Hisai from OKINAWA {:
พูดถึงญี่หลายคนมักจะคุ้นชินกับภาพอากาศหนาวที่มีหิมะโปรยปราย ซากุระบานสะพรั่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือบรรยากาศแสนโรแมนติกในช่วงใบไม้เปลี่ยน แต่ถ้าพูดถึงความไม่ค่อยคุ้นชินแต่ดีมากๆ ก็คงเป็นทะเลญี่ปุ่นที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังนี่แหละ ณ จังหวัดใต้คิวชูอันไกลโพ้นนามว่า “OKINAWA” เกาะสวรรค์ที่เรากล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่า ถ้าคนรักทะเลได้ไปจะต้องร้องว้าวให้กับความขาวสวยของชายหาดที่ได้รับรางวัลที่หนึ่ง 6 ปีซ้อน ความใสของน้ำทะเล ความเงียบสงบของเกาะ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน วัฒนธรรมที่น่าสนใจ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่ชวนหลงใหล คาเฟ่สุดชิค ร้านอาหารสุดฟิน รวมถึงความน่ารักมีน้ำใจของชาวโอกินาวา รับรองทริปนี้แกจะใช้คำว่า อู้หู อู้หู ได้สิ้นเปลืองมาก ส่วนจะดีงามแค่ไหนตามมาดู 33 โลเคชั่นเด็ดที่เราคัดสรรมาเพื่อทุกคนได้เลย …
“โอกินาว่า” เป็นจังหวัดที่ประกอบด้วยหมู่เกา
Flight
Peach Air สายการบินโลวคอสต์สัญชาติญี่ปุ่นที่ขยันปล่อยโปรโมชั่นราคาประหยัดออกมาบ่อยและถี่มาก นางเป็นสายการบินเพียงเจ้าเดียวที่มีไฟล์บินตรงจากกรุงเทพไปโอกินาวา ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 01:40 น. ถึง Naha Airport เวลา 08:10 น สิริเวลาเดินทางรวม 4 ชั่วโมง 30 วินาที บินด้วย AIRBUS A320-200 ( ยอดนิยมจ้า ) ที่นั่งเป็นแบบ 3 – 3 แอร์โฮสเตสมีความ Cawaii บริการดีเป็นมิตร แถมที่นั่งก็โอเครไม่คับแคบเหมาะสมกับราคา พวกเราขึ้นเครื่องปุ๊บก็ปรับเบาะเอนเหยียดแข็งเหยียดขานอนกันยาวยาวไปเช้าอีกทีที่โอกินาวา ซึ่งถือว่าเป็นเวลาบินที่เก๋กู๊ดมาก เพราะถึงปุ๊บลากกระเป๋าออกจากสนามบินโยนเข้าที่พักแล้วออกไปเที่ยวได้เลย
001 Gabusoka Shokudo
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เพราะฉะนั้นก่อนการตะลอนเที่ยววันแรกของทริปจะเริ่มขึ้น เราขอแวะมาเติมพลังด้วยเมนูชื่อดังของโอกินาวาอย่าง Soki Soba ก่อนเลย สำหรับเมนูนี้มีขายกระจายในร้านอาหารของโอกินาวา แต่ถ้าอยากสำผัสความแซ่บแบบออริจินอลที่แท้ทรู ต้องแบกความหิวไปกินกันที่ร้าน Gabusoka Shokudo นํ้าซุปที่เข้มข้นจากกระดูก
002 Ocean Expo Park
หลังจากทานมื้อกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย เราก็ตรงดิ่งมาต่อกันที่สวนสาธารณะโอเชี่ยนเอ็กซ์โป สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ Okinawa Churaumi Aquarium แลนมาร์คหลักที่เกือบทุกรีวิวโอกินาวาจะต้องพูดถึง ภายในโอเชี่ยนเอ็กซ์โปยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นอื่นอีกหลายจุดไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม ( Oceanic Culture Museum ) / หมู่บ้านพื้นเมืองโอกินาว่า ( Native Okinawa Village ) / สวนพฤกษศาสตร์ ( Tropical Dream Center ) / ชายหาด ( Emerald Beach ) แต่ด้วยเวลาจำกัดขอเลือกเที่ยวแค่บางส่วนเฉพาะที่น่าสนใจสำหรับพวกเราละกัน
เริ่มต้นกันที่ โอคิจังเธียร์เตอร์ จุดชมโชว์คิ้วคิ้วของนุ้งโลมาโอคิจังและผองเพื่อนที่มีฉากหลังเป็นทะเลโอกินาวาสีคราม ซึ่งโชว์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากถึงขนาดว่าที่นั่งเต็มเป็นประจำเลยทีเดียว ฉะนั้นถ้าไม่อยากพลาดโชว์ดีดีแถมราคาฟรีอีกต่างหากแพลนเวลาให้ดีนะแกรเพราะเค้าไม่ได้โชว์กันทุกทุกสามนาที 555 รอบเวลาโชว์ 11:00 / 13:00 / 14:30 / 16:00 / 17:30 น.
ฉลามวาฬยักษ์ที่แหวกว่าย คงเป็นภาพที่เห็นกันบ่อยในรีวิวโอกินาวา ซึ่งถ้าลองสุ่มขำขำเลือกมาสัก 10 รีวิว เชื่อว่าจะต้องเกินครึ่งที่นำภาพฉลามวาฬยักษ์มาเป็น Cover เราเห็นรูปฉลามวาฬยักษ์คนอื่นมาก็เยอะแล้วมาโอกินาว่าครั้งนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องพลาด เราจะต้องมีภาพแบบนั้นที่ถ่ายด้วยตัวเอง 555 เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาชมโลมาโชว์จบเราก็ควักตัง 1,800 เยน ( 550 บาท) ตรงดิ่งไปยังเค้าเตอร์ภายในตัวอาคาร เพื่อซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ ( Okinawa Churaumi Aquarium ) พอได้ตั๋วเรียบร้อยก็เดินเข้าพิพิธภัณฑ์ทันที โซนแรกที่เจอจะเป็นบ่อน้ำที่ทุกคนสามารถทดลองสัมผัสปลาดาวและหอยชนิดต่างๆ ได้ จากโซนแรกเดินถัดไปเรื่อยเรื่อยก็จะพบกับโซนแสดงสัตว์น้ำอีกเยอะแยะมากมากมาย ซึ่งถ้าเล่าทั้งหมดทุกโซนที่เจอมาเกรงว่าจะไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าใคร่รู้ว่ามีโซนไหนน่าสนใจอีกบ้างรบกวนจองตั๋วเครื่องบินแล้วบินไปชมด้วยตาตัวเองเลยจ้า
ส่วนเราขอเปิดวาร์ปไปที่โซนสุดพีคที่ทำให้พิพิธภัณฑ์น้ำจืดแห่งนี้เป็นที่รู้จักจนนักท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงพี่ไทยอย่างเราๆ แห่มาที่นี่ ซึ่งโซนนี้ก็คือ ซุ้มฉลาม ซึ่งเป็น Hall หลัก ที่มีทั้งฉลามวาฬยักษ์ขนาดตัวยาวกว่า 8.4 เมตร กระเบนแมน
ออกจากพิพิธภัณฑ์น้ำจืดเราก็มาจัดมื้อเย็นแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบกันที่ Gabusoga Restaurant ร้านอาหารแนวบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ภายในโอเชี่ยนเอ็กซ์โปแห่งนี้ ราคาต่อหัวอยู่ที่ 1,800 เยน ( 550 บาท ) และญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่นจานบุฟเฟ่ต์นางยังคงคอนเซ็ปเน้นความน่ารัก โดยจานจะแบ่งเป็นหลุมเล็กเล็กไว้ให้เราคีบอาห
มองลอดผ่านกระจกห้องอาหารลงไปที่ริมทะเล ณ เพลานี้เต็มไปด้วยครอบครัวญี่ปุ่นที่ต่างพากันหอบลูกหอบหลานมาจับจองที่นั่งเพื่อรอชม Sunset งามๆ ซึ่งบริเวณสนามหญ้าริมทะเลก็เต็มไปด้วยร้านค้าที่ตกแต่งประดับประดาได้สวยงามแบบญี่ปุ่นสไตล์สุดๆ
1 ใน 365 วัน ที่โอกินาวาแห่งนี้จะมีงาน Hanabi Taikai หรือเทศกาลดอกไม้ไฟ ซึ่งพวกเราโชคดีมากที่มาเที่ยวตรงกับวันจัดงานนี้พอดี โดยเทศกาลดอกไม้ไฟจัดขึ้นที่ Emerald Beach ซึ่งเป็นหาดในสวนสาธารณะโอเชี่ยนเอ็กซ์โปแห่งนี้นี่เอง สรุปที่เห็นคู่รัก ครอบครัวญี่ปุ่น มาชุมนุมกันที่นี่แบบเยอะแยะมากมายไม่ใช่เพราะ Sunset แต่คนพวกนี้เค้ามารอดูพุกันอะแกร๊ หลังจากจับจองที่นั่งกันเรียบร้อย ประมาณทุ่มครึ่งพุก็เริ่มพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า การนั่งบนผืนทรายริมทะเล มีลมพัดเย็นเย็น มองดูพุมันช่างเป็นอะไรที่สวยงามมากจริงๆ ทำให้ลืมสิ่งต่างๆ รอบตัวไปไ
003 Busena Marine Park
เช้านี้ที่บูเซน่ามารีนพาร์ค Busena Marine Park หอสังเกตการณ์ใต้น้ำเพียงแห่งเดียวบนเกาะโอกินาวา ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่ง Busena ประมาณ 170 เมตร หอสังเกตการณ์ใต้น้ำแห่งนี้ช่วยให้พวกที่ว่ายน้ำ ดำน้ำไม่เป็น ได้มีโอกาสเห็นปาการังปังปังสวยสวยแบบ 360 องศา และนอกจากนี้ที่นี่ยังมีหาดทรายนุ่มนุ่ม เก้าอี้แบบนั่งเอนคู่กับร่มคันใหญ่ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเราได้นั่งนอนอ่านหนังสือชิวชิว แถมใครที่ชอบกิจกรรมแบบเปียกๆ ตรงชายหาดก็มีให้เลือกเล่นกิจกรรมยืดเส้นยืดสายหลายอย่างเลยแกร๊
สำหรับพวกเรา พากันมานั่งเรือท้องกระจกออกไปกลางทะเลที่กว้างใหญ่อันไกลโพ้น เพื่อดูสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล รวมถึงปลาใหญ่ปลาเล็กหลากสีสันที่แหวกว่ายไปมาตามแนวปะการัง อยากบอกว่าทะเลที่นี่สีครามสวยสดงดงามไม่แพ้บ้านเราเลย พอดื่มด่ำเพลิดเพลินจำเริญใจไปกับโลกใต้ทะเล และหาดทรายขาวขาวกันจนสาแก่ใจแล้ว ก่อนกลับพวกเราก็ไม่พลาดที่จะโพสต์ท่าชิคๆ กับทะเลสีแจ่มๆ แล้วลั่นชัตเตอร์เก็บไว้เป็นภาพที่ระลึก
004 Okashi Goten Onna Village
พักความดำไว้สักครู่ ขอหลบแดดเข้าห้องแอร์ที่ Okashi Goten Onna Village แหล่งช็อปปิ้งขนมนมเนย ของที่ระลึก และของฝากชื่อดังของโอกินาวา ซึ่งทีเด็ดของสายกินไม่เลือกแบบเราเราก็ต้องยกให้เจ้า Beni-imo ขนมชื่อดังที่ทำจากมันเทศสีม่วง เคลมเรื่องความสดใหม่ด้วยเครื่องทำขนมอัตโนมัติที่ผลิตให้เห็นกันชิ้นต่อชิ้นเลยจร้า ส่วนรสชาติของเจ้า Beni-imo ก็โดนใจฝุดฝุด เราซื้อกลับไทย 10 กล่อง คงไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ว่าแซ่บแค่ไหน
005 Cape Manzamo
ขนลุกกับแอร์ฉ่ำๆที่ Okashi Goten Onna Village กันแล้ว ไปขนลุกแบบต่อเนื่องกับความสวยงามของท้องฟ้า น้ำทะเล ท่ามกลางแดดเปรี้ยงเปรี้ยงที่ผาหินมันซะ (Manzamo) จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงติดอันดับอีกหนึ่งแห่งของโอกินาวา นี่คือความสวยงามแบบจับต้องได้ เพราะจากลานจอดรถเดินแค่ 1 นาที ก็จะได้พบกับความเขียวขจีของทุ่งหญ้าบนหน้าผา และความงามของผืนน้ำทะเลสีฟ้าใสไกลสุดลูกหูลูกตาแบบที่ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ เค้าเล่าว่าพันธุ์ไม้ตามหินเก่าแก่ของผาหินมันซะได้ถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติของจังหวัดเลยทีเดียวเชียวนะแกร๊
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การการมาที่นี่ ก็จะเป็นตอนเช้าเพราะนอกจากจะได้เสพวิวงามงามแล้วยังจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกด้วย และอีกช่วงก็คือตอนเย็นเพราะจะได้สัมผัสกับอีกบรรยากาศของความงามในยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แต่ถึงแม้จะมาช่วงแดดเปรี้ยงๆ ความประทับใจที่พวกเรามีต่อที่แห่งนี้ก็เต็มเปี่ยมและกล้าพูดเลยว่าถ้ามาโอกินาวาแล้วไม่ได้มาเหยียบถือว่ามาไม่ถึงจร้า
006 Beach 51
ที่นี่คือ Hidden Place ที่ไม่ได้หวือหวาชนิดที่นักท่องเที่ยวแห่กันมาเหมือนที่เที่ยวอื่นอื่นในโอกินาวา ความจริงแล้วที่นี่ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการแต่บรรดาคนเล่นเล่นเซิฟ พายบอร์ด พายคายัก และคนแถวนี้จะเรียกมันว่า Beach 51 ที่นี่มีจุดชมวิวที่สวยงาม มีหาดเล็กๆที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่มีร้านค้า ร้านขายของ ส่วนมากมีแต่คนญี่ปุ่นและฝรั่งบางกลุ่มที่ชอบกิจกรรมทางน้ำมาอยู่รวมกัน และด้วยความที่ไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบเป็นทางการทางเดินลงไปหาดและจุดชมวิวก็จะยากหน่อยหน่อย พวกเราแวะเข้ามาเก็บภาพจากจุดชมวิวแค่แป๊บเดียวไม่ได้ลงไปเดินเล่นที่หาดเนื่องด้วยเวลาค่อนข้างจำกัด แต่แค่จุดชมวิวมองลงไปเห็นชาดหาด เขาหินเเล็กๆ ในทะเล แค่นี้ก็อิ่มเอมใจกับความสวยงามแล้วแก
007 Ryukyu Mura Village
เป็นธีมพาร์คที่จำลองเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมของอาณาจักรริวกิวในสมัยโบราณ พร้อมมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมโอกินาว่า ซึ่งประกอบด้วย อาคารแต่ละหลังที่มุงด้วยกระเบื้องสีแดง ล้อมรอบด้วยกำแพงหินที่ป้องกันพายุไต้ฝุ่น ศาลเจ้า และกลุ่มเวิร์คช้อปต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเครื่องปั้นดินเผา เล่นดนตรีเครื่องสายของโอกินาว่าซันชิน ( sanshin ) ระบายสีรูปปั้นชิซะขนาดเล็ก ( shisa ) ย้อมผ้า และอีกเยอะแยะมากมาย นอกจากนี้ภายในยังมีการแสดงที่หลากหลายให้คนที่เสียตังค์ค่าบัตรเข้าไปได้รับชม เช่น โชว์ตีกลองไทโกะ ( taiko ) การเต้นรำ คอนเสิร์ต ขบวนพาเหรด และพิธีกรรมทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เพื่ออรรถรสและความสมจริงในการถ่ายภาพลงโซเชียลอวดชาวบ้าน ที่นี่เค้ามีชุดสไตล์โอกินาว่าให้ลอ
008 The Junglila Cafe’ & Restaurant
ก่อนดินเนอร์วันนี้จะเริ่มต้นขึ้นเราแวะมาชิวกันก่อนที่ The Junglila Cafe & Restaurant ร้านกาแฟที่มีตังค์อย่างเดียวนั่งไม่ได้เพราะวันที่เราไปโต๊ะถูกจองเต็มจ้า ซึ่งพี่พนักงานคูลคูลแนวนิปปอนบอยที่ยืนดูดบุหรี่หน้าร้านนางบอกกับเราว่า ปกติถ้าอยากได้ที่นั่งชัวชัวต้องโทรมาจองล่วงหน้า แต่เนื่องจากคนที่จองยังไม่มานางก็เลยอนุญาติให้เราเข้าไปเก็บภาพกรุปๆ. พอหายอยาก ภายในร้านเค้าตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาล พื้นเป็นทางเดินไม้สลับกับทรายซึ่งเป็นทรายจากทะเลจริงจริง ที่นั่งเป็นเบาะเป็นผ้าปูอยู่บนทราย อารมณ์ก็จะคล้ายคล้ายนั่งชิวอยู่บนหาดที่ติดแอร์
ออกจาก The Junglila Cafe & Restaurant อย่างผิดหวังมุ่งหน้าสู่ Aeon Mall Rycom ห้างใหญ่ใน Mihama American Village ซึ่งพวกเรามาเดินห้างเพื่อหาเสบียงสำหรับปาร์ตี้กันเย็นนี้ ซึ่งมื้อเย็นวันนี้พวกเราจัดปาร์ตี้ปลาดิบกันที่ห้องพักในโรงแรม เมนูซาซิมิ ซูชิ และสารพัดอาหารญี่ปุ่น กินแกล้มกับเหล้าบ๊วยเคล้าคลอเสียงเพลง จัดได้ว่าเป็นมื้อเย็นกับก๊วนเพื่อนที่เพอร์เฟคสุดสุด ฝันดีนะแกร๊!! ตอนนี้เราเมาเหล้าบ๊วย 555
009 Sefa-Utaki
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน หลังจากตื่นนอน อาบน้ำ ทานข้าวที่ รร กันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็มุ่งตรงไปชมสถานที่ศักดิสิทธิ์ของเกาะโอกินาว่าที่มีชื่อว่า Sefa-Utaki ซึ่งตามความเชื่อเขาเล่าว่าเทพเจ้าที่บูชาไม่ได้อาศัยในสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ แต่อาศัยอยู่ตามต้นไม้หนาแน่นและภูผาหินตระหง่าน ณ ที่แห่งนี้ ภายในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างร่มรื่นเนื่องจากเต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
เดินเรื่อยเรื่อยผ่านจุดสำคัญต่างต่างจนมาถึงโพรงหินที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ พอลอดเข้าไปก็จะพบกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดจากทุกสถานที่ในราชอาณาจักรริวกิว ว่ากันว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย แม้แต่กษัตริย์กษัต
010 Oshiro Tempura Shop
หลังจากซึมซับความคลังของ Utaki กันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางต่อไปที่ Ojima Island เกาะขนาดเล็กที่ใช้เวลาเพียงแค่ 40 นาทีก็เดินได้ทั่วเกาะแล้ว และด้วยความเป็นเกาะที่ติดกับโอกินาวาเราสามารถขับรถข้ามสะพานไปได้เลย เกาะแห่งนี้จะมีชื่อเสียงเรื่องเทมปุระซึ่งมีหลายร้านให้เลือกทาน ซึ่งถ้าจะเอาเด็ดๆ แซ่บๆ แนะนำ Oshiro Tempura Shop ร้านขายเทมปุระสไตล์โอกิว่าที่มีแค่ที่ Ojima Island เท่านั้น มันเป็นเทมปุระที่ไม่เหมือนกับที่
011 Gangala Valley
The next station is Gangala Valley ที่นี่คือที่ตั้งของคาเฟ่ที่คูลที่สุดตั้งแต่ลืมตามาบนโลกใบนี้เลยแกร๊ Cave Café เป็นร้านกาแฟในถ้ำหินงอกหินย้อยที่สอยใจเราจนบางอยากจะนั่งว่างๆ อยู่ตรงนั้น ส่วนเมนูขึ้นชื่อได้แก่มันฝรั่งทอดสีม่วงจ้า
จากถ้ำหินปูนในป่ากึ่งเขตร้อนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติจนกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามพลาดแห่งเมืองโอกินาว่าเลยแกร๊!! 1 ชั่วโมง 30 นาทีหลังจากนี้พี่ไกด์จะพาเราเข้าสู่เส้นทางมหัศจรรย์ที่สร้างสรรค์โดยกาลเวลา เราพบเครื่องมือยุคหิน ถิ่นคนดึกดำบรรพ์ ต้นไผ่พันธุ์สูงที่สุด จุดชมหินงอกหินย้อย และหลายหลายสิ่งที่ทำให้เราปล่อยกล้องจากมือไม่ได้จริงจริง!!
ที่ Gangala Valley เค้ามีหลากหลายโซนเท่ๆ ที่รอเราเฮไปดู ซึ่งขอสรุปให้พวกเธอได้รู้คร่าวคร่าวดังนี้ เช่น โซนถ้ำ Gangala Valley ซึ่งก็คือบริเวณที่หินตกลงมาดังเป็นเสียง กังกัง…กังกาล่า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้นะจ๊ะ โซนป่าโซนธรรมชาติที่ที่จะเราจะเจอโซนต้นไม้รากไทรที่อายุไปไกลกว่า 150 ปี โซน Okinawa World ที่ที่มีถ้ำหินงอกหินย้อยมากมาย (รวมถึงก้อนที่มีรูปทรงเหมือนปิกาจู๊ด้วยนะ) และน้ำทะเลที่มีไฟส่องขึ้นมาเป็นสีน้ำเงินเก๋เก๋ และอีกหลายหลายที่ให้เราเดินเซลฟี่เพลินเพลินแต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างน้อยก็ต้องใช้สอยกันแบบประหยัด เราก็ขอไปจัดที่อื่นกันก่อนนะแกร๊!!
012 Shuri Ryusen
เดินฟินอินกับความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติจนหมดเวลา เราก็ขอมานั่งฉ่ำฉ่ำตากแอร์กันต่อที่ ชูริ ริวเซ็นซึ่งเป็นสถานที่ที่ให้เราทำ Workshop “บิงกะตะ” งานหัตถกรรมเกร๋เกร๋หรือพูดให้เท่ก็คือเครื่องแต่งกายพื้นบ้านแห่งโอกินาวะฮะนั่นเอง ซึ่งในอดีตนั้น บิงกะตะ จะมีไว้สำหรับราชวงศ์ ส่วนเผ่าพงษ์สามัญก็รอวันสำคัญถึงจะได้สวมกันจ้า มาเที่ยวที่นี่นอกจากจะได้ความรู้ ยังได้เครื่องแต่งกายหรูหรูกลับบ้านด้วย
มาถึงที่ทั้งทีจะไม่ลองจัดกิจกรรมดีดีได้เยี่ยงไร เราเลยจัดกันไปกับ Workshop “บิงกะตะ” วิธีทำก็ไม่ยากมากนะแกร พี่เขาจะใช้หินปะการังที่ตายแล้วมาเป็นแท่น นำผ้าวางทาบแล้วใช้ยางรัดแน่นแน่นให้ผ้าไม่ขยับเขยื้อน หลังจากนั้นก็เลือกสีสรรค์ที่ท่านชอบมาระบายล้อไปกับส่วนนูนของลวดลายหินปะการังกันตามอัธยาศัยได้เลยจ้า (ถ้าใครคิดไม่ออกก็ลอกแบบจากผ้าที่แขวนแขวนไว้ในห้องเรียนไปเลย ฮ่าฮ่า)
013 Dinner at Kazusantei
มาถึงโอกินาวะ ก็ขอป๊ะกับร้านอาหารท้องถิ่นสักหน่อย หลังจาก Workshop เรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าไปทานมื้อค่ำกันที่ Kazusantei ร้านอาหารแนว Izakaya เรียกให้บ้านบ้านก็คือร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ที่เราจะได้กินปลาดิบละมุนลิ้น หรือจะยากิโซบะ แล้วก็ปะทะกับเบียร์สักหน่อยก็อร่อยดี๊ดีฮะ พอหนังท้องถึง หนังตาก็หย่อน อยากพักผ่อนขึ้นมาเฉยเฉย วันที่แสนสนุกสนานเลยอวสานด้วยการกับห้องพักผ่อน เมื่อวานเมาเหล้าบ๊วยวันนี้ก็เมาด้วยฟองเบียร์ไปจร้า ฮ่าฮ่า
เช้าวันที่สามหลังจากทานมื้อเช้า อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อย เราก็เดินทางกันไปที่ท่าเรือ Tomari-Togashigki Port ( ท่าเรือโอมาริ โอกะซะกิ ) เพื่อซื้อตั๋วขึ้นเรือไปเที่ยวกันที่เกาะ Nagannu Island ( เกาะนางังนุ ) สำหรับตารางการเดินเรือคร่าวคร่าวของ One Day Trip คือออกจากทางเรือโอมาริตอน 10 โมง และกลับมาที่ท่าเรืออีกทีประมาณ 5 โมงเย็น ซึ่งตอนมาถึงก็ยังพอมีเวลาไง เราเลยเดินเล่นไปเก็บภาพไปตามอัธยาศัยเลยจร้า
014 Nagannu Island
เกาะนางังนุ เป็นเกาะที่เราต้องทุมะลุมาให้ได้ เพราะเพียง 20 นาทีจากโอกินาว่าก็จะมาถึงเกาะที่แวดล้อมไปด้วยปะการังที่งดงาม มีความสวยด้วยหาดขาว จะเดินชมทะเลยาวยาว หรือจะตีครีบจ้ำอ้าวภายใต้ท้องน้ำสีฟ้าก็พาเราอารมณ์ดีมีความสุขที่สุดเลยแกร๊
โลกใต้น้ำที่นี่อุดมสมบูรณ์ขั้นสุด จนเราไม่อยากจะหยุดแหวกว่าย ปะการัง ปลาน้อยใหญ่โลดโผนไปมาในนภาใต้มหาสมุทรกว้างแห่งนี้ ซึ่งเราการันตีว่าไม่น้อยหน้าอันดามันหรือจุดดำน้ำแหล่มแหล่มบ้านเราเลยแกร๊
เต็มอิ่มกันไปใน 1 Day Trip อินกับศิลปะวัฒนธรรม ดื่มดำกับความอลังการทางธรรมชาติ โลกใต้ทะเล ถ่ายรูปเท่เท่กับสิ่งมีชีวิตเบื้องล่างโลกสีฟ้าซึ่งเราขอการันตีว่า โอกินาว่า จะพาพวกแกรตื่นตาตื่นใจในทุกทุกสถานที่ท่องเที่ยวของนางจริงจริง ทว่าเมื่อเวลาใกล้จะหมดวัน พวกเรานั้นก็เตรียมตัวนั่งเรือกลับไปขึ้นฝั่งกันจร้า
015 Umikaji Terrace
เสภาลำใหญ่พาใจพากายเรากลับเข้าสู่เมืองอีกครั้ง และเมื่อมาถึงฝั่งกระเพาะอาหารก็ออกคำสั่งให้เราเดินเข้าไปที่อุมิคะจิ เทอเรส ที่ที่เป็นคล้ายคล้ายศูนย์การค้าเล็กเล็ก บนเกาะ Senagajima (เซนะกะจิมะ) เราจะได้ป๊ะกับร้านค้ามากมายภายใต้ธีมสีขาวที่ว้าวจัดจัดเพราะตัดกับสีท้องฟ้า มองแวบแวบก็แอบคล้ายซานโตรินีมากมากเลย ( อันนี้โม้ได้เพราะเคยไปมาแล้ว ) บอกเลยว่าถ่ายรูปออกมาเป็นภาพแนวพาสเทลชิคชิคจิกกล้องมากมากแกร๊
เดินไปเดินมาก็ต้องหยุดสะดุดตาร้านเนื้อย่างร้านหนึ่ง (ขออภัยที่จำชื่อร้านไม่ได้) เราก็จัดกันไปหนึ่งอิ่มหมีพลีมันสุขสันต์หรรษาท้องกันอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งก็สมกับเป็นญี่ปุ่นเลยจ้า วัตถุดิบเขาเราต้องยกนิ้วให้ในคุณภาพมากมากเลยจ้า เอาล่ะ หลังจากจัดกันไปหนึ่งอัลบั้มลำไส้ เราก็จะเตรียมไปเกาะซามามิกัน!!
016 Zamami Island
เกาะซามามิ เป็นที่อยู่อาศัยของหมู่เกาะปะการังและปลาเขตร้อนที่รู้จักกันในนาม Kerama Blue สถานที่ที่เราต้องร้องว่า อู้หูววววว มาดูสิแกร๊!!! ส่วนการเดินทางนั้นเราก็ออกจากท่าเรือ Tomari-Togashigki Port ( ท่าเรือโอมาริ โอกะซะกิ ) ซึ่งเป็นท่าเรือเดียวกันที่เราใช้ต่อเรือไปที่เกาะนางังนุเลยจ้า เห็นไหมว่าการเดินทางท่องเที่ยวที่โอกินาว่านั้นไม่ยากเลยเธอ ไม่ต้องกลัวหลงทาง แต่กลัวหลงรักที่นี่จนไม่อยากจะกลับก็พอ และเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่ากว่า จากแผ่นดินโอกินาว่า พวกแกรจะมาถึงเกาะสวาทหาดสวรรค์ ที่สร้างสรรค์มาเพื่อวันหยุดสุดฟินที่ดินแดนซามูไรนี้
ขอบคุณญี่ปุ่นที่กระตุ้นให้เรารู้ถึง “ความสำคัญ” ของการดูแลสถานที่ท่องเที่ยวอย่างจริงจริงจังจังฮะ ณ ที่แห่งนี้มีโลกใต้น้ำที่สมบูรณ์ มีการเกื้อกูลระหว่างธรรมชาติและผู้คนท้องถิ่นเพื่อทุกฝ่ายได้วินวินกันอย่างยั่งยืนจริงจริงนะแกร๊!!
มาทะเลญี่ปุ่นทั้งที ไม่ดำน้ำให้ตัวดำปี๋ได้ยังไง แน่นอนพวกเราก็หยิบอุปกรณ์ Snorkling และวิ่งไปลงน้ำเลยจ้า
ส่วนตัวแล้วเราว่าเกาะนี้เป๊ะปังอลังการกว่างาน Nagannu Island อีกนะ เพราะสายตาเราได้ปะทะกับปะการังพุ่มใหญ่มากมาก และที่กระชากใจสุดสุดคือการได้หยุดเซลฟี่กับพี่เต่าอย่างบังเอิญเข้าจังจัง
เป๊ะปังไหมล่าาา…
017 Umi No Jimbora
ดำน้ำกันจนเพลีย เราก็แบกขาหมดแรงเปลี้ยเปลี้ยมาร้านอาหารอุมิ โนะ จิมโบระ ซี่งยังคงเป็นแนวอาหารแบบ Izakaya เช่นเดิมจ้า แต่ครานี้มีของดีท้องถิ่นมาให้เรากินกันซึ่งสิ่งนั้นก็คือสาหร่าย Mozuku ที่มีสรรพคุณป้องกันมะเร็งด้วยจ้า ส่วนจานอื่นอื่นที่โดนเรากลืนกินฟินทุกอย่างก็มี โซเม็ง เต้าหูทอด และแก๊งปลาดิบซึ่งหลังจากกินกันไปเป็นสิบสิบชิ้นก็สำนึกตรึกตรองได้ว่าต้องไปหลับนอนสักทีเพราะร่างกายตัวดีหมดแรงจะสำแดงฤทธิ์หลังจากไปพิชิตโลกใต้ทะเลมาสะเต็มวันละแกร๊ โอยาซึมิ!
018 Miyako Island
โอฮาโย!! แปลเป็นภาษาอังกฤษโก้โก้ว่า Good Morning!!
หลังพวกเราจากแปรงฟัน อาบน้ำ เสริมหล่อขอสวยกันจนเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวไปลอยกันบนฟ้ากับ JAL Airlines สายการบินคุณภาพจากแดนพระอาทิตย์อุทัย สายการบินที่โดนใจในตัวเลือกที่มากมาย เราเลือก JAL Airlines เพราะเครื่องใหญ่ ไปง่าย นั่งสบายและไม่สายแน่นอน นั่งชมวิวท้องฟ้าเพลินเพลินเกินนจะรู้เวลาเราก็มาถึงที่มิยาโกะ ไอซ์แลนด์ ดินแดนที่คลื่นลมสงบตลอดทั้งปี ณ ที่แห่งนี้ก็มีจุดดำน้ำชิคชิคเช่นกัน แต่ว่าพวกเรานั้นขออยู่ทีมบนบก พกกล้องลั่นสนั่นสะพานย้าวยาวกับเดรสขาวขาวของนางแบบที่สะพานอิราบุ (Irabu Bridge) ซึ่งเป็นสะพานฟรีโทลเวย์ (ไม่
019 Yoshiya
ชมวิวเพลินเพลิน น้ำย่อยก็เริ่มเดินประท้วงทวงเมนูกลางวันเจ๋งเจ๋ง เราก็เลยเล็งร้านอาหารใกล้เคียงที่หลายหลายคนแนะนำจนมาเจอร้านโยชิยะซึ่งแปลว่า ร้านของชาวประมง Yoshi = fisherman Ya = store (Fisherman shop) ร้านสีชมพูดูมุ้งมิ้ง แต่ปลาทูน่าเขาเด็ดจริงจริงพี่ขออวยเลย
พอสั่งอาหารปุ๊บ พี่เขาก็เอาปลาที่พึ่งตกมาหมาดหมาดมาแร่ปั๊บ เราก็ทำได้เพียงงับเข้าปากแล้วลากเสียงยาวว่า โออิชี่ยยยยยยย์
020 Cape Shiratorizaki
เติมพลังงานสารอาหารจนเต็มถัง ก็ได้เวลานั่งรถไปค้นหาแลนมาร์คใหม่ใหม่ใต้ฟ้าใสใสของญี่ปุ่นกันจร้า Shiratorizaki สถานที่ที่มีนักยักษ์รอทักนักท่องเที่ยวให้ขึ้นไปเหนี่ยวชัตเตอร์กล้องส่องทัศนียภาพชิลชิลของท้องทะเลอิระบุ อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำว่าอย่าลืมทำตัวชิคชิคจิกกล้องแตกกับหาดปังปังบนเกาะนี้ด้วยนะเธอ
เสียบหูฟังเข้าหู เลือกดูเพลย์ลิสต์โปรด แล้วก็ทำตัวโคตรชิลกับวิวโคตรสวยด้วยรถเก๋งที่เร่งพาเราไปสู่ Toiike นั่งไปนั่งมาก็ต่างพากันเอ๊ะกับทัศนียภาพหาดทรายที่สายฮิปอยากเราต้องรีบคว้ากล้อง ลงมาส่องมาส่ายมาถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกมาฝากทุกคนให้ได้ยลกัน ตามภาพด้านล่างเลยแกร๊ หาดทรายกว้างกว้าง มีหินวางอยู่เรียงรายด้วยฝีมือของธรรมชาติเหมือนภาพวาดสวยสวยที่เห็นตามหนังสือการ์ตูนยุคเก่าเก่าเลยฮะ
022 Toiike ( cave 2 ponds )
ชมแลนด์มาร์คที่แรกจนฟินก็มาอินกันต่อที่บ่อน้ำกลางหุบเขานามว่า บ่อน้ำโทโอริ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “หลุมน้ำเงิน” บ่อน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะชิโมจิโดยจะเชื่อมต่อกับทะเลด้านนอกและสามารถดำน้ำแบบ Scuba ได้ ทว่าต้องดำจากภายนอกเข้ามานะฮะ กระโดดลงไปแอ่งนี้ไม่ได้เด้อ
023 Syabu-An
พากันเที่ยวตะลอนตะลอนไปค่อนวัน พอเย็นนั้นเราก็มาเติมพลังงานกันที่ร้าน Syabu-An ซึ่งเป็นร้านชาบูจ้า มื้อนี้เราขอพักโอเมก้า 3 จากเมนูปลาปลามาซบเนื้อหมูนุ่มนุ่มที่นำมาจุ่มกับน้ำซุปรสดีที่ต้มด้วยผักหลากชนิด และเครื่องกลในกระเพราะอาหารก็เริ่มกลไกหลังจากเราได้ลองกินหมูนุ่มนุ่มจุ่มลงน้ำจิ้มพอนซึเด็ดเด็ด
โออิชียยยยยยย์กันไปเช่นเคย
กินกันยันท้องไม่มีที่ว่าง แต่ฟ้าก็ยังสว่างอยู่ เราเดินออกมาเดินดูผู้คน ยลวิถีชิวิตแบบโอกินาว่าสไตล์กันสักหน่อย
ต๊ะตอนย่อนกันมาเรื่อยเรื่อย จนมานั่งเปื่อยเปื่อยดูแสงสุดท้ายของวันกันริมทะเลวิวเก๋เก๋ใกล้ที่พัก
มองแสงส้มส้มที่ถูกกลืนคืนสู่ความมืดมิดยามราตรี มองกี่ทีก็มีสเน่ห์แบบเหงาเหงาทำร้ายใจบางบางของเราที่เป็นสุด ทว่าเพื่อนก็ยังไม่หยุดฟินกับการโพสต์ท่าและพากันไปหามุมคูลคูลที่มีอยู่มากมายแถวแถวนี้จนไม่มีแสงจะให้ถ่ายเลยจร้า พวกเราถ่ายรูปกันไปเรื่อยเรื่อย เดินคุยกันไปเรื่อยเรื่อยต่างคนต่างเก็บโมเมนท์ดีดีของตนเอาไว้ในใจให้ได้มากที่สุดก่อนจะพากันกลับเข้าที่พัก ทิ้งกายบนเตียงนุ่มนุ่มเพื่อให้พร้อมเดินทางกันต่อในวันพรุ่งนี้จ้า
024 Maehama beach
วันนี้เราก็ยังปักหลักรักเกาะ Miyako Island ฮะ ซึ่งหลังจากอาบน้ำแปรงฟันกินมื้อเช้ากันเสร็จ เราก็ระเห็จระเหินมาที่ Maehama beach (ชายหาดโยนาฮะ มาเอฮามะ) ซึ่งชายหาดนี้เขาว่ากันว่าดีที่สุดในญี่ปุ่นเลยนะแกร๊ เนื่องจากว่าเป็นชายหาดขาวที่ทอดตัวยาวถึง 7 กิโลเมตร และที่พิเศษสุดสุดคือที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยอดนิยมด้วยจ้า
นอกจากจะหาดเก๋ วิวเท่ ที่ชายหาดโยนาฮะ มาเอฮามะยังมีกิจกรรมทางทะเลให้เราได้เฮฮาไม่ว่าจะเป็น Banana Boat หรือ Jet Ski เอาเป็นว่าจะเล่นอะไรก็เต็มที่กันไปเล้ย!
025 Doug’s burger
ใช้พลังงานร่างกายจนหิวโซเซ ก็เลยเฮกันมาที่ร้านอาหารสวยสวยที่ตั้งโดดเด่นอยู่ที่นี่ แต่มื้อนี้เราขอเปลี่ยนแนวกันจากกองทัพราเม็งและปลาดิบ มาหยิบเบอร์เกอร์เจ๋งเจ๋งจากร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังอย่าง Doug’s Burger กันฮะ
สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเนื้ออย่างเราก็ได้แต่เฝ้าถามตัวเอง ว่าทำไมเอ็งถึงกิน Beef Burger ที่นี่ได้!!?
ความหอมหวานค่อยค่อยทยอยเข้าสู่ต่อมรับรส หลังจากเราบรรจงกดฟันผ่านแผ่นขนมปังหนานุ่มสู่ก้อนเนื้อชุ่มฉ่ำ ความไม่เลี่ยน ความไม่เอี่ยนได้เปลี่ยนทัศนคติการกินเบอร์เก้อเนื้อให้เลิฟมันเหลือเกินละแกร๊ นอกจากรสชาติที่ดีแล้ว วัตถุดิบของร้านอาหารนี้ก็นำมาจากชาวบ้านในชุมชนเพื่อสร้างรายได้ให้กับทุกคนในท้องถิ่นด้วยนะฮะ
026 Cape Higashihennazaki
อิ่มหมีพลีมันกันไปแล้ว เราก็มุ่งสู่แหลมฮิกะชิ เฮ็นนะซะกิซึ่งเป็นจุดชมวิว 1 ใน 100 ของญี่ปุ่นเลยนะฮะ ความยาวของแหลมจะประมาณ 2 กิโลเมตรและที่ปลายแหลมนั้นจะมีประภาคารสีขาวสะดุดตาที่ที่เราจะเห็นวิวพาโนราม่า 360 องศาเลยแกร๊
ว่ากันว่าดอกลิลลี่จะแบ่งบานที่นี่ประมาณเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน เชื้อเชิญให้ผู้คนมาเก็บภาพสีสันของดอกไม้ที่ตัดกับลวดลายของท้องฟ้ากว้างเลย
ชมวิวชิลหัวใจกันครบถ้วนกระบวนความ เราก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลด้วยสายการบิน JAL Airlines เพื่อย้ายฐานทัพกลับเข้าสู่โอกินาว่ากันฮะ ตอนนี้เป็นเวลาเย็นเย็น เราเลยได้เห็นท้องฟ้าสีสวยบนเครื่องบินฟินกันไปอี๊กกกก!!
027 Konaya
ลงจากเครื่องมาพร้อมความหิวโหย กองทัพหิวโซของเราเลยพุ่งไปโซ้ยกันที่ร้าน Konaya อย่างว่องไว ฉับพลัน ทันกระเพาะจ้า ที่ร้านอาหาร Konoya เมนูอาหารจะเป็นแนว Okonomiyaki หรือที่เรียกว่าแพนเค็กญี่ปุ่นนั่นเอง ส่วนราคาที่นี่ก็สนนอยู่ที่ระหว่าง 600 เยน ถึง 1,250 เยนเท่านั้นนนนน!!!
อย่างที่เข้าใจกันนั่นแหล่ะ เราว่าร้านอาหารญี่ปุ่นมักมีกิมมิคชิคชิคคูลคูลให้เราคนไทยอย่างเราได้ดู ได้หลงปลื้มตล้อด ตลอด และที่นี่เองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันนะ กลิ่นของของผัด การจัดแต่งครัว ไฟสลัวสลัวและผู้คนที่มาดื่มกิน พอดูรวมรวมแล้วมีเสนห์เหลือเกินจร้า !!
และแล้วการเดินทางของเราก็เข้ามาสู่ค่ำคืนสุดท้ายฮะ เวลาผ่านไว้ไว แต่พอมองกลับไปก็มีแต่สิ่งดีดีเกิดขึ้นรอบกายเต็มไปหมดเลย นอนก่อน ฝันดีนะแกร๊!!
028 Kokusai street & Tsuboya pottery street
เช้าวันสุดท้าย เราก็ตื่นสายสายหน่อยตาม Concept จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น เลยแกร๊ บิดขี้เกียจ แต่งหน้า ทาปาก แล้วก็มาฝากใจไปกับแลนมาร์คที่เราอยากนำเหนอให้พวกเธอรู้จักกันซึ่งก็คือ “ถนนโคคุไซและย่านเครื่องปั้นดินเผาสึโบยะ” นั่นเอ๊ง!! ถนนโคคุไซเป็นถนนหลักของเมืองโอกินาว่าที่มีความยาวประมาณ 1.6 กิโลเมตร และตลอดตามทางของถนนเส้นนี้จะมีร้านค้าละลานตาล่าเงินในกระเป๋าเราไม่จบไม่สิ้นเลยแกร๊ และถ้าเดินออกจากถนนโคคุไซไปประมาฯณ 400 เมตรก็จะพบกับย่านเครื่องปั้นดินเผาสึโบยะและที่แห่งนี้จะมีพิพิธภัณพ์เครื่องปั้นดินเผาสึโบยะ(Tsuboya Pottery Museum) ด้วยฮะ
029 Organic Vegan Cafe Mana
เราเดินผ่านย่านเครื่องปั้นดินเผาสึโบยะไปนิดนึง ก็จะมาถึงร้านอาหารออร์แกนิคชิคชิคคูลคูล ออร์แกนิก วีแกน คาเฟ่ มะนะ ตามชื่อเลยแกร๊ ร้านนี้เน้นอาหารที่ทำจากและผักและข้าวกล้องปลอดสารพิษ ส่วนเมนูก็จะมีทั้งขาว หวาน ให้เลือกทานตามแต่ใจจะไขว่คว้าเลยจร้า! ส่วนการตกแต่งของร้านก็จะออกแนวงานไม้หน่อยหน่อย แต่ค่อยค่อยตัดกับผนังสีฟ้า ผลออกมาก็ดูสบายตาไปอีกแบบนะ
030 Sweet Cafe’ O’CREPE
เดินออกจากร้านเฮลตี้เฮลตี้มาเพิ่มดีกรีน้ำตาลในเส้นเลือดกันต่อกับร้าน Sweet Cafe’ O’CREPE ร้านนี้เป็นร้านเครปชื่อดังแห่งนะฮะเลยนะเธอ ตัวร้านก็ออกแบบได้วินเทจเกรดไฮคลาสมากมาก เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งเกือบทั้งหมดของร้านจะออกแนวงานไม้ถ่ายรูปได้ไม่อายใครแน่นอนและก่อนที่จะกลับนั้นเราก็จัดกาแฟและเครปสักชิ้นมานั่งฟินกันสักหน่อย
อือออออ…อร่อยมากมากแบบญี่ปุ๊นนน ญี่ปุ่นจริงจริง!
031 Shuri Castle
เมื่อมีน้ำตาลเข้าสมอง ก็มาลองเข้าคลาสประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกันหน่อยนะแกร๊! จากตัวเมืองนะฮะ เราจะใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเพื่อเดินทางมาที่ปราสาท Shuri Castle ในอดีตนั้นจังหวัดโอกินาว่าจะมีชื่อว่าเมืองชูริ และด้วยความที่สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางในการบริหารงานแผ่นดินจึงได้ชื่อว่าปราสาทชูรินั่นเอง
ตัวปราสาทชูริจะตั้งอยู่บนเนินเขา ทำให้เราเห็นวิวทิวทัศน์ที่จัดว่างามมากมากของเมืองนะฮะเลยนะ ใครสายประวัติศาสตร์ต้องห้ามพลาดที่นี่เลยนะฮะจะบอกให้
032 Fukushu-en Garden
สถานีต่อไปคือสวนฟุคุชูเอนจร้า สถานที่แห่งนี้เป็นสวนสาธารณะที่ชาวจีนฮกเกี้ยนสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกครบรอบ 70 ปีของการสร้างเมืองนะฮะ และครบรอบ 10 ปีที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองฮกเกี้ยน และด้วยความที่ที่ตั้งของเมืองโอกินาว่าใกล้กับจีนและไต้หวัน โอกินาว่าจึงได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมรวมถึงสถาปัตยกรรมจากประเทศทั้งสองค่อนข้างเยอะเลยจร้า
033 Saburou
จบพาร์ทปราสาทราชวังอลังการ เดินกันน้านนานจนไส้กิ่ว เราเลยจบความหิวเมื่อยามใกล้หมดวันกันด้วยมื้อเย็นแบบอลังการงานกุ้งมังกรเลยแกร๊ ที่ร้านอาหาร Saburou เขาขึ้นชื่อเรื่องความแน่นเต็มจานของอาหารที่สั่งฮะ เมนูส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบ Set Menu แต่จะลองกินแยกดูแบบ A La Carte ก็ได้
หลังจากที่ได้กินคำแรกลงไป ก็ขอคอนเฟิร์มให้มั่นใจว่าที่นี่ไม่ได้มีดีแค่อาหารจานแน่น เพราะรสชาติก็แสนจะโคตะระอร่อย เราเลยจัดกันไปชุดใหญ่ลำไส้กระพริบกับอาหารมื้อสุดท้ายของทริปโอกินาว่าจร้า!!
ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา และการจากลาทำให้รู้คุณค่าของการพบเจอ โอกินาว่าทริปนี้เป็นทริปที่ทำให้เรามองญี่ปุ่นในมุมที่เปลี่ยนไป ญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่ภูเขาไฟฟูจิ โตเกียว เกียวโต โอซาก้า ไม่ได้มีคุณค่าแค่ซากุระเปลี่ยนสี แต่เราว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผู้คนสามัคคีที่จะดูแลสาธารณสมบัติและสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ เช่นที่เราพบเจอที่โอกินาว่าแห่งนี้ ทะเลสีคราม ความอุดมสมบูรณ์ของโลกใต้น้ำที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยางเราเฝ้าถวิลที่จะบินไปเยี่ยมเยือนเมืองน่ารักน่ารักอย่างโอกินาว่าอีกครั้ง…
เชื่อเราเถอะว่าการออกเดินทางมันดี๊ดี มันอาจเสียตังนิดหน่อย สอยเวลาเราไปบ้าง แต่สิ่งที่พบเจอระหว่างทางอาจเป็นคำตอบของคำถามที่แกรหามาทั้งชีวิตก็ได้นะ
จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น เหรอ ตามพวกเราไปสิเธอแล้วจะรู้เอ๊งง!!
บันทึก