 : Schilthornbahn
ยอดเขา Schilthorn แห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณ Bernese Alps ซึ่งอยู่เหนือหมู่บ้าน Mürren และ Lauterbrunnen โดยเราสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาที่ห้องอาหาร PIZ GLORIA บนความสูง 2,970 เมตรจากระดับน้ำทะเล กิมมิกของห้องอาหารนี้คือมันหมุนได้!! เขาจะหมุนให้เราชมวิวรอบทิศ 360 องศา แบบไม่ต้องเดินดูเอง หรือจะออกไปนั่งลานข้างนอกทานเบอร์เกอร์ ฮอทดอกกันที่ Bistro Birg พร้อมวิวยอดเขา Jungfraujoch และยอดเขาสามเกลอ Mounch, Eiger และ Titlis ก็ถือเป็นการชิลเอาท์ที่จึ้งไม่มีใครเกิน ออ แล้วใครที่เป็นแฟนคลับหนังมหากาพย์พยัคฆ์ร้าย 007 หรือ James Bond บอกเลยว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เพราะที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำในภาค On Her Majesty’s Secret Service ซึ่งภายในจะมีนิทรรศการของหนังเรื่องนี้อยู่ด้วย
05 : Brienzer Rothorn
รถไฟไอน้ำโบราณสีเขียวแดงน่ารักปุ๊กปิ๊ก เป็นอีกหนึ่ง Must list ของเรา ที่เห็นนี้คือหัวรถไฟไอน้ำ Brienz-Rothorn-Bahn หรือ BRB อายุกว่า 130 ปี ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ต้นสายวิ่งจากทะเลสาบ Brienz สู่ยอดเขา Brienzer Rothorn ที่ความสูง 2,346 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความว้าวของมันอยู่ที่ขบวนรถที่เรานั่งจะเป็นหน้าต่างโค้งเปิดโล่งจนเกือบสุดเพดาน ให้เรารับวิวเต็มตา พร้อมลมเย็นตลอดทาง ขบวนหนึ่งจะจุคนได้ประมาณ 70-80 คน ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เปิดให้บริการช่วงเดือน มิถุนายน-ตุลาคมเท่านั้น ช่วงฤดูร้อนนี้บอกเลยว่าวิวว้าวไม่ไหว.. อยากจะกรี๊ดแทบทุกโค้งเขาเลยแม่ สวยม๊ากกกก
ความประทับใจอีกอย่างของที่นี่ คือความสะดวกสบายในการเดินทาง ยิ่งถ้าไปตามยอดเขาป๊อป ๆ จะมีรถไฟ กระเช้า ทางเดินที่เข้าถึงง่ายแทบทุกที่ อากาศก็เย็นสบายเหมือนเดินอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน จากยอดเขานี้ เรามองเห็นทั้งหิมะ หมอก ทะเลสาบสีฟ้าพาสเทล ตัดกับผืนหญ้ากว้างใหญ่ เดินทางมาเกือบซีกโลก เพื่อมาเจอวิวแบบนี้ บอกเลยว่าคุ้มค่าเวลาและเงินที่เสียไปมาก ๆ
06 : Zermatt
มาถึงเมืองเล็ก ๆ ที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของสวิตเซอร์แลนด์ Zermatt ตั้งอยู่เชิงเขา Mattertal ที่ความสูง 1,620 เมตร บรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างคึกคัก ตามตรอกซอกซอยมีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้าจำนวนมาก ป้ายร้าน ธงชาติ ยื่นออกมาตามทางเดินดูมีชีวิตชีวา อาคารส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านทรงตากอากาศวัสดุไม้ดูสบายตา ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวจึงมีที่พักหลายระดับให้เราเลือก รวมไปถึงสกีรีสอร์ทด้วย แอบกระซิบสำหรับเหล่า Chocolate lover นิดนึงว่า ช็อกโกแลตแบรนด์ดัง ๆ ของสวิส เหมาจากที่นี่ได้เลยนะเพราะราคาถูกมาก
ไหนใครคุ้นตากับภาพนี้บ้าง? นี่คือยอดเขา Matterhorn จุดที่ทำให้คนทั่วโลกหลั่งไหลมายังที่แห่งนี้.. มันคือยอดเขาที่เป็นโลโกของช็อคโกแลตแบรนด์ดัง Tobleron นั่นเอง ทางเราก็อดใจไม่ไหว ต้องขอซื้อมาวางเทียบให้เห็นชัด ๆ กันสักรูป โดยยอดเขานี้ก็เป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันของนักปีนเขามือโปร ที่อยากจะพิชิตยอดบนความสูง 4,478 เมตรสักครั้งในชีวิตเช่นกัน
หากการมองวิวจากหมู่บ้านมันยังแกรนด์ไม่พอ ขอแนะนำให้นั่งรถไฟไปที่ Gornergrat จุดที่จะทำให้เราใกล้ยอดเขา Matterhorn มากที่สุด เห็นวิวได้สวยเต็มตามากที่สุด ซึ่งเส้นทางรถไฟที่พาเราไต่เขานี้ บอกเลยว่าทั้งแกรนด์ ทั้งฟินนาเล่ จนทำเอานั่งไม่ติดเบาะ เพราะตรงฝั่งซ้ายก็มุมดี ฝั่งขวาก็วิวสวย มุมกดก็เป๊ะ มุมเงยก็ปัง ทำเราวิ่งวุ่นไปหลายนาทีจนไม่แน่ใจว่าระหว่างขาเรากับชัตเตอร์อันไหนสับรัวกว่ากัน นาทีนี้คือได้แต่พรึมพรําขอบคุณพระเจ้าที่สร้างโลกนี้ออกมาได้อย่างสวยงาม
เช่นเดียวกันกับยอดเขาอื่น ๆ ที่นี่มีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย และในช่วงฤดูร้อนคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการปีนเขาหรือเดินเทรล ซึ่งเขาก็มีให้เลือกหลายเส้นทาง แต่ทางเราเป็นสายเที่ยวแบบพองาม ขอเลือกเช็คอินเฉพาะสปอตห้ามพลาด ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันสักกรุบที่ Riffelsee-Lake จุดชมยอดเขา Matterhorn สะท้อนน้ำ เป็นคู่แฝดสุดปังที่ต้องใช้แต้มบุญสูงพอสมควร เพราะน้องจะโผล่มาเฉพาะวันที่แดดดี ฟ้าเปิดเท่านั้น โดยจาก Gornergrat สามารถเลือกได้ 2 ทาง คือเดินชมวิวลงเขามาตามป้าย ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง หรือจะนั่งรถไฟมาลงสถานี Rotenboden แล้วเดินต่อไปอีก 10 นาที ก็ได้เช่นกัน
สำหรับเรา ยอดเขา Matterhorn ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ถ่ายจากองศาใด ภาพที่กดซัตเตอร์มาล้วนมีเสน่ห์ ไม่เว้นแม่แต่การเซลฟี่ด้วย vivo X80 Pro 5G ก็ยังตอบโจทย์ ด้วยความละเอียดถึง 32MP มีรูรับแสงกว้าง f/2.45 สู้ทุกสภาพแสงแล้วยังปรับผิวปรับหน้าเราให้เนียนสวยอย่างเป็นธรรมชาติ อัจฉริยะด้วยระบบโฟกัสที่ว่องไว เก็บได้กว้างทั้งวิวทั้งคน จะกี่เรื่องราวดี ๆ ก็ถูกบันทึกได้อย่างสวยงาม ไม่หลุดโฟกัสแน่นอ
07 : Luzern City
เมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่ยังคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมเก่าแก่หลายร้อยปีเอาไว้มากมาย พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการท่องเที่ยว Luzern จึงเป็นที่นิยมของคนไทยมาก ๆ ด้วยความที่อยู่ห่างจากซูริกเพียง 1 ชม. แถมเป็นหนึ่งในหมู่บ้านของเทือกเขาแอลป์อันสูงเสียดฟ้า จนได้ชื่อเป็นหลังคาแห่งทวีปยุโรปอีกด้วย ใครที่ไม่ใช่สายเที่ยวโหดแบบปีนเขา เดินป่า เล่นสกี ก็ต้องมาที่นี่ละ เหมาะกับการควงแขนแฟนเดินชมความคลาสสิค ถ่ายรูปคู่กับบ้านเรือน ประติมากรรม ทะเลสาบใสสะอาด ที่สวยทั้งยามเช้าและยามเย็น งานนี้บอกเลยว่าลั่นชัตเตอร์ได้ทั้งวัน
แลนด์มาร์กแรกที่เรามักเห็นอยู่ตามหน้าหนังสือท่องเที่ยว หรือในอินสตาแกรมของเหล่าทราเวลบล็อกเกอร์ คือ Dyind Lion Of Lucerne Monument อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น ของขวัญที่ได้จากรัฐบาลฝรั่งเศส หินแกะสลักอย่างประณีตบรรจงนี้เป็นสิ่งเตือนใจ เพื่อระลึกถึงเหล่าทหารรับจ้างชาวสวิส 786 คน ที่ได้เข้าร่วมกับกองทัพฝรั่งเศสปราบจลาจลเมื่อ 230 ปีก่อน อิริยาบถของเจ้าป่าที่กำลังเอาขาหน้ากอดหอกและโล่ที่มีตราสัญลักษณ์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กลางลำตัวมีหอกปัก สีหน้าเศร้าโศกเหมือนกำลังร้องไห้ สื่อถึงความซื้อสัตย์ที่พร้อมตายในหน้าที่นั่นเอง
แม้มุมถ่ายรูปของที่นี่จะมีไม่เยอะ แต่เราก็สามารถสนุกกับฟีเจอร์ของกล้องได้อย่างไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะ Portriat Mode Style ระยะ 50 mm ระยะถ่ายบุคคลที่สวยที่สุด บวกกับลูกเล่นของเลนส์ที่พัฒนาร่วมกับ ZEISS มีโบเก้ให้เลือกมากมายอย่าง Distagon, Planar, Sonnar และ Biotar ส่วนอันที่เราใช้แล้วประทับใจมาก ๆ เลยคือ Cinematic ที่ละลายหลังได้เหมือนฉากในหนังอย่างแนบเนียนทั้งกลางวันและกลางคืน และยังมีเทคโนโลยีกันสั่น Gimbal ที่มีเฉพาะในสมาร์ทโฟน vivo เท่านั้นอีกด้วย
ใครที่อยากด่ำดิ่งไปกับอัตลักษณ์สไตล์ยุโรปโบราณ พลาดไม่ได้เลยกับ Chapel Bridge (Kapellbrucke) and Water Tower สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในยุโรป อายุเกือบ 690 ปี สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมระหว่างโรงละครลูเซิร์นและโบสถ์เซนต์ปีเตอร์เข้าด้วยกัน โดยตลอดเส้นทางจะเห็นรูปวาดสีเข้มสมัยศตวรรษที่17 บอกเล่าเรื่องราวของเมืองลูเซิร์น ตำนานเทพ Maurititus และนักบุญ Leodegar ผู้สร้างเมือง เดิมมีมากถึง 120 ภาพ แต่เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ จึงหลงเหลืออยู่เพียง 20 ภาพ นอกนั้นกลายเป็นภาพถ่ายมาแทนที่ วิวทั้งสองฝั่งสะพานยังน่าสนใจ ทั้งวิวตึกเก่าเลียบริมน้ำ และเทือกเขาสูงใหญ่โอบล้อมรอบ ทั้งหมดนี้เรียกความสนใจจากเหล่านักท่องเที่ยวให้มาเดิมชมกันอย่างคึกครื้นเลยทีเดียว
ตอนกลางวันว่าสวยแล้ว ช่วงหัวค่ำเจอแสงทไวไลท์ยิ่งว้าวเข้าไปใหญ่ กับภาพฟ้าเปลี่ยนสีที่ค่อย ๆ มืดลง ชาวเมืองพร้อมใจกันเปิดไฟสีส้มแต่งแต้มแสงเงาให้เมืองมีชีวิตอีกครั้ง มีเสียงเพลงจากร้านนั่งชิล และผู้คนเดินชมเมืองกันอย่างขวักไขว่ ยิ่งเจอมุมสะท้อนน้ำแบบนี้ มันยิ่งเพิ่มความโรแมนติกเข้าไปใหญ่ อดใจไม่ไหวจนต้องหยิบ vivo x80 Pro 5G ขึ้นมากดภาพสวย ๆ มาฝากทุกคน ด้วย Night mode มีระบบกันสั่นที่ดี Gimbal Stabilization 3.0 ทำให้เราได้ภาพคมชัด โฟกัสเร็ว สีสดใสโดยไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้อง ถ้ามองดี ๆ แสงไฮไลต์และเงาของภาพไม่มีจุดไหนที่สว่างหรือมืดจนเกินไปเลย เพราะเขามีเทคโนโลยีเคลือบเลนส์ ZEISS T* Coating เทคนิคการเคลือบเลนส์แบบพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS และ Real Time Extreme Night Vision 3.0 ให้เราเห็นผลลัพธ์ภาพถ่ายตั้งแต่ยกกล้อง ทำให้เราไม่พลาดทุกความประทับใจ
08 : Lake Luzern
ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลายเมือง การเดินทางด้วยเรือจึงเป็นอีกวิธีที่คนสวิสใช้ข้ามเมืองกัน และ Lake Luzern ยังมีเส้นทางเดินเรือทะเลสาบที่ยาวที่สุดในทวีปยุโรปด้วย ถ้าใครอยากเที่ยวแบบประหยัดงบ ไม่จำเป็นต้องจองเรือท่องเที่ยวเลย แค่นั่งข้ามเมืองก็ได้บรรยากาศสวยคูลไม่แพ้กันแล้ว ไม่ว่าจะนั่งไปถึงเมือง Brunnen หรือ Fluelen แวะชม Queen of the Mountains ที่เมือง Vitznau แล้วต่อรถไฟไต่เขา RIGI-BAHN ขึ้นไปยังยอดเขา Rigi ก็ง่ายดาย สมแล้วที่เป็นประเทศที่มีการคมนาคมดีระดับต้น ๆ ของโลก ทั้งรถไฟ กระเช้า เรือ ของเขายืนหนึ่งจริง ๆ
สำหรับคนเที่ยวสายชิลเน้นความดื่มด่ำอย่างเรา ขอนั่งกินลมชมวิวบนเรือยาว ๆ ไม่รีบร้อนใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มที่มีให้เลือกหลากเมนู ทั้งของคาว ขนมอบใหม่หอมชุ่มเนยติดจมูก เพิ่มอรรถรสให้เราได้นั่งหลบมุมจิบกาแฟ พร้อมชมวิวทะเลสาบสีฟ้าเทอร์ควอยซ์สะท้อนประกายระยิบระยับ ตัดกับภูเขาสีเขียวอ่อนแรกแย้มแห่งฤดูร้อน เปลี่ยนฉากไปเรื่อย ๆ ยามเรือแล่น กลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่เพิ่มขึ้นมาโดยบังเอิญ
09 : Titlist
ยอดเขาที่สวยยืนหนึ่งของสวิส สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูไม่ว่าจะช่วงหน้าหนาวก็สามารถมาเล่นสกี ใบไม้ผลิจะได้เจอกับพื้นที่สีเขียวและขาวจากหิมะสลับกันไป อยากเจอป่าเปลี่ยนสีก็ลองมาฤดูใบไม้ร่วง เขาจะเปลี่ยนธีมเป็นสีเหลืองอร่ามให้เราได้เชยชม ส่วนหน้าร้อนก็จะฟรุ้งฟริ้งอย่างที่เห็น ธารน้ำธรรมชาติที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง เป็นสีฟ้าใสจนอยากจะเอาหน้าลงไปจุ่ม อย่างกับหลุดมาจากนิยายขายฝัน บอกเลยว่าทุกจินตนาการที่สวยงามอาจได้มาเห็นที่นี่ เราอ่านคำแนะนำมา เขาบอกว่าถ้ามาแล้วเจอฟ้าเปิดให้ขึ้นยอดเขาไปต่อได้เลย แต่ถ้าเจอหมอกก็พับเก็บแพลนนี้ไปก่อน เพราะขึ้นไปก็เจอแต่ความขาวโพลน การขึ้นมายัง Titlist จะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปถึง 3 สถานี ประทับใจสุดคือสถานีที่ 3 เค้าใช้กระเช้า Rotair ที่สามารถเคลื่อนตัวพร้อมกับหมุนแบบ 360 องศา ไปพร้อม ๆ กัน
และแล้วกระเช้าก็พาเราแลนด์ดิ้งทิ้งตัวบนยอดเขาที่มีความสูงถึง 3,238 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตลอดทั้งปี แม้ในยามฤดูร้อน ที่นี่จึงมีกิจกรรมเกี่ยวกับหิมะให้เลือกทำอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสกีสำหรับสายแอดเวนเจอร์เอ็กซ์ตรีม การนั่ง Ice Flyer กระเช้าห้อยขาที่เปิดโล่งทั้ง 360 องศา เปิดโลกให้เราได้ชมวิวกันแบบเสียว ต่อด้วยนั่งห่วงยางสไลด์ตัวลงเขาที่ Glacier Park ถ้าอยากเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นมาหน่อย ลองมาที่จุดชมวิวสะพานแขวน Titlis Cliff ทำเป็นตะแกรงเหล็กชมทัศนียภาพรอบ ๆ แบบไม่มีอะไรกั้น ตอนอยู่กลางสะพานนี่ล่ะขาสั่นแบบสุดปังมาก ทั้งสูงทั้งหนาวเลยแก
เก็บภาพจนพอใจและสูดอากาศจนเต็มปอด ขากลับ เราเลือกแวะลงกระเช้าที่สถานี Truebsee เพื่อชมทะเลสาบสีฟ้าครามนามว่า Truebsee ผู้มีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านคล้ายบอดี้การ์ดส่วนตัวที่คอยคุ้มครองทะเลสาบแสนสวยนี้ไว้ และเดินเล่นทอดน่องใช้เวลาสัมผัสบรรยากาศของยอดเขา จากนั้นลงไปพายเรืออย่างเอื่อยเฉื่อย ฟังเสียงกระดิ่งที่ดังพร้อม ๆ กับการก้าวเดินของน้องวัว ไล่จับสัมผัสของสายลมที่ไม่มีตัวตน และเก็บภาพที่เราไม่อาจลืมเลือนไว้ด้วยตาของตัวเอง บอกเลยว่า.. ถ้าแกได้มายืนอยู่ตรงนี้นะ เราเชื่อว่าหลายคนอาจต้องหยิกตัวเองว่ากำลังฝันหรือตื่นอยู่กันแน่ เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันสวยเกินพรรณนาจริง ๆ
10 : Lake Lungern
ทะเลสาบเล็ก ๆ ที่คนชอบมองข้าม ทั้งที่อยู่ติดกับเส้นทางรถไฟสายสุดป๊อประหว่างเมือง Luzern และ Interlaken ความโดดเด่นที่ทำให้เราต้องขอเพิ่ม Lake Lungern เข้ามาในลิสต์ คือความคัลเลอร์ฟูลของมัน ทั้งทะเลสาบสีฟ้า พื้นหญ้าเขียวไล่สี บ้านสีขาวน้ำตาลคุมโทน สวยราวภาพวาด ชาวเมืองส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร การเดินชมเมืองนี้จึงเป็นอีกเวย์ให้เราได้สัมผัสสวิสในแบบฉบับคนพื้นเมืองจริง ๆ มันไม่ได้คึกคักเท่าเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ แต่บรรยากาศที่พบ ทำเอาเราตายอย่างสงบศพสีชมพูมาก ไหนจะชมฟาร์มเกษตรชาวบ้านเอย โบสถ์เก่าแก่ Alte Kirche Lungern เอย หรือจะเป็นโบสถ์หลักหลังงาม Pfarrkirche Parafia Herz-Jesu Lungern ทั้งหมดล้วนควรค่าแก่การเยี่ยมชมทั้งนั้น
และความฟินของหมู่บ้านนี้อยู่ที่วิวหลักล้านจากถนน Bergstrasse จุดชมวิวที่มองลงมาแล้วเห็นวิวเมือง มีทั้งบ้านเก่าแบบสวิสดั้งเดิมและบ้านยุคใหม่แนวร่วมสมัยเรียงรายตลอดแนวชายฝั่งของทะเลสาบน้ำสีเทอร์ควอยซ์ได้อย่างชัดเจน มีเทือกเขายิ่งใหญ่ยืนตระหง่านท้าแดดสร้างร่มเงาให้กับเมือง ถ้าอยากได้ภาพสวยปังแบบที่เห็นตามอินสตาแกรม แนะนำให้ดักรอถ่ายรูปรถไฟขบวนสีแดง วิ่งผ่านจะฟินขึ้นไปอีก องค์ประกอบครบบ่งบอกความเป็นสวิตเซอร์แลนด์ได้แบบไม่ต้องพูดเยอะ
11 : Chillon Castle
Chillon Castle คือปราสาทสไตล์กอทิกเก่าแก่ที่สร้างในราวศตวรรษที่13 อายุเกือบ 880 ปี กลายเป็นมาสคอตประจำเมือง Montreux ไปโดยปริยาย เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา เดิมเป็นจุดควบคุมเก็บค่าผ่านทางจากอิตาลีผ่านช่องเขากร็อง-แซ็ง-แบร์นาร์ จากนั้นเปลี่ยนเป็นปราสาทตากอากาศช่วงฤดูร้อนของราชวงศ์ซาวอย แต่ด้วยความที่ไม่ได้อยู่ปราสาทตลอดกาล เวลาทำให้เสื่อมโทรมลง ชั้นใต้ดินจึงกลายเป็นที่คุมขังพระและนักโทษทางการเมือง ที่เรียกร้องให้ผู้คนในเจนีวาต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากซาวอย เป็นแรงบันดาลใจให้กับบทประพันธ์อันโด่งดัง “The Prisoner of Chillon” แฟน ๆ ของหนังสือเล่มนี้ต่างตั้งใจเดินทางมาเยี่ยมชม เมื่อภาพปราสาทแสนคลาสสิคนี้เผยแพร่ออกไป ที่นี่จึงกลายเป็นอีก destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกนั่นเอง
ความน่าสนใจของปราสาทไม่ใช่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในยังลึกลับซับซ้อนจนทำเรางงตาแตกไปหลายรอบ แม้เขาจะทำเส้นทางการเดินไว้ชัดเจน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนเขาจำกันได้ยังไง โดยห้องที่เขาจัดให้เราชมมีทั้งหมด 25 ห้อง ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ตั้งแต่ห้องอาหาร เรียนรู้กรรมวิธีการทำอาหาร ทำไวน์ เบียร์ในสมัยยุคกลาง ประวัติศาสตร์การค้าขายเครื่องเทศของชาวยุโรป เครื่องถ้วยโบราณจัดเรียงกันอย่างสวยงาม ห้องนอนอันโอ่อ่าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และห้องคุมขังนักโทษ พร้อมเครื่องใช้ต่าง ๆ เรียกว่าให้เดินชมทั่ว ไม่มีกี๊ก ออกมาพร้อมความรู้เต็มสมองกันเลยทีเดียว นี่ขนาดเดินชมแบบเร็ว ๆ ก็ใช้เวลาไปเกือบ 2 ชม. แต่ถ้าจะเอาถึงพริกถึงขิงอาจต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเลยแก เผื่อเวลากันดี ๆ เด้อ
ใครที่อยากได้รูปคู่ปราสาทสวย ๆ อยากโคฟเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายในเทพนิยาย แนะนำให้เดินมาที่สะพานด้านข้าง จะเป็นภาพปราสาทมุมกว้างหันหน้าออกไปทางทะเลสาบ พร้อมภูเขาแนวยาวอันไกลโพ้น สวยจนเลนส์กล้องแทบแตกเพราะทางนี้กดชัตเตอร์กันรัวมาก หรือจะไปนั่งชิลเอาท์ในคาเฟ่วิวปราสาท ล่องเรือสำราญชมปราสาทจากกลางน้ำ ต่อด้วยล่องชมสปอตสำคัญ ๆ ของเมือง ได้ความหรูหราฟีลลูกคุณหนูพร้อมรูปสวยเก๋กลับบ้านไปอีกเพียบ
12 : The Fork – Alimentarium
ส้อมยักษ์ปักกลางทะเลนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Vevey หรือ ไข่มุกแห่งสวิสรีเวียร่า ตั้งอยู่ริมชายหาดเจนีวา ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและเห็นวิวเทือกเขาแอลป์แสนอลังการอย่างชัดเจน ทำให้ตลกชื่อดังนามชาร์ลี แชปลิน เลือกใช้เวลา 25 ปีสุดท้ายของชีวิตที่นี่ โดยมีรูปปั้นของเขาอยู่ไม่ไกลจาก The Fork – Alimentarium ส้อมขนาดใหญ่สูง 8 เมตร กว้าง 1.3 เมตร ที่ทำจากสแตนเลส ออกแบบโดย Jean-Pierre Zaugg เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีของ Alimentarium (พิพิธภัณฑ์อาหาร) เมื่อปี 1995 ติดตั้งได้เป็นเวลา 1 ปี ก็ถูกนำออก จนเมื่อปี 2007 ได้กลับมาติดตั้งในงานเทศกาลอีกครั้ง จนชาวเมือง Vevey เรียกร้องให้น้องอยู่ต่อ จนได้ตั้งถาวรให้เราได้ร่วมเฟรม ครีเอทท่าอย่างที่เห็นนี้เลย
นอกจากภาพสวย ๆ ทั้งหมด ได้ได้จากเลนส์ครอบคลุมทุกระยะ ฟีสเจอจึ้ง ๆ สุดแพรวพลาวที่ถ่ายกลางวันก็ดี เซลฟี่ก็เจ๋ง กลางคืนก็เอาอยู่แล้ว เจ้า vivo X80 Pro 5G ที่มาพร้อมสีดำ Cosmic Black สุดคูลดูพรีเมี่ยม สเปคเทพระดับ Hi-End ก็ดีงามไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว คมชัดสวยเต็มตาเล่นเกมส์ได้ดูหนังเพลิน ฟังเพลงก็ปังกับชิปเสียง Hi-Fi ตัวเครื่องใช้วัสดุ Ultimate Aesthetic ผิวสัมผัสแบบด้าน เกิดรอยนิ้วมือน้อย ทนทานกันน้ำ กันฝุ่น มองมุมไหนก็หรูหราไร้ที่ติ แบตเตอรี่อัดแน่นมาจุก ๆ พร้อม Fast Charge 80w ชาร์จเต็มได้ในเวลประมาณครึ่งชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย เสริมทัพให้ทรงพลังมากขึ้นด้วยชิปประมวลผลภาพถ่ายแบบ V1+ISP สมาร์ทโฟนรุ่นนี้จึงดูดีเกินต้านมาก ๆ เอาเป็นว่า … ใครอยากมีไว้ครอบครอง สามารถไปจับจองกันได้แล้วที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ในราคา 39,999 บาท ดูข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vivo.com/th/products/x80pro อ่อ.. นอกจากนี้ใน vivo X80 Series 5G ยังมีรุ่น X80 5G ราคาน่ารัก 29,999 สเปกโดนใจให้เลือกเช่นกัน
ถ้าถามว่าประเทศไหนเที่ยวแล้วฟีลกู๊ดที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นสวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่น่าอยู่อันดับ 1 ของโลก มันเป็นการให้คะแนนที่ไม่เกินจริง ถ้าใครได้มาสัมผัสด้วยตัวเองก็คงเข้าใจเหมือนกับเรา เขาสามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้อยู่กับธรรมชาติได้อย่างแนบเนียน สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกโดยไม่เบียดเบียนทรัพยากรอื่น ๆ ผู้คนที่แสนจะเป็นมิตร มอบความเป็นส่วนตัวให้กันและกันขั้นสุด กลิ่นความเจริญที่หอมหวนนี้ ทำให้เราอยากกลับมาอีกหลาย ๆ ครั้ง ใครที่กำเงินก้อนกำลังหาที่ไป เราขอแนะนำให้มาสวิตเซอร์แลนด์ ยืนยันอีกครั้งว่าคุ้มค่าเงิน คุ้มเวลาที่ได้ใช้ไปอย่างแน่นอน