วันหยุดทั้งทีไม่อยากจะนอนเหงาเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวอยู่ห้อง นั่งจ้องจอทั้งวัน แต่พอครั้นจะลุกออกจากเตียงฝ่าแดดเปรี้ยงสตาร์ทรถไปเที่ยวต่างจังหวัดก็หมดไฟ ถ้าเงื่อนไขเยอะขนาดนี้เราแนะนำให้พักผ่อนในกรุงเทพฯ แบบเฉี่ยว ๆ เดินทางง่าย เปลี่ยนบรรยากาศไปนอนหรูอยู่สบายในห้องวิวพาโนรามา ทาน Sunday Brunch ในธีมอาหารนานาชาติทั้งวันจนแคลฯ ขึ้น ดื่มด่ำท่ามกลางแสงไฟของเมืองหลวง และทำสปาผ่อนคลายกายใจไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทรีตเม้นท์ตัวเองแบบครบเซ็ตตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กับ 1 วัน 1 คืนแสนหรูหรา ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้ สามารถทำได้ครบจบที่ “Millennium Hilton Bangkok” โรงแรมสุดหรูระดับ 5 ดาว ริมโค้งน้ำเจ้าพระยา ที่จะมาเปลี่ยนวันธรรมดาให้สุขสันต์ เหมือนเป็นการมอบรางวัลปลายปีให้ตัวเองแบบแสนเก๋ เอาล่ะ ได้เวลาจัดชุดสุดเท่ ๆ จูงมือคนรู้ใจ แล้วไปพักผ่อนด้วยกันได้เลย
เริ่มต้นวันกันด้วยความชิว เดินตัวปลิวมาขึ้นเรือที่ท่าน้ำ เพราะ Millennium Hilton Bangkok เค้ามีบริการเรือรับ-ส่งแขกระหว่างท่าเรือสาทรและท่าเรือของโรงแรม ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่ 6:00-22:00 น. เพราะฉะนั้นแค่นั่ง BTS มาลงสถานีสะพานตากสิน ก็สามารถต่อเรือไม้สีเข้มที่มีที่นั่งบุหนังสีดำเข้มของโรงแรมที่จะพาเราเปลี่ยนบรรยากาศจากสาวชาวกรุงฯ ที่มุ่งไปไหนก็รถติด เป็นวิถีชีวิตลูกคุณหนูริมสายชลกับแบบสบาย ๆ ถือเป็นการเริ่มต้นวันแบบโก้เก๋ได้รูปเท่ ๆ ไว้เรียกยอดไลค์
นอกจากอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศในการพักผ่อนแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลหลักที่ทางเราเลือกพักกับที่นี่ก็เพราะอยากจะมาทาน Sunday Brunch ที่ห้องอาหาร Flow ห้องอาหารที่รวบรวมทุกเมนูเด็ดของโรงแรมมารวมไว้ในห้องเดียว ที่จัดว่าเด็ดทั้งคุณภาพอาหารที่สดใหม่ มีให้เลือกหลากหลาย รสชาติแบบหาตัวจับยาก ที่สำคัญวิวปังมากแม่ กินไปถ่ายรูปไปได้ยาว ๆ ถึง 5 ชั่วโมง ตั้งแต่ 11.00-16.00 น. เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็ม และพิเศษยิ่งกว่าใคร หากมาถึงตั้งแต่ 11 โมง ทางเราแนะนำให้เข้าใช้บริการ ThreeSixty เลานจ์สำหรับนั่งชมวิวและถ่ายรูปคู่กับโค้งน้ำเจ้าพระยาบนชั้น 32 แบบ 360 องศา ที่ควรค่าแก่การสั่งค็อกเทล ม็อกเทลมาจิบเล่นรองท้อง สร้างฟิลลิ่ง ก่อนเข้าไปสิงในห้องอาหารใหญ่ที่ด้านล่าง ส่วนราคาก็ตามนี้เลย ผู้ใหญ่ 2,200 บาท / เด็กอายุ 6-11 ปี 1,100 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ฟรีจ้าา ดูรายละเอียดเพิ่ม คลิกเลย หรือโทรสอบถามเพิ่มเติม 02-442-2000
ดื่มด่ำได้รูปจนพอใจ พอเที่ยงตรงเราก็ได้ฤกษ์ย้ายพุงลงมาจัดเต็มกันที่ห้องอาหาร FLOW ซึ่งอย่างที่บอกแล้วว่านี่คือห้องอาหารที่ได้รวบรวมเมนูเด็ดของทุกร้านอาหารในโรงแรมมาไว้ด้วยกัน ทั้งจากห้องอาหาร Prime Steakhouse, ห้องอาหารจีน Yuan และร้านคาเฟ่เบเกอรี่ The Lantern ล้วนยกของเด็ดของตัวเองมาเปิดไลน์บุฟเฟ่ให้ทานกันแบบไม่อั้น ด้านในจึงเต็มไปด้วย Station อาหารหน้าตาชวนน้ำลายสอให้เลือกกินจนตาลาย แต่เราขอแนะนำให้อดใจไว้ก่อน เดินดูให้ทั่ว หายใจลึก ๆ แล้วค่อยเริ่มจากสเตชั่นที่ใช่ไล่ไปให้ครบทุกสิ่งที่ต้องการกิน ก่อนไปจบที่เมนูอยากลอง และปิดจ๊อบด้วยของหวานกับผลไม้ล้างปาก
มา ๆ จูงมือกันมาดูที่โซนแรกกับ Seafood Station ที่มีจุดเด่นคือหอยนางรมสดส่งตรงมาจากฝรั่งเศสถึง 4 สายพันธุ์ นอนเรียงรายให้เลือกกันแบบขาวอวบบนภูเขาน้ำแข็งและเครื่องเคียงสไตล์ไทย ๆ ทั้งพริกเผา กระถิน หอมเจียว กระเทียม น้ำจิ้มซีฟู้ดสุดแซ่บ แม้แต่น้ำส้มสายชู หรือเลม่อนแบบฝรั่งก็มีให้เลือกแบบเน้น ๆ นอกจากนี้ยังมีกุ้งและปูสีส้มตาใส ให้เลือกทานกันแบบครบเครื่องเรื่องซีฟู้ดมากเวอร์ ส่วนใครสายชิวจะหยิบไวน์ขาวสักแก้วมาแกล้มกับซีฟู้ดออนไอซ์ก็น่าจะโดนใจมิใช่น้อย
ท่องยุบหนอพองหนอเดินไปชมต่อที่ Foie Gras Station สเตชั่นตับห่านชิ้นโตที่เชฟมายืนปรุงให้เราได้ทานกันแบบร้อน ๆ ควันฉุย ๆ ในสไตล์และการปรุงรสที่มีเอกลักษณ์ เลยทำให้ตับห่านของที่นี่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติหอม นุ่ม ชุ่ม ฉ่ำ แตกต่างจากที่อื่นที่เราเคยลองมา อันนี้เลิฟมากแม่
อาหารก็เหมือนศิลปะ ที่แต่ละเมนูก็เปรียบเหมือนผลงานที่ถูกรังสรรค์ด้วยศิลปินอย่างเซฟ เดินมาอีกนิดเราจึงได้เห็นสเตชั่น Tuna Cutting Show โชว์แล่เนื้อทูน่าครีบเหลืองให้เราชมกันแบบสด ๆ ชวนร้องว้าว เพราะทุกครั้งที่มีดสีเงินเล่มโตสันบางตัดผ่านส่วนต่าง ๆ ของปลา เราสัมผัสได้ถึงความคมของมีดและความเฉียบของฝีมือ ทำให้หลังจากเซฟเรียงเนื้อสีชมพูอ่อนลงจานเราจึงเผลอคว้ามาลองอย่างไว พร้อม ๆ กับซูชิอื่น ๆ อีกหลายชิ้น
ถัดไปไม่ไกลกันคืออีกหนึ่งโซนที่ชวนให้พุงสั่นกับ Pekking Duck Station จากห้องอาหารหยวน ที่มาพร้อมกองทัพอาหารสัญชาติจีนให้ได้เลือกชิมอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะปลา ขนมจีบปู ผัดฮ่องเต้ หรือเมนูที่ห้ามพลาดอย่างเป็ดปักกิ่งก็มี แต่ทีเด็ดแบบไม่เคยเห็นมาก่อนคือไก่ปักกิ่งเว้ยแก …. เค้ามีให้ลองชิมด้วยจ้า โดยเมนูสุดพิเศษไม่เหมือนใครนี้เชฟจะเข็นรถมาหั่นและเสิร์ฟกันถึงโต๊ะที่เรานั่งทานกันเลยทีเดียว พรีเมียมได้อีกจ้า นอกจากนี้แล้วก็ยังมีอาหารนานาชาติหน้าตาหน้าทานอีกมากมาย ทั้งอาหารไทย อาหารอินเดีย ไปจนถึงอาหารฟิวชั่นเลิศ ๆ จะเลือกทานเมนูไหนก็เลิศรสดีงามถูกปากถูกใจไปทุกสเตชั่นจริง ๆ นะ คือเชื่อเถอะว่าไลน์อาหารอลังการงานสร้าง คุ้มค่าทุกบาทที่เสียไปแน่นอน แล้วแบบนี้ไม่ให้บอกต่อได้หรอ
นอกจากทั้งหมดที่ร่ายยาวมาหลายพารากราฟแล้ว … เค้ายังมีอีกหนึ่งห้องลับ The Cheese Room ไฮไลต์เด็ดที่อัดแน่นไปด้วยชีสกว่า 75 ชนิดจากทั่วโลก ให้เราเลือกชิมจนลิ้นชา พร้อมกับของเคียงที่มีให้เลือกทั้งผลไม้สด ผลไม้แห้ง ถั่วชนิดต่าง ๆ ขนมปัง ไวน์เจลลี่ ให้ทานแกล้มแบบเพลิน ๆ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักชีสอย่างแน่นอน และที่เราเรียกว่าห้องลับก็เพราะห้องนี้ได้รับการดูแลอย่างดี ด้วยการควบคุบอุณหภูมิให้เหมาะสมกับการเก็บชีสเช่นเดียวกับการเก็บไวน์ชั้นเลิส เพื่อให้ชีสทุกชิ้นมีคุณภาพสูงที่สุดทุกครั้งที่เสิร์ฟ โอ้ววววววโหววววววววมากแม่ป่ะล่ะ
อ่ะ ไฮไลต์ในไฮไลต์ก็ยังไม่จบ เพราะเค้ายังมีโซนเด็ดต้องห้ามพลาดจากห้องขนม THE LANTERN ที่มีเมนูของหวานและเบเกอรี่ให้เลือกทานได้ไม่อั้น คือนางรวมอยู่ใน Sunday Brunch เรียบร้อย มีทั้งขนม ทั้งเค้ก เครื่องดื่ม ไอศกรีม พุดดิ้ง ทาร์ต หรือผลไม้สดก็ยังมี กินล้างปากได้เต็มคราบเต็มที่ จบลงกับพุงกลมดิ๊กกับหน้าใสกิ๊กพร้อมรอยยิ้ม คือเลอค่าห่างไกลจากคำกล่าวที่ว่าทานคาวไม่ทานหวานสันดานไพร่อย่างแน่นอนนะพวกเรา
กินเสร็จแบบอิ่มหมีพีมันสวรรค์ของคนชอบทาน เราก็ขอย่อยอาหารด้วยการเดินไปเช็คอินเข้าห้องพัก ไปถ่ายรูปน่ารัก ๆ แบบรัว ๆ เพราะห้องพักที่เราเลือกในค่ำคืนนี้คือ Panoramic Executive Suite หนึ่งในห้องที่จัดได้ว่าวิวสวยที่สุดของโรงแรม และกว้างมากกกกก กว้างปานยกส่วนหนึ่งของบ้านมาไว้บนนี้เลยล่ะ เพราะมีทั้งห้องนอนวิวดี ห้องรับแขกพร้อมโซฟานุ่ม ๆ ห้องทำงานมีสไตล์ ห้องอาบน้ำพร้อมอ่าง และห้องน้ำแยกอีก 2 ห้อง เรียกว่าครบกว่าบ้านเราจริง ๆ ซะอีก
ภายในห้องก็ตกแต่งได้หรูหรา เน้นการคุมโทนโดยใช้ 3 สีหลัก คือน้ำเงินเข้ม เทา และเบจ กับไฟสีส้มอุ่น ๆ ที่มองไปทางไหนก็ดูผู้ดี๊ผู้ดีจนแทบจะตะแคงเท้าเดิน และในห้องที่ว่าสวยแล้วก็ยังได้ภายนอกมาช่วยเสริมอีก ก็ด้านนอกของห้องพักคือวิวมุมสูงที่ทำให้เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนพระอาทิตย์ขึ้น และยังสามารถชมโชว์น้ำพุสุดอลังของห้างสุดหรูอย่าง Icon Siam ได้จากห้องนอนอีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ก็มาแน่น ๆ ดี ๆ เด็ด ๆ ทั้งนั้น แม้แต่ Amenities เค้าก็เลือกใช้แบรนด์ไฮแอนด์อย่าง Crabtree & Evelyn กลิ่น Verbena and Lavender ที่ช่วยเรื่องความผ่อนคลาย อาบทีไรก็หอมฟุ้งจรุงจิต เรียกว่าเป็นห้องที่จะทำให้การพักผ่อนของแกสมบูรณ์แบบมากที่สุดห้องหนึ่งเลยทีเดียว
ถ่ายรูปฟิน ๆ จากในห้องจนหนำใจ ก็อย่าลืมขึ้นไปอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปและมุมพักผ่อนที่บอกได้เลยว่าเลิศมากกก ลากเสียงยาว ซึ่งก็คือมุมสระว่ายน้ำบนชั้น 4 ของโรงแรมที่มีชื่อว่า The Beach เพราะเค้าจำลองความเป็นบีชมาให้เราได้นั่งชิว ๆ เหมือนอยู่กลางสายลม แสงแดด อาบผิวสีแทน ใส่บิกินี่อวดผิวสวยจำลองตัวเองเป็นนางแบบวิกตอเรีย ซีเคร็ท บนทรายสีครีมนุ่มละมุนที่นำเข้าจากประเทศออสเตเรียกันเลยทีเดียว หรือจะหยิบหนังสือเล่มโปรดมานั่งอ่าน จิบเครื่องดื่มสีสด นั่งมองเรือที่แล่นสลับกันที่กลางน้ำ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาดี ๆ ที่น่าจดจำ
ส่วนใครที่อยากชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ทางเราขอแนะนำให้ขึ้นลิฟท์ตรงดิ่งไปที่ชั้น 31 เค้าจะมี Roof Top แบบ Outdoor เปิดโล่ง 180 องศา ฟว้างฟวาง พร้อมเก้าอี้นวมสีฟ้าสดให้เราได้นั่งปล่อยกายปล่อยใจ จิบเครื่องดื่มรับความสดใสไปตามกระแสลมและแสงอาทิตย์ที่กำลังจะอัสดง เพื่อเป็นการจุดประกายความสดใสที่กำลังจะมาถึงในค่ำคืนนี้
แม้แสงอาทิตย์จะหมดลง แต่ไฟในค่ำคืนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เราไปลั๊นล้ากันต่อที่ห้องอาหาร Prime Steakhouse บนชั้น 3 ของโรงแรม เพื่อจัดดินเนอร์มื้อพิเศษในห้องอาหารที่สวยพิเศษจากวิวเมืองหลวงยามค่ำที่ไม่เคยหลับไหล กับอาหารสุดพิเศษโดยเชฟผู้เชี่ยวชาญเรื่องสเต็กให้สมกับชื่อห้องอาหาร ซึ่งแต่ละจานเซฟพราวลี่พรีเซนต์มากว่าคัดสรรวัตถุดิบด้วยตัวเองในแต่ละวันแบบละเอียด แม้แต่จานสตาร์ทเตอร์อย่างซีซ่าร์สลัดก็ยังทำให้เราว้าวได้ เพราะพนักงานจะเอาวัตถุดิบมาตีครีมสลัดกันที่โต๊ะลูกค้าจานต่อจาน ใครชอบรสไหนก็รีเควสกันได้เลย หรือจะลองชิมรสมาตราฐานเราก็บอกได้เลยว่าดีงามมมมม
แต่ละจานผ่านไปแบบฟินมากกกกก ผักสด เนื้อดี เครื่องเคียงได้ ไวน์อร่อย เป๊ะทุกจานแบบไม่มีที่ติ แถมพนักงานแต่ละคนก็บริการดีเลิศสมกับที่เป็นห้องอาหารในโรงแรม 5 ดาว ส่วนเสน่ห์อีกอย่างที่ต้องขอชม ก็คือที่นี่เป็นครัวเปิดที่เราสามารถทานไปนั่งชมงานศิลปะบนเปลวไฟที่มีนายแบบนางแบบเป็นเนื้อลายงามอย่าง USDA Prime Black Moran Angus หรือ Miyazaki Japanese ฯลฯ ชอบแบบไหนก็เคลียกับเซฟเองได้เลยทั้งประเภทของเนื้อ ส่วนของเนื้อ ไปจนถึงระดับความสุกดิบ งานนี้กินคำไหนก็ใจละลายคล้ายเนื้อในปากกันเลยจ้า
ดินเนอร์มื้อหนักสุดเพอร์เฟกต์จบไป แต่ไฟเริงร่าในใจยังโชกโชน เราเลยขอย้ายร่างกายพร้อมชุดอันสวยงามไปต่อกันที่ ThreeSixty Jazz Lounge บนชั้น 32 เพื่อจิบค็อกเทลแก้วโปรดรสหวานอมเปรี้ยวสีเหลืองและสีชมพู เพื่อนั่งฟังเพลงชมแสงจันทร์ แสงดาว และแสงไฟ พลางสบตาปิ๊ง ๆ กับคนที่มาด้วย จะสวยและโรแมนติกแค่ไหนก็คิดเอา!!!! แถมมุมนี้ถือเป็น IG Shot ที่สวยจนเรียกไลค์ได้ถล่มทลายได้เลย งานนี้จะลงเยอะแค่ไหนก็ปังทุกครั้งไป ฟันธง!!!!
หลับเต็มตื่นสดชื่นหน้าใสเหมือนมาร์กหน้าเงาสไตล์สาวเกาหลี เช้านี้เราจึงบิดขี้เกียจสองทีแล้วโทรสั่งอาหารเช้าแบบ Breakfast on Bed มาทานกันในห้อง ซึ่งเป้าหมายในการมานั่งทานในห้องของเราครั้งนี้ไม่ใช่แค่อยากทานอาหารในห้องเท่านั้น แต่เป็นเพราะเราต้องการจัดมุมถ่ายรูปสวย ๆ เป็นแฟชึ่นเซทเก๋ ๆ ไว้เพิ่มยอดฟอลในโซเชียลด้วย และเพราะเป็นรูปแบบ Breakfast on Bed เราก็ต้องแต่งหน้าสไตล์ I woke up like this สวยใสหน้าต้องแสง ปากอวบอิ่ม ตาหวานบริ๊ง ๆ แบบงง ๆ มานั่งกินอาหารฟิลลิ่ง cozy กับเซ็ทอาหารที่จัดเต็มเหมือนยกห้องอาหารมาวางไว้กลางห้อง
โพสท่ากันจนเอวเคล็ด เราเลยขอทรีตเม้นต์ตัวเองให้สบายสุดใจในสปาระดับพรีเมียม ณ eforea Spa ของ Millennium Hilton Bangkok ที่จะทำให้เราตัดขาดจากโลกภายนอกเข้าสู่การปรนนิบัติตัวเองจากภายใน โดยพนักงานนวดมือทองที่ถูกฝึกมาอย่างดี ซึ่งครั้งนี้เราขอเลือก Relaxing Aromatherapy หรือการนวดน้ำมัน โดยเค้าจะมีน้ำมันให้เราเลือกถึง 4 กลิ่น ภายในห้องที่ถูกควบคุมอุณหภูมิและแสงไฟ เรียกว่าเข้าไปแบบปวดเมื่อย แต่สามารถออกมาพร้อมความพลิ้วไหว คุ้มค่าหรูหรามากจริง ๆ นะแก
ทั้งหมดนี้ก็คือทริปทรีตเม้นท์ร่างกาย เปลี่ยนบรรยากาศ มอบรางวัลให้ตัวเองแบบคุ้มค่า โดยไม่ต้องหาทางไปทางมาให้ยุ่งยาก แถมเลอค่าครบรสสมกับเป็นของขวัญช่วงปลายปีที่มีดีกรีระดับ 5 ดาว จนเราอยากมอบมงให้ลงตรงกลางใจ ทางเราต้องขอยกที่นี่ให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ตอบโจทย์เรื่องการพักผ่อนอย่างครบทุกด้าน มีมาตรฐานการบริการที่ดี ไม่ว่าจะเรื่องการเดินทางที่สะดวก ห้องอาหาร ห้องพัก สปา สระว่ายน้ำ ไปจนถึงการบริการ เป็นที่พักที่ให้มากกว่าแค่การพักผ่อน เพราะเราสามารถหย่อนใจไปกับความสงบแสนสบายส่วนตัว และเริงร่าไปกับความหรูหรา ดีต่อกาย ดีต่อใจขนาดนี้ รีบคว้ากระเป๋าสมมติว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้วมานอนสักคืนหนึ่ง