หยุดอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม วางแฟ้ม ปิดคอมพ์ เก็บผ้าเก็บผ่อน แล้วโร้ดทริปให้พอมีสตอรี่เท่ ๆ ด้วยการมุ่งเข้าหาธรรมชาติที่จังหวัดกาญจนบุรีกันเถอะ!!
แม้ชีวิตคนเมืองจะทำให้เรามีเวลาพักผ่อนแสนน้อยนิด แต่เชื่อไหม ในเวลาแค่ 3 วัน 2 คืน เราสามารถออกไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ สุขสงบที่บ้านอีต่อง หมู่บ้านกลางหุบเขาสุดน่ารัก แล้วยังแพลนเที่ยวน้ำตก นอนแพ และคาเฟ่ฮอปปิ้งสวย ๆ ได้ชิล ๆ แบบไม่ต้องรีบร้อน เพราะกาญจนบุรีเค้าคือจังหวัดฮอตฮิตที่ตอบโจทย์กับความต้องการที่หลากหลาย แถมตลอดทั้งการเดินทาง ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติแสนสมบูรณ์ ให้ได้พักสมอง พักสายตา ตั้งแต่อยู่บนรถเลยล่ะเธอ …
นอกจากเสื้อผ้า กล้อง คนรู้ใจ เช็กลมยาง ตรวจสภาพรถแล้ว อีกสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับทริปขับรถเที่ยวก็คือประกันรถยนต์ดี ๆ สักหนึ่ง เพราะเราไม่รู้ว่าระหว่างทางจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ทั้งอุบัติเหตุบนท้องถนน ภัยธรรมชาติ ฯลฯ เพื่อความสบายใจให้กับตัวเองและคนข้าง ๆ การมีไว้แล้วไม่ได้ใช้ ย่อมดีกว่าตอนจะใช้แล้วไม่มี และถ้าพวกเธอยังไม่มีช้อยส์ในใจ ทางเราขอแนะนำให้รู้จักกับประกันภัยประเภท Motor 2+ Special โดนใจ จากกรุงเทพประกันภัย กับการบริการสุดเลิศ ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชม. คุ้มครองทั้งรถ ผู้ขับ คนที่นั่ง และบุคคลภายนอกด้วย มีทุนประกันสูงสุดถึง 300,000 บาท ศูนย์ซ่อมมีมาตรฐานเชื่อใจได้ ดีกว่านี้ ก็คุณแม่ที่บ้านแล้วค่ะ ไปพี่ไป.. รีบไปทำประกันแล้วออกเดินทางด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย หากสนใจสามารถแอดไลน์เป็นเพื่อนกับกรุงเทพประกันภัย ได้ที่ Line @bangkokinsurance
Day 1
The attic Cafe’ ::
ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อขับรถยิงยาวมาที่กาญจนบุรี แต่ก่อนจะถึงที่หมาย เราขอแวะพักกันที่ The Attic Cafe’ ร้านกาแฟที่กำลังเป็นเทรนด์ บ้านทรงเอ สีขาว-เขียว สะอาดตา มีวิวโดยรอบเป็นลานทุ่งหญ้ากว้าง และทิวเขาสวยงาม ที่สำคัญอยู่ใกล้ตัวเมือง และเป็นทางผ่านสู่สถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เหมาะแก่การแวะเติมพลังเป็นที่สุด
ในส่วนของเมนู … ทางร้านเน้นทั้งเครื่องดื่มและของหวาน ซึ่งกาแฟเป็นแบบคั่วกลางดื่มง่าย ไม่เข้ม ไม่ขมจนเกินไป ผสมกับอะไรก็อร่อยอย่าง Citrus Americano เปรี้ยว หวาน หอมกาแฟชื่นใจ และ Dark cocoa สุดเข้มข้นผสมกับนมสดกลมกล่อมหวานกำลังดี ยิ่งพอได้เค้กสักชิ้นมากินด้วยแล้วล่ะก็ บอกได้คำเดียวเลยว่า ฟินลืม
มุมยอดฮิตที่กลายเป็นเอกลักษณ์ เมื่อใครมาก็ต้องแวะแชะแวะชม คือตรงช่องหน้าต่าง ริมหลังคาเตี้ย ๆ มีกอหญ้าสีน้ำตาล เป็นโทนสีน่ารัก ๆ ที่ทำให้เราได้ภาพมาลงไอจีกรุบ ๆ อย่างที่เห็นนี่แหละ
บ้านอีต่อง ::
จุดหมายหลักสุดคูลที่ทำให้เราเย็นทั้งร่างกายทั้งจิตใจ บ้านอีต่อง แห่งเหมืองปิล๊อก แต่เดิมหมู่บ้านนี้เคยรุ่งเรืองมากสมัยทำเหมือง แต่พอเหมืองปิดตัวลง ความสงบก็เข้ามาเยือน การที่หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในหุบเขา ทำให้มีทัศนียภาพสวยงาม มองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขาต้นไม้ เหมือนธรรมชาติกำลังโอบกอดเราไว้ ตรงกลางหมู่บ้านมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ถือเป็นแลนด์มาร์กที่ใคร ๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปเช็กอินกัน
ที่นี่จะทำให้เราเจอแต่ความเงียบสงบ มุมถ่ายรูปสวย พร้อมกับอากาศที่หายใจยังไงก็เจอแต่ความสดชื่น รู้สึกบริสุทธิ์ ไร้ฝุ่นควัน จนอดอิจฉาคนที่นี่ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำคือเตรียมรถให้ดี เติมน้ำมันให้พร้อม เพราะเส้นทางค่อนข้างยาว ทางโค้งเยอะ และถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ถ้าผ่านมันมาได้จนเจอจุดหมายที่เฝ้ารอ รับรองว่าคุ้มค่าแก่การเกร็งข้อมือขับรถแน่นอน
ไฮไลท์ของหมู่บ้านที่ไม่อยากให้พลาดเลยคือ ช่วงค่ำ ๆ หมู่บ้านจะเปิดไฟริมทางดวงน้อย ๆ คอยส่องสว่างแบบสลัว ๆ เหมาะแก่การเปิดเพลงแจ๊ส เดินชมเมือง ให้ฟีลโรแมนติกสุด ๆ มีฝนพอชื้น พื้นเปียกนิด ๆ พอหยิบตะเกียงมาส่องไฟถ่ายรูปสุดปัง ยิ่งทำให้เข้าใจที่มาของชื่อ “อีต่อง” ที่มาจากภาษาพม่าแปลว่า เทวดา นั่นก็หมายความว่า คนที่นี่ยกหมู่บ้านนี้ให้เป็นหมู่บ้านเทวดานั่นเอง ซึ่งพอเรามาเจอบรรยากาศ ก็ไม่ใช่คำเปรียบที่เกินจริง มีความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย
Day 2
เนินช้างศึก ::
สถานที่ท่องเที่ยวสุดป๊อป ที่ใครมาอีต่อง จะต้องมาเยี่ยมชมคือ เนินช้างศึก เรารีบขยี้ตาตื่นแต่เช้า นั่งรถขึ้นมาเพื่อสัมผัสบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้น แม้เราจะไม่เห็นพระอาทิตย์เป็นดวงชัด ๆ แต่ก็ได้พบกับหมอกเย็น ๆ และกลิ่นหอม ๆ ของธรรมชาติอยู่ดี จากจุดชมวิว เราจะมองเห็นขุนเขาของเทือกเขาตะนาวศรี พรมแดนระหว่างไทย-พม่า ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
ช้างแก่คลาสสิคโฮม ::
หลังจากดีท็อกหน้าด้วยไอหมอก เราก็ลงมาฝากท้องกันที่ ช้างแก่คลาสสิคโฮม ร้านคาเฟ่เก่าแก่ประจำหมู่บ้าน ตกแต่งด้วยไม้โบราณ มีของเก่าเก็บมากมายตั้งโชว์ให้เราระลึกถึงความหลัง มีเมนูหลากหลายทั้งอาหารตามสั่ง ชา กาแฟ แต่เช้า ๆ แบบนี้ขอจัดเบา ๆ แค่ไข่กระทะ ไข่ลวก แซนวิช ชุดเบรคฟาสต์ ชา กาแฟร้อน ค่อย ๆ จิบให้เหมาะกับความสงบของหมู่บ้านเขาแล้วกัน
แม้จะเป็นวันธรรมดา ที่นี่ก็ยังคงค้าขายกันตามปกติ ทำให้เห็นวิถีชีวิตน่ารัก ๆ ความแปลกตาที่เราไม่คุ้นชินคือ แม่ค้าที่เดินขายของนั้น จะเทิร์นสินค้าไว้บนหัว ไม่มีรถเข็นหรือรถพ่วงให้รกสายตา อันนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของแม่ค้าในแถบนี้เลยก็ว่าได้ โดยของในถาดส่วนใหญ่จะเป็นขนมพื้นเมือง ขนมพม่าซึ่งสายแป้ง สายถั่วจะต้องเลิฟ เพราะขนมพม่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นแป้งปิ้ง ทอด นึ่ง ผสมงา ธัญพืชต่าง ๆ มากมาย รสชาติจะหนุบ ๆ มีกลิ่นถั่ว และหวานอ่อน ๆ บางอย่างถ้าไม่จิ้มนมข้น หรือน้ำผึ้งก็เรียกว่าจืดไปเลยล่ะ แต่ชอบนะ มันดูไม่ปรุงแต่งดี
พอช่วงสาย ๆ ร้านค้าเริ่มทยอยเปิด เราก็เลือกซื้อของฝากกันจนเพลิน สิ่งที่อยากแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่บ้านคือ ขนมถั่วตัดของพม่า ที่เขาทำเป็นซอง ๆ เคี้ยวง่ายกรุบ ๆ ไม่แข็งจนเกินไป และชาซองพม่า คุณแม่ที่บ้านเราติดใจมาก
เหมืองปิล๊อก ::
อากาศเย็น ๆ แบบนี้ อะไรจะดีไปกว่าการเดินสำรวจหมู่บ้าน ซึ่งที่ท้ายหมู่บ้านจะมีเหมืองเก่าซ่อนอยู่ หลายคนคงคิดว่า มันคงเต็มไปด้วยรอยเจาะ เครื่องจักร และสิ่งปลูกสร้างเก่า ๆ แต่ไม่เลย เขาจัดสัดส่วนได้ดีมาก มีทั้งธารน้ำธรรมชาติใสกิ๊ง เห็นปลาหลากสีแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ มีบ้านทรงยุโรปที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ต่างประเทศไปชั่วขณะหนึ่ง และสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า ที่นี่เป็นเหมืองเก่ามาก่อน คืออุปกรณ์ทำเหมือง และเครื่องยนต์เก่า ที่วางไว้เนียน ๆ กลางสนามหญ้านี่เอง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพร้อพให้คนมาเที่ยวถ่ายรูปเล่นกันเท่านั้น
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ::
พอได้รับความสดชื่นจนเต็มปอด เราก็ออกจากหมู่บ้านด้วยความเริงร่า โดยมีจุดหมายระหว่างทางคือ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น น้ำตกที่เกิดจากน้ำผุดบนภูเขาอีปู่ เป็นที่ตั้งของเหมืองแร่ทังสเตน ไหลผ่านหมู่บ้าน ด้วยแร่ธาตุทางธรรมชาตินี้ ทำให้น้ำของจ๊อกกระดิ่นใสเป็นสีฟ้าสวยงามอย่างที่เห็น ความสูงน้ำตกอยู่ที่ประมาณ 30 เมตร เรียกว่าเป็นน้ำตกระดับกลาง ๆ เราสามารถเล่นน้ำและเข้าไปใกล้ตัวน้ำตกได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของเจ้าหน้าที่อุทยาน
แม้จะวางแพลนเที่ยวไว้ดีขนาดไหน แต่การขับรถเที่ยว … มักจะเกิดปัญหาเฉพาะหน้า มีเรื่องเกินคาดเดาอยู่เสมอ ยิ่งช่วงปลายฝนแบบนี้ ถ้าต้องขับรถเองยิ่งต้องระวัง แต่การมีประกันดี ๆ สักตัว อย่างของกรุงเทพประกันภัย ก็ทำให้เราอุ่นใจขึ้นมาก เพราะเค้ามีให้เลือกหลายแบบ อย่างของเราที่เป็น Motor 2+ Special โดนใจ ก็คุ้มครองตั้งแต่ทรัพย์สิน บุคคล ไปถึงภัยธรรมชาติ เรียกว่าตอบโจทย์นักเดินทาง อุ่นใจไม่ต้องกังวลอะไร เปิดเพลงขับชิลจนไปถึง destination ต่อไปได้สบาย ๆ
ช่องเขาขาด ::
ไม่นานนักเราก็มาหยุดพักกันที่ ช่องเขาขาด สถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนมองข้าม แต่มันดีกว่าที่คิดไว้มากเลยล่ะ ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทหารอเมริกันที่ถูกจับมาเป็นเชลยศึก เพื่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ มีพิพิธภัณฑ์ที่ทำได้ดูดีมาก การจัดแสดงดูอินเตอร์ เน้นความโมเดิร์น แอร์เย็นฉ่ำ เข้าชมได้แบบไม่ต้องเสียค่าบริการอีกต่างหาก จุดนี้เราแนะนำให้ยืมเครื่องบรรยายแบบพกพาจากพิพิธภัณฑ์เพื่อเพิ่มอรรถรสก่อน แล้วค่อยเริ่มเดินเข้าไปชมเส้นทาง
ที่ชอบสุดคือการทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติได้สุดปังมาก เป็นทางเดินสวย เดินง่าย ระยะสั้น ๆ เหมาะกับคนทุกวัย แค่เดินบันไดเยอะหน่อยเท่านั้น ระหว่างทางจะมีป้ายพร้อมหมายเลขกำกับเอาไว้ใช้กับเครื่องบรรยายพกพาที่ยืมมา คอยบอกว่าจุดไหนคืออะไร ดูร่องรอยประวัติศาสตร์ที่แอบซ่อนอยู่ จนไปถึงช่องเขาที่ถูกขุดเจาะ เพื่อเป็นทางผ่านรถไฟ มีต้นไม้สูงใหญ่ ทรงยูนีคต้นหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นภาพที่สวยงามมาก ยิ่งเห็นด้วยตาเปล่ายิ่งสวย
The Floathouse River Kwai ::
การเดินทางที่ยาวนาน กับความเหนื่อยล้าที่อิ่มใจ … คืนนี้เราขอตัดขาดจากโลกภายนอก ด้วยการนั่งเรือเข้าไปนอนที่ The Floathouse River Kwai บนแพแสนส่วนตัวสงบ ๆ กลางป่าเขา ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่แพ้โรงแรมติดดาวอื่น ๆ ทั้งห้องพักที่กว้างขวาง ร้านอาหารรสชาติอร่อยถูกปาก มุมนั่งชิลหลายมุมทั้งที่ห้อง และส่วนกลาง ให้เรานอนอ่านหนังสือ ฟังเพลงโปรด ใช้เวลาไปช้า ๆ ชมวิวสบายตา พร้อมกิจกรรมของโรงแรมที่จัดไว้เผื่อคนขี้เบื่อ ให้เลือกทำได้ตลอดทั้งวัน
Day 3
ตื่นมายังหยุด ‘ว้าว’ ไม่ได้กับบรรยากาศที่น่าทึ่งแบบนี้ รู้สึกหายใจยังไงก็ได้รับแต่อากาศดี ๆ ลมเย็น ๆ พัดทะลุผ่านร่างกี่ครั้ง ก็รู้สึกสดชื่น หลังจากที่เราจัดเบรคฟาสต์ฉ่ำ ๆ มีทั้งอาหารทั้งไทยและเทศให้เลือก ก็ได้เวลาอาบน้ำ ปะแป้ง จูงมือกันไปขี่จักรยานที่ทุ่งปอเทือง สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ผู้เข้าพักได้มาถ่ายรูปเล่น เมื่อได้รูปคิ้ว ๆ จนหนำใจ ขอไปต่อด้วยแพลนคาเฟ่ฮอปปิ้งยาว ๆ ก่อนกลับบ้านกัน
หอมคะน้า ::
ขับขี่ด้วยความอุ่นใจเพราะมีกรุงเทพประกันภัยเป็นเพื่อนร่วมทาง นอกจากความคุ้มครองที่ครอบคลุ
เมนูที่ร้านมีทั้งคาว หวาน และเครื่องดื่ม แต่ด้วยมื้อเช้าเราจัดเต็มมาแล้ว เลยขอลองขนมนิด น้ำหน่อยก็พอ อากาศฉ่ำ ๆ มีฝนปรอยลงมาแบบนี้ เราเลือกทานวาฟเฟิลอบใหม่ร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ พอมีรสหวานละมุนของน้ำผึ้งมาคู่กัน ความลงตัวจึงบังเกิด ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ดูมีสีสันขึ้นมาทันที แล้วตัดความหนืดคอด้วย นมเผือกเย็น โซดาคิ้ว ๆ ให้ฟีลเด็กน้อยตั้ลล้าก.. เข้าไปอีก
The villa Farm Cafe’ ::
ไป ๆ มา ๆ ก็ได้เวลามื้อเที่ยงอีกแล้ว เราตั้งใจมาฝากท้องที่ร้าน The Villa Farm Cafe’ อีกร้านที่ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาเขียวขจี แม้ร้านจะใหญ่โตแต่ก็ดูสบาย ๆ เข้าถึงง่ายด้วยการตกแต่งสไตล์ฟาร์ม บ้านไม้หลังโตทรงสูงหลายหลังติดกัน ด้านหนึ่งเป็นกระจกโปร่งทำให้มีแสงธรรมชาติลอดผ่านตลอดเวลา เห็นวิวภายนอกได้ชัดเจนแม้จะนั่งอยู่ในสุดของร้าน ภายในตกแต่งเน้นความเป็นธรรมชาติสวยงาม ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ และเครื่องหนังสีน้ำตาล-เทาคุมโทน มีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งอยู่ทั่วทุกมุม
อยากจะร้องกรี๊ดเพราะตาลาย เลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี เมนูมีเยอะมาก เหมาะที่จะพาครอบครัว กลุ่มเพื่อน คนเยอะ ๆ มาทานเพราะตอบโจทย์ทุกอย่าง อาหารคาวจะเป็นแนวฟิวชั่นเพื่อสุขภาพ ไลท์ ๆ แต่รสชาติกลมกล่อม ใช้วัตถุดิบชั้นดีโดยเฉพาะผัก ที่สดหวานกรอบจนหยุดกินไม่ได้
เมนูของหวานที่ใครมาเป็นต้องสั่งคือเต่าปังลุยสวน แสนน่ารัก ทำเอากินไม่ลง ต้องนั่งมองหน้ากันว่าใครจะเป็นคนทำร้ายน้องก่อน แต่พอได้เริ่มคำแรกแล้วก็หยุดกินไม่ได้อีกเลย ตัวน้องเป็นขนมปังสอดไส้ครีมเมล่อน ด้านบนเป็นช็อกโกแลต กินตัดกับไอศกรีมเมล่อนหอมนุ่ม และเมล่อนสดหวานฉ่ำ รสชาติมันสดใหม่ ขอให้เต็มสิบทั้งรูปลักษณ์และรสชาติไปเลย
นอกจากโซนคาเฟ่แล้ว เขามีพื้นที่กว้างมาก ให้เราได้ปั่นจักรยานไปถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ มีทั้งสวนดอกไม้ สวนดอกหญ้าฟุ้ง ๆ อุโมงค์ไม้ไผ่ บ่อน้ำที่มีสะพานไม้ให้นั่งห้อยขาได้ เพราะฉะนั้นเสร็จจากกินอิ่มจุก ๆ ก็ไปเดินหามุมถ่ายรูปรอบ ๆ เป็นการย่อยอาหารไปในตัว เพื่อไปกินร้านต่อไปได้แบบไม่รู้สึกผิด ถือเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะ
ลำยวน
ร้านนี้ขอยกขึ้นหิ้งร้านกาแฟที่เราชอบมาก ๆ อีกร้านเลย ชอบตั้งแต่การตกแต่ง อุปกรณ์คุมธีมของทางร้าน เมนูสวย ๆ รวมไปถึงรสชาติ มาดูที่การตกแต่งก่อน เน้นโทนสีขาว และไม้สีอ่อน ด้านหน้าเป็นเคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่ม เพดานสูงสบายตา ส่วนรอบ ๆ เป็นที่นั่งรองรับลูกค้า ลักษณะเหมือนนั่งเล่นในบ้านดูอบอุ่น ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สาน และโต๊ะโบราณแบบต่าง ๆ มิ๊กซ์กันได้อย่างลงตัว วางโต๊ะห่างกันกำลังดี ให้ความเป็นส่วนตัว เรียกว่ามีทั้งความโมเดิร์นและโฮมมี่อยู่ในที่เดียวกัน
นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ก็มีขนมให้เลือกเยอะมาก ทั้ง Blueberry Crumble, Toffee Cake, Chesse cake รูปแบบต่าง ๆ แต่ทริปนี้เราเน้นการรีเฟรซตัวเอง เลยขอเลือก Earlgrey Cake เค้กกลิ่นชาเอิร์ลเกรย์ที่เน้นความสดชื่น หวานอ่อน ๆ มีครีมชีสตัดกันอย่างลงตัว และ Lemon Tart เมนูเปรี้ยวนำหวาน ที่ช่วยปลุกเราให้ตื่น พร้อมเดินทางกลับได้อย่างสดชื่น
บอกแล้วว่าเที่ยวกาญจนบุรีในเวลา 3 วัน 2 คืนของเรา สามารถพักผ่อนได้แบบไม่ต้องเครียดเรื่องเวลา ไม่ต้องหาแพลนแน่น ๆ ก็ได้รูปมาอวดเพียบ ไหนจะหมู่บ้านแสนโลคอล ธรรมชาติฉ่ำ ๆ ที่พักชิล ๆ คาเฟ่จุก ๆ ฉะนั้นหนาวนี้ถ้ายังไม่มีแพลน ขอให้รีบกดเลิฟ กดแชร์ แท๊กเพื่อน ล่อแฟน มาจัดทริปพักสมองไปด้วยกัน แล้วอย่าลืมหาคนคอยดูแล คุ้มครองระหว่างการเดินทาง อย่างประกันประเภท Motor 2+ Special โดนใจ ของกรุงเทพประกันภัยเอาไว้ด้วย มันจะทำให้ทุกการเดินทางของเรา อุ่นใจหายห่วง พร้อมเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสดใสแน่นอน หากพวกเธอ … สนใจสามารถแอดไลน์เป็นเพื่อนกับกรุงเทพประกันภัย
ได้ที่ Line @bangkokinsurance