ปลายปีเริ่มใกล้เข้ามา วันหยุดก็เยอะ วันลาก็เหลือ อยากพักกายให้หายเหนื่อย พักใจให้หายเศร้า หาพลังบวกกระแทกโสตประสาท ด้วยประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างประเทศที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ ที่เชื่อว่าน่าจะเป็นประเทศในฝันของหลาย ๆ คน ที่เล็งไว้ว่าต้องไปสักครั้งในชีวิต เพราะการเดินทางไม่ยาก ราคาไม่แพง วีซ่าไม่ต้องทำ เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีดินแดนอยู่ในทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป นั่นก็คือ “ตุรกี” ทริปนี้ทางเราจะพาทุกคนไปชิลที่เมืองน่ารักน่าหยิกอย่าง Alaçati เดินชมซากอารยธรรมกรีกโบราณที่ Ephesus พบมหัศจรรย์สปาธรรมชาติที่ Pamukkale สัมผัสประสบการณ์ชวนว้าวท่ามกลางบอลลูนเต็มฟ้าที่ Cappadocai ก่อนจะปิดท้ายกันที่เมืองสองทวีปกับสีสันที่หลากหลายอย่าง Istanbul
และนอกจากประสบการณ์การเที่ยวใหม่ ๆ แล้ว เราก็ลอง Connect กับโลกโซเชียลแบบใหม่ๆ ด้วย #dtacGO แพ็กเกจรายเดือนล่าสุดจากดีแทค ที่ให้เน็ตเมืองไทยเยอะ แถมฟรีเน็ตเมืองนอกไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ไม่ต้องเปลี่ยนซิม ไม่ต้องสมัครอะไรเพิ่มให้วุ่นวาย แพ็กเดียวก็โกอินเตอร์ได้ทั่วโลก เพราะเค้าให้เน็ตไปใช้เมืองนอกฟรี 5GB ต่อเดือน ราคาเริ่มต้น 499 บาท เที่ยวยาวไม่สะดุด ตอบทุกแชท อัพทุกโซเชียล อวดแม่แบบ real time หาแผนที่ได้เรื่อยๆ ไม่มีหลง ที่สำคัญดีแทคเค้ามีเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลกอีกด้วย ใครมีแพลนจะไปประเทศไหน ลองดูรายละเอียดได้ที่ลิ้งก์นี้ก่อนเดินทางได้จ้า https://bit.ly/2ls9f0l .. พร้อมแล้วลากกระเป๋าขึ้นเครื่องแล้วลุยกันเลย..
มานั่งคิด ๆ ดูการท่องเที่ยวต่างประเทศสมัยนี้ ง่ายขึ้นกว่าตอนเราเริ่มเที่ยวแรกๆ มาก ทุกอย่างจบได้ด้วยปลายนิ้ว ทั้งจอง จ่าย แพลน ติดต่อนัดหมาย เก็บหลักฐานการจอง กระทั่งแผนที่ระหว่างเดินทาง ทุกอย่างใช้ผ่านสัญญาณอินเตอร์เน็ตแทบทั้งหมด จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการหาซิม สำหรับท่องเที่ยวต่างประเทศคือสิ่งสำคัญที่เราตระเตรียมเป็นอันดับต้นๆ และรอบนี้ทางก็มีตัวช่วยใหม่ที่บอกเลยว่าดีงามน้ำตาไหล ไม่แชร์เห็นจะไม่ได้ กับ #dtacGO แพ็กเกจรายเดือนแบบไม่ต้องเปลี่ยนซิม ใช่!!! มิติใหม่ของซิมการ์ดที่นักเดินทางต้องมีมากเว่อร์ คือความดีงามก็มีอยู่ว่า … ถ้าแกใช้แพ็กเกจนี้ก็จะได้เน็ตไปใช้ต่างประเทศ 5GB ฟรีทุกเดือน บอกเลยว่าเที่ยวครั้งไหน ๆ รูปต้องปัง เน็ตต้องแรง ลงรัว ๆ จนคนที่เห็นต้องตาร้อนผ่าวด้วยความอิจไปเลยจ้า เพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/2ls9f0l
“Alaçati”
เรามาเริ่มกันที่เมือง อลาคาตี เมืองชายฝั่งทะเลแสนสดใส ตั้งอยู่บนแหลม Cesme ที่ยื่นออกไปทางทะเลอีเจี้ยน ด้วยสถาปัตยกรรมที่มีกลิ่นอายของซานโตรินีหน่อย ๆ บ้านเรือน ร้านค้า และรีสอร์ท ต่างออกแบบและตกแต่งเป็นสไตล์กรีก ใช้สีขาว และสีฟ้าเฉดต่าง ๆ สะท้อนความมุ้งมิ้งของเมืองชายทะเลตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน เดิมที่นี่เป็นเมืองตากอากาศอยู่แล้ว จึงไม่มีประวัติศาสตร์ที่หวือหวามากนัก แต่ด้วยความชิล เคล้าความงามที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป แต่มองไม่เบื่อเลย แม้จะเดินวนอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง ก็สร้างความตราตรึงให้เราได้ไม่น้อย
แม้จะอยู่ริมทะเล แต่ฝั่งทะเลก็ไม่ดึงดูดเราเท่าฝั่ง Old Town ตามตรอกซอกซอยสีสว่างนี้ เต็มไปด้วยร้านกาแฟ ร้านขายของฝากของที่ระลึกกระจุกกระจิกน่ารัก ๆ ทุกจุดสามารถแวะถ่ายภาพได้หมด พื้นถนนยังปูด้วยหินแบบโบราณ บ้านเรือนยังคงเป็นทรงเดิม สลับกับการตกแต่งสมัยใหม่ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเดียวกับตึก ที่นั่งแบบยาว พร้อมหมอนลายอาร์ต ๆ ก็เชิญชวนให้เราอยากลงไปนั่งหย่อนใจ อาบแดดแบบฝรั่งเขาบ้าง
ทางเราขอแนะนำร้านขนมหวานที่จะมาช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาในช่วงบ่ายให้กับทุกคนอย่างร้าน Yomumu Frozen Yoğurt & More ความหวานฉ่ำของไอศกรีมโยเกิร์ต ราดด้วยท้อปปิ้งต่าง ๆ ที่มีให้เราเลือกกว่า 50 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด ธัญพืช ช็อคโกแล็ตโฮมเมด มาชเมลโล่ ป๊อปคอร์น เจลลี่ ฯลฯ วัตุดิบที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี และบรรจงหั่นเป็นลูกเต๋าสวยงาม โยเกิร์ตเข้มข้นเย็น ๆ รสหวานอมเปรี้ยว ทานตัดกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และส้ม ดีต่อสุขภาพนี้ คือความ Summer ที่แท้ทรู ผอมด้วยโยเกิร์ตแล้วหันมาที่ขนมอีกชนิดจากทางร้าน ที่ให้พลังงานขั้นสุดด้วยวาฟเฟิลกรอบหอมเนย ราดด้วยช็อคโกแล็ต นูเทลล่าแบบแน่น ๆ สีสันสดใส ถ่ายรูปแล้วเข้ากับบรรยากาศเมืองมากเว่อร์ นอกจากเป็นของกินเล่นแล้วยังเป็นพร๊อพถ่ายรูปได้ด้วยเด้อ
ความจริงเมืองนี้จะมาเที่ยวแบบครึ่งวันก็ได้สำหรับคนที่เวลาน้อย แต่ถ้าให้แนะนำเราว่าแกควรมานอนสักคืนหนึ่ง ใช้ชีวิต Slowlife เดินทอดน่องไปตามตรอกซอกซอย เหนื่อยก็นั่งจิบกาแฟ ร้อนก็หาเบียร์เย็น ๆ ดื่ม หิวก็ตามหาร้านขายอาหารทะเลทาน ใครอยากเซกซี่นั่งอาบแดดเมดิเตอร์เรเนียนให้ผิวฉ่ำวาวเป็นสีแทนก็ยังได้ เราคิดว่าที่นี่แหละ เมืองตากอากาศที่มีกลิ่นอายของความชิลที่แท้จริง
“Ephesus”
ขยับจากเมืองตากอากาศมาอีกสักนิด เราก็จะได้พบกับ นครเอเฟซุส เมืองแห่งความรุ่งเรืองที่เกิดก่อนคริสตกาล ใช่แล้วจ้าแม่!!! นางรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคโรมัน สมัยจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar) เชื่อว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ และงดงาม ถูกกล่าวขานกันในนามของ “เมืองมหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย” ผ่านมาหลายร้อยปี มหานครแห่งนี้ได้เป็นศูนย์กลางการค้าและธนาคารของเอเชีย จนมาเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ.358, 365 และ 368 เมืองได้รับความเสียหาย บวกกับมีพวกอาหรับเดินทางผ่านมา เพื่อไปโจมตีอิสตันบูล ก็หันมาทำลายเมืองเอเฟซุสไปด้วย แล้วยังมีโรคระบาดจากไข้มาลาเรีย ผู้คนจึงอพยพไปอยู่ที่อื่น จนในที่สุดเมืองนี้ตกเป็นของออตโตมัน.. นี่เป็นเพียงประวัติฉบับย่อ(มาก)ที่เราเอามาเม้อท์มอยให้ฟังถึงความเป็นมาเมืองนี้ เศษซากอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่เห็น ยังคงบรรยายความศิวิไลซ์ในดินแดนอันรุ่งโรจน์นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นตามมาจ้า … ทางเราขอพาชม
สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่นี้ มีอายุตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ทั้งหมดล้วนเป็นศิลปะแบบเฮเลนนิสติก ที่มีความอ่อนหวาน ประณีต ในอาณาเขตสุดกว้างใหญ่นี้มีแลนด์มาร์คที่สำคัญ ๆ อยู่หลายจุด จุดแรกที่เรามาคือ โรงละครแห่งชาติเอเฟซุส (The Great Theatre of Ephesus) โรงละครกลางแจ้งขนาดใหญ่ สูง 18 เมตร จุคนได้ถึง 25,000 คน ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศตรุกี มีลานแสดงตรงกลาง ล้อมด้วยที่นั่งเป็นชั้น ๆ ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้งานได้ดี ยังคงมีการจัดแสดงแสงสีบ้างเป็นครั้งคราว ถนนเส้นที่เราเดินไปยังโรงละครนั้นเรียกว่า Harbour Street หรือถนนที่เดินไปยังท่าเรือนั่นเอง เพราะเมื่อก่อนตรงนี้เคยเป็นพื้นที่ริมทะเล ผ่านมาสองพันปี ตอนนี้ทะเลไหลไปไกลหลายกิโลเลยจ้า
เดินต่อมาอีกหน่อยก็จะเจอกับ Marble Street หรือถนนหินอ่อน ถนนนี้เชื่อมระหว่างโรงละคร ไปยังห้องสมุดอันเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ อีกจุดหนึ่ง เดิมทั้งสองข้างทางของถนนจะเป็นตลาดศูนย์กลางการค้า (Commercial Agora) มีบ้านเรือน ร้านค้าสุดครึกครื้น ตลาดขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้เหลือเพียงซากสถาปัตยกรรม ที่ยังคงไว้ซึ่งรายละเอียด เสาตั้งเรียงรายตลอดทางเดิน กว่า 500 เมตร ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะเห็นรูปสลักรอยเท้าที่เล่ากันมาว่าเป็นป้ายชี้ทางไปยังสถานบริการ อาชีพที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ
“หลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกว่าสมัยนั้นเป็นยุคทองของงานศิลปะวิทยากรของกรีก” สุดถนนหินอ่อน เราก็พบกับ The Library of Celcus หรือห้องสมุดเซลซุส ซากอารยธรรมล้ำค่า ที่เคยมีหนังสืออยู่ถึง 12,000 เล่ม เป็นสุดยอดงานสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อในคริสต์ศตวรรษ ด้วยศิลปะแบบ “เฮลเลนนิสติก” เอกลักษณ์ของยุคสมัยนั้น จนเมือปี 262 เมืองถูกโจมตีโดยชาวกอธ ทำให้ตึกด้านใน และเอกสารทั้งหมดถูกทำลาย หลงเหลือเพียงผนังด้านหน้าอาคารที่ทำด้วยหินอ่อน ใหญ่โต มีงานสลักหน้าประตูทางเข้าของเทพีทั้ง 4 องค์ Sophia เทพีแห่งความเฉียวฉลาด (Wisdom), Arete เทพีแห่งคุณธรรม (Valor), Ennoia เทพีแห่งสติปัญญา (Intelligence) และ Episteme เทพีแห่งความรู้ (Knowledge)
นอกจากที่หยิบยกมาเล่า ที่นี่ก็มีเรื่องราวอีกมากมายที่เราอยากให้ทุกคนลองมาเดินดูกันเอง ไม่ว่าจะเป็น Hadrian’s Temple วิหารที่โดดเด่นด้วยศิลปะแบบคอรินเทียน, Fountain of Trajan น้ำพุใหญ่โตที่สร้างให้แก่จักรพรรดิ Trajan ไว้พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งเป็นอีกจุดที่เห็นงานแกะสลักได้เด่นชัด, Latrina ห้องน้ำสาธารณะไม่แยกชายหญิง, Hercules Gate ประตูเฮอร์คิวลีสแคบ ๆ ที่มีไว้สำหรับให้คนเดินเท่านั้น ซึ่งจุดนี้เราจะเจอรูปสลักเทพเจ้า Nike เทพเจ้าแห่งโชคลาภและชัยชนะอีกด้วย และ Odeon ลานประชุมสภาที่จุคนได้ 1,400 คน เอาจริง ๆ ถ้าค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ถ่ายรูป เราว่าอยู่กันได้ทั้งวันแน่นอน
“Pamukkale”
ปามุคคาเล่ ณ เมืองโบราณ Hierapolis จังหวัดเอนิซลิ (Denizli) หรือที่เรารู้จักกันในนามของปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) ความเด่นสง่าของชั้นหินปูนสวยเนียน ขาวจั๊วะ จนเหมือนภูเขาหิมะมีน้ำแร่สีฟ้าใสจากใต้ดินล้นเอ่ออยู่ทุกชั้น เป็นมหัศจรรย์ธรรมชาติที่มีมากว่าพันปี จนได้รับเลือกเป็นมรดกโลกร่วมกับเมืองโบราณ Hierapolis กิจกรรมของที่นี่คือการแช่น้ำแร่ Thermal bath อุณหภูมิ 35 องศา เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และรักษาโรค ซึ่งก็เป็นที่มาของการตั้งถิ่นฐานของชาวโรมันในเมืองนี้ พวกเขาเชื่อว่าน้ำของ Pamukkale เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำบัดโรคภัยต่าง ๆ จึงอพยพมาตั้งบ้านเรือน จนกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ ชื่อว่าเฮียราโพลิส ( Hierapolis) แปลว่านครศักดิ์สิทธิ์ นั่นเอง
ที่เมืองโบราณแห่งนี้ได้รับเลือกเป็นมรดกโลก คงเป็นเพราะกลิ่นอายของอารธรรมเก่าแก่มันเข้มข้น จนต้องเก็บรักษาไว้แก่คนรุ่นหลังได้ดู ที่นี่มีทางเข้าของเมืองทั้งหมด 3 ประตู เราเข้าประตูไหนก็ได้ บริเวณหมู่บ้านเราจะพบกับซากปรักหักพังตลอดเส้นทางท้ังวิหาร ถนน และที่เห็นเด่นชัดสุดคือ โรงละคร Hierapolis ที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่แต่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งตัวเวที และที่นั่งโดยรอบ มองเห็นรายละเอียดของศิลปะคอรินเทียนได้อย่างชัดเจน
ใกล้ ๆ กันเราจะพบกับ Antique Pool หรือเรียกอีกชื่อว่า Cleopatra’s Antique Pool บ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีการปรับภูมิทัศน์สวยงาม ให้นักท่องเที่ยวลงแช่ (เสียเงินเพิ่มอีก 32 ลีรา) น้ำนี้มีสรรพคุณรักษาโรค ทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันมาแช่จากทั่วทุกมุมโลก อีกความเจ๋งของบ่อนี้คือในสระมีซากเสากรีกโรมันของจริง สองพันปีก่อน ล้มอยู่ข้างใต้ ทำให้เราได้อรรถรสในการแช่มากขึ้น มาถึงที่ก็ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดอะแก
Pamukkale Travertine แหล่งสปาชั้นเยี่ยมที่มีธรรมชาติเป็นบริกร ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงจิตให้เรา ตรงนี้คือไฮไลท์สำคัญของ Pamukkale ชั้นหินปูนลดหลั่นกันตามสันเขานี้ เกิดจากธารน้ำใต้ดินที่มีแร่หินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมในปริมาณที่สูงมาก ไหลลงมาจากภูเขาคาลดากีที่ตั้งห่างออกไปทางทิศเหนือ เอ่อล้นออกมาเหนือผิวดิน แข็งตัวจนเกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่ง ลดหลั่นลงมาตามภูมิประเทศ จุดนี้เราสามารถแช่ตัว ชื่นชมธรรมชาติเบื้องหน้าได้แบบไม่รู้เบื่อ เพราะเมื่อมองออกไป เราพบวิวกว้างแบบพาโนราม่า ไร้ซึ่งตึกคอนกรีด มีเพียงภูเขาสีเสียว ฟ้าสดใส และหมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น หรือใครจะไปแช่เท้าขัดผิวจากดินธรรมชาติก็ย่อมได้
“Cappadocai”
เมือง คัปปาโดเกีย อีกหนึ่งเมืองมรดกโลกของตุรกีที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นภูเขาไฟ ชื่อ เอร์จีเยส (Erciyes) บนยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดปี เมืองนี้เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ ลาวาไหลปกคลุมทั่วพื้นที่ เมื่อเวลาผ่านไปลาวาเกิดการแข็งตัว และโดนกัดกร่อนจากลม ฝน ทำให้กลายเป็นภูเขาที่มีร่องลึก เสาหินกรวด กำแพง ถ้ำเนื้อนิ่มที่เหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะสามารถแกะสลัก ขุด เจาะ เป็นห้อง บ้าน โบสถ์ ค่ายทหาร ที่พักได้ และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
• Hot Air Balloon Riding in Cappadocia
แน่นอนว่าไฮไลท์ของเมือง หรือจะเรียกว่าของทริป ที่ทำให้เราข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาถึงตุรกีแห่งนี้ ก็คือการขึ้นบอลลูนนี่แหละ เรียกว่าเมนูนี้เป็นจานหลัก อื่น ๆ เป็นออเดิร์ฟไปเลย สำหรับการขึ้นบอลลูนปกติเราสามารถจองทัวร์ล่วงหน้าจากเว็บ หรือไปเดินหาซื้อทัวร์ที่นั่นก็ได้ สะดวกใจกับเจ้าไหนก็ไปได้เลย ราคาไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ โดยวันขึ้นบอลลูนทางทัวร์จะส่งรถตู้มารับที่โรงแรมตั้งแต่เช้ามืด เพื่อพาเราไปยังจุดขึ้น และทุกทัวร์ก็เหมือนจะรู้ใจนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ ว่าเช้าขนาดนี้ร่างกายไม่ค่อยตื่นเท่าไหร่ เขาเลยเตรียมชา กาแฟ ขนมไว้ให้รองท้อง ระหว่างนั้นก็อธิบายข้อปฏิบัติให้เราฟัง เพราะการขึ้นบอลลูนนั้นเราจะต้องทำตามสัญญาณของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เช่น การขึ้นต้องรอให้บอลลูนพร้อมค่อยปีนเข้า ตอนลงต้องย่อขาลงเล็กน้อย เป็นต้น เราจะได้เห็นการติดตั้งบอลลูนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่อุ่นเครื่องก่อนบอลลูนลอยฟ้า ประกอบบอลลูนให้สมบูรณ์จนปล่อยไฟเข้าบอลลูน ก่อนที่จะแพลนมาเราอยากให้เช็คอากาศกันสักนิด เพราะบอลลูนจะขึ้นได้ จะต้องเป็นวันที่อากาศดีเท่านั้น ถ้าฟ้าปิด พายุเข้า ก็ต้องเลื่อนวันกันไปนะคะ
ในขณะที่บอลลูนค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้า แสงจากดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นมาจากฟากฟ้าอีกฝั่งหนึ่ง ความสว่างนั้นเป็นเหมือนแสงสปอต์ไลท์ ในโรงละครระดับโลกที่ส่องให้เห็นความสวยงามของเวทีในฉากฟิเนเล่ฉากนี้ เราเห็นบอลลูนเต็มท้องฟ้า พร้อมฟ้าสีชมพู ส้มอ่อนหวาน บ้านเรือนที่แทรกอยู่ตามภูมิประเทศที่แปลกตา ความรู้สึกคือมันไม่ได้น่ารักเหมือนที่เราเห็นในการ์ตูน แต่มันเหมือนความฝันที่เกินจะบรรยายได้ ความสวยสะกดปนความหวาดเสียว ยามลมพัดผ่านเราไหวไปตามแรงลมเล็กน้อย ชีวิตในตะกร้าเล็ก ๆ ที่ให้เราโฟกัสได้เพียงวิวภายนอก ภูมิประทศแปลกพิศดาร ปะทะกับแดดยามเช้า มีบอลลูนของคนอื่นลอยเป็นเพื่อนกระจายทั่วพื้นที่มันเป็นภาพที่สวยมาก ความกลัวพลันหาย 1 ชม. ที่เขาให้เหมือนเป็นเพียง 2 นาทีผ่านไป ยังไม่อยากลงเลย แงงงง..
หลังจากที่เราแตะเท้าสู่พื้นดินลงบอลลูนมา ทางทัวร์จะมีการจัดฉลองให้แบบเล็ก ๆ ด้วยการเสิร์ฟแชมเปญรสเยี่ยม และมอบ Flight Certificate ให้แก่นักท่องเที่ยวทุกคน ว่าได้มาขึ้นบอลลูนสวยระดับโลกแห่งนี้แล้ว ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มทัวร์ สร้างความประทับใจให้เราได้มาก ความคุ้มค่ากับราคาที่เราเสียไป บอกเลยว่า ประสบการณ์นี้เป็นวันที่สวยงามจนชาตินี้เราคงลืมไม่ลง
ถ้าใครกลัวความสูง ไม่กล้าขึ้น หรือขึ้นแล้วยังถ่ายรูปไม่จุใจ ที่นี่ยังมีจุดชมวิวเหนือตัวเมืองที่สามารถมองเห็นบอลลูนอยู่เต็มท้องฟ้าในยามเช้าด้วย แม้จะมีอยู่หลายจุด แต่ที่ ๆ เราคิดว่าสวยที่สุด แกรนด์ที่สุด คือ Goreme Panorama viewpoint ในหมู่บ้าน Goreme หมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยวิถีชีวิตพื้นเมือง จากตรงนี้ เราจะมองเห็นบอลลูนได้ตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า บอลลูนนับร้อยค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากผืนดิน ดูกลม ๆ น่ารักเหมือนเด็กเพิ่งตื่นนอน วิวจากยอดเขานี้ทำให้มองเห็นความเป็นไปของธรรมชาติ ท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เห็นสีสันน่ารักของบอลลูนต่าง ๆ ถือว่าเป็นเช้าที่น่าจดจำมาก ๆ จนต้องอัพ Story ตั้งเป็น Highlight ในไอจีแบบเรียลไทม์เลย
• Goreme open air museum
จากจุดสูงสุดสู่แลนด์มาร์คแรกที่เป็น The must ที่ทัวร์ทุกประเทศจะต้องลง คือ Goreme open air museum ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งสมชื่อ นักท่องเที่ยวเดินเลาะตามบ้านช่อง ค้นหาร่องรอยประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ พบเจอของใช้ ภาพวาดผนังถ้ำ ว่ากันว่าที่นี่เคยเป็นศูนย์รวมของผู้นับถือศาสนาคริสต์โบราณ เพราะมีโบสถ์เกิดขึ้นเยอะ ทั้งหมดเป็นโบสถ์ที่สร้างด้วยการเจาะหินเข้าไป ด้านในเป็นภาพวาดของพระเยซูที่เก่าแก่ และโบราณที่สุดแห่งหนึ่ง ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยแบบอพาร์ทเม้นท์ยุคแรก ๆ ของโลก เพราะมีการเจาะห้องอยู่ต่อกันเป็นชั้น ๆ
• Galerie Ikman
เพื่อน ๆ ในวงการโซเชียลจะต้องสั่นคลอน เมื่อเจอเราอัพรูปมุมเด็ดจาก Galerie Ikman ร้านขายของพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเกอเรเม สินค้าทั้งชุดแขก หมวก เครื่องเงิน พรม ของทำมือพื้นเมือง มากมายให้เราเลือกซื้อ แต่สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องแห่แหนกันมาร้านนี้ ไม่ใช่การช้อปปิ้งแต่อย่างใด แต่คือการถ่ายรูปต่างหาก.. เพราะภายในร้านนั้น เต็มไปด้วยพรมหลายพันผืน สีสันสดใส ทั้งติดตามผนัง พับวางเป็นชั้น ๆ เสมือนสตูถ่ายภาพ สวยงามจนเป็นจุดเช็คอินสุดป๊อป ที่พลาดแล้วสาว ๆ คงน้ำตาตกเป็นแน่
• Pasabag Valley
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจเรายกให้ Pasabag Valley เมืองแห่งปล่องนางฟ้า ถ้าใครจะมาต้องปักหมุดใน Google Map ว่า “Fairy Chimneys” คนพื้นที่เรียกอีกชื่อว่า “Monks Valley” จากเรื่องเล่าว่า มีข่าวลือถึงพระชื่อดัง St Simeon มีพลังวิเศษทำให้ได้รับความสนใจจากชาวบ้านเป็นอย่างมาก จนพระท่านต้องหลบหนีมาอยู่อย่างสันโดษที่นี่ พร้อมกับเหล่าลูกศิษย์ นอกจากได้เห็นการอยู่อาศัยในบ้านสุดแปลกตาของคนโบราณแล้ว ปล่องเหล่านี้ทำให้เรานึกสนุกนั่งทายกับเพื่อน ๆ ว่าเหมือนอะไร เห็ดบ้าง สเมิฟบ้าง ช็อคโกแล็ตเฮอร์ชี่บ้าง แต่ก็นั่นแหละ.. แล้วแต่จินตนาการของเราเอง แล้วเพื่อนๆ ล่ะ เห็นเป็นรูปอะไรกันบ้างน้าาาาา?
นอกจากความแปลกตาแล้ว ปล่องเหล่านี้ยังมีจุดปีนป่าย เพื่อไปเก็บภาพมุมต่าง ๆ ให้เสียวนิด ๆ ด้วย เพราะแต่ละปล่องค่อนข้างสูง โดยรอบเป็นทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่มากทีเดียว มีที่จอดรถไว้บริการครบ แค่จอดแล้วหิ้วกล้องลงมา เดินถ่ายรูป นั่งกินลม ชมวิวได้เพลิน ๆ คอลไลน์ให้เพื่อนดูความฟินก็ทำได้เน็ตไม่ตัด ถ้าขี้เกียจเดิน เขามีที่เช่าม้า เช่าอูฐ ให้ขี่เที่ยวกันได้เด้อ..
• Uchisar Castle
นอกจากเมืองเที่ยวหลัก ๆ ของคัปปาโดเกียอย่างเมือง Goreme แล้ว แกต้องห้ามพลาดมาเช็คอินที่เมือง Uchisar ด้วยนะ เพราะถือเป็นอีกเมืองที่น่าเที่ยว วิวสวย คนน้อย ถ่ายรูปสะดวก เราแนะนำให้แกตั้งพิกัดไปที่ Evil Eye Tree เพราเป็นจุดที่จะทำให้เห็นวิวพาโนรามาของเมืองนี้ได้ถนัดตาขึ้น โดยเฉพาะที่ Uchisar Castle ที่จะต้องทำให้แกร้องว้าว!! เมื่อเดินไปถึงยอดปราสาท ความดีงามเกินราคาค่าตั๋วปรากฎขึ้น วิวทิวทัศน์ของคัปโปเดีย กว้างสุดตา เมืองสีน้ำตาล ผู้คนอยู่ในโพรงถ้ำ พื้นหญ้าสีเขียว กับท้องฟ้ากระจ่างใส มองจากมุมบนปราสาท ทำให้เรารู้สึกเป็นพระราชา อยู่ในเทพนิยายสักเรื่อง ถ้าใครมีเวลาเหลือเราอยากแนะนำให้มาที่นี่จริง ๆ ขับจากเกอเรเมแค่ 15-20 นาทีเท่านั้นเอง
“Istanbul”
เมืองสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ทางเรามาตามเก็บตกหาของกิน ของฝาก ถ่ายรูปชิค ๆ กันหน่อยที่ อิสตันบูล เมืองที่หลาย ๆ คนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของตุรกี ซึ่งความจริงไม่ใช่นะจ๊ะ คงเพราะที่นี่เป็นเมือง 2 ทวีป ที่มีหนึ่งเดียวในโลกล่ะมั้ง จึงได้ยินชื่อกันบ่อยครั้ง เขาแบ่งทวีปที่ ช่องแคบบอสฟอรัส คือ ฝั่ง Thrace เป็นทวีปยุโรป และฝั่งอนาโตเลีย เป็นทวีปเอเชีย ดั้งนั้นสถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมของเมืองนี้จึงเป็นแบบผสมผสาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
• Mosque of Hagia Sophia
เช็คอินที่แรกเราขอพาทุกคนไปกันที่ สุเหร่าเซนต์โซเฟีย หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า พิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum) ที่หน้าตาดูแล้วยังไงก็คล้ายคลึงกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์เหลือเกิน ถูกต้องจ่ะ.. เมื่อก่อนเคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ นิกายออร์โธดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนให้เป็นสุเหร่า ในสมัยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ภายในสวยงามอลังกาลด้วยโทนสีเข้ม ตัดสีส้มของเพดานและแสงไฟ ทำให้ดูหรู ดูแพงมาก ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศรรย์ของโลกยุคกลาง ถ้ามาแล้วอยากให้เงยหน้าไปมองยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหารด้วย ตรงนั้นคือตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของสถาปัตยกรรม ไบแซนไทน์ ที่ยังหลงเหลืออยู่
• Dolmabahce Palace
หรูหราต่อไม่รอแล้วนะ ออกจากสุเหร่าทางเราก็มาเช็ดอินต่อที่ พระราชวังโดลมาบาเช ที่นี่สร้างด้วยการผสมผสานศิลปะทั้งตะวันตกและตะวันออก ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลมาร์มารา ในช่องแคบบอสฟอรัสฝั่งยุโรป อาคารขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 600 เมตรแห่งนี้ ใช้เวลาสร้าง 30 ปี โอ้โห!!! สร้างนานขนาดนี้ไม่ตีตั๋วเข้าไปชมไม่ได้เด้อ และก็ดีงามสมมงจ้า … ด้านในโอ่อ่าอลังการด้วยเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่าจะเป็นแชนเดอเลียร์ ของขวัญจากประเทศอังกฤษ ทำจากคริสตัลขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หนักถึง 5,000 กก. พร้อมไฟ 750 ดวง พรมทอมือผืนใหญ่ที่สุดในโลก เครื่องแก้วเจียระไนจากโบฮีเมียที่ดีที่สุดในโลก เป็นต้น เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูปอะแก เพราะฉะนั้นเราถ่ายรูปรอบ ๆ มาฝากแล้วกันนะ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้มาชมด้วยตาตัวเอง
• Galata Tower
หอคอยกาลาตา หรือบางที่เรียกว่า Christea Turris หอคอยทรงกระบอกสูง ที่เดินจากตรอกใกล้ ๆ จะมองเห็นเด่นชัดเหมือนมียักษ์ใหญ่ยืนอยู่กลางเมือง ตลอดแนวถนนจะขนาบไปด้วยอาคาร ร้านค้า คาเฟ่ มากมาย มุมยอดนิยมที่เราต้องมาแวะถ่ายรูปคงจะเป็นการเช็คอินร้านกาแฟ จิบลาเต้อาร์ตน่ารัก ๆ ชูแก้วถ่ายคู่กับหอคอยแบบนี้แหละแก เมื่อขึ้นด้านบนเราจะพบความงามของคาบสมุทร และบริเวณรอบ ๆ ของเมืองอิสตันบูลด้วยจ้า
• Taksim Square
เก็บแลนด์มาร์คกันพอกรุบกรุบ ทางเราก็ขอมาเอาใจสายช้อปที่ ย่านจตุรัสทักซิม กันหน่อย ถ้าใครคิดว่าเดินเที่ยวมันธรรมดาไป อยากนั่งรถรางชมย่านนี้ ดูชิคกว่าก็ย่อมได้ เพราะเขามีรถรางสุดคลาสสิควิ่งจาก Taksim – Tunel ให้เราได้นั่งมองบรรยากาศสวย ๆ ไม่ต้องเดินเบียด ชอบร้านไหนมาร์กไว้ในใจ แล้วค่อยเดินกลับมา ย่านทักซิมนี้ถือเป็นย่านที่คึกคักที่สุดในอิสตันบูล มีร้านค้าทั้งโลคอลแบรนด์ และแบรนด์เนม ร้านอาหาร คาเฟ่ เยอะแยะ แต่สิ่งห้ามพลาด คือการตามหาพ่อค้า เอ้ย.. หาร้านขนมของฝากประจำถิ่นที่ขึ้นชื่ออย่าง Lokum และ Baklava
• Karakoy
อีกย่านแนะนำที่เชื่อว่าสายคาเฟ่เห็นจะต้องร้องกรี๊ด เพราะนอกจาก คาราคอย จะเป็นย่านริมท่าเรือสุดคึกคักแล้ว ยังมีร้านกาแฟเต็มไปหมด ด้วยตึกสไตล์ออตโตมัน พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย กลุ่มอาคารจากศตวรรษที่ 16 สตรีทอาร์ตเก๋ ๆ มุมถ่ายภาพมากมาย คำเตือนเดียวจากทางเราคือ เตรียมแบตกล้องให้พร้อม !! แค่เดินเข้ามา ก็เหมือนหลุดมาในดงโรงคั่วกาแฟแล้ว เพราะทั้งย่านนี้มีกลิ่นหอมอบอวลของกาแฟ และขนมอบเป็นระลอก ๆ ขนมที่ทำจากแป้ง นม น้ำตาลของเมือเติร์กนี้เรียกได้ว่ายืนหนึ่งไม่แพ้ชาติไหนบนโลกเลยจริง ๆ ด้วยประวัติศาสตร์ความเชี่ยวชาญ ทางด้านขนมมาหลายร้อยปี เหมือนสิ่งเหล่านั้นตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้วัฒนธรรมการดื่มกาแฟ เคล้าขนมหวาน ของที่นี่ต้องจิตต้องใจเรา จนอยากอยู่อีกนาน ๆ ว่าแล้วก็ขอถ่ายรูป เช็คอินลงเฟส กระตุ้นให้คนอยากมาตามรอยสักหน่อย
• Seven Hills Restaurant
แนะนำที่เที่ยวมาตั้งนาน ถ้าไม่พูดถึงร้านอาหารก็เกรงว่ารีวิวนี้จะไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นทางเราเริ่มที่ต้องห้ามพลาดเมื่อมาอิสตันบูล Seven Hills Restaurant ร้านอาหารแบบเตอกิส บนดาดฟ้า ที่มีวิวสุดแกรนด์ มองเห็นทั้ง Hagia Sophia และ Blue Mosque รวมทั้งวิวทะเลได้อย่างชัดเจน มาตอนเช้าก็สวยกระจ่างชัด มาตอนกลางคืนก็โรแมนติคจนอยากมีแฟนอะแก.. อาหารส่วนใหญ่จะเป็น แป้ง ชีส ไส้กรอก และผลไม้สดแบบคนเมืองเขากินกัน กินแรก ๆ คืออร่อยนะ แต่หลัง ๆ เริ่มเลี่ยน พอลองจิบส้มที่เสิร์ฟมาพร้อมกันนิด ๆ ก็หาย กินได้ต่อ และรู้สึกจะอร่อยมากขึ้นด้วย
• Nusr-et
ภาพโรยเกลืออันติดตาของเชฟชื่อดังแห่งตุรกีลอยขึ้นมาทันที เมื่อเราย่างเท้าเข้าสู่อีกหนึ่งร้านห้ามพลาด Nusr-et ร้านสเต็กของ Saltbae เชฟหนุ่มชื่อดังในโลกโซเชียล ที่มีลีลาการโรยเกลือไม่เหมือนใคร จนเป็นมีมไปทั่วโลก อาหารของร้านจะเป็นพวกสเต็ก เบอร์เกอร์ที่ทำจากเนื้อ หรือ แกะ เครื่องเคียงของทอดต่าง ๆ ภาพลักษณ์แม้จะดูนิ่ง ๆ ฮา ๆ แต่ฝีมือไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ การกิลล์ที่พอดี สร้างความ Juicy ให้เนื้อได้ดีมาก แม้ทางเราจะเลือกทานแบบสุกทั้งชิ้น แต่ยังมีความหอม นุ่ม น้ำมันยังไหลออกมาเยิ้ม ๆ ไม่แห้งไป ไม่ฉ่ำไป พร้อมกับการหมักที่เข้าเนื้อทุกอนู ทำให้มื้ออาหารส่งท้ายทริปของเรานั้นสมบูรณ์แบบมากจ้า
ความประทับใจมันมากเกินคำบรรยายจริง ๆ กับประเทศสองทวีปอันรุ่งโรจน์ด้วยอารยธรรมโบราณ วัฒนธรรมที่หลากลาย กลั่นเป็นภาพถ่ายที่งดงาม การได้มาเยือนประเทศในฝันที่ทุกอย่างเป็นดั่งใจ ไร้ซึ่งอุปสรรคแบบนี้ ทำให้เราตัดสินใจว่า ครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย สำหรับการมาเยือนตรุกีของเราแน่นอน มิตรภาพดี ๆ ที่เราได้จากคนที่นี้ การสื่อสารที่รวดเร็วทำให้เราบอกเล่าเรื่องราวแก่คนที่ห่วงใยได้ฟัง ความสะดวกสบายในการเดินทาง ประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตราตรึงใจเหล่านี้ จะต้องเรียกให้เรากลับมาอีกครั้งแน่นอน