ปลายปีนี้เราอยากชวนทุกคนออกเดินทางไปในที่ ๆ ท้องฟ้า และอากาศเป็นใจ พร้อมสาดลมเข้าหน้าแบบไม่หนาวเราไม่กลับ กับสถานที่ท่องเที่ยวที่จะทำให้ทุกคนได้ปลดปล่อยความเครียด เลี้ยงดูตัวเองด้วยความสุข ความชิค ความเท่แบบครบรส ในคอนเซ็ปท์เก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใคร ณ ประเทศเกาหลีใต้ กับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่เราจะพาเที่ยวยาว ๆ กันถึง 7 วัน ฉบับไม่มีโซลแต่รับรองว่าความโก้ไม่เคยลดลง โดยจะขอมุ่งหน้าบินตรงลงสู่จังหวันอินชอน อีกหนึ่งเมืองแห่งสีสันที่ครบครันทั้งที่กิน ที่เที่ยว ที่ช้อป ก่อนจะแวะไปเมืองป้อบ ๆ อย่าง Gungwon เมืองริมทะเลที่พกความน่ารักแบบไม่เบามาเหมาเอาใจของเราให้ตกหลุมรักได้ทั้งดวง หนึ่งสัปดาห์ของเราจะเด็ดดวงพวงมาลัยขนาดไหน ถ้าอยากรู้ก็ซ้อมพูด นานิ ซารังเฮ ที่แปลว่ารักมากมายแล้วตามมาเลยจ้า
ไป – กลับ เกาหลีรอบนี้ ทางเราเลือกบินกับ Thai AirAsia X เจ้าเดิม สายการบินโปรดในดวงใจ ที่ใคร ๆ ก็บินได้ กับเครื่องใหม่ลำใหญ่อย่าง Airbus A330 ที่นั่งสบายกว้างขวาง มั่นใจได้เลยว่าไม่มีเมื่อยตลอดเส้นทาง แถมมีให้เลือกบินตรงถึง 3 เที่ยวต่อวัน อยากบินสาย ๆ บินช่วงเย็น หรือจะถนัดบินดึกแล้วไปงีบบนเครื่องก็ดีงามทุกไฟลต์ ที่สำคัญยังมีแพคสุดคุ้มที่จะช่วยให้ประหยัดได้ถึง 20% แล้วจัดเต็มเปลี่ยนสายการบินสายการบินโลว์คอสต์ให้กลายเป็นฟูลเซอร์วิสในพริบตา เพราะแพคสุดคุ้มนี้แกจะได้ทั้งอาหารร้อน, น้ำหนักอีก 20 กิโลกรัม, ประกันอุบัติเหตุ รวมถึงเลือกที่นั่งได้สบาย ๆ คุ้มจุก!!!! ไปเกาหลีครั้งหน้าจองเถอะ www.airasia.com ไม่ผิดหวังแน่นอน
:: Day 1 ::
001 Ganghwa Seaside Resort
ทริปนี้เราขอเร่ิมต้นกันที่ Ganghwa Seaside Resort รีสอร์ทและตรีมปาร์คใน Incheon ที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะที่นี่เค้ามีกิจกรรมสนุก ๆ หลายอย่างให้เราเลือกทำ แต่ไฮไลท์หลักที่ห้ามพลาดคือการสาวเท้าไปนั่งกระเช้า Gondora ที่จะพาเราขึ้นไปสู่ยอดเขาอันเป็นจุดชมวิว 360 องศาของจังหวัดอินชอนแบบสวยจุก แล้วกลับลงมาด้านล่างด้วยรถ Luge เครื่องเล่นจากนิวซีแลนด์ที่มาฮิตไกลถึงเกาหลี ให้เราได้ขับขี่อย่างสนุกสนานวิ่งดิ่งลงเขาในระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร กับเส้นทางกลางหุบเขาที่ทำให้เราได้มองความเขียว แล่นเลี้ยวรถไปตามทางโค้งอย่างสดชื่นสบายใจ และปลอดภัยหายห่วง โอ้โห!!! นี่แค่กิจกรรมแรกนะ ไม่อยากจะคุยว่าทั้งทริปยังมีกิจกรรมอีกหลากหลาย และที่เที่ยวอีกมากมายรอเราอยู่
002 Sochang Experience Center
นอกจากความสนุกแบบหวาดเสียวแล้ว ที่เมือง Ganghwado แห่งนี้ก็ยังมีประวัติศาสตร์ และเรื่องราวในอดีตให้เราได้เดินทางย้อนเวลากันอีกด้วย เพราะก่อนที่จะกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดชิคขนาดนี้ ที่นี่คือแหล่งผลิตผ้าฝ้ายชั้นเยี่ยมของประเทศก่อน จากนั้นค่อยค่อยเปลี่ยนแปลงไปเพราะมีโรงงานใหญ่ ๆ และนวัตกรรมเข้ามาแทนที่ เราจึงแวะเข้าไปเยี่ยมชม Sochang Experience Center อดีตโรงงานทอผ้าแบบครัวเรือน ที่ปัจจุบันได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์การทอผ้าฝ้ายของเมืองนี้ และที่นี่ยังมีกิจกรรมเวิร์คช็อปให้เราได้ลองพิมพ์ลายลงบนผ้าฝ้ายตามแบบที่เราชอบอีกด้วย
ก่อนจะตบท้ายเวิร์คช็อปด้วยการเสิร์ฟชาหอม ๆ อุ่น ๆ ให้เราได้จิบคลายหนาว จนกลายเป็นเรื่องราวความน่ารักที่น่าประทับใจ บอกเลยว่าใครที่ชอบงานคราฟท์ที่นี่ก็ถือว่าน่าแวะมาเช็คอินอีกแห่งหนึ่งเลยนะ
003 Joyangbangjik Café
ชาวคาเฟ่ฮอปเปอร์ตัวจริงแบบเรา หากจะจบวันไปแบบไม่ได้รับคาเฟ่อีนซักหยด คืนนี้มีหวังนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเหมือนไข้จะรับประทานเป็นแน่แท้ เราจึงขอแวะไปที่ Joyangbangjik Café คาเฟ่ที่ได้เปลี่ยนโฉมโรงงานผลิตผ้าขนาดใหญ่เมื่อครั้งอดีตให้กลายเป็นคาเฟ่สไตล์ลอฟท์ที่ชิคเก๋ จากของสะสมแนววินเทจที่ถูกประดับประดาประเดประดังมาตั้งรวมกันจนเกิดเป็นความแหวกแนว ดิบ เก๋ เท่ เถื่อน มีสไตล์อย่างหาตัวจับยาก สมแล้วกับที่เป็นประเทศที่มีความเติบโตทางคาเฟ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
:: Day 2 ::
004 Incheon Chinatown
เช้าวันที่สองเราก็ยังคงอยู่กันที่จังหวัดอินชอน แต่ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากแดนโสมไปสู่แดนมังกรในพริบตา ณ Incheon Chinatown ย่านที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส และเนืองแน่นไปด้วยอาหารตลอดสองข้างทางตามประสาพี่จีนเค้านั่นล่ะ ไชน่าทาวน์ของที่นี่แม้จะไม่ได้อลังการเท่ากับเยาวราชของบ้านเรา แต่ก็มีมุมซุ้มประตูมังกร มุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ที่ทำให้ลืมความเป็นเกาหลีไปได้เลย และหากแกมาที่นี่ก็จะได้เห็นอาหารหน้าตาแปลก ๆ ที่ต่างจากอาหารจีนในบ้านเราอยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนม ไอศครีม และร้านสตรอว์เบอร์รีชุบน้ำตาลที่มีขายค่อนข้างเยอะ และโดดเด่นในย่านนี้ ใครสายหวานปักอินซูลินรอเลยแล้วกัน
005 Fairytale Street
สับขาสลับกับถ่ายรูป… ถัดมาจากไชน่าทาวน์เพียงสองสามซอยเราก็จะเจอกับ Fairytale Street อีกหนึ่งย่านที่แสนจะสดใส ถนนที่ถูกเนรมิตให้เต็มไปด้วยตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารัก ให้มารวมตัวกันสมชื่อกับถนนสายนิทานนางฟ้าแบบสุด ๆ มุมนี้ต่อให้แกเป็นสายดาร์คก็ยังต้องเผลอร้องว้าวออกมาอย่างแน่นอน ก็เค้าจัดมาครบทั้งแม่สีอย่างเขียว เหลือง ม่วง แดง และสีพลาสเทลที่น่ารัก ๆ อีกหลายสี จนกลายเป็นสตรีทอาร์ตที่คัลเลอร์ฟูลมาก ๆ เลยล่ะ เอาเป็นว่าถ้าย่านนี้ไปแข่งบอลลูนสีคงไม่มีใครชนะย่านนี้ได้อีกแล้วแก
006 Wol Mi Island
สะบัดกระโปรงที่หวานใสออกจากแฟร์รี่เทลสตรีท แล้วมาเดินเล่นกันต่อที่ Wol Mi Island ท่าเรือขนาดใหญ่ แหล่งรวมผู้คนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่น คนทำงาน จนถึงผู้สูงอายุ เพราะที่นี่มีทั้งลานกว้างขนาดใหญ่ให้ทำกิจกรรมได้ตลอดแนวฝั่ง ทั้งการประกวดร้องเพลง การแสดง การเต้น ตกปลา ปิกนิก ฯลฯ ให้เราได้เห็นระหว่างเดินทอดน่องในบรรยากาศที่คึกคัก สมกับเป็นพื้นที่ส่วนกลางในย่านชุมชน หรือจะเป็นสวนสนุกขนาดย่อม หรือแม้แต่รถไฟลอยฟ้าที่ขบวนหนึ่งมีแค่สองโบกี้สำหรับนั่งชมวิวทะเลก็ยังมี เรียกว่าเป็นจุดเช็คอินของชาวท้องถิ่นที่คึกคักทั้งในยามเช้า กลางวัน และในยามเย็นก็ว่าได้
สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเกาหลีกันพอหอมปากหอมคอ เราก็ขอเข้าไปหาทานมื้อกลางวันในร้านอูด้งซีฟู้ดชื่อดัง ให้สมกับการมาเที่ยวเมืองท่า งานนี้จึงขอจัดหนักกับหม้ออูด้งขนาดใหญ่ที่ใส่ครบทั้งปู กุ้ง หอยต้มร้อน ๆ รสละมุน ได้กลิ่นของท้องทะเลอย่างชัดเจน ทานคู่กับกิมจิในอากาศเย็น ๆ แบบนี้ กินไปเม้าท์มอยหอยกาบเรื่องราวระหว่างวันไปถือว่าเข้ากันได้ดีแบบไม่มีผิดหวังมากจ้าพี่จ๋า
007 Open Port Street
Open Port Street ท่าเรือเก่าแก่ที่เคยเป็นโกดังรับส่งสินค้าของบริษัทญี่ปุ่น ตึกรามบ้านช่องในย่านนี้จึงมีความแตกต่างจากที่อื่น คือมีความคิ้วท์ ๆ มินิมอลสไตล์ญี่ปุ่นผสมผสานกับความเป็นตะวันตก ที่ส่วนมากเป็นอาคารอิฐสีแดงเข้มเรียงต่อกันหลาย ๆ หลัง ทำให้ที่นี่เป็นเกาหลีในมุมที่แตกต่างออกไปจากที่อื่นค่อนข้างมาก จนเกือบจะลืมภาพเกาหลีที่เราเห็นจนคุ้นตาไปเลย จึงไม่แปลกที่ซีรีย์เรื่องดังหลาย ๆ เรื่องก็ยังมาถ่ายทำที่นี่ แล้วเมคว่ามันเป็นโลเคชั่นในแถบยุโรปแทน แล้วชาวมโนอย่างเรามีหรอจะไม่รับบทเป็นชาวเอเชียผมดำขลับ ตาชั้นเดียว มาเดินเฟี้ยวฟ้าว โดยมีปาปารัสซีซึ่งก็คือเพื่อนของเราคอยถ่ายรูปให้จนเมื่อยนิ้ว เก็บภาพไว้ลงเป็นไอจีสตอรี่กันแบบรัว ๆ
008 Multi Complex
ปิดท้ายวันนี้กันที่ Multi Complex ที่คอมเพล็กซ์สมชื่อ เพราะนี่คือรีสอร์ท และศูนย์รวมความเอนเตอร์เทนเนอร์ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคาสิโน ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร แม้กระทั่งสวนสนุกก็ยังมี แต่ไฮไลท์ที่ดีเก๋กู้ดเหมาะแก่การไปยืนถ่ายภาพสวย ๆ ก็คือหน้าตึกสองสีที่มุมหนึ่งเป็นสีทอง และอีกมุมหนึ่งเป็นสีขาว ที่ด้านหน้าเค้าทำเป็นลักษณะเหมือนว่าทางเข้ามันย่น ๆ คล้ายกับผืนผ้าที่ถูกเปิดขึ้น มีความนุ่มนวลเหมือนกับผ้าจริง ๆ มากกว่าปูนเสียอีก จนเราต้องขอยกนิ้วให้สถาปนิกไปสามที่ เพราะขนาดคนไม่มีความรู้ทางด้านการออกแบบอย่างเรายังรู้เลยว่ามันคงไม่ง่ายที่จะทำแบบนี้ได้
ส่วนในโซนของสวนสนุก WONDERBOX ที่เพิ่งเปิดไม่นานนี้ คือสวนสนุกในร่มที่มีเครื่องเล่นหลากหลาย ตั้งแต่เครื่องที่เหมาะสำหรับเด็กน้อยใส ๆ ฟรุ้งฟริ้งพอเรียกเสียงหัวเราะได้แบบงาม ๆ กับเครื่องเล่นที่ชวนเสียวไส้จนต้องร้องกรี๊ดเปิดปากโชว์ฟัน 32 ซี่ ใครไม่รู้จะไปไหนเราเชื่อว่าที่นี่สามารถให้แกใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวันแบบไม่มีเบื่อเลย
:: Day 3 ::
เช้าวันที่สามนี้เราเดินทางออกจากอินชอน เพื่อเดินทางไปยัง Gangwon จังหวัดที่เราจะใช้เวลาห้าวันที่เหลือเที่ยวที่นี่แบบเจาะลึกให้ทั่วจนฉ่ำใจ เพราะนี่คือจังหวัดติดทะเล มีสภาพแวดล้อมเป็นภูเขา และที่ราบสูง มันจึงมีทิวทัศน์สวยงาม และเป็นจังหวัดตากอากาศหลักของชาวเกาหลีใต้ ที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเด็ด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสกีรีสอร์ท เกาะนามิ อุทยานแห่งชาติ รวมไปถึงพื้นที่ชายแดนเขตปลอดทหารของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ให้เราได้ลัดเลาะกันแบบไม่มีเบื่อ แต่เราจะขอไปเริ่มต้นกัน ณ เมือง Chuncheon ที่ Foreign Tourist Taxi เพื่อใช้บริการเช่ารถแท็กซี่พร้อมคนขับที่สนนราคา Package 3 ชั่วโมง 20,000 วอน สามารถนั่งได้สี่คน โดยจะมีคนขับที่พูดภาษาอังกฤษไปกับเราด้วยตลอดทุกที่ โดยเราสามารถจองคิว และใช้บริการได้ที่ Chuncheon Station ตั้งแต่เวลา 9.00 AM – 5.30 PM อะ ฟังมาถึงท่อนนี้แกอาจจะรู้สึกว่ามันลำบาก แต่เราบอกเลยว่ามันไม่ยากเลยสักนิด ลองดู!!!!!
009 Soyanggang Skywalk
เลือก Package เป็นที่เรียบร้อย ทางเราก็มุ่งหน้าไปยัง Soyanggang Skywalk สะพานข้ามทะเลสาบเอียมโฮ ที่มีความดีเด็ดจนเข็ดฟัน ตรงที่สะพานโซยังกังแห่งนี้เป็นสะพานกระจกใสที่มีความยาวถึง 156 เมตร เรียกได้ว่ายาวที่สุดในประเทศเกาหลีเลย ทำให้ตลอดระยะทางที่เรากำลังอยู่บนสะพานแห่งนี้สามารถชมวิวของทะเลสาบได้แบบ 360 องศา จะเดินเล่นก็ดีต่อใจ จะถ่ายรูปก็เก๋ไก๋ชิคสุดอะไรสุด รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระมากกว่าการข้ามสะพานแบบเดิม ๆ อยู่หลายเท่า ส่วนใครที่กลัวความสูงก็คงมีอาการเขาอ่อนกันพอสมควรอยู่เหมือนกัน
010 Organic Café
และแล้วก็ได้เวลาที่จะโหลดคาเฟ่อีนเข้าเส้นเลือด เราจึงเดินทางต่อไปยัง Organic Café คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ความแจ่ม ไม่เล็กตามสถานที่ เพราะในคาเฟ่แห่งนี้มีทุ่งหญ้าสีชมพู (Pink Muhly) อยู่ด้วย เป็นความสวยที่ทำให้มีคนมารอต่อคิวกันเยอะมาก ๆ แต่ก็โชคดีที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้มีขนาดใหญ่พอที่เราจะสามารถปรับเป็นมุมช้อน กดเป็นมุมเงยเสยไปทางขวาแล้วหลบผู้คนให้ดูเหมือนว่าเราครองที่นี่อยู่แต่เพียงผู้เดียวได้อยู่ ออ และนอกจากวิวจะดีแล้ว เครื่องดื่มของที่นี่ก็เป็นสไตล์โฮมเมด รสชาติดี เหมาะแก่การเอาไว้ดื่มหลังวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าสีชมพู หามุมถ่ายรูป และอัพไอจีเป็นที่เรียบร้อยที่สุด
011 Soyanggang Dam & Cheongpyeongsa Temple
จิบกาแฟจนมีเรี่ยว ก็ได้เวลาไปต่อกันที่ Soyanggang Dam เขื่อนขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกั้นแม่น้ำ Soyang และป้องกันสินามิในปี 1973 โดยจากสันเขื่อนเราสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำที่ใสสะอาด และภูเขาที่เต็มแน่นไปด้วยต้นไม้สีเขียว จุดนี้เราสามารถยืนกินลมชมวิวแบบชิว ๆ แต่ถ้าหากใครอยากชิวเพิ่มมากขึ้นก็สามารถลงเรือนั่งชมเขื่อนเป็นเวลา 20 นาที เพื่อไปสัมผัสสายน้ำชมคลื่นเล็ก ๆ ที่เข้ากระทบเรือ ก่อนไปหยุดยังท่า Cheongpyeongsa วัดโบราณประจำเมืองที่เราต้องเดินจากท่าไปอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร
และสำหรับวันนี้ที่ใช้พลังงานไปมากกว่าที่คิด เราเลือกทานเมนูสุดฮิตอย่าง Dakgalbi หรือไก่ผัดซอส เพราะเมืองนี้คือต้นกำเนิดของเมนูที่ดังถล่มทลายนี้นี่เอง โดยเราสามารถหาทานได้จากหลาย 10 ร้าน ที่ละลานตาอยู่ทั่วทั้งท้องถนน ดังนั้นถูกชะตาร้านไหนก็เดินเข้าไปลองชิมได้เลย เพราะเราเชื่อว่านี่คือความอร่อยแบบต้นฉบับ และน่าจะถูกปากคนไทยที่ชอบรสชาติหวานเผ็ดอย่างแน่นอน
:: Day 4 ::
012 Alpaca World
วันที่สี่เราจะขอทอดกายเที่ยวให้สบายกับธรรมชาติที่สวยงามในเมือง Hongcheon (ฮองชอน) โดยจะไปเริ่มต้นกันแบบน่ารักน่าชังเสียงสองเสียงสามกันที่ Alpaca World สวนสัตว์เปิดขนาดใหญ่ที่เราสามารถเข้าไปเดินเล่นเดินจริง ชวิ่งเล่นวิ่งจริงกันได้ ในบรรยากาศสุดร่มรื่น ท่ามกลางภูเขาที่ห้อมล้อม และต้นไม้ใบหญ้าที่ปล่อยออกซิเจนออกมาให้เราได้สูดอากาศกันอย่างเต็มปอด หรือจะนั่งรถรางชมวิวธรรมชาติพร้อม ๆ กับให้อาหาร และแวะถ่ายรูปคู่กับเจ้าอัลปาก้าหน้ายาวสีดำ ขาว น้ำตาล ไฮไลท์ของที่นี่ ก็ใส ๆ สไตล์ลูกคุณหนูดีนะ
013 Hongcheon Ginkgo Tree Fores
ล้างมือล้างไม้หลังถ่ายรูปกับน้องอัลปาก้าเป็นที่เรียบร้อย เราก็ตรงไปยัง Hongcheon Ginkgo Tree Fores สวนป่าต้นแปะก๊วยที่ตอนนี้ได้เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองสวยงาม แบบสวยมากจริงแก สวยจนอยากจะเอากลับไปปลูกที่บ้านไว้ดูยามเหงา แต่เราก็ทำได้เพียงแค่โพสท่าถ่ายรูปคู่ไว้เป็นที่ระลึกให้ใจเต้นตึกยามย้อนกลับมาดู งานนี้ทีแต่คนร้องอู้หูว และกดถ่ายรูปกันรัว ๆ ไม่กลัวชัตเตอร์พัง ก็ความสวยเว่อร์วังแบบนี้มันไม่ได้มีบ่อย ๆ อยู่แล้วใช่ป่ะล้า
014 Bibimbap Workshop
นอกจากคาเฟ่เก๋ ความสวยงามของธรรมชาติ ที่เราต้องขอยกนิ้วให้แล้ว ก็มีเรื่องอาหารเกาหลีนี่แหละ ที่ถูกปากคนไทยสายรับประทานแบบจัดหนักแทบจะทุกเมนูอย่างเราเป็นที่สุด วันนี้เราเลยพาตัวเองมาลองทำเมนู Bibimbap หรือข้าวยำเกาหลี ที่เค้าเอาข้าวมาผสมกับเครื่องเคียงจำพวกผัก และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ก่อนจะปั้นเป็นก้อนแล้วห่อด้วยสาหร่ายอีกทีนึง ครั้งนี้จึงเป็นการลองทำเมนูสุดโปรดของเราด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก และผลออกมาก็คืออร่อยว้าว ก็แหงนล่ะเค้าผสมให้ทุกขั้นตอนขนาดนี้ หน้าที่ของเรามีแค่ขยำรวมแล้วก็ทำเป็นก้อนก่อนเอาเข้าปากเท่านั้นเอง ถ้าไม่อร่อยก็ไม่รู้จะโทษใครแล้วแม่
:: Day 5 ::
015 Yongpyong Resort
เช้าวันที่ห้าเราเปลี่ยนบรรยากาศกันอีกครั้ง เพราะเมื่อวานหลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารรสเลิศ เราก็ย้ายมาพักกันที่เมือง Pyeongchang ณ สกีรีสอร์ทชื่อดังของเกาหลีนามว่า Yongpyong Resort จากอากาศที่เย็นอยู่แล้วในวันอื่น ๆ ก็เย็นมากยิ่งขึ้นอีก จนเรารู้สึกถึงความสดชื่นได้ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นที่บนเตียง แล้วหลังจากทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย เราก็สับขาเดินไปขึ้นกระเช้าระยะทาง 7.4 กิโลเมตร เพื่อไปนั่งทำหน้าสวย ๆ ฟิวหมวย ๆ ชมวิวลานสกีสีเขียวขนาดใหญ่ ที่รอเปลี่ยนเป็นสีขาวในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะโปรยปราย
016 PyeongChang Olympic Stadium
ที่นี่นอกจากจะโดดเด่นเรื่องสกีแล้ว เขาก็ยังเคยเป็นเมืองเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวพย็องชัง ในปี 2018 ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนี้ยังคงมีสัญลักษณ์ของโอลิมปิกให้เราได้เห็นกันอยู่ เราก็เลยขอเดินเข้าไปเช็คอินกันที่ PyeongChang Olympic Stadium เพื่อลองเล่น Curling Game หนึ่งในกีฬาฤดูหนาวประเภททีมที่แข่งกันบนลานน้ำแข็ง โดยมีอุปกรณ์คือไม้ด้ามยาว และตัวลูกหิน ที่มีกติกาก็ไม่ยาก เพียงแค่ทีมไหนทำให้ลูกหินไปตามจุดที่นับคะแนนได้เยอะกว่าก็ถือว่าชนะไป ใช่แก กติกามันไม่ยากแต่การเล่นน่ะมันคนละเรื่อง แต่ถ้าถามเรามันก็สนุกอยู่นะกับการได้ลองอะไรใหม่ ๆ ในที่ใหม่ ๆ คือเป็นการกระตุ้นแพชชั่นในชีวิตที่ดีทีเดียวเลยล่ะ
017 Jungang Market @Wolhwa Street
จากนั้นเราก็มาเที่ยวกันต่อที่ Jungang Market @Wolhwa Street ตลาดเก่าแก่ของเมือง Gangneung (คังนึง) ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1980 บนถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่จะขายของกินที่เป็นแนวโลคอลแท้ ๆ จำพวกไก่ทอดซอสเผ็ด ซอสกระเทียม ต๊อกบกกี ของย่าง ของทอด ของต้มแบบพื้นเมือง แล้วก็ขนมทั่ว ๆ ไป แต่ที่อเมซิ่งสุด ๆ สำหรับเราคือเมนูไก่ทอดซอสเผ็ดนี่ล่ะแม่ ด้วยความที่มั่นหน้าว่าตัวเองมาจากประเทศที่มีพริกขี้หนูสวน พริกชี้ฟ้า พริกกระเหรี่ยง พริกแห้ง และพริกอีกหลากชนิด ก็มั่นว่าชั้นหน่ะเผ็ดสุดในเอเชียอาคเนย์แน่นอน เวลาสั่งไก่เผ็ดก็กดความเผ็ดระดับสูงสุดมาเลยจ้า พอเค้าถามก็ตอบเชิด ๆ ว่าทานได้ 555 พอกัดคำแรกเท่านั้นแหล่ะ โอ้โหแม่!!! เผ็ดขึ้นหู ขึ้นหัวจนคันยิบ ๆ ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ แต่ยังต้องเกร็งหน้าราวกับแบกชื่อเสียงของคนทั้งประเทศเอาไว้ เพราะฉะนั้นใครสั่งไก่เผ็ดแนะนำเลเวลกลาง ๆ ไปก่อนนะ ถ้าไม่สะใจค่อยลองเพิ่มไม่งั้นมีลิ้นพังแบบเราจะหาว่าไม่เตือนเด้อ
018 Jumunjin beach
จากตลาดเรามาเที่ยวกันต่อที่ริมชายหาด Jumunjin beach ณ BTS Bus Stop โดยขอตามรอยหนุ่ม ๆ วง BTS มายังสถานที่ถ่ายหน้าปกของอัลบั้ม “You Never Walk Alone” ที่ถ่ายทำกันที่หาดจูมุนจิน (Jumunjin Beach) เมืองคังนึงแห่งนี้ ซึ่งมันก็ฮอตฮิตจนทำให้ตรงนี้มีป้ายรถเมล์ชื่อว่า “You Never Walk Alone Bus Stop” ตั้งไว้ให้เหล่าสาวกมาตามรอย เรียกได้ว่าเป็นป้ายรถเมล์ชื่อดังที่กลายเป็นที่ท่องเที่ยวไปแล้วก็ว่าได้
ตามจุดที่สองกับซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง Goblin มาที่ Jumunjin Breakwater แนวกั้นกันน้ำทะเลที่หาดยองจิน ที่นี่คือมุมถ่ายทำฉากที่นางเอกเจอกับพระเอกอยู่หลายครั้ง และเช่นเคยตอนนี้มันได้กลายเป็นสถานที่ถ่ายรูปยอดฮิตที่คู่รักวัยรุ่นนิยมมายืนยื่นช่อดอกไม้ให้กัน ซึ่งแน่นอนถ้าใครไม่ได้เตรียมพร็อพถ่ายรูปมา แถวนี้ก็มีร้านให้เช่าแบบจัดเต็มได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างเช่นผ้าพันคอสีแดง และช่อดอกไม้ของนางเอกนี่ถือว่าขาดไม่ได้เลยนาจา
:: Day 6 ::
019 Gangneung Ojuk Hanok Village
เข้าวันนี้เราตื่นขึ้นมาในฟีลฮวางฮู ณ Gangneung Ojuk Hanok Village ในเมือง Gangneung แต่งหน้าแต่งตา ทานอาหารให้อิ่มหนำ จากนั้นก็สลัดคราบสาว 2019 แล้วย้อนยุคกลับไปใส่ฮันบกแบบจัดเต็มในธีมราชวงศ์เกาหลีที่มีแดจังกึมเป็นแม่ครัว ซึ่งมันก็เป็นบริการของทางที่พักที่จัดให้แมทช์กับบรรยากาศบ้านเรือนสไตล์เกาหลีโบราณ เช้าวันนี้พระมเหสีเสด็จแล้วจ้าาาาา
020 Anmok Coffee Street
หลังจากถ่ายรูปกับชุดฮันบกกันอย่างเต็มที่แล้ว เราก็เปลี่ยนชุดใหม่พร้อมไปต่อกันที่ Anmok Coffee Street ถนนริมชายหาด Anmok ที่เต็มไปด้ายคาเฟ่ บางร้านก็รู้ใจนักท่องเที่ยวสายถ่ายภาพด้วยการมีให้เช่าพร็อพสำหรับไปปิกนิกริมชายหาด คนที่เดินทางมาไกลแบบเราบอกเลยว่าเลิฟมากในจุดนี้ ซึ่งถ้าแกมีเวลาก็คืออยู่ได้ทั้งวันเลยนะ เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ นอนปิกนิก อ่านหนังสืออัพสกิลการอ่านให้เกิน 8 บรรทัด ฯลฯ ส่วนคนมีเวลาน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดแบบเรา เลือกมานั่งกันที่ LONGBREAD คาเฟ่สามชั้น ที่มีความเก๋ตั้งแต่หน้าตึกจนอยากจะร้องเพลงยอมตั้งแต่หน้าประตูตอนเดินเข้า เพราะมันสวยจริงไม่อิงนิยาย
ส่วนอาหารก็มีมากมายให้เลือก ทั้งคาว ทั้งหวาน ทั้งเครื่องดื่มร้อนเย็น แต่ที่แนะนำว่าควรสั่งคือเมนูแซนด์วิช ไม่ว่าจะไก่ หมู ทูน่า อร่อยทุกอย่าง ย่ิงสั่งมาทานคู่โกโก้เย็น ๆ เข้ม ๆ สักแก้วคือเพอร์เฟค เดย์แล้วแม่ แต่ก็ยังเฟอร์เฟคได้อีก ด้วยการพาหน้าสวย ๆ กับชุดเลิศ ๆ ไปเดินเชิดฉายถ่ายรูปกันบนชั้น 3 ที่เปนโซนเอาท์ดอร์มีระเบียงกับที่นั่งแบบเห็นวิวทะเลคือดีงามมากกกก ถ่ายรูปออกมาแล้วสวย ปัง
021 Jung Eun Sook Chodang Sundubu
อีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อของเมือง Gangneung ก็คือเต้าหู้ กลางวันนี้เราเลยไม่พลาดกับร้าน Jung Eun Sook Chodang Sundubu เพื่อมาลิ้มลองซุปเต้าหู้ร้อน ๆ ที่รสเหมือนแกงจืด แต่มีรสชาติแบบเกาหลี คือเหมือนเค้าใส่กิมจิไปด้วยมั้ง (อันนี้เดาแบบไม่อยู่บนพื้นฐานอะไรเลยนอกจากอารมณ์) ซึ่งมันอร่อยดี ตามสไตล์เมนูเต้าหู้อ่ะแก นิ่ม ๆ นวล ๆ กินกับเครื่องเคียงอีกหลายสิบอย่างก็คือฟินเลยอ่ะ
022 Soon Tofu Gelato
พออิ่มจากซุปเต้าหู้ เราก็มากินไอศกรีมกันต่อที่ร้าน Soon Tofu Gelato และแน่นอนว่าเมื่อเต้าหู้เป็นของดีของเด็ดเมืองนี้ ไอศกรีมที่เราได้กินนั้นก็คือ ไอศกรีมเต้าหู้นั่นเองจ้า 55555 ตอนก่อนกินก็นึกรสชาติไม่ออกว่าจะเป็นยังไง พอได้ลอง เราก็ว่ามันโอเคนะ มีความละมุน กินได้เพลิน ๆ ดี
023 Sea Train
พุงพร้อม พลังงานมาเต็มแม็กซ์ เราก็ออกเดินทางอีกครั้ง ขอบอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกกับประสบการณ์แบบนี้และมันก็ดี๊ดีเราช๊อบชอบมากเลยนะบอกเลย ซึ่งจริง ๆ มันเป็นอะไรที่ดูเรียบง่ายนะ แค่การนั่งรถไฟชมวิว แต่รถไฟสาย Sea Train ที่แล่นจากเมือง Gangneung ถึงเมือง Samcheok รวมระยะทาง 58 กิโลเมตร และใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาทีนี้ มันดีเด่นกว่ารถไฟขบวนอื่น ๆ ตรงที่ที่นั่งเค้าจะหันหน้าออกนอกตัวรถ ทำให้เราสามารถชมวิวสองข้างทางผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ๆ ได้แบบเพลิน ๆ ซึ่งเส้นทางที่รถไฟขบวนนี้วิ่งก็ไม่ธรรมดาด้วยนะ เพราะมันวิ่งเลียบไปตามชายฝั่งทะเลตะวันออกที่มีหาดทรายขาว และทิวทัศน์สุดโรมแมนติค คือมองเพลินมาก ไม่มีจังหวะอยากงีบหรือน่าเบื่อเลย
024 Nongoldam Gil
เรานั่ง Sea Train มาลงที่สถานที่ Mukho (นั่งมาประมาณ 40 นาที) เพื่อมาเที่ยวต่อกันที่ Nongoldamgil หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่มีรูปวาดบนฝาผนังบ้านยาวตั้งแต่บริเวณท่าเรือขึ้นเนินไปจนถึงบริเวณประภาคาร ทำให้มันดึงดูดนักท่องเที่ยวมาได้จากทั่วสารทิศเลยล่ะ ซึ่งแต่เดิมที่นี่คึกคักไปด้วยชาวประมงหลายหมื่นคน ก่อนจะเงียบเหงาเพราะแหล่งจับปลาเริ่มหมดไป ทำให้ชาวบ้านส่วนมากย้ายถิ่นฐานไปหากินที่อื่น เหลือไว้เพียงชาวบ้านไม่กี่พันคน จนรัฐบาลของเกาหลีเค้าปิ๊งไอเดียแปลงโฉมความเหงาให้กลายเป็นความสดใส ด้วยการนำศิลปินมาวาดรูปร่วมกับชาวบ้านจนออกมาสวยเก๋น่ารักน่าชังอย่างที่เห็น มันจึงกลับมาคึกคักแบบไร้กลิ่นคาวปลาอย่างในปัจจุบันนี่ล่ะจ้า
025 Jeongdongjin Rail Bike
ถ่ายรูปจนเวียนหัวเลยขอตัวมานั่งพักกันในที่เที่ยวต่อไปที่ Jeongdongjin Rail Bike เพื่อรับลมเย็น ๆให้ชื่นใจ โดยเจ้า Rail Bike ของเมืองจะมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ Jeongdongjin (ห่างจากสถานี Mukho สถานีเดียว) ซึ่งเจ้า Rail Bike เนี่ย เรารู้สึกว่ามันคล้าย ๆ กับจักรยานผสมรถรางเหมือนกันนะ เพราะการที่มันจะเคลื่อนไปข้างหน้าต้องอาศัยทั้งแรงขับเคลื่อนของราง และแรงปั่นของตัวเราเองด้วย อ้อ มันเหมือนอีกอย่างคือเรือเป็ดแตกต่างกันแค่เราขึ้นมาถีบอยู่บนราง โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งแบบสองคนสนนราคา 20,000 วอน หรือนั่งแบบสี่คนสนนราคา 30,000 วอน วิวข้างทางที่เป็นริมหาดถือว่าสวยงามได้ความชิว และได้รูปพอสมควรเลยล่ะ
:: Day 7 ::
026 Goseong Unification Observatory
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกแต่ความคิดถึงปลาร้าส้มตำเป็นเรื่องจริง วันสุดท้ายของทริปเรามาเริ่มเที่ยวกันที่เมืองที่มีชายแดนติดกับประเทศเกาหลีเหนือ เพื่อขึ้นไปยังหอสังเกตการณ์โกซอง Goseong Unification Observatory พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ตั้งแต่สมัยที่ยังเคยอยู่ร่วมกันจนถึงในปัจจุบัน และยังมีจุดชมวิวที่อยู่ใกล้กับเกาหลีเหนือทางตอนเหนือมากที่สุดอยู่ด้วย ทำให้ในบางวันเราจะเห็นว่ามีชาวเกาหลีใต้สูงอายุหลายคนที่ต้องพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่ และพลัดพรากจากญาติมิตร ตั้งแต่ยุคสงครามเกาหลีกลับมาเพื่อยืนมองบ้านเกิดของตัวเองจากระยะไกล ส่วนด้านหน้าทางเข้าก็มีสวนสาธารณะที่สร้างขึ้นไว้สำหรับให้นักเที่ยวได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันที่ริมชายหาดด้วย
027 Bidan Wooyoucha Milk Cafe
และเพราะว่าเรายังอยู่ในเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเต้าหู้ เราจึงยังไม่จบความสัมพันธ์กับถั่วเหลืองแปรรูปได้ง่าย ๆ บ่ายแบบนี้เราจึงมาอยู่กันที่ Bidan Wooyoucha Milk Cafe สถานที่ทำน้ำเต้าหู้แบบโฮมเมคที่อยู่แบบลับ ๆ บนชั้นสองของตึกเก่า ๆ ที่เราสามารถสังเกตเห็นได้เพียงป้ายหน้าร้านที่เล๊กเล็ก ด้านในเน้นการตกแต่งแบบวินเทจ ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเค้าตั้งใจ หรือเค้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วกันแน่ แต่ก็ต้องขอยกนิ้วให้จริง ๆ กับเจ้าน้ำเต้าหู้ในขวดสีชาฉลากสีขาวแดง ที่รสชาติอร่อยกลมกล่อมกว่าที่คิด
028 Inje Birch Forest
และแล้วก็ก้าวเข้าสู่โลเคชั่นสุดท้ายที่เราจะแวะเช็คอิน Inje Birch Forest หรือป่าต้นเบิรช์ วอนแดรี หรือ อินเจ วอนแดรี ชาจั๊ก นามู ซพ ซึ่งเป็นป่าต้นเบิรช์ที่ถูกปลูกในช่วงปี 2517 ถึง 2538 จนมีมากถึง 690,000 ต้น ในพื้นที่ 138 เฮกตาร์ โดยที่นี่ได้แบ่งพื้นที่ใช้สอย 25 เฮกตาร์เป็นศูนย์การศึกษาป่า ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักเดินป่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่พื้นป่าสีเขียวอมเหลืองตรงหน้าเรานี้ จะถูกปลุกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ฮืออออ แค่คิดก็สวยจนอยากร้องไห้เลย เพราะขนาดช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ยังสวยไปอีกแบบ สวยมากกก สวยตาแตกขนาดนี้ หน้าหน้าครั้งหน้าคงพลาดไม่ได้
จบไปแบบจัดเต็ม จัดแน่น จุก ๆ สุขล้วน ๆ แล้วแกล่ะ หนาวนี้จะหนีไปเที่ยวไหน ถ้าคิดไม่ออกก็บินตรงมาลงตามเราได้นะ แล้วจะได้รู้ว่าเกาหลีที่ไม่มีโซลก็ยังมีดีทั้งที่กิน ที่เที่ยวอีกหลายแห่ง กับกิจกรรมที่หลากหลายวาไรตี้ที่ดี๊ดีไปทุกส่วน คราวนี้กลับมาเรื่องที่เซงเห็นจะเป็นไม่รู้จะลงรูปสวย ๆ ให้ครบ โดยเพื่อนไม่เบื่อได้ยังไง และต้องทำยังไงให้หยุดคิดถึงหมูย่าง กิมจิ ข้าวยำ เนื้อตุ๋น ฯลฯ ได้ยังไงดีนี่ล่ะสิ เอาล่ะ ออกเดินทางแทนการมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้ตัวเองกันได้แล้ว ไปจ้าาาา