ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ ถ้าเที่ยวไทย … ชั้นให้เชียงใหม่ยืนหนึ่งมาตลอด เมืองอะไรยิ่งไปยิ่งรัก ยิ่งสัมผัสยิ่งหลง ทั้งความสโลไลฟ์เอย ความอบอุ่นละมุนใจสไตล์ล้านนาเอย คือถ้าไม่ใช่เชียงใหม่ก็ไม่รู้จะไปหาแบบนี้ได้จากไหน มันเลยไม่แปลกที่เราจะกลับมาเยือนอยู่เรื่อย ๆ ทุกฤดู เช่นเดียวกับหน้าฝนนี้ที่เราจะมาพาทุกคนขึ้นไปม่อนแจ่ม ดอยสุดฮิตไม่ไกลจากตัวเมือง ที่ง่ายต่อการไปสัมผัสเสน่ห์ช่วงกรีนซีซั่นของธรรมชาติที่พร้อมใจเป็นสีเขียวทั่วทั้งเขา สูดอากาศเย็น ๆ ดูหมอกปุย ๆ ที่ลอยละล่อง คว้ากล้องออกไปถ่ายรูปคู่ทุ่งเวอร์บีน่าที่บานสะพรั่ง และฟินขั้นสุดกับหมูกระทะบนดอยแบบจุก ๆ ณ “บ้านท่าจัน” ที่พักสุดปังอลังด้วยวิวบนเนินเขา ให้เราได้สัมผัสทะเลหมอกในยามเช้าและสัมผัสความหนาวในยามค่ำคืน
เอาเป็นว่าม่อนแจ่ม 2 วัน 1 คืนรอบนี้ เราขอการันตีว่าพวกเธอต้องผ่อนคลาย หัวใจพองโต ได้ชาร์ตแบตแบบเต็มเปี่ยมโดยไม่ต้องพึ่งพาวเวอร์แบงค์เลยจ้า
บอกก่อนว่าเชียงใหม่รอบนี้เป็นทริปที่เน้นพักผ่อน เน้นชิลแบบจริง ๆ เพราะฉะนั้นลืมการเที่ยวเตร็ดเตร่ทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดมืดแล้วกลับเข้าที่พักดึก ๆ ไปได้เลย เพราะแพลนเราจะเริ่มบินออกจากกรุงเทพ ฯ ช่วงสาย ในชุดน่ารักคุมโทน แต่งหน้าอ่อน ๆ แบบสาวเกาหลีสุขภาพดี ถึงเชียงใหม่เที่ยง ๆ ทานอารให้อิ่ม แล้วก็เดินทางต่อแบบไม่เร่งไม่รีบ ค่อย ๆ ขับรถไต่ระดับความสูงกว่า 1,300 เมตร ผ่านเขาแต่ละลูกอย่างช้า ๆ มองวิวสองข้างทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสีเขียว เปิดกระจกรับลมเย็น ๆ รับละอองฝนที่โปรยปรายให้สัมผัสผิวหน้าเติมความสดชื่น พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด เปิดเพลงคลอเบา ๆ ระหว่างทางที่มุ่งหน้าสู่ม่อนแจ่ม
ไม่นานนักเราก็มาถึง “บ้านท่าจัน” ที่พักโลเคชั่นแจ่มที่เราเลือกมาพักผ่อนระยะสั้น 2 วัน 1 คืนในครั้งนี้ ที่กล้าบอกว่าโลเคชั่นแจ่มนั้น เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ล้อมรอบด้วยวิวเขาแบบ 360 องศา คือไม่ว่าเธอจะหันไปทางไหนก็จะมีเขาอยู่ในสายตาเสมอแบบนั้นเลย แถมบรรยากาศก็ดีอบอุ่นเป็นกันเอง ค่อนข้างสบาย ๆ มีความเรียบง่ายแต่น่ารัก ตัวที่พักออกแบบด้วยสไตล์โมเดิร์นแต่ใช้วัสดุจากธรรมชาติตกแต่งเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศรอบ ๆ มีการปลูกดอกไม้หลากสีในแต่ละจุดทำให้ทุกอย่างยิ่งดูละมุน ดูเข้ากันไปซะหมด
ที่นี่เค้ามีห้องให้เลือกพักทั้งหมด 5 แบบ 5 สไตล์ ทั้งบ้านแคปซูน, บ้านไม้ไผ่, บ้านหลังเล็ก, บ้านเบอร์ 6-7 และที่พิเศษสุดคือเต็นท์กระโจมสีขาวสุดชิคพร้อมห้องน้ำส่วนตัว ซึ่งได้ฟีลบรรยากาศแบบแคมป์ปิ้งเอามาก ๆ แถมบ้านแต่ละก็ยังหันหน้าออกสู่วิวหุบเขาที่สลับซับซ้อนกัน มีระเบียงส่วนตัวที่สามารถนั่งชมวิวทะเลหมอกแบบพาโนรามาได้ตลอดเวลาที่เข้าพักอีกด้วย เพราะงั้นไม่ว่าจะพักเป็นคู่หนุงหนิงโรแมนติค มาเที่ยวชิค ๆ กับแก๊งค์เพื่อน หรือมาเอ็นจอยในวันหยุดครอบครัวก็ได้ทั้งนั้นเลยละเธอ
ครั้งแรกที่บ้านท่าจัน เรานั้นเลือกพักแบบเต้นท์กระโจมสีขาวสุดฮิปที่เหมาะสำหรับผู้รักการถ่ายภาพ เพราะทุกมุม … ไม่ว่าจะเป็นหน้าเต้นท์ มุมในเต้นท์ ตรงระเบียง เธอก็สามารถหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปเก๋ ๆ ปั๊วะ ๆ แอ้คติ้งจิบกาแฟชมเขาไว้อัพลงไอจีได้ทุกจุดจริง ๆ ภายในก็มีเครื่องนอนหมอนผ้าห่มอุ่น ๆ และโต๊ะญี่ปุ่น กาต้มน้ำ ผ้าเช็ดตัวพร้อมน้ำดื่ม และชุดกาแฟไว้ให้พร้อม แถมพอเธอตื่นเปิดเต้นท์ปุ๊บก็ได้เห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครอีกด้วย ส่วนเรื่องห้องน้ำห้องท่าเค้าก็มีแยกส่วนตัวแต่ละเต้นท์เลย ไม่ต้องใช้ร่วมกับใคร เครื่องทำน้ำอุ่นก็มีพร้อม เรียกได้ว่าสะดวกสบายใครไปก็แฮปปี้แน่นอน
หลังจากเช็ดอินและแอบงีบนอนเหยียดบนเตียงไปหนึ่งตื่น เวลาที่เรารอคอยสำหรับการขึ้นดอยก็มาถึง นั่นคือการสั่งหมูกระทะฟิน ๆ มากินกันหน้าเต้นท์ ที่ถือว่าเป็นอีกกิจกรรมที่ห้ามพลาดเลยก็ว่าได้ และที่แปลกคือการหมูกระทะบนดอยเนี่ยสำหรับเรามันอร่อยกว่าที่อื่นเยอะมาก ไม่รู้ทำไม? ซึ่งที่นี่เค้ามีชุดหมูกระทะพร้อมเตาและถ่านเตรียมบริการเสริฟ์ถึงที่สำหรับบ้านทุกหลัง รวมถึงหน้าเต้นท์แบบเราด้วย แต่ละชุดก็สามารถเลือกได้ว่าจะเอาซีฟู้ด หมูล้วน หรือเซ็ทพิเศษที่มีทั้งไส้กรอกลูกชิ้นครบ แต่ละชุดก็จะมาพร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บถึงใจ กับชุดผักสำหรับสายสุขภาพ ปิ้งหมูไปก็มองดูหมอกไป ต่อด้วยซดน้ำซุปร้อน ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ๆ ทั้งอร่อยทั้งฟิน เต็มสิบให้ร้อยไปเลยจ้า คืนนี้นอนหลับฝันดีแน่นอน!
สำหรับใครที่ชอบถ่ายภาพวิวทิวทัศน์เก็บไว้ แนะนำว่าพออิ่มจากหมูกระทะแล้ว อย่าเพิ่งรีบมุดตัวซุกใต้ผ้าห่มในเต้นท์นะเธอ ลองคว้ากล้องออกเก็บมุมบรรยากาศท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากฟ้าอ่อนค่อย ๆ ไล่ไปจนฟ้าเข้มและเป็นสีน้ำเงินกัน บรรยากาศช่วงนี้ที่แต่ละเต้นท์เริ่มเปิดไฟส่องสว่างแล้วก็ดีงามมาก ๆ เลยละ ไม่น่าเชื่อเลยว่าไม่ไกลจากเมืองท่องเที่ยวจ๋าอย่างเชียงใหม่ แค่ขับขึ้นดอยชั่วโมงนิด ๆ เราก็จะเจอกับธรรมชาติและความเงียบสงบนี้แล้ว
ตื่นเช้ากันสักนิด บิดขี้เกียดกันสักหน่อย แต่งหน้าปะแป้ง แต่งตัวคุมโทนสีให้เข้ากับเพื่อน แล้วออกมาสูดอากาศดี ๆ ต่อหน้าเต้นท์ ซึ่งเรายอมรับเลยว่าเช้านี้เป็นเช้าที่สดชื่นที่สุดในรอบหลายเดือนเลยทีเดียว เราจะได้เห็นภาพของสายหมอกที่ค่อย ๆ ลอยอยู่บนเขา ได้ฟังเสียงนกร้องเริงร่าสดใสตอนเช้า หรือใครอยากจะเดินเล่นถ่ายรูปกับแปลงดอกไม้เล็ก ๆ รอบ ๆ ที่พักก็สามารถทำได้เช่นกัน แนะนำว่ามุมหน้าเต้นท์ช่วงเช้านี้คือดีมากกกกก เธออาจจะแกล้ง ๆ มานั่งชิล ๆ อ่านหนังสือสักเล่ม หรือแอ้คจิบกาแฟแลเขา แล้วให้เพื่อนสาวกดชัตเตอร์ถ่ายรูปปั๊วะ ๆ ไว้เปลี่ยนโปรไฟล์สักสิบช็อตก็ย่อมได้น้า
ขอพักการถ่ายรูปสักแป๊บ (เดี๋ยวกลับไปถ่ายต่อ) ตอนนี้ขอมูฟออนมาทานมื้อเช้าริมระเบียงกันก่อน เติมพลังกันสักหน่อยให้มีแรงโพสท่าชิค ๆ กันสักนิด ซึ่งอาหารเช้าของบ้านท่าจันนี้ เค้าก็จะมีให้เลือกทั้งข้าวต้ม ชุดอเมริกันเบรคฟาส พร้อมกาแฟ น้ำส้มมาให้พร้อม หรือใครยังไม่อิ่มจุใจก็สามารถขอเมนูอาหารตามสั่ง สั่งมาเสิร์ฟทานกันที่ห้องก็ได้เช่นกัน กินไปมองวิวไป หันมายิ้มอ่อนให้เพื่อนสองสามที มันดีเกินเรื่องมากแม่ อยากหยุดเวลาเอาไว้ที่นี่ต่ออีกสักคืนเลยจ้า
มาเชียงใหม่นอกจากร้านคาเฟ่ที่นิมมาน ก็มีม่อนแจ่มนี่แหละเธอที่แมสที่สุด แบบใคร ๆ ก็ต้องไปเช็คอิน ซึ่งพอหลังจากเช็คเอ้าท์เก็บกระเป๋าออกจากบ้านท่าจันแล้ว เราก็ตรงดิ่งมาที่ม่อนแจ่มกันต่อเลย ระยะทางจากบ้านท่าจันมาม่อนแจ่มนั้นห่างแค่เพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ทีนี่มีลักษณะเป็นพื้นที่บนสันเขา มียอดสูงราว 1,350 เมตร แต่เดิมชาวบ้านจะเรียกที่นี่ว่ากิ่วเสือ เพราะเคยเป็นป่ารกร้าง ต่อมาได้เข้ามาทำการปลูกฝิ่น จนกระทั่งโครงการหลวงเข้ามาซื้อพื้นที่ และปรับปรุงบริเวณม่อนแจ่ม ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีทั้งที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขายของฝากกันให้เพียบ
แต่ประเด็นร้านรวงเยอะแยะไม่ใช่จุดไคลแมกซ์ของเราเท่าไหร่ ที่เราตั้งใจมาก็เพราะวิวทิวทัศน์บนม่อนแจ่มนี้มันแจ่มสมชื่อมาก ๆ เธอ แถมสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทุกฤดูก็จะมีความงามที่แตกต่างกันไป มีทั้งสวนดอกไม้ ไร่สตรอเบอร์รี่ ซึ่งถ้าใครอยากเห็นทะเลหมอกสวยแบบฟูแน่น แนะนำมาเที่ยวหน้าฝน แต่ถ้าอยากชมดอกไม้เมืองหนาวบานสะพรั่งไปทั่วทั้งเขาก็ต้องมาฤดูหนาว ด้านบนมีลานจอดรถให้พร้อม เดินอีกนิดหน่อยก็ถึง เพราะงั้นไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คุณน้า คุณตา คุณยาย ก็สามารถมาเที่ยวม่อนแจ่มได้ง่าย ๆ ไม่เหนื่อยแถมถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
และจุดแรกที่ต้องเช็คอินเมื่อมาเยือนม่อนแจ่ม ก็คือ ไร่สตรอเบอร์รี่ปลายฟ้า ที่ถึงแม้ช่วงนี้จะไม่มีสตอเบอรี่ให้เราเก็บ แต่เธอก็จะได้เห็นวิวแปลงเขียว ๆ คู่กับแบล็คกาวเป็นทะเลหมอกแบบเต็ม ๆ ขนาดไม่มีสตอเบอร์รี่สักลูกยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าเป็นช่วงที่สตรอเบอร์รี่สีแดง ๆ เต็มไร่นี่ไม่อยากคิดเลยว่าจะสวยพร่ำเพื่อขนาดไหนเธอ เอาเป็นว่าเป็นอีกจุดที่เข้ามาถ่ายรูปได้และได้รูปสวยถูกใจกลับไปแน่นอน เสียค่าผ่านประตูให้ชาวบ้านคนละ 10 บาท เท่านั้นเอง
จุดที่สองความงามตามกันมาติด ๆ ก็ต้องเป็น ทุ่งดอกไม้ไร่ดอกลมหนาว เลยจ้า จุดนี้จะเป็นทุ่งกว้างมีพื้นที่ลดหลั่นตามภูเขา เห็นวิวของแปลงผักขั้นบันไดอยู่เบื้องหน้า และเห็นวิวของหมู่บ้านชาวเขาอยู่ไกล ๆ ซึ่งภายในไร่ดอกลมหนาวนี้ ก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็จะเป็นทุ่งดอกเวอร์บีน่าสีม่วงสดใส บานสะพรั่งท่ามกลางวิวภูเขาเขียวขจีที่โอบล้อม บรรยากาศรอบ ๆ ตกแต่งน่ารักมาก เอาใจคนมาถ่ายรูปพร้อมกับพร็อบมากมายที่เลือกเอามาใช้ได้ งานนี้เตรียมชุดกิ๊บเก๋มาให้พร้อม เซ็ทผมมาให้ดี แต่งหน้าอ่อน ๆ ลแล้วมาวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้เหมือนสาวน้อยวัยใสที่หลุดมาออกจากหนังสือนิยายกันได้เลย
ทั้งหมดนี้คือม่อนแจ่ม 2 วัน 1 คืน ช่วงกรีนซีซั่นที่หันไปทางไหนก็ชุ่มฉ่ำไปซะหมด และถึงแม้เราจะไปในสถานที่เดิม ๆ แต่มันก็เพิ่มเติมด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนทำให้หัวใจพองโตได้ทุกครั้ง รอบนี้เป็นเชียงใหม่แบบชิล ๆ ที่เราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้ดูหมอกลอยทั้งวัน ได้เห็นต้นไม้ใบหญ้าเป็นสีเขียวทั้งเขา ได้กินหมูกระทะฟิน ๆ บนดอย ได้ยิ้มให้กับธรรมชาติ และได้นอนสบาย ๆ สัมผัสอากาศหนาว ๆ ที่ท่าจัน บางทีแค่นี้แหละก็อาจจะเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่เธอตามหาในวันหยุดก็ได้น้า แล้วเจอกันใหม่กับเชียงใหม่รอบหน้าเจ้า
และสำหรับข้อมูลที่พักของบ้านท่าจัน ม่อนแจ่ม สามารถติดต่อไปได้ตามนี้เลยจ้า
เบอร์ติดต่อ : 0979304470
FB : บ้านพักท่าจัน ม่อนแจ่ม
Inbox : m.me/BannTaJun/
Line ID : https://line.me/ti/p/jIKxmjiAu8
Website : https://reservation.roomscope.com/1445/th
พิเศษมาก!! จองที่พักตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมเข้าพักเดือนไหนก็ได้ลด 10%