รีวิวอเมริกา :: The Ultimate “Chicago” City Guide

ซิตี้ไกด์รอบนี้เราจะพาไปสัมผัสท่วงทำนองของ Chicago เมืองใหญ่อันดับสามของสหรัฐอเมริกา ที่พร้อมบรรเลงจังหวะอันน่าหลงไหลให้หัวใจทุกคนเต้นโครมคราม ก่อนอื่นเราอยากให้หยิบชุดสุดชิคมาสวน คว้ากล้องมาคล้องคอ แล้วค่อยออกไปเดินทอดน่องบนถนนที่เต็มไปด้วยตึกรูปทรงล้ำสมัยสูงชะลูดเทียบฟ้า โดยระหว่างทางก็มีสวนสาธารณะให้นั่งชิล มีร้านคาเฟ่ร้านอาหารให้เลือกชิม มีแหล่งช้อปปิ้งให้ละลายทรัทพย์ มีมิวเซียมหลายแนวให้เข้าชม รวมถึงอีกหลากหลายกิจกรรมให้เลือกทำกันแบบไม่มีคำว่าเบื่อ เอาล่ะ มาสวมวิญญาณชาว Urbanism แล้วไปพบกับความคึกครื้นและความศิวิไลซ์ผ่าน 13 โลเคชัน ของชิคาโกที่เราคัดสรรมาฝากกันเถอะ

Chicago แห่งรัฐอิลลินอยส์ มีขนาดเป็นใหญ่อันดับ 3 ของอเมริก รองจากนิวยอร์กและแอลเอ ด้วยความมที่มีกระแสลมพัดแรงตลอดเวลา จึงได้รับสมญานามว่า “Windy City” โดยจุดเด่นอยู่ที่ความศิวิไลซ์ เพราะเต็มไปด้วยตึกสูงรูปทรงสวยล้ำสมัยจนกลายเป็นอีกหนึ่งไอคอนการท่องเที่ยวของบ้านเขา แถมอากาศยังดี๊ดี ขนาดนี่มาหน้าร้อนอุณหภูมิสูงสุดยังแค่ 22 องศาเท่านั้น งานนี้บอกเลยว่าแต่งตัวเต็มขนาดไหนก็เดินร่อนได้สบายหายห่วง

การเดินทางไกลในช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้ เราเลือกบินกับ Etihad Airways เพราะสายการบินมีมาตรการป้องกันต่าง ๆ ที่สามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสาร และบัตรโดยสารของเค้าก็ยืดหยุ่นมาก อย่างตั๋วโปรโมชันที่เราซื้อก็สามารถเปลี่ยนวันได้เดินทางได้เรื่อย ๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายถ้าได้ชั้นราคาเดิม เราเปลี่ยนจากกลับนิวยอร์กมากรุงเทพ เป็นวอชิงตัน ดีซี มาลงภูเก็ตได้โดยไม่เสียอะไรเพิ่มเลย บินเข้าโครงการ Phuket Sandbox ได้สบาย ๆ ส่วนอีกความว้าวที่ต้องบอกว่าเป็นไฮไลท์ คือ ตอนขาไปเขาให้เราผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐอเมริกาที่สนามบินอาบูดาบีเลยจ้า ไม่ต้องไปแออัดกันที่ ตม. อเมริกา แบบลงเครื่องปุ๊บ เดินออกไปรับกระเป๋าราวกับบินภายในประเทศได้เลย เพื่อน ๆ สามรถตามไปจองตั๋วได้เลยที่ Etihad Airways -> https://www.etihad.com/en-th/book

สำหรับเส้นทางยาวนานนี้ เราบินด้วย Boeing 787-9 เครื่องใหญ่ใจป๋ากับที่นั่ง Business Class จัดที่นั่งแบบ 1-2-1 ทั้งสองไฟล์ทจากกรุงเทพและอาบูดาบี ถูกใจคนเดินทางคนเดียวอย่างเรา เพราะเลือกที่นั่งติดหน้าต่างไม่ต้องนั่งติดกับใคร มีความเป็นส่วนตัวตลอดการเดินทางเลย แถมที่นั่งยังสบาย ยืดขานอนพลิกตัวได้สุดฟิน มีปุ่มปรับความนุ่มของเบาะตามความชอบ ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันเบาะที่นวดได้ โดนใจคนขี้เมื่อยอย่างเรามาก ๆ

ก่อนขึ้นเครื่องทางเจ้าหน้าที่เขาคลีนห้องโดยสารกันอย่างดี เดินเข้าไปคือได้กลิ่นสะอาดอัดมาเต็ม ๆ ส่วนพนักงานต้อนรับบนเครื่องก็ใส่ชุดคลุม (Gowns) ทับชุดฟอร์มไว้อีกชั้น ใส่ถุงมือและสวมแมสก์ตลอดเวลา พร้อมเดินแจกชุดป้องกันโควิดแบบพกพามาในแพคเกจสวยหรูดูเท่ ข้างในมีทั้งหน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ กระดาษฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาด ก่อนจะเสิร์ฟอาหารรสชาติถูกปากคนไทยแบบเรา ช่วงเครื่องขึ้นและลง รวม 2 มื้อ พร้อมขนมของว่าง-เครื่องดื่มจัดเต็มไม่อั้นตลอดเที่ยวบิน

ระหว่างต่อเครื่องที่อาบูดาบี ทางสายการบินก็มี Business Class Lounge สวยงามรองรับ จัดเต็มสมฐานะเจ้าบ้านมาก ไลน์อาหาร-เครื่องดื่ม ในช่วงสถาณการณ์โควิดแบบนี้ต้องบอกว่าดีงาม เสิร์ฟให้ไม่อั้น มีพื้นที่นั่งเล่นหลากหลายโซน พร้อมฟรี wi-fi ห้องอาบน้ำ ให้เราได้ผ่อนคลายก่อนเดินทางต่อ

001 Cloud Gate (The Bean) & Millennium Park

เริ่มต้นที่แรกกับเอกลักษณ์ของเมืองชิคาโก Cloud Gate หรือที่ผู้คนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Bean ตั้งอยู่ใน Millennium Park พื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองใหญ่ โดยเจ้า Cloud Gate มีลักษณะเป็นสแตนเลสก้อนโตรูปทรงคล้ายถั่ว วางอยู่กลางลาน เป็นผลงานศิลปะชิ้นใหญ่ที่ทำอย่างละเอียดไร้รอยเชื่อม คอยสะท้อนวิวตึกสูงให้บิดเบี้ยวดูแปลกตา ได้ภาพมุมแตกต่างทำให้มีผู้คนแวะเวียนมาถ่ายรูปไม่ขาด

รอบ ๆ ของ Cloud Gate นั้นเต็มไปด้วยแมกไม้ร่ม ๆ มีลมเย็นตลอดวัน เหมาะกับการเดินเล่นในหน้าร้อน เดินตามล่าหาจุดเช็คอินอย่าง Crown Fountain น้ำพุที่มีจอสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ตรงกลาง เปลี่ยนรูปหน้าคนไปเรื่อย ๆ บริเวณนั้นมีพื้นที่ให้เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน, ลานแสดงคอนเสิร์ต Jay Pritzker Pavilion และงานอาร์ต Abstract ที่วางแซมอยู่ตามจุดต่าง ๆ ปะปนกับภาพคนเมืองมานั่งปิกนิก นอนอ่านหนังสือ ดูไลฟ์ลี่แฮปปี้สุด ๆ

002 Navy Pier

ท่าเรือเก่าอายุร่วมร้อยปี ที่ผ่านการใช้งานทั้งด้านการค้าและสงคราม ปัจจุบัน Navy Pier กลายเป็นจุดขึ้น-ลงเรือนำเที่ยว สวนสนุกสุดคิ้วท์ ที่ทำให้เมืองนี้ดูสดใสคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน มีทั้งชิงช้าสวรรค์สูงใหญ่เท่ากับตึก 15 ชั้น ชมวิวทะเลสาบมิชิแกน หรือจะชมพระอาทิตย์ลาลับที่เส้นขอบฟ้าเมืองชิคาโกก็สวยไม่มีที่ติ จูงมือแฟนมาเล่นม้าหมุนสุดคลาสสิก จอยกับเพื่อนที่ชิงช้าหมุนแบบโบราณ ให้ใจได้เต้นไปพร้อมกับรับลมทะเลแสนสดชื่น ออ แล้วภายในอาคารเค้ายังมีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกไว้คอยบริการด้วย

003 360chicago Observation Deck

ด้วยความที่ชิคาโกเต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า พื้นที่ส่วนใหญ่ติดริมน้ำ การหาจุดชมวิวมุมสูงคงเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ และจุดแรกที่เราเอามาแนะนำคือ 360° Chicago Observation Deck ตั้งอยู่ที่ชั้น 94 ของตึก John Hancock Center บนความสูงกว่า 300 เมตร ทั้งชั้นเป็นกระจกรอบทิศทาง ให้เราได้เห็นวิวงาม ๆ แบบ 360 องศา ทางด้านเหนือเป็นวิวริมชายหาด ด้านใต้เป็นวิวป่าคอนกรีต เห็นตึกน้อยใหญ่ทรงสวยเรียงรายอยู่เบื้องล่าง ตะวันออกคือวิวทะเลสาบมิชิแกน เป็นอีกจุดที่สามารถชมการจุดพลุริมน้ำตามเทศกาลต่าง ๆ ได้อย่างเต็มตา และถ้ามาช่วงเย็น เราขอขีดเส้นใต้ไว้ที่ด้านตะวันตกกับทัศนียภาพกว้าง ๆ เห็นเส้นขอบฟ้ายาวสุดตา เตรียมพร้อมรับพระอาทิตย์ที่จะลาลับฟ้าตรงจุดนี้

นอกจากวิวที่สวยแล้ว ที่นี่ยังพร้อมมอบความเสียวพร้อมวิวสุดปังกับไฮไลท์เด็ดที่ต้องห้ามพลาด TILT การชมวิวในกล่องกระจกที่เราสามารถเอนตัวออกไปนอกตัวตึก 45 องศา คิดดูว่าเราเอนตัวบนตึกสูงกว่าพันฟุตแล้วมองลงไปข้างล่าง ความรู้สึกมันจะเสียววูบวาบแค่ไหน ตอนกำลังเอียงออกไปถึงกับกลัวจนขาสั่น แต่ต้องลืมตาสู้เพราะเสียเงินแล้ว จะเสียโอกาสชมวิวมิติใหม่ไม่ได้ เดี๋ยวเล่าให้เพื่อนฟังแล้วมันไม่อิน

เราว่าถ้าอากาศเป็นใจ ฟ้าเปิด ที่นี่สวยต๊าชทุกช่วงเวลา แต่ถ้าเป็นเวลาที่แนะนำสุด ก็ต้องขึ้นมาช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกที่เราเกริ่นไว้ การได้เห็นดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เลื่อนต่ำลง ท้องฟ้าสีฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีส้ม ชมพูอมม่วง ค่อย ๆ มืดลง ขณะเดียวกันไฟของตึกก็สว่างขึ้นพร้อมอากาศเย็นลง นี่สินะที่เค้าเรียกว่าดาวบนดินที่แท้จริง มากับแฟนต้องโรแมนติกสุด ๆ แน่ ถ้ามากับเพื่อนก็คงกรี๊ดกับความว้าวของวิวเมืองไม่หยุดปากชัวร์ ๆ

004 Willis Tower

ความสวยงามของเมืองชิคาโกจากมุมสูงที่เราอยากนำเสนออีกจุด คือชั้น 103 ของ Willis Tower ถือเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในเมือง และสูงเป็นอันดับ 2 ของอเมริกา บนความสูง 443 เมตรจากชั้นชมวิวนี้ เราจะรู้สึกทั้งเสียวและฟินกับวิวพาโนรามาของผืนน้ำ ตึกรามบ้านช่อง ที่ยังคงแซมด้วยสีเขียวของต้นไม้แบบไกลสุดลูกหูลูกตา จริง ๆ ฟีลลิ่งไม่ต่างกับจุดแรกที่พาไปชมนัก แต่เสน่ห์บางอย่าง มันก็แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยคือ “The Ledge” ชมวิวแบบเสียวไส้ ในระเบียงกล่องกระจกที่ยื่นออกไปนอกตัวตึก ให้เรามองเห็นวิว 180 องศาแบบไม่มีอะไรกั้น แถมได้ภาพเช็คอินสวย ๆ ไม่เหมือนใคร

005 The Field Museum

เราว่าเหตุผลที่ทำให้การเที่ยวแนวซิตี้ในชิคาโกไม่น่าเบื่อ ก็คือเค้าจะมีพิพิทธภัณฑ์ทั้งศิลปะ ทั้งแหล่งความรู้กระจายอยู่ทั่วเมือง อย่าง The Field Museum แห่งนี้ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับเด็กมาทัศนศึกษา และคนที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์โลกอย่างเรามาก ๆ

จุดไฮไลท์ของมิวเซียมแห่งนี้จะอยู่ที่โถงทางเดินใหญ่สีขาวสะอาดตา มี Máximo โครงกระดูกไดโนเสาร์กินพืชพันธุ์ปาตาโกไททัน มาโยรัม ขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดเท่าที่โลกเคยค้นพบ และ Sue โครงกระดูกไดโนเสาร์ของแท้อายุกว่า 65 ล้านปี พันธุ์ไทแรนโนซอรัส หรือที่เรารู้จักกันในนามทีเร็กซ์ รอทักทาย รอบ ๆ เขามีห้องจัดแสดงแยกตามหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแร่ธาตุของโลก โลกใต้ดินของแมลง อารยธรรมของมนุษย์ยุคเก่าทั้งอียิปต์ อเมริกาโบราณ ดูหนังสารคดีสามมิติ ฯลฯ ให้เราเสพอยู่เยอะแบบว่าเดินกันจนหอบก็ยังไม่ถึงทางออกสักที ดีงามอลังการขนาดนี้ไม่มาไม่ได้แล้ว

006 Art Institute of Chicago

ภายใต้ตึกทรงโบราณสไตล์โบซาร์ (Beaux Arts) สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรีกโรมัน ทั้งเสา งานแกะสลัก รูปปั้นเทวดานางฟ้า และสิงโตที่ตั้งเป็นคู่เด่นสง่าอยู่ด้านหน้า คือ Art Institute of Chicago อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ห้ามพลาด เพราะความโด่งดังจากความใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในอเมริกา (อายุมากถึง 140 ปี) เก็บสะสมงานศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ที่ดีที่สุดอีกแห่งของโลก มีผลงานเก็บสะสมกว่าสามแสนชิ้น ของเก่าเก็บจากศิลปินระดับโลกที่เราจะได้เห็นด้วยตาจริง ๆ

ภายในอาคารเป็นพื้นที่กว้างที่ฉาบทุกผนังเป็นพื้นเรียบเพื่อแขวนภาพผลงาน แบ่งออกเป็นสามชั้น มีทั้งโชว์นิทรรศการถาวรและหมุนเวียน ซึ่งศิลปินหลายคนเป็นเดอะเบสต์ในใจเรามาก พอมาเห็นผลงานด้วยตาตัวเองแล้ว น้ำตามันก็จะไหลออกมาให้ได้ ทั้งของ Vincent van Gogh, Pablo Picasso, Claude Monet, Pierre-Auguste Renoir, Archibald John Motley Jr. ฯลฯ มันซึมซับได้ดีกว่าภาพจำลองเป็นไหน ๆ เรียกว่าเป็นสวรรค์ของนักเสพศิลป์เลยเถอะที่นี่

007 Museum Of Contemporary Art Chicago

ไปให้สุดแล้วหยุดที่ตาแฉะ เพราะที่ต่อมาก็เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ(อีกแล้ว) โดยภายในตึกทรงเรียบเก๋มินิมอลของ Museum Of Contemporary Art Chicago (MCA) แห่ง่นี้ มีการจัดแสดงผลงานแบบร่วมสมัยที่ตรงใจคนเจนเอ็กซ์เจนวายอย่างเราเอามาก ๆ เขาเปิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว และยังเป็นที่รวบรวมงานศิลปะร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีผลงานสะสมถึง 2,500 ชิ้น ซึ่งจะหมุนเวียนออกมาให้เราได้ชมกัน การจัดวางและสถาปัตยกรรมภายในคือจึ้งมาก วางสเปซดีทุกจุดจนขนลุก ส่วนไฮไลท์คือบันไดสีดำที่เมื่อมองลงมาจากข้างบนแล้ว กลายเป็นอีกหนึ่งงานอาร์ตที่ละสายตาไม่ได้

หลังจากที่เราได้ไปเดินดู 3 สุดยอดพิพิธภัณฑ์ของเขาแล้ว บอกเลยว่า บ้านเมืองที่เจริญงานอาร์ตของเขา จะบียอนมาก ๆ ศิลปะของที่นี่เหมือนเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนสามารถใช้เวลาว่างเดินเข้าอาร์ตแกลลอรี่ได้แทบทุกวัน เลือกได้ตามความชอบ จนศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันให้สามารถสร้างจินตนาการใหม่ ๆ มาปรับใช้ได้กับทุกสายงาน

008 Magnificent Mile

ถึงเวลาป้ายยานักช้อปแสนน่ารักคึกคักเวลาเดินเล่นด้วยย่าน Magnificent Mile แหล่งรวมร้านค้าขนาดใหญ่ของเมืองชิคาโก เพราะบนทางเดินกว่า 1 กิโลเมตร เราจะเจอร้านอาหาร-คาเฟ่ดัง ๆ โรงแรมหรู สินค้าแบรนด์เนม เครื่องสำอางชั้นนำ เทคโนโลยี เครื่องใช้ ของจุกจิกที่มีให้เลือกแบบละลานตา แถมเพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมของตึกสมัยเก่าที่ยืนหยัดมายาวนานตั้งแต่ปี 1920 ตึกสมัยใหม่ที่ออกแบบเล่นสีเฉิดฉายไม่น้อยหน้า มีกราฟฟิตี้สมัยใหม่แทรกซึมอยู่ให้ดูเพลิน สดชื่นด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่เขาปลูกแซมตลอดทาง เรียกได้ว่าบรรยากาศที่นี่ครึกครื้นตลอดวัน ใครแพลนที่นี่ไว้ในแพลนก็เตรียมปวดน่องกันได้เลย

009 Architecture River Cruise

อย่างที่เราบอกไปแต่แรกว่าการเที่ยวชมตึกแห่งมหานครชิคาโกเป็นสิ่งที่ต้องห้ามพลาด ดังนั้นอีกกิจกรรมที่แนะนำว่าควรทำก็คือ Architecture River Cruise การนั่งเรือทัวร์ชมตึกสูงดีไซน์ล้ำ ขนาบอยู่สองฝั่งริมแม่น้ำชิคาโกที่ไหลผ่านกลางเมือง ให้เรารับลมและแดดช่วงซัมเมอร์บนดาดฟ้าเรือเพลิน ๆ พร้อมไกด์หน้ามนคอยบรรยายแนะนำตึกพร้อมประวัติให้เราฟังอย่างลื่นหู กิจกรรมนี้เขามีให้เลือกหลายบริษัท หลายช่วงเวลา จะช่วงเช้า กลางวัน พระอาทิตย์ตก กลางคืน ก็คือเลิศหมด รอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 75 นาที

นอกจากเห็นตึกสวย ๆ แล้ว เราจะได้เห็นความความมีชีวิตชีวิวของเมือง เพราะสองข้างแม่น้ำเค้าสร้างเป็น Chicago Riverwalk ให้นักท่องเที่ยวเดินทอดน่องชมตึกซึบซับบรรยกากาศ ชาวเมืองมาเดิน วิ่ง ออกมาวิ่ง ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยความคึกคักเหล่านี้ถูกเติมเต็มให้มันดูมีสีสันยิ่งขึ้นด้วยรวงร้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะคาเฟ่ อาหาร ดูแล้วเป็นการใช้ชีวิตแสนปกติสุข ไลฟ์ลี่จนเราลืมเรื่องเครียด ๆ ไปเลย

010 Pizzeria Uno

ตึกแถวทรงวินเทจสีเข้มดูขลังที่เห็นนี้ คือจุดหมายที่เราตั้งใจหิ้วท้องมาฝากในมื้อเที่ยง Pizzeria Uno คือตำนานพิซซ่าสุดคลาสสิกสไตล์ชิคาโก ที่เปิดมาเกือบ 80 ปี พิซซ่าโฮมเมดทำสดใหม่ทุกเช้าตั้งแต่แป้งยันซอสจนได้เนื้อพิซซ่าแบบหนากรอบขอบสูงไม่เหมือนใคร หน้าที่เราสั่งคือ PRIMA PEPPERONI และ NUMERO UNO ซิกเนอเจอร์ของเขา มิกซ์ทุกความอร่อยบนหน้าหนัก ๆ แป้งแน่น ๆ นี้ไว้อย่างกลมกล่อม ทั้งไส้กรอก เปปเปอโรนี หัวหอม พริกหวาน เห็ด ซอสมะเขือเทศสูตรเฉพาะของทางร้าน ท็อปด้วย มอสซาเรลลาชีส และโรมาโน กินคนละถาดยังไม่พอเลยแก

011 Portillo’s Hot Dogs

พูดถึงสตรีทฟู้ดชื่อดัง เราขอแนะนำให้ทุกคนมาลิ้มลองกันที่ Portillo’s Hot Dogs ร้านฮอทดอกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานกว่า 58 ปี ขายดีตั้งแต่วันแรกกระทั่งวันนี้ จนเขาจัดให้เป็น Tastes of Chicago แล้วเราก็มาเห็นความเด็ดด้วยตาตัวเอง ตั้งแต่หน้าร้านกับแถวที่ยาวเหยียดจนแอบท้อ แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตอะเนอะ ต้องเอาสักหน่อย ดีที่ร้านเขาออกแบบได้เท่โนใจ มีกลิ่นอายความเรโทร ด้านในจำลองบ้านเมืองยุคเก่าพร้อมที่นั่งให้ฟีลเหมือนเรานั่งกินอยู่ริมถนน.. อลังการอยู่นะว่าไป

เมนูที่ต้องสั่งคือ Hot Dogs ลักษณะเฉพาะแบบฉบับชิคาโก ส่วนประกอบในเมนูที่เห็นแล้วเด่นสะดุดตาสุด ๆ คือ เขาใส่พริกและแตงกวาดองเข้ามาด้วย ไม่เคยเห็นที่ไหนเลยแก ส่วนไส้กรอกในเมนูออริจินัลจะเป็นเนื้อ พอกัดเข้าไปจะรู้สึกถึงความเปรี้ยวเผ็ดตัดความเลี่ยนได้ดี สั่งเป็นชุดกับเฟรนซ์ฟรายส์และโค้กสักแก้ว กลายเป็นมื้อที่ลงตัวในราคาน่ารักมาก ๆ

012 Nutella Cafe’

ด้วยความเป็นสาขาเดียวในโลกของ Nutella Cafe’ ทำให้อดไม่ได้ที่จะยัดเข้ามาไว้ในแพลน ใครจะไปคิดว่าช็อกโกแลตผสมเฮเซลนัทเนื้อครีมมี่เข้มข้นบรรจุในขวดธรรมดา ๆ จะกลายเป็นของหวานที่อร่อยเลอค่าดั่งทองจนโด่งดังไปทั่วโลกขนาดนี้ ซึ่งคาเฟ่นูเทลล่าแบบออฟฟิเชียลนั้น ตอนนี้มีแค่ที่ชิคาโกแห่งเดียวเท่านั้น เค้ามากับการตกแต่งร้านแบบเรียบง่าย เน้นสีขาว-แดงประจำแบรนด์ กระซิบนิดนึงว่าใครมาตรงวันหยุด เผื่อเวลาไว้เยอะ ๆ เพราะทางนี้ต่อคิวนานมากจ่ะแม่

ไฮไลท์ความว้าวซ่าคือแทบทุกเมนูที่ใช้นูเทลล่าเป็นส่วนประกอบหลักแบบจุก ๆ มีทั้งเครป วาฟเฟิล มัฟฟิน แพนเค้กโรยผลไม้ราดนูเทลล่าเน้น ๆ กาแฟผสมนูเทลล่า และที่พลาดไม่ได้คือเจลาโต เนื้อเนียนรสช็อกโกแลตเข้มข้นหอมกลิ่นเฮเซลนัท เสียบบิสกิตสอดไส้นูเทลล่ามากินแกล้มอีกหนึ่ง ทำเอาเราเดินกินไปยิ้มไปเลยทีเดียว

013 Stan’s Donuts & Coffee

ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น เรามักจะเห็นผู้คนมาวนเวียน เดินเข้าออก ต่อแถวกันไม่ขาดสายที่ร้าน Stan’s Donuts & Coffee จนเราอดไม่ได้ที่จะลองเสิร์ชหาข้อมูล แล้วก็พบว่านี่เป็นตัวท๊อปของร้านโดนัทในเมืองชิคาโก ที่เริ่มก่อตั้งในปี 2014 ป๊อปจนสามารถขยายสาขาไปทั่วชิคาโกและอิลลินอยส์ และความบังเอิญนี้ทำให้เราได้อีกร้านเด็ดห้ามพลาดมาบอกต่อ

เดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์ สายตาเจ้ากรรมก็ลุกวาวขึ้นอัตโนมัติกับโดนัทหน้าสวยหลากสีสันที่นอนแผ่ให้เชยชม ชิ้นมันใหญ่ หน้าแน่นมาก ๆ จิ้มไปจิ้มมาได้มา 2 เลยจ่ะ เป็นโดนัทเคลือบน้ำตาลสุดคลาสสิก 1 และเคลือบสตรอว์เบอร์รี่อีก 1 ตัดเลี่ยนด้วยอเมริกาโน่ร้อน ๆ อีก 1 เพื่อให้ความขมของกาแฟขับรสหวานของโดนัทให้โดดเด่นขึ้น บอกเลยว่าแป้งหนุบหนับกำลังดี สำหรับคนไม่กินหวานแบบเรา ค่อนข้างหวานไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วโอเคเลยทั้งรสชาติและราคา มันคุ้มต้องมาตำ

ทั้งหมดนี้ก็คือ 13 โลคชั่น ที่ทำให้เราสนุกมาก ยิ่งที่ชิคาโกเขาใช้ชีวิตกันแบบที่ควรจะเป็น นั่งกินอาหารริมทาง มาเดินห้าง ออกกำลังกาย ผ่อนคลายในสวน เข้าอาร์ตแกลลอรี่ดี ๆ เหล่านี้ช่วยเยียวยาจิตใจเราให้ดีขึ้น ตอบโจทย์สำหรับคนที่กำลังโหยหาชีวิตคนเมืองเป็นที่สุด ใครที่มีวีซ่าอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่อยากให้ลังเลที่จะมานะ ลองกดเข้าไปดูตั๋ว เลือกเวลา แล้วทำเผลอ ๆ คลิ๊กจองมาชิคาโกดู แล้วจะรู้ว่า คนคูลเขามารวมตัวกันที่นี่หมดแล้วจ้าาาา