รีวิวญี่ปุ่น : HOW TO SPEND 4 DAYS IN HIROSHIMA

ถ้าฟรีวีซ่าญี่ปุ่นเขามีติดสติกเกอร์แฟนตัวยง ป่านนี้เล่มพาสปอร์ตของทางเราคงเต็มไปแล้วแน่ ๆ .. เปิดปีใหม่พร้อมความตั้งใจว่าจะเที่ยวให้เยอะขึ้น ใช้ชีวิตให้คุ้มขึ้น และเก็บรายละเอียดแต่ละที่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศสุดเลิฟอย่างญี่ปุ่น เพราะถึงแม้เราจะมาบ่อยจนเหมือนรู้จักประเทศนี้ดี มันก็มักจะมีที่ใหม่ ๆ โผล่มาให้ตกใจเล่นอยู่เสมอ รอบนี้เรามาที่ “เมืองฮิโรชิมา” เมืองแห่งน้ำ แห่งเทพเจ้า และเรื่องราวประวัติศาสตร์ ที่นี่เกิดเรื่องราวกล่าวขานกันมากมายมาตั้งแต่อดีต จนทำให้เมืองฮิโรชิมาถูกรู้จักในหลาย ๆ แง่มุม ทั้งที่เที่ยวธรรมชาติสุดอันซีน มรดกโลกที่นักท่องเที่ยวแห่แหนกันมาชื่นชมไม่ขาดสาย เศษซากประวัติศาสตร์สุดสะพรึงที่ใคร ๆ ต่างเคยได้ยินมาแล้ว และแน่นอนของกิน คาเฟ่ ก็ล้วนมีกิมมิกดีงามไม่แพ้ที่ไหนเช่นกัน ออ แล้วยังมีสกีรีสอร์ท รวมถึงที่แช่ออนเซ็นแบบครบวงจรที่รอคอยให้เราไปแช่ ไปเล่นอีก เรียกได้ว่ามาเที่ยวเมืองเดียวเหมือนเที่ยวทั่วญี่ปุ่นได้เลยแหละเธอเอ้ยย

และแน่นอนคนชอบเที่ยวสบาย ๆ สวย ๆ และประหยัดเวลาอย่างเรา จะให้นั่งรถ นั่งเรือ ยาว ๆ ข้ามเมืองมันไม่แกรนด์ มันต้องบินตรงสิจ๊ะถึงจะถูกใจเจ้ จากกรุงเทพฯ เราบินลงฮิโรชิมาแบบนางพญา ด้วยราคาน่ารัก ๆ กับสายการบินนกแอร์ รูทใจเด็ดที่เปิดให้คนชอบเที่ยวไม่ซ้ำ หนีจากความวุ่นวายในเมืองป๊อป ๆ ได้มาค้นหาที่ใหม่ ๆ กัน และแม้จะเป็นสายการบินแบบประหยัด แต่เขาก็บินด้วยเครื่องบินโบอิ้งลำโตนั่งกว้างกว่า สะดวก และนอนสบายกว่า ซึ่งมีบินตั้ง 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ คือวันพุธ ศุกร์ และอาทิตย์ ช่วงเวลาการบินก็ดี๊ดีออกดึกถึงเช้า เที่ยวต่อได้เลยไม่ต้องเสียเวลา จากสนามบินเข้าเมืองใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชม. เท่านั้น กลับไทยก็บินสาย ๆ ถึงบ่าย รถไม่ติดด้วย เหมือนเขาคิดมาใ้ห้แล้วว่าผู้โดยสารจะต้องได้รับความสะดวกสบายที่สุดอะเนอะ.. ใครสนใจ ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://content.nokair.com/th/Booking/Where-we-fly/Flight-Service/Hiroshima.aspx

ฮิโรชิมา เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโชโงกุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้า และรุ่งเรืองมากตั้งแต่ครั้งอดีต ตั้งอยู่ในเกาะฮอนชู ซึ่งผู้คนรู้จักในชื่อ “เมืองแห่งน้ำ” มาตั้งแต่โบราณ เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่ประกอบด้วยเกาะเล็ก ๆ รวมกัน และมีแม่น้ำไหลผ่านถึง 6 สาย พร้อมภูเขาล้อมรอบ ฉะนั้น เชื่อใจเรื่องธรรมชาติได้เลยว่าอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน และด้วยผังเมืองที่วางมาอย่างดีตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน ทำให้ที่นี่เจริญทั้งทางได้การค้า และทางทหาร จนกลายเป็นที่บัญชาการทางทหารของญี่ปุ่น และเป้าหมายของระเบิดปรมาณูเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง แต่ถึงแม้เมืองนี้จะต้องเจอเรื่องราวน่าเศร้า ก็ยังไม่สามารถทำลายความสวยงามของมันไปได้ และเมื่อเวลาผ่านไปกลับสร้างความทรงจำ และสถานที่สวยงามเอาไว้ให้เราได้ท่องเที่ยวมากมาย สถาปัตยกรรมโบราณที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกถึง 2 ที่ หนึ่งในนั้นคือเสาแดงโอโทริอิกลางน้ำที่เรามักจะเห็นผ่านตาผ่านสื่อต่าง ๆ คราวนี้แหละจะได้มาสัมผัสด้วยตาตัวเอง บอกเลยว่าตลอด 4 วันในฮิโรชิมาของเราในรอบนี้ ต้องฟินแน่นอน

Day 1

สำหรับวันแรกเรามาเที่ยวแบบเบา ๆ หลังลงเครื่องจะได้ไม่เหนื่อยมากกันก่อน แต่ละที่นั้นเดินถึง นั่งรถไม่กี่นาทีถึง ที่บริเวณรอบ ๆ “สวนสันติภาพฮิโรชิม่า(Hiroshima Peace Memorial)” เป็นที่ตั้งของมรดกโลกอีกหนึ่งแห่ง ที่เราแบ่งจุดแวะเที่ยวได้ถึง 4 จุดด้วยกัน โดยขอเริ่มที่ อะตอมมิกบอมบ์โดม (Atomicbomb Dome) ซึ่งในอดีตคือศูนย์แสดงสินค้า ผลงานศิลปะ จัดกิจกรรม และส่งเสริมสินค้าอุตาสาหกรรมที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตั้งแต่ปี 1915 เป็นอาคารสไตล์ยุโรปหลังโต ที่สมัยนั้นหาชมได้ยากมาก จนเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ปี 1945 ระเบิดปรมาณูลูกแรกของมนุษยชาติได้เผยให้เห็นแก่สายตาชาวโลก มาลงที่เมืองฮิโรชิมาแห่งนี้ โดยจุดศูนย์กลางระเบิดก็อยู่ห่างจากตึกนี้เพียงไม่กี่เมตร แต่ด้วยโครงสร้างตึกโดมแห่งนี้กลับยืนหยัดกลางระเบิดได้อย่างแข็งแรง จนหลงเหลือให้เราชมมาถึงปัจจุบัน

ที่นี่ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ ที่หลงเหลือจากการถูกทำลาย และการสูญเสียอันยิ่งใหญ่จากสงคราม เป็นเครื่องเตือนใจจนมีคำขวัญ “พอแล้วกับเหตุการณ์ฮิโรชิมา” จากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ และ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996 นั่นเอง แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ทางการเมืองฮิโรชิมามีแผน อาจจะทุบตึกสองตึกของที่นี่ เนื่องจากโครงสร้างที่ไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการถล่มเมื่อเจอแผ่นดินไหว อาจเกิดอันตรายกับนักท่องเที่ยวได้.. เพราะฉะนั้นใครแพลนไว้ก็รีบ ๆ มากันก่อนนะ

เดินข้ามสะพานโมโตยาสุ มาไม่ทันหายเหนื่อยเราก็มาเจออนุสาวรีย์โค้งมนทรงสูงที่มีเด็กหญิงยืนแบกนกกระเรียนอยู่ ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือซาดาโกะ ซาซากิ หนึ่งในหลายแสนคนที่ได้รับผลกระทบจากสารกัมมันตภาพรังสี เธอได้รับสารนี้ผ่านฝนหลังระเบิดนิวเคลียร์ทำลายบ้านของเธอ ในวัย 2 ขวบเท่านั้น ซาดาโกะใช้ชีวิตอย่างปกติมาได้ 11 ปี ด้วยร่ายกายที่แข็งแรง ได้เป็นนักวิ่งของโรงเรียน แต่มาวันหนึ่ง อาการป่วยแบบฉับพลันก็ทำให้เธอต้องพบกับโรคร้าย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) และจากวันที่เจอโรค หมอบอกว่าเธอมีเวลาใช้ชีวิตได้อีกเพียง 1 ปีเท่านั้น การที่เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลไม่ได้ใช้ชีวิตตามปกติสุข ทำให้เธอร้องไห้ตลอดวัน จนเพื่อนสนิทได้มาเล่าถึงตำนาน “ซูรุ” หรือตำนานนกกระเรียนที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ว่า หากสามารถพับนกกระเรียนได้ครบ 1,000 ตัวแล้ว เธอสามารถอธิษฐานให้อาการป่วยนั้นดีขึ้นได้ ทำให้ซาดาโกะกลับมามีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง แม้อาการของเธอจะแย่ลงเรื่อย ๆ เธอก็ยังพับมันต่อไปโดยที่ปีกของทุกตัวเธอจะเขียนคำว่า “สันติภาพ” เอาไว้ด้วย ซาดาโกะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เธอกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณค่าของชีวิต จากการมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง และหลังจากซาดาโกะเสียชีวิตได้  3 ปี ก็มีการเปิด อนุสาวรีย์สันติภาพเยาวชน (Children’s Peace Monument) นี้เพื่อระลึกถึงภัยสงคราม และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ที่ต้องเสียชีวิตจากสงครามนั่นเอง

เดินต่อมาที่ท้ายสวนบริเวณใกล้ ๆ กัน เราจะเจอ ดวงไฟแห่งสันติภาพ (Flame of Peace) อนุสาวรีย์ทรงโค้งคล้ายมือที่ปกป้องดวงไฟเอาไว้ตรงกลาง ซึ่งมองลอดไปจะเห็นอาคารอะตอมมิกบอมบ์โดม ได้อย่างชัดเจน สถาปัตยกรรมนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักพิงแด่ดวงวิญญาณของคนที่เสียชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ มีการสลักชื่อของผู้เสียชีวิตทั้งหมดลงบนเนื้อหิน ออกแบบโดยเคนโซ ทังโงะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวเมื่อปี 1964 และหลังจากปีนั้นทุก ๆ ปีชาวบ้านจะมาจัดงานที่บริเวณนี้ เพื่อระลึกถึงความร้ายแรงของระเบิดนิวเคลียร์และสงคราม รณรงค์ให้ทุกประเทศหยุดทดลองและหยุดใช้ระเบิดนิวเคลียร์ตลอดไป

พิพิธภัณฑ์สันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial Museum) อาคารทรงยาวดูเก๋เรียบง่ายนี้ ภายในฉาบไปด้วยประวัติศาสตร์ ที่ควรค่าแก่การจดจำ และเป็นอุทาหรณ์แก่คนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี ถึงโทษของสงคราม ทั้งความเสียหาย ความทุกข์ ผลกระทบที่ส่งต่อมายังคนในพื้นที่ มีการจัดแสดงข้าวของทุกสิ่งอย่าง รวมไปถึงภาพถ่ายเมื่อครั้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ฉายแว๊บลงมาสู่พื้นผิวเมืองฮิโรชิมานี้ โดยแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ประวัติเมืองฮิโรชิมา สภาพก่อนและหลังการระเบิด การจำลองเหตุการณ์ช่วงที่เกิดระเบิด ซึ่งค่าเข้าชมราคาเพียง 200 เยนเท่านั้น การเดินดูพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้เรารู้สึกต่อต้านการเกิดสงครามอย่างยิ่งยวด มันเพิ่มขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะคนจัดแสดงต้องการให้เรารู้สึกแบบนั้นก็เป็นได้

เรื่องการเดินทางที่นี่ก็ง่ายมาก เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงมีป้ายภาษาอังกฤษแทบทุกแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เราจะใช้บัสประจำทาง และรถราง (Tram) ฮิโรเดน ซึ่งเป็นรถรางที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่น มีถึง 8 สายด้วยกัน เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟกับสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เราต้องเดินเมื่อย ซึ่งราคาค่าโดยสารถูกมากแค่เที่ยวละ 200 เยนเท่านั้น ถ้าวันไหนเที่ยวเยอะ ก็ซื้อตั๋วแบบ 1 Day Pass ขึ้นบัส-รถรางไม่จำกัดจำนวนครั้งใน 1 วันราคาเพียง 600 เยนเท่านั้น เพิ่มอีก 240 เยนก็สามารถนั่งเรื่อเฟอร์รี่ไปเกาะมิยาจิมาได้ และด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลกันมาก การใช้แท็กซี่ก็เป็นอีกตัวเลือกที่เราเลือกใช้เหมือนกัน  เราเชื่อว่าใครสามารถเที่ยวในโตเกียว และโอซากาได้ การเดินทางในฮิโรชิมานี้เรียกว่าหมู ๆ ง่ายกว่าเยอะเลย

Day 2

ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาวเพราะฉะนั้นที่นี่ก็ยังมีสกีให้เล่น ! ใช่แล้วจ้าแม่ … ใครว่าสกีต้องไปถึงฮอกไกโด นางาโนะกัน โยกาฮามาเขาก็มีเทือกเขามากมายให้เราเลือกเล่น ซึ่งที่ Megahira Ski Resort แห่งนี้แหละก็ถือเป็นอีกหนึ่งโอเอซิสของคนรักหิมะ และยังมีออนเซ็นให้เราได้เพลิดเพลินด้วย จากตัวเมืองสามารถนั่งรถบัสจากสถานีฮิโรชิมา ใช้เวลาประมาณ 1.40 ชม. ก็ได้มาเจอกับวิวหิมะขาวโพลน โล่งสมองแล้ว หรือจะเหมารถขับขึ้นมาเที่ยวเองก็น่าเหมาะเช่นกัน เผื่อทำกิจกรรมเพลินไม่ต้องมาพะวงเรื่องรอบรถ เพราะการอยู่ในรีสอร์ตแห่งนี้เราเล่นจนลืมเวลาไปเลย เขามีคอร์สให้เลือกเล่นแบบมีสตาฟคอยสอน และไม่มีราคาพร้อมเช่าอุปกรณ์เริ่มต้นที่ 4,200 เยนเท่านั้นเอง

สำหรับใครที่อยากเที่ยวแบบ relax ไม่ชอบกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมแบบนี้ ในรีสอร์ทเขาก็มีที่รับรองสายชิลอย่างเราเหมือนกัน คือการแช่ออนเซ็นที่มีทั้งแบบ indoor และ outdoor ตามด้วยนั่งทานอาหารรสเลิศภายในโรงแรม ที่มีอาหารหลายรูปแบบมาเสิร์ฟทั้งราเมงร้อน ๆ หรือจะเป็นสเต็กเนื้อพรีเมียมก็ไม่เลว ภายในยังมีคาเฟ่เล็ก ๆ กับมุมงามให้เราจิบกาแฟแบบฟิน ๆ เหมือนคุณหนูบนยอดเขา เพราะบรรยากาศนี้ดีมาก มองออกไปเห็นหิมะขาวโพลน พร้อมกาแฟร้อนอุ่นมือ หอมกรุ่น คือได้ฟีลให้เราเรานั่งยิ้มสวย ๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนนางเองในละครญี่ปุ่นเลย

ข้อดีของการออกเที่ยวตั้งแต่เช้าคือ เรามีเวลาเที่ยวอีกเหลือเฟือ หลังจากที่เราเสร็จกิจกรรมจากรีสอร์ตแล้วเราสามารถแวะชอปปิ้งเอาใจสาว ๆ กันที่ Outlet ใกล้ ๆ รีสอร์ตนั้นเอง อันนี้อยู่นอกเหนือจากแพลนแหละ เพราะขับรถผ่านมาเจอพอดี และด้วยความที่ตรงนี้ห่างไกลจากตัวเมือง ต้องขับรถตั้งชั่วโมงกว่าทำให้คนน้อยมากและของเยอะมากกกกก ทั้งของกิน ของฝาก และสินค้าแบรนด์เนมใครคิดอยากหาของฝากราคางาม ๆ เราว่าที่นี่ถือว่าเข้าตากรรมการมาก ๆ เพราะราคาของคือถูกจริงไม่หลอกดาว ถ้าไม่ซีเรียสเรื่อง new collection นี่คือแหล่งละลายทรัพย์ชั้นดีที่เราอยากแนะนำให้มาลองเช็คอินกันดู

และสำหรับสายของหวาน ที่หลงใหลโดนัทเป็นพิเศษ จะต้องไม่พลาดกับร้าน  Jack in the donuts  ที่เขามีหลายสาขาทั่วประเทศ และเพิ่งมาเปิดใหม่ที่ Outlet แห่งนี้นั่นเอง ที่เราบอกว่าที่นี่คนน้อยแทบอยากจะถอนคำพูด เพราะแถวหน้าร้านนี้ยาวมากเด้อ.. เหมือนทุกคนมารวมกันตรงนี้ ก็แน่ล่ะ ร้านดังมาเปิดที่ชานเมืองแบบนี้ คนเขาก็ต้องอยากลองลิ้มชิมรสโดนัทสด ๆ ที่เขาชื่นชมกันนักหนาบ้างแหละ ตาเราเริ่มตื่นเป็นประกายระยิบระยับ ตั้งแต่เดินเลือกชิ้นโดนัทแล้วเพราะมีความวาไรตี้มาก ทั้งหน้าตาและรูปทรงทำเอาเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว ราคาก็ดีจนแทบจะกวาดหมดแผง อยู่ที่ชิ้นละ 120 – 200 เยนเท่านั้น แต่ด้วยเนื้อที่ท้องที่เหลือสำหรับชิ้นเดียวเราเลยเลือกชิ้น Best Seller คือ Croissant Donuts Glaze ครัวซองต์เคลือบน้ำตาล ที่ดูคลาสสิกแต่รสชาติคือที่สุด ความเหนียวนุ่มของโดนัทที่อบสดใหม่ทุกวัน ใช้วัตุดิบที่ดีหอมกรุ่นกลิ่นเนย ไม่เหม็นหืน กับความหวานอ่อนตามแบบฉบับญี่ปุ่นที่เราชื่นชอบ มันเป็นชิ้นที่เติมพลังให้เรามีแรงชอปปิงต่อแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ

กัดโดนัทหนึ่งคำ พร้อมกับหันไปเจอกับร้านกาแฟข้าง ๆ ที่ปรายตาแว๊บเดียวถึงกับต้องชะงักกับความครีเอทีฟของร้าน เป็นกาแฟที่ออนท๊อปด้วยพระ ถ้ามองข้ามดราม่าใด ๆ ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องที่จับต้องได้ หยิบยกมาใช้ประกอบศิลปะตามแบบของตัวเองได้ และนี่ก็คงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของบ้านเขาแหละเนอะ ว่าแล้วเราก็ต้องซื้อมาลองบ้าง.. แม้จะไม่กล้ากินด้านบนแต่ลาเต้เย็นคืออร่อยใช้ได้เลยแก กาแฟหอมๆ ไม่หวานตัดกับโดนัทครัวซองต์นุ่ม ๆ ไอเลิฟฟฟ !!

วันนี้ใช้เอนเนอร์จี้ไปตั้งเยอะ ไม่พูดถึงร้านอาหารก็คงจะผิดวิสัยสายกินอย่างเราอะเนอะ มื้อเย็นเลยขอจัดเต็มกับบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง ที่รับรองถูกปากคนไทยแน่นอนที่ร้าน STAMINA TARO เข้าไปปุ๊ปถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะไลน์อาหารหลากหลายมากทั้งซูชิ ยากินิกุ(ปิ้งย่างญี่ปุ่น) ราเมง สลัด ของทอด ทาโกะยากิ สปาเก็ตตี้ ของหวานนานาชนิด กินได้ไม่อั้นในเวลา 90 นาที ซึ่งเนื้อเขาจะมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมู มีรูปประกอบว่าถาดไหนเป็นเนื้อชนิดใด แต่ป้ายที่บอกว่าเป็นเนื้อส่วนไหนบ้างเป็นภาษาญี่ปุ่นนะ หยิบมือถือไปส่องคำแปลกันด้วยเด้อ เรื่องคุณภาพวัตถุดิบคือเนื้อหมักดีคุณภาพสูงมาก สวนทางกับราคาที่แสนถูก อยู่ในช่วง 1,300 – 2,100 เยนเท่านั้น การันตีความอร่อยด้วยสาขามากมายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น นอกจากคุณภาพดี อร่อย หลากหลาย แล้วบริการก็ยังเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ร้านนีติดท๊อปฮิตร้านอาหารสำหรับครอบครัวสำหรับคนญี่ปุ่นด้วย เพราะมีลดราคาให้หลายช่วงอายุ คือเด็กต่ำกว่า 12, ทารก, ผู้ใหญ่อายุเกิน 60

Day 3

เข้าวันที่สามเราจะเริ่มไปตามหาธรรมชาติที่โหยหาแล้ว จากที่พักเราเดินทางมุ่งตรงสู่ท่าเรือเฟอร์รี่เพื่อไปท่องเที่ยวบนเกาะมิยาจิมา หรือทางการเรียกกันว่าเกาะอิทสึคุชิมะ ที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็น “เกาะแห่งเทพเจ้า” โดยมีสิ่งที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกคือวิวเสาแดงโอโทริอิ อันโตตั้งตระหง่านกลางทะเล ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ไม่แพ้คุณฟูจิเลยทีเดียว แล้วยังได้รับคะแนนแหล่งท่องเที่ยวถึงสามดาวจากมิชลินไกด์ และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO อีกด้วย รางวัลตู้มต้ามขนาดนี้มีหรือเราจะพลาด จดลงลิสแบบรัว ๆ ตั้งปณิธานว่าต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้ได้เลย

โดยเส้นทางเที่ยวบนเกาะนี้สามารถลิสตามที่เราอยากได้เลย เพราะแต่ละที่ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่ สำหรับเราเช้า ๆ แดดยังไม่แรงแยงตาแบบนี้ขอขึ้นกระเช้าไปชมวิวเกาะบน ยอดเขามิเซ็น (Mt.Misen) จุดชมวิวแกรนด์ ๆ ที่หลายคนยังไม่รู้จัก และยังไม่บูมมาก ทำให้เราขึ้นแบบสบาย ๆ ไม่เบียดใคร บนความสูงกว่า 500 เมตร เราจะได้มุมมองของนกที่มองลงมาสู่ทะเลอันไกลโพ้น และด้วยระยะทางที่ไม่มากนักที่นี่ก็เหมาะกับการเดินเทรกกิ้งเบา ๆ มีให้เลือก 3 เส้นทาง เส้นแรกระยะทาง 2.5 กิโลเมตร เริ่มต้นที่สวนโมมิจิดานิ เส้นที่ 2 มีระยะทาง 3 กิโลเมตร เริ่มต้นที่วัดไดโชอิน และเส้นที่ 3 มีระยะทาง 3.2 กิโลเมตร เริ่มต้นที่ศาลเจ้าโอโมโตะ เราสามารถชื่นชมธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ได้อย่างเต็มที่ตลอดเส้นทาง แต่ถ้าใครไม่ใช่สายเดินก็ขึ้นกระเช้าแบบเราได้เหมือนกันราคาเที่ยวละ 1,000 เยน ไป-กลับ 1,800 เยน เมื่อมาถึงด้านบนเราจะเจอกับวิวทะเลเซโตะ สีครามนิ่งสงบพร้อมเกาะแก่งกว่า 3,000 เกาะ กว้างสุดลูกหูลูกตา บ้านเรือน ผู้คนเล็กจิ๋วเหมือนถูกจับวางสลับกับแมกไม้ธรรมชาติอย่างน่ารัก กลิ่นของของป่าและทะเลรวมกันแตะจมูกพอสดชื่น ทำให้อยากดื่มด่ำกับจุดนี้ไปนาน ๆ

ลงเขามาท้องก็หิวอีกแล้ว เสิร์ชหาอาหารขึ้นชื่อบนเกาะกลางทะเลแห่งนี้ก็พบว่าเป็น หอยนางรม อาหารสุดรักที่เราต้องหากินแทบทุกอ่าวที่ไปในญี่ปุ่น ถ้าที่ไหนเราบอกว่าหอยอร่อยโปรดจงมั่นใจ เพราะนี่คือแฟนพันธุ์แท้จริง ๆ สำหรับเกาะนี้เขาเพาะเลี้ยงหอยนางรมมาว่า 300 ปีแล้ว ร้านที่เราแนะนำให้มาคือร้าน Kakiya เพราะเขามีการคัดคุณภาพหอยก่อนทำโดยพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญ ที่สามารถทำได้สารพัดเมนู เซตที่เราสั่งมาคือ Kaki-furai (oysters breaded and fried) ชุดหอยนางรมชุบเกล็ดขนมปังทอด ให้หอยนางรมมา 6 ตัวเบ้ง ๆ ใหญ่เท่ากันทุกชิ้นมีมาตรฐาน ชุบเกล็ดขนมปังละเอียด ทอดสุกกำลังดี ไม่แข็งไป ไม่สดไป ไร้กลิ่นคาว และรสชาติหอยยังคงอยู่ แทบจะเหมือนกินสดเลยก็ว่าได้ เพราะยังมีกลิ่นน้ำทะเล ความหวานของหอยยังฉ่ำปาก ราดกับซอสดำของทางร้านคือสวรรค์ชัด ๆ ซึ่งก็คุณภาพของหอยถือว่าสูสีกับหอยนางรมตรงอ่าวมัตสึชิมา เมืองเซนไดมาก ๆ เพราะสองเมืองนี้เขาแข่งกันอยู่ว่าหอยใครเด็ดกว่ากัน และถ้าให้เราเลือกก็เลือกไม่ถูกจริง ๆ ก็เอาเป็นว่าขึ้นแท่นที่หนึ่งในใจเราไปทั้งสองที่เลยแล้วกัน ถ้าใครมาแล้วไม่ได้กินถือว่าพลาดมากนะขอเตือน

อีกไฮไลต์ของเมืองฮิโรชิมา หนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้เราต้องเดินทางมาที่นี่ก็คือ เสาโอโทริอิกลางน้ำ ณ ศาลเจ้าอิทสึกุชิมะ เสาจากต้นโคเมียวตันต้นโต ที่นำมาทำโอโทริอิ เสาประตูใหญ่หน้าศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ มีขาค้ำถึง 6 เสา มีความสูงกว่า 17 เมตร คานระหว่างเสายาว 24.2 เมตร และความยาวรอบเสา 9.9 เมตร น้ำหนักรวม 60 ตันนี้ ตัวเลขยิ่งใหญ่ พอ ๆ กับที่ตาเห็นมาก ๆ เสาต้นหลักนั้นทำจากไม้การบูร ทำให้อยู่ได้คงทน และข้าง ๆ คือไม้จากต้นสนที่ได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1875 แอบมีกิมมิกน่ารัก ๆ ให้เราลองสังเกตกันคือทางทิศตะวันออกของเสาจะมีตราประทับรูปพระอาทิตย์ และทางทิศตะวันตกของเสาก็จะมีตราประทับรูปพระจันทร์เสี้ยวด้วย ซึ่งในช่วงที่น้ำลงเราสามารถเดินเข้าไปชมเสาแบบใกล้ ๆ ได้ แต่ช่วงเวลาน้ำขึ้นสูง เราจะเห็นว่าเสาโอโทริอินี้ลอยน้ำอยู่นั้นแกรนด์ยิ่งกว่า เชื่อแล้วว่านี่เป็น 1 ใน 3 ของวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นจริง ๆ แต่ถ้าใครอยากจะไปในช่วงเร็ววันนี้เราอยากให้เช็คข้อมูลก่อนเดินทางว่าเสาแดงเขาปิดปรับปรุงอยู่หรือไม่ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ หลายแห่งในญี่ปุ่นปิดปรับปรุง เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลมาในฤดูโอลิมปิกปี 2020 ที่จะถึงนี้มา

ในส่วนของตัวศาลเจ้าอิทสึกุชิมะ Itsukushima Shrine สมบัติประจำชาติญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นกลางทะเล เมื่อน้ำขึ้นศาลเจ้าแห่งนี้จะเป็นเหมือนเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล เนื่องจากความเชื่อที่มีมาช้านานว่าเกาะแห่งนี้คือเทพเจ้า จึงไม่สามารถสร้างศาลเจ้าบนพื้นดินของเกาะได้ จึงมาสร้างไว้ตรงริมทะเลแบบนี้นั่นเอง ภายในวิหารที่เป็นอาคารหลักของศาลเจ้ามีการบูชาเทพเจ้าหญิงทั้งหมด 3 ฮาชิระ และมีการจัดตั้งเวทีบุงาคุและโนห์ ซึ่งเป็นเวทีโบราณดั้งเดิมแห่งเดียวในญี่ปุ่น ที่เป็นเวทีกลางน้ำอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมิยาจิม่า (Miyajima Aquarium) อาคารอควาเรียม 2 ชั้น ไม่เล็กไม่ใหญ่ใช้เวลาเที่ยวแบบพอประมาณ ให้เราทักทายเหล่าสัตว์น้อยพอกรุบกริบ ภายในนี้แบ่งการจัดแสดงเป็นโซน ๆ คือสัตว์ทะเลที่สามารถหาพบได้ในผืนทะเลเซโตะแห่งนี้กว่า 350 ชนิด รวมถึงโลมาหัวบาตรหลังเรียบที่หาชมได้ยาก นากทะเล สิงโตทะเล และแม้แต่นกเพนกวิน เราสามารถเพลิดเพลินกับการแสดงในอวาเรียมได้แบบตลอดวัน ทั้งโชว์ให้อาหาร โชว์ความแสนรู้ของน้องสิงโตทะเล สำหรับกิจกรรมที่ห้ามพลาดของที่นี่เลยคือ ดูการทำฟาร์มหอยนางรม ที่บอกทุกกระบวนการเลี้ยงหอยของเกาะมิยาจิมาแห่งนี้ ตั้งแต่เพาะจนถึงเก็บ แล้วพวกเธอจะรู้ว่ากว่าจะได้เป็นเซตที่เราทานกันไปเมื่อเที่ยงเขาลงแรงลงใจกันไปขนาดไหน รายละเอียดดีมาก สมแล้วที่เป็นญี่ปุ่น ราคาค่าเข้าชมเพียง 1,400 เยนเท่านั้น ถูกแบบคุ้มค่าคุ้มประสบการณ์มากจริง ๆ

ไปต่อไม่รอแล้วนะกับ ถนนคนเดินโอโมเตะซันโด (Hiroshima Omotesando Shopping Street) ถนนเส้นยาวขนาบด้วยบ้านทรงเตี้ยแบบโบราณกว่า 350 เมตรที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะนี้ เป็นถนนชอปปิงสุดครึกครื้นที่สุดบนเกาะมิยาจิมา มีทั้งร้านอาหาร ของฝาก และเรียวกังมากมายให้เราได้เลือกใช้บริการ ซึ่งนอกจากหอยนางรมแล้ว เขาก็มีขนมขึ้นชื่ออยู่อีกอย่างก็คือ ขนมพายใบเมเปิ้ล ที่ให้เราชิมก่อนเลือกซื้อได้ ทำเอาชิมจนอิ่มเดินแทบไม่ไหว เพราะพายเหล่านี้มีสอดไส้ครีมหลายรสมาก เชื่อว่าถ้าซื้อเป็นของฝากทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ที่บ้านจะต้องรักต้องหลงเราแน่นอน และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่นี่จะมีเทศกาลหอยนางรม เรียกว่าเผาหอยกันจนหอมไปทั้งเส้น และราคาจะถูกกว่าปกติมาก ใครรักเมนูนี้แนะนำให้มาช่วงนั้นเลย

สำหรับของฝากสุดมึนที่เราเห็นแล้วงงจนคิ้วขดเป็นเส้นเดียวกันคือ สินค้ารูปทรงทัพพีตักข้าว ที่เขาเอามาทำเป็นเครื่องราง พวงกุญแจ และทัพพีตักข้าวจริง ๆ มาเข้าใจหลังจากที่นั่งหาข้อมูลว่า ที่นี่เขาภูมิใจในการผลิตภัณฑ์ทัพพีมาก ๆ ถึงขนาดมีจัดแสดงทัพพียักษ์ ที่ใช้เวลาผลิตเกือบ 3 ปีด้วย ถือเป็นรายละเอียดน่ารัก ๆ ของชุมชนที่เราแอบประทับใจ

มีเรื่องอยากบอกอีกนิ๊ดเกี่ยวกับเกาะนี้ เพราะความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่ทำให้มีสัตว์น้อยใหญ่มากมาย อยู่แซมกับผู้คน หนึ่งในนั้นที่เราเจอได้บ่อยสุดคือ เจ้ากวางหน้าสวยตาคมนี่แหละ นางกระจายอยู่กันทั่วเกาะเลย ซึ่งกวางที่นี่เป็นกวางป่านะจ๊ะ ถ้าใครเคยโดนกวางขวิดที่นารามาแล้วอาจจะพอเข้าใจ เพราะฉะนั้นอย่าไปแกล้งเขาเชียว แต่ถ้าเราไม่ไปกวนใจเขาก็ไม่ทำอะไรเราหรอก เพราะค่อนข้างคุ้นชินกับคนแล้ว บางตัวเห็นเราถือขนมก็จะเดินเข้าหาแบบหวังผล การป้อนอาหารกวางจึงเป็นอีกกิจกรรมที่น่าทำบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งคนพื้นที่เชื่อว่ากวางเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า จึงไม่มีการทำร้ายกวาง แถมยังอยู่ด้วยกันอย่างเป็นมิตรอีกด้วย จนเรียกว่าเป็นมาสคอตของเกาะเลยก็ว่าได้ เพราะนักท่องเที่ยวที่มานี่ต้องขอถ่ายรูปคู่น้องกวางกลับไปเป็นของที่ระลึกแทบทุกคน

ถ้าใครคิดว่าวันนี้เราจะจบแค่บนเกาะ บอกเลยว่ามันยังน้อยไป เรานั่งเรือเฟอร์รี่ชิล ๆ กลับเข้าสู่ฮิโรชิมา แล้วเดินทางตรงดิ่งไปที่ ตึกโอโคโนมิมูระ ทั่วไปรู้จักกันในชื่อ หมู่บ้านโอโคโนมิมูระ (Okonomimura Hiroshima) ตึกที่รวมร้านโอโคโนมิยากิ หรือพิซซ่าญี่ปุ่นหลายร้านไว้ในตึกเดียว เมนูโอโคโนมิยากินี้เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลก ช่วงที่อาหารขาดแคลนมาก ชาวเมืองจึงนำของที่เหลือมาผัดรวมกันจนได้เป็นพิซซ่าญี่ปุ่นอย่างทุกวันนี้ ซึ่งที่อื่นจะเป็นผัดรวมแล้วเทเแป้งลงคลุก ๆ ให้ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกันทั้งชิ้น แต่สูตรเฉพาะของฮิโรชิม่านั้นไม่เหมือนใคร!!! นี่ก็อยากรู้ว่าต่างจากที่อื่นยังไง เราเลยมาตามหาคำตอบที่ร้าน เอไก บนชั้น 4 ของตึก ความปิติของมื้อนี้คือเราได้นั่งดูเขาทำหน้าเตาแบบสด ๆ เห็นปริมาณวัตถุดิบที่ให้ก็คุ้มราคาจนอยากยื่นเงินไปเหน็บที่อกเชฟจริง ๆ พิซซ่าญี่ปุ่นที่นี่จะเป็นเครปบางวางข้างล่าง ซ้อนด้วยกะหล่ำปลีกองโต ไข่ อุด้งหรือโซบะ และเนื้อสัตว์ตามชอบ เป็นชั้น ๆ พลิกกลับไปมาจนสุก แล้วราดด้วยซอสโอโคโนมิยากิสูตรพิเศษ โรยปลาแห้งเป็นอันเสร็จพิธี รอไปอัพสตอรี่ไป รับรองเรียกน้ำลายจากคนนั่งส่องไอจีได้แน่นอน ถ้าถามถึงรสชาติคือนัวมาก ซอสอร่อยเพิ่มรสชาติของชิ้นพิซซ่าแต่ละชิ้นได้แบบพอดิบพอดี ของสด ผักหวาน กรอบหอมกลิ่นกระทะ ค่าเสียหายเริ่มต้นที่ 850 เยน ถ้าสั่งหน้าซีฟู้ดแบบเราก็ 1,400 เยนอิ่มแบบจุก ๆ ไปเลย

เดชะบุญ เรามาช่วงเลยปีใหม่ไม่นาน มันก็ยังมีอะไรสวย ๆ งาม ๆ อย่างงานไฟอะไรหลงเหลือให้ชมอยู่ อีกหนึ่งความดีงามของทริปนี้ ที่เราบังเอิญเจอคืองานไฟประดับประดาที่ติดตั้งไว้ตลอดเส้นถนนเฮวะโอโดริ ระยะทางกว่า 2 กม. ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน – อาทิตย์แรกของเดือนมกราคม และแต่ละปีมีธีมต่างกันออกไป ปีนี้อยู่ในธีม Never-never Land ใช้หลอดไฟมากถึง 1.4 ล้านดวง จัดเป็นรูปทรง ประดับตามตึกและต้นไม้ต่าง ๆ ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนเดินท่ามกลางดาวบนดิน มองไปทางไหนก็มีแสงระยิบระยับไม่ขาดตาเลยทีเดียว  ถ่ายรูปเพลินมาก เม็มกล้องเอามากี่ใบก็เต็มแทบทุกใบ ปีนี้ใครพลาดให้แพลนมาใหม่สิ้นปีนะ รับรองว่าฟินแน่นอน

Day 4

วันคืนผ่านไปไวเหมือนโกหกเข้าสู่วันที่ 4 วันสุดท้ายของการเที่ยวแดนอาทิตย์อุทัย ไฉไลทุกนาทีแล้ว วันนี้เราเที่ยวแค่สามที่ชิล ๆ ใช้เวลากับทุกที่ให้คุ้มค่าที่สุด โดยเริ่มที่ หอคอยฮิโรชิม่า โอริซูรุ (ORIZURU TOWER) ตึกสูงใจกลางเมืองที่อยู่ใกล้กับอะตอมมิกบอมบ์เพียงเอื้อม ที่นี่เป็นทั้งจุดชมวิว กึ่งพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงให้ข้อมูลแบบทันสมัย และเป็นสำนักงานท่องเที่ยวของเมืองฮิโรชิม่าในที่เดียวกัน เรียกว่าใครไม่รู้จะเที่ยวที่ไหนก็สามารถมาขอข้อมูลได้ที่นี่เลย จุดมุ่งหมายของเราคือการขึ้นไปชมวิวบนชั้นดาดฟ้าของตึกนี้ ซึ่งราคาค่าเข้าอยู่ที่ 1,700 เยน แต่อย่าเพิ่งตกใจกับราคา เพราะในแต่ละชั้นก็มีกิจกรรมให้เราทำเช่นกัน เช่นที่ชั้น 12 จะเป็นข้อมูลประวัติเมืองฮิโรชิมา และเรื่องของระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำลายเมืองนี้อย่างละเอียด ชี้จุดที่ระเบิดลง ณ สถานที่จริง เล่าเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งการเรียกร้อง และเล็งเห็นความสำคัญของสันติภาพ เราสามารถซื้อกระดาษพับนกกระเรียน (ราคา 500 เยน) มาพับแล้วโยนเข้าไปในช่องกระจกที่กั้นเป็นกำแพงสูง เพื่อสร้างกำแพงนกกระเรียน สื่อถึงสันติภาพได้อีกด้วย

และชั้น 14 คือดาดฟ้าจุดชมวิวพาโนราม่า ที่เราจะมองเห็นเมืองฮิโรชิมาแบบเต็ม ๆ ตา 180 องศา จากจุดนี้เราจะพบอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่าจากมุมสูงที่หาดูไม่ได้แล้วจากจุดอื่น และในวันที่อากาศดีก็จะมองเห็นไปถึงเกาะมิยาจิมะและศาลเจ้าอิสึคุชิมะในระยะไกล ๆ ได้ด้วย ข้างบนนี้ออกแบบสไตล์มินิมอล เปิดโล่งกว้าง เหมือนศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ใช้วัสดุไม้เป็นหลัก ทำให้มองแล้วสบายตา อยู่แล้วรู้สึกอบอุ่น ทั้งสามด้านเปิดรับลม ไม่มีผนังกั้น ทำให้ลมเย็นพักโกรกพากลิ่นหอมของธรรมชาติโชยมาแตะจมูก นั่งดูวิวกินลมไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงแล้ว เราคิดว่าช่วงเวลาที่เหมาะกว่าตอนเช้าก็คงจะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดินนี่แหละ ทุกอย่างข้างล่างคงจะทอแสงเป็นสีส้มทอง สวยมากแน่ ๆ ข้าง ๆ ยังมีโซนคาเฟ่ให้เราได้นั่งจิบกาแฟชมวิวไปด้วยได้เช่นกัน บอกเลยว่าเป็นท๊อปวิวที่อนาคตต้องเป็น IG Spot สุดฮอทแน่ ๆ เห็นทีเราต้องนำเทรนรีบถ่ายรีบลงก่อนแล้วล่ะ

จากนั้นก็ไปต่อที่ ปราสาทฮิโรชิม่า (Hiroshima Castle) ปราสาทแบบฉบับญี่ปุ่นที่เราเห็นได้แทบทุกเมือง แต่ที่นี่เขามีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร คือสีสันสุดเท่ เน้นสีดำ สลับน้ำตาลเหมือนสีของปลาคราฟ จนถูกเรียกอีกชื่อว่าปราสาทปลาคราฟ ในอดีตที่นี่เป็นแหล่งการค้าที่เจริญมาก ๆ ปราสาทแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าเช่นกัน ที่อื่นจะสร้างบนเนินสูง แต่ที่นี่กลับสร้างบนพื้นราบ ตัวปราสาทสูง 5 ชั้น มีคูน้ำล้อมรอบ สร้างขึ้นเมื่อสมัยเอโดะ ประมาณปี 1589 และแน่นอนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่ก็ถูกทำลายด้วยระเบิดปรมาณูจนเหลือแต่ฐานเช่นกัน ซึ่งภายหลังจากนั้น 13 ปีก็ได้มีการสร้างปราสาทนี่ขึ้นใหม่ทับฐานเดิมด้วยวัสดุดั้งเดิม โดยอิงจากภาพถ่ายให้คล้ายออริจินอลมากที่สุด โดยด้านในนั้นจะจัดแสดงสิ่งของสมัยโบราณ ทั้งชุดเกราะ มีด ดาบซามูไร จดหมาย หนังสือ และของใช้ต่าง ๆ และชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิว 360 องศา ให้เราเดินตรวจรอบเมืองได้แบบสบายตา เราจินตนาการไปว่าช่วงซากุระ หรือใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยเหมือนภาพวาดเป็นแน่ และในบริเวณใกล้ ๆ ปราสาทนี้ยังมีศาลเจ้าฮิโรชิม่าโกโคคุ (Hiroshima Gokoku Shrine) เป็นศาลเจ้าแบบชินโตที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1869 และถูกทำลายจากระเบิดไปพร้อมกับปราสาท ซึ่งทุกคนมาที่นี่เพื่อขอพรจากรูปปั้นปลาคราฟที่อยู่ภายใน เชื่อกันว่าลูบหัวรูปปั้นนี้ แล้วคำอธิษฐานจะสมหวังด้วยล่ะ

ปิดท้ายแบบกระเป๋าฉีกกันที่ ฮอนโดริ โชเทนไก (Hondori Shotengai) แหล่งชอปปิง Down town ของเมืองฮิโรชิมาเส้นยาว 2 กม. ที่เมื่อวานเรามาเดินดูไฟกันมาแล้ว แต่วันนี้เราจะทิ้งเวลาที่เหลือให้กับจุดนี้ทั้งวันเพื่อเก็บลิสของฝากเพื่อน ของแม่ฝากซื้อ ของสนองนีดตัวเองแบบครบจบที่เดียว เอาใจเพื่อนสายช้อปกันหน่อย บอกเลยว่าญี่ปุ่นเขาฮิตอะไร ถนนเส้นนี้มีหมดตั้งแบรนด์แฟชั่น เสื้อผ้า รองเท้า ครีมบำรุง เครื่องสำอางค์ และร้านอาหาร ทั้งราเมงข้อสอบ ชานมไข่มุก ดองกิ ยูนิโคล่ beams marimekko GU ฯลฯ และถึงแม้จะดูมีแต่สีสันแห่งโลกสมัยใหม่ แต่เขาก็มีร้านเก่าแก่ที่ยังเปิดแซมอยู่เหมือนกันนะ ร้านขายยาบางร้านเปิดยาวนานมาตั้งแต่ปี 1615 อะเธอ.. โบราณสถานชัด ๆ นี่แหละความวาไรตี้ของเมืองฮิโรชิม่า เก่าใหม่อยู่ด้วยกันได้แบบไม่ขัดตา แต่กลับน่ารักน่าอยู่มากกว่า

มีใครรู้สึกแบบเราบ้าง.. ว่ามาฮิโรชิมาที่เดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วญี่ปุ่นเลย ใครจะไปคิดว่าเมืองติดทะเลแบบนี้จะมีสกีให้เราได้เล่นแบบครบวงจร ใครจะไม่รู้ว่าหอยนางรมที่ชอบนักหนาในเซนไดจะหาทานได้จากที่นี่ แล้วยังโอโคโนมิยากิไฮไลต์ของโอซากาที่ที่นี่ก็มีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง  และความอร่อยก็ให้คะแนนเต็มสิบ ไม่แพ้ที่ไหน พร้อมกับที่เที่ยวมรกดโลก แบบบินมาทีเดียวก็เที่ยวได้ถึงสองที่ พร้อมศึกษาประวัติศาสตร์สุดสะพรึงอย่างใกล้ชิด บอกตรง ๆ ว่าเมื่อมาสัมผัสในสถานที่จริงแบบนี้มันสร้างอินเนอร์ และบรรยากาศที่แตกต่างจากห้องเรียนมาก ๆ ถ้าใครยังไม่เคยมาเราอยากแนะนำให้รีบ ๆ จองตั๋วตามเรามาไว ๆ ก่อนที่แหล่งท่องเที่ยวแบบนีจะหายไปตามกาลเวลานะ มาแบบประหยัดงบ ประหยัดเวลาก็จองนกแอร์แบบเรา และซื้อวันเดย์พาส เชื่อสิใช้ไม่เท่าไหร่ แต่สนุกไม่แพ้เที่ยวเมืองอื่นแน่นอน