รีวิวญี่ปุ่น :: Explore Nature in Kyushu ” Oita, Kumamoto, Miyazaki, Fukuoka “

พูดถึงญี่ปุ่นเป็นใครก็คงร้องว้าวในความประทับใจ แต่ถ้าเจาะลงไปว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นหลายคนกลับรู้สึกเฉย ๆ เพราะคิดว่าฤดูร้อนของที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน และถ้าจะไปญี่ปุ่นทั้งทีมันก็ควรมีภาพคู่กับหิมะที่ขาวโพลนไม่ก็ใบไม้สีส้มท่วมภูเขา แต่วันนี้เราจะมาทำให้แกเปลี่ยนใจ เพราะหน้าร้อนของญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยฟ้าสวยใสไร้เมฆก็มีวิวสุดว้าวไม่แพ้ฤดูไหน ๆ ยิ่งที่เกาะคิวชู เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ที่แสนจะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติละลานตา เราจะพาแกไปตะลอน 4 เมืองเด็ด ด้วยการเที่ยวแบบโรดทริป ที่จะทำให้เราได้ชื่นชมทุกความสวยงามได้ตามใจ ทั้งภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น ออนเซ็นสีฟ้าพาสเทล ถนนที่สวยที่สุดในเมือง ทัศนียภาพหลังม่านน้ำตก พายเรือฝ่ากลางอดีตเส้นธารลาวาที่สวยแบบเหลือเชื่อ และอื่นๆ อีกมากมายที่การันตีว่าครบแบบมากมายจริง ๆ เอาล่ะ!!! ได้เวลายื่นวันลากันแบบยาว ๆ แล้วบินตามเราไปเที่ยวกันแบบจุก ๆ แล้วจ้า!!!!

Fly to Fukuoka with Thai AirAsia X

นอกจากจะมีสีแดงเป็นสีนำโชคแล้ว เราก็ยังมีเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจทุกการเดินทางเป็นสายการบินสีแดง สายการบินที่ใคร ๆ ก็บินได้ ทำให้เราได้บินบ่อยแบบคุ้ม ๆ แถมเส้นทางใหม่ ๆ ก็มีอัพเดทมาให้เลือกกันเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่รูทนี้ที่เป็นรูทใหม่สุดซิงบินตรงจากดอนเมืองสู่ฟูกุโอกะเมืองหลักของเกาะคิวชู ที่จัดราคาเริ่มต้นมาแบบคุ้ม ๆ เพียง 2990 บาท/เที่ยว แถมมีให้เลือกถึงสี่เที่ยวบินต่อสัปดาห์ให้เราได้บินดึกถึงเช้าพร้อมออกไปเที่ยวต่อได้ทันทีที่แลนดิ้ง ที่สำคัญทุกการเดินทางเราต้องเพิ่มแพ็กสุดคุ้มเพื่อเปลี่ยนสายการบินโลว์คอสต์ให้กลายเป็นฟูลเซอร์วิสในพริบตา เพราะจะได้มาครบทั้งบริการเลือกที่นั่งได้ตามใจ อยากนั่งในหรือนอก ซ้ายหรือขวา ก็ไม่ต้องลุ้นอีกต่อไป น้ำหนักกระเป๋าก็อัพไปเลยจุก ๆ 20 กิโลฯ อยากใส่อะไรไป เอาอะไรกลับก็จัดได้เต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ เต็มที่ไปเลยเถิด ไม่พอเดินขึ้นเครื่องนั่งสบายแบบกว้าง ๆ เอนหลังรอรับอาหารร้อนกับเมนูที่เลือกเองได้อีก และปิดท้ายด้วยประกันการเดินทางที่จะทำให้เราอุ่นใจทุกเส้นทาง!!! ที่สำคัญจองทั้งหมดนี้ในแพ็กสุดคุ้มยิ่งคุ้มเข้าไปใหญ่เพราะบางเส้นทางลดสูงสุดถึง 20%!!!! มาบินฟูลเซอร์วิสในราคาโลว์คอสต์กันเถอะแก

อย่างที่เกริ่นไปแต่แรกว่าคิวชูนั้นเป็นภูมิภาคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจใช่มั้ยล่ะ ถ้าเราจะสนใจอยากบินตรงมาเสพธรรมชาติของที่นี่แบบกินรวบถึง 4 จังหวัด ด้วยการเดินทางแบบโรดทริป 6 วันเต็ม โดยเริ่มตั้งแต่ Fukuoka, Kumamoto, Oita แล้วไปจบกันที่ Miyazaki ก่อนวนรถกลับมาจบทริปบินกลับกันที่ Fukuoka อีกครั้ง ซึ่งการขับขี่ในญี่ปุ่นบอกเลยว่ามันค่อนข้างสะดวก ปลอดภัย เพราะที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะตัวเมืองหรือชนบทถนนเค้าก็ดีงามขับง่าย ขอเพียงเราเน้นวินัยจราจรให้ถูกต้องจะแวะไหนใกล้ไกลก็หายห่วง เลิกโม้แล้วโยนกระเป๋าขึ้นท้ายรถ ออกไปทำความรู้จักกับคิวชูพร้อมกันเถอะ

:: Fukuoka ::

แน่นอนว่าบินตรงมาลงที่ฟุกุโอกะก็ต้องเริ่มตระเวนเที่ยวกันในฟุกุโอกะ เมืองที่เคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดอันดับ 12 ของโลกในปี 2013 จากการที่ในเขตตัวเมืองมีพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก และที่นี่ยังเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเกาะคิวชู แถมยังมีฐานะเป็นเมืองใหญ่อันดับหกของญี่ปุ่นแซงหน้านครใหญ่อย่างเกียวโตอีกด้วย ที่สำคัญแบบต้องขีดเส้นใต้ก็คือที่เที่ยวยังครบครันมากจ้า ทั้งวัฒนธรรม ธรรมชาติ อาหารการกิน รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งอีกมากมาย โอ้โห!!! นี่แค่เกริ่นแบบซอฟ ๆ ยังไม่ทันจะเจาะลึก ก็บอกได้แล้วว่าที่นี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จะรออะไรล่ะ เหยียบคันเร่งแล้วไปกันเลย

001 : Nanzoin Temple

เริ่มที่แรกแบบอลังการแนววัดวาบวกธรรมชาติ อ้ะ อย่าเพิ่งคิดว่าวัดจะน่าเบื่อเสมอไป เพราะ วัดนันโซอิน ที่สวยสะท้านอยู่กลางหุบเขาแสนสงบแห่งนี้ คืองานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติที่มาพร้อมกับคำว่าศรัทธา ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดปางนอนอายุ 21 ปี อันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับรูปปั้นพระใหญ่ที่เมืองนาราและเมืองคามาคูระ แต่เพิ่มเติมคือมาพร้อมคำเคลมว่าใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาว 41 เมตรสูง 11 เมตร และหนักถึง 300 ตัน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์สีเขียวคล้ายหยกเนื้อด้าน ใบหน้าอวบอิ่ม หลับตาเอนกายคล้ายกำลังยิ้มน้อย ๆ เปี่ยมไปด้วยเมตตา แค่มองยังรู้สึกถึงความสงบไปด้วยเลย ส่วนสาเหตุที่สร้างเป็นปางนอนแทนปางนั่งแบบที่นิยมกันในประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นเพราะว่าวัดนันโซอินได้รับพระสารีริกกะธาตุมาจากประเทศพม่า ที่มอบให้เพื่อตอบแทนการช่วยเหลือหลายครั้งหลายคราของวัด ที่นี่จึงสร้างพระปางนอนอันเป็นที่นิยมในประเทศพม่าแทนนั่นเอง

นอกจากความงามกลางธรรมชาติแล้วจุดที่พลาดไม่ได้อีกจุดคือพระพุทธรูปหน้าทางเข้าที่สังเกตุง่าย ๆ ผ่านพุงสำริดที่บัดนี้กลายเป็นสีทองแดงเพราะโดนคนลูบเป็นจำนวนมาก ตามความเชื่อที่ว่าถ้าเราได้ลูบท้องของพระพุทธรูปองค์นี้ เราจะโชคดีตลอดไป ว่าแล้วเราก็ลองไปลูบสักทีเผื่อมีโชค ละจากโชคลาภไปหามุมถ่ายภาพกันสักนิด ถัดไปที่ด้านบนของวัดยังมีอีกหนึ่งจุดที่อยากแนะนำคือซุ้มประตูโทะระอิ ซุ้มเสาแดงสดที่ตัดกับผืนป่าสีเขียว แม้ไม่ได้เป็นไอจีสปอตแบบศาลเจ้าเสาแดงที่เกียวโต แต่ก็ทำให้ร้องโอ้โหได้ไม่แพ้กัน ใครมาแล้วแนะนำให้แวะขึ้นมาด้วยนาจา

002 : Tenjin Yatai

มีที่เที่ยวก็ต้องมีที่กินยิ่งเป็นเมืองใหญ่ประวัติยาวนานบอกเลยอาหารก็ไม่ธรรมดาแน่นอน ซึ่งการกินให้ถึงถิ่นฟุกุโอกะที่แท้ทรู คือต้องมากินอาหารในซุ้มยาไต (Yatai) ร้านอาหารท้องถิ่นดั้งเดิม ที่ตัวร้านจะเป็นแนวแผงลอยริมถนนที่ขายอาหารง่าย ๆ แนวสตรีทฟู๊ด ที่จะเริ่มเปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นไปจนถึงราว ๆ ตี 2 เรียกว่างานนี้มีจุก เข้าร้านนู้นเปลี่ยนร้านนี้กันได้เพลิน ๆ ทั้งคืนไปเลย แต่สิ่งที่แนะนำว่าต้องลองกินก็จะมีพวกฮากาตะราเมน ราเมนร้อน ๆ ชามโต กินไปคุยไปเผลอแปบเดียวน้ำซุปช้อนสุดท้ายก็หมดลงแบบไม่รู้ตัว และก็พวกไก่ย่างเนื้อย่างที่เสียบเป็นไม้ ๆ ซึ่งแต่ละร้านที่เรียงรายอยู่นั้นก็จะมีวิธีและเทคนิคการปรุงที่แตกต่างกันไป ถูกใจร้านไหนก็เลี้ยวเข้ากันไปแบบไม่ต้องพึ่งรีวิว จะกินเพียว ๆ หรือกรึ๊บเบา ๆ คู่กับน้ำเก๊กฮวยแบบมีฟองก็จัดว่าดี

003 : Ainoshima island

ไม่ว่าใครก็ตามหากได้มาเที่ยว Ainoshima island หรือที่เรียกกันติดปากว่าเกาะแมวของฟุกุโอกะแห่งนี้ รับรองว่าจะต้องเกิดอาการเสียทรง พูดเสียงสองออกมาให้กับความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแมวแน่นอน ที่นี่ถือเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภูมิภาคคิวชู เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่เพียง 300 กว่าคน และประชากรน้องแมวอีกกว่า 100 ชีวิต ทำให้ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนเราก็จะเจอกับเจ้าสี่ขาสามหนวดอยู่รอบกาย ทั้งเกลือกกลิ้ง พิงกาย ชวนเล่น ส่งสายตาเย้ายวนท่ามกลางธรรมชาติ ส่วนเรื่องการเดินทางมาเกาะนี้ก็สะดวกมาก ๆ คือแกสามารถขับรถมาจอดที่ท่าเรือ Shingu Port แล้วข้ามเรือตามตารางเวลาที่กำหนดได้เลย

หลักจากสำรวจทั้งการประเมินจากสายตา การลูบคลำ เราก็สามารถสรุปได้ว่าน้องแมวที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นแมวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนสั้นสีพื้น ๆ อย่างขาว ส้ม ดำ มีนิสัยขี้อ้อน แต่ถ้าแกอยากให้แมวเข้าหาราวกับเป็นดอกไม้ในฝูงภมร ทางเราขอแนะนำให้แกแวะซื้อขนมแมวเลียจากบนฝั่งแล้วพกติดกระเป๋ามาด้วย มาถึงก็ฉีกซองโชว์น้องแมว รับรองว่าน้องแมวเดินตามส่งเสียงร้องเหมียว ๆ กันเป็นแถวอย่างแน่นอน อีกเรื่องที่สำคัญคือเราอยากให้แกเผื่อเวลาในการมาที่นี่ให้ดี ๆ เพราะเอาเข้าจริงเราสามารถอยู่ที่นี่ได้แบบครึ่งวันโดยไม่มีเบื่อเลย เพราะนอกจากน้องแมวจะน่ารักแล้ว ที่นี่ก็ยังมีร้านอาหารอร่อย ๆ ราคาดี ที่มีวัตถุดิบสดส่งตรงจากท้องทะเลให้แกได้ฝากท้อง มีคาเฟ่แมวที่มีของที่ระลึกไว้ละลายทรัพย์ให้แกได้ช้อป และมีจักรยานทั้งแบบจักรยานแม่บ้านและจักรยานไฟฟ้าให้แกได้ปั่นเที่ยว รู้ตัวอีกทีคือหมดเวลาไปมากกว่าที่คิดอย่างแน่นอน

004 : Kurasokoto café

สุดท้ายของเมืองอันครบเครื่องนี้เราขอแนะนำ Kurasokoto café คาเฟ่บ้านไม้สองชั้นที่อยู่ท่ามกลางป่าสน บอกเลยว่าคาเฟ่นี้เป็น Hidden Gem ที่แท้ทรู เพราะการเดินทางค่อนข้างมายากสำหรับคนที่ไม่รถ แต่ถ้าได้มาแล้วคือคุ้มค่ามาก ๆ ตัวร้านออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ แต่ก็โดดเด่นในสไตล์เรียบแต่โก้ตามแบบฉบับของชาวแดนอาทิตย์อุทัย ชั้นล่างเป็นคาเฟ่ขายเครื่องดื่มและขนมนมเนยนิดหน่อย มีทั้งเมนูโดนัทและบิงชูในหน้าร้อน ส่วนด้านบนจะขายเป็นสินค้าแฮนด์เมทที่แสนกิ๊บเก๋ยูเรก้า รวมถึงเสื้อผ้าน่ารักตามสไตล์สาวญี่ปุ่นไว้ด้วย

ซึ่งวันที่เราไปอดทานบิงชูของทางร้านเนื่องจากเป็นวันที่ไม่รับลูกค้า walk in ดังนั้นหากใครสนใจจะไปแนะนำว่าให้เข้าไปเช็คและจองคิวดูรายละเอียดที่เพจของทางร้านก่อน จะได้ชิมบิงชูที่เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเค้า แต่ถึงอย่างนั้นสตรอเบอร์รี่โซดาซ่า ๆ กับโดนัททอดหอม ๆ ก็ทำให้บรรยากาศที่ดีอยู่แล้วดีขึ้นได้อีกมาก ๆ ในพริบตา ราวกับเวลาหมุนไวขึ้นจากความสุข พร้อม ๆ กับจิตใจก็สงบขึ้นมากเช่นกัน ที่นี่จะมานั่งพักผ่อนเฉย ๆ ก็เพลินดี หรือจะมานั่งสลับกับถ่ายรูปก็ได้มุมแปลกตาไม่ซ้ำใครอยู่เหมือนกัน เรียกว่าได้ประโยชน์สองเด้ง คุ้มค่าการเดินทางอยู่ไม่น้อย

:: Kumamoto ::

คาดเข็มขัด แล้วเหยีบคันเร่งอย่างระมัดระวังแล้วเราก็มุ่งหน้ากันไปต่อที่เมืองคุมาโมโตะ เมืองที่แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้เราเผลออมยิ้มแบบไม่รู้ตัว เพราะเจ้ามาสคอตคุมะมงหมีสีดำแก้มแดงท่าทางยียวนได้ฝังชิพแห่งความสุขให้เราตั้งแต่ก่อนเยือนที่นี่มานานแล้ว และนอกจากความน่ารักของเจ้าหมีดำแล้ว ที่นี่ก็ยังสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันแสนสวยงามให้เราได้ใช้เวลาเอื่อยเฉื่อยสูดอากาศบริสุทธิให้เต็มปอดอีกหลายแห่ง ส่วนจะมีที่ไหนโดนใจบ้างตามมาดูได้เลย

005 : Nabegataki Falls

ที่แรกที่เราอยากจะแนะนำพวกแกก็คือ Nabegataki Falls น้ำตกสูง 10 เมตร ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด Kumamoto ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมได้ไม่นานนี้เอง จากจุดจอดรถเดินผ่านทางเล็ก ๆ ที่โอบล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวขจีหายใจเข้าออกไม่เกิน 3 นาที เราก็จะพบกับม่านน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำไหลแรงตลอดทั้งปีจนคล้ายกับเป็นกำแพงน้ำตกกำลังเริงระบำทิ้งตัวสู่เบื้องล่าง สาดกระเซ็นความเย็น และความสุขแผ่ขยายกระจายรัศมีไปทั่วทิศ และถ้าหากโชคดีได้มาในช่วงที่มีฝนมาก น้ำตกแห่งนี้ขยายขอบเขตจนมีความกว้างถึง 20 เมตร แต่ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ช่วงพีคที่สุดของน้ำตกแห่งนี้เราก็ยังยืนยันได้ว่ามันทั้งสงบและสวยงาม

ส่วนไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือเราสามารถเข้าไปด้านหลังของน้ำตก เพื่อเชยชมอีกมุมหนึ่งของความสวยงามที่แปลกตาไปกว่าทุกครั้ง ได้เห็นสายน้ำที่ไหลลงมาอย่างระยิบระยับและมีแบคกราวเป็นแสงสว่างด้านนอก ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกน้ำตกแบบนี้ว่าอุรามิโนะทาคิ ข้อควรระวังสำหรับน้ำตกแบบนี้เพียงอย่างเดียวคือจะต้องเดินให้มั่นเลือกที่ยืนให้ดีเพราะความชื้นที่สั่งสมอาจทำให้แกลื่นได้ง่าย ๆ และหากใครมาในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่เป็น Golden week ของญี่ปุ่น ที่นี่จะมีการเปิดไลท์อัพที่น้ำตกช่วงเวลา 18:30-21:30 น. ด้วย ใครอยากเห็นภาพน้ำตกในตอนกลางคืนก็อย่าลืมเช็ควันให้ดีก่อนเดินทางด้วยนะ

006 : Milk Road

จุดหมายต่อไปหลังจากเที่ยวน้ำตกแบบสวยเด็ดเข็ดฟันพร้อมรางวัลขวัญใจช่างภาพแลนด์สเคปไปแล้ว เราก็ไปต่อกันบนถนน Milk Road เส้นทางที่ถูกยกย่องว่าสวยที่สุดของเมืองคุมาโมโต้ จนได้รับการเนรมิตให้กลายเป็นหนึ่งในฉากของ Animation หนังเรื่องดังอย่าง Castle in the sky เส้นทางที่สวยจนเหมือนกำลังพาเราเข้าสู่ความฝัน ถนนสายยาวสีเทาเข้มทอดตัวผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่มราวกับพรมที่ถูกปูไว้รอต้อนรับเหล่าอาคันตุกะ จนเราอดไม่ได้ที่จะลดกระจกและอนุญาตให้ออกซิเจนธรรมชาติไหลเข้าแทนที่ความเย็นจนเครื่องปรับอากาศ รถเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง และด้วยความสวย บางมุมเราก็แอบเห็นเจ้าภูเขาไฟ As oที่กำลังหัวเสียปล่อยควันขาวปะทุเคล้ากับสายหมอก เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนใครดันหลับในระหว่างผ่านถนนเส้นนี้ จงสะกิดปลุกมันสักที รับรองว่ามันต้องว้าวกับวิวตรงหน้า รีบหยิบกล้องมาถ่ายจนลืมไปเลยว่าตื่นจากฝันมาเพื่อมาดูความฝันแน่ ๆ

007 : Daikanbo Viewpoint

ปล่อยความงามให้เคลื่อนผ่านสายตามาพักนึงเราก็มาถึงวิวพ้อยท์สุดกรีนที่จะมาเพิ่มอะดีนารีนให้หลั่งแบบเกิน 100 ณ Daikanbo Viewpoint จุดชมวิวแบบ 360 องศาที่จะหยุดความงามเอาไว้ตรงหน้าและนำพาธรรมชาติมาโอบล้อมรอบตัวแก พิเศษแบบไม่ต้องใส่ไข่เมื่อแกหันหน้าไปทางทิศเหนือเพราะสิ่งที่จะได้เห็นคือวิวภูเขาอะโสะผู้แสนยิ่งใหญ่ ของดีแห่งเมืองอะโสะที่ความสวยงามจะแปรเปลี่ยนไปในทุกฤดูอยู่เบื้องหน้า ทำให้ไม่ว่าฤดูไหน ๆ นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติต่างก็พาตัวเองมาชื่นชมความงามของที่นี่ไม่มีขาดสาย หากใครอยากเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวชะอุ่มสุดสายตาคล้ายทุ่งหญ้าของเหล่าเทเลทับบี้ก็ควรมาในช่วงฤดูฝนและซัมเมอร์ หากอยากเห็นสีทองอร่ามงามตาทั่วทั้งเขาเราแนะนำฤดูใบไม้ร่วง แต่ถ้าอยากเห็นภูเขาลูกนี้กลายเป็นสีขาวโพลนฤดูหนาวจะเป็นคำตอบให้แกเอง

อิ่มตาอิ่มใจกับวิวที่สวยสะกดที่นี่ก็ยังสามารถอิ่มท้องไปพร้อมกันได้ด้วย เพราะบริเวณจุดชมวิวนี้มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเปิดให้บริการอยู่หลายร้าน จะเลือกจัดหนักให้พุงปลิ้น เลือกฟินเบา ๆ กับของหวาน หรือเลือกทานทั้งสองอย่างก็คุ้มค่าทั้งรสอาหารและรสของวิว ส่วนใครอยากเห็นภูเขาอะโสะแบบชัด ๆ ก่อนกลับก็อย่าลืมไปใช้บริการกล้องส่องทางไกลไว้ซูมภูเขาให้ใกล้จะถึงใจ จะได้ขับรถไปแบบแฮปปี้เว่อร์วัง

008 : Kusasenri

หลังจากใช้เวลาเพลิดเพลินอย่างเต็มที่บนวิวพ้อยท์ ก็ได้เวลาโบกมือสามทีและกล่าวคำสัญญาว่าในไม่ช้าเราจะมาพบกันใหม่ แล้วก็ไปต่อยังจุดหมายถัดไปที่ Kusasenri ทุ่งหญ้าขนาดหย่ายยยยยยที่อยู่ไม่ไกลจากปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ ที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินชมความงามแบบอิสระหรือขึ้นหลังม้าชมวิวแบบเท่ ๆ ดังนั้นสำหรับคนเท่ที่มีซันนี่เป็นไอดอลอย่างเรา ขอเลือกจ่าย 1300 เยนแล้วขึ้นหลังม้า จำลองตัวเองประหนึ่งเป็นคุณชายจากดินแดนอันไกลโพ้นที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลม้าเป็นองครักษ์คอยประกบไม่ห่างกาย งานนี้บอกเลยว่าคอสตูมต้องพร้อม ถ้ายังไม่พร้อมอนุญาตให้กลับไปที่รถแล้วเปลี่ยนทันที ก็โอกาสที่จะได้ขึ้นหลังม้าชมวิวนั้นมีเฉพาะช่วงเดือนมีนาถึงธันวาคมโอนลี่นะจ้ะ นอกจากเสียงฝีเท้ากุบกับของเจ้าม้า และเสียงรัวชัตเตอร์ของเพื่อนที่เดินตามถ่ายรูปก็คงจะมีอีกเพียงหนึ่งเสียงที่ดังอย่างไม่ขาดสาย ไม่ใช่ที่ไหนไกลแต่เป็นเสียงของตัวเราเองที่อุทานเพราะตกใจในความสวยของวิวตรงหน้าทุกครั้งที่เจ้าม้าพาเราเปลี่ยนมุม

009 : Mt. ASO Nakadake Crater

ความประทับใจที่คิดว่าสุดแล้ว มันก็ยังสุดได้อีก เมื่อได้ยลโฉมวิวของ Mt.Aso จาก Nakadake Crater จุดชมปากปล่องภูเขาไฟ ที่เราสามารถเข้าชมได้เพียงบริเวณรรอบ ๆ เท่านั้นในตอนนี้ เพราะเจ้าอะโสะกำลังอยู่ในช่วงหัวเสียพร้อมปะทุอย่างดุเดือดและปล่อยกลิ่นกำมะถันไล่ทุกคนที่เข้ามาใกล้อย่างไม่ใยดี และถึงเจ้าตัวจะไม่ต้อนรับขับสู้สักเท่าไหร่ แต่เหล่านักเดินทางก็ยังพร้อมใจกันมาเชยชมความยิ่งใหญ่ของ Mt.Aso หนึ่งในกลุ่มภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยความสูง 1,592 เมตรจากระดับน้ำทะเลแห่งนี้อย่างไม่ย่อท้อ ด้านบนภูเขาประกอบไปด้วยยอดเขา 5 ยอดคือ Nekodake, Takadake, Nakadake, Eboshidake, Kijimadake แต่ที่ยังประทุอยู่เหลือเพียง Nakadake ที่เรามาแอบดูวันนี้เท่านั้น เพราะงั้นหากใครจะเดินทางไปเที่ยวจะต้องเช็คสถานะของปล่องภูเขาไฟก่อนมาทุกครั้ง เผื่อว่าถ้าปริมาณกำมะถันที่ออกมาจากปล่องภูเขาไฟมากเกินไป หรือมีความเสี่ยงว่าระเบิดตู้มก็อาจไม่เหมาะที่จะมาเที่ยวในช่วงนั้น

:: Oita ::

จังหวัดถัดมาก็ยังคงความธรรมชาติเขียว ๆ เหมือนเดิมแต่เพิ่มเติมคือน่ารักแบบฉุดไม่อยู่ ที่นี่เป็นอีกจังหวัดของภูมิภาคคิวชูที่เป็นเมืองเล็ก ๆ จนหลายคนแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้กลับมีเสน่ห์ที่ถ้าแกลองได้แวะไปสัมผัสรับรองได้ว่าจะต้องหลงรักในความเรียบง่ายแสนจะธรรมดาและเสน่ห์แบบญี่ปุ่นดังเดิมที่แสนจะมีน้ำใจและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รวมถึงธรรมชาติที่สวยงามโดยเฉพาะป่าเขาและน้ำพุร้อนที่ดังติดอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น ที่เราสามารถนอนแช่ออนเซ็นร้อน ๆ ที่ส่งตรงจากหุบเขาในเรียวกังท่ามกลางธรรมชาติได้แบบไม่มีเบื่อจนอยากจะนั่งทิ้งตัวยกหัวใจอยู่ในเมืองนี้ไปนาน ๆ

010 : Yufuin Floral Village

ตัดความหวือหวามาหาความคิ้ว ที่บอกได้เลยว่านี่คือการเปลี่ยนฉากการเดินทางที่ชวนตื่นเต้นมากที่สุดฉากหนึ่ง เพราะยังไม่ทันที่เราจะลืมภาพภูเขาไฟที่พวยพุ่งเราก็เจอเข้ากับเมืองที่ทั้งคิ้วท์และคูล ดูมุมไหนก็สดใสที่ Yufuin Floral Village หนึ่งในแลนด์มาร์คของยูฟุอิน ที่จำลองหมู่บ้านสไตล์ยุโรปสีเหลืองอ่อน พร้อมดอกไม้นานาชนิด มาเนรมิตฟีลลิ่งให้เหมือนหลุดเข้าไปโลกของเทพนิยายจนเผลอลุ้นว่าจะมีเจ้ากระต่ายสีขาวหูยาวมาเดินนำเราไปยังโพรงไม้ในป่าลึกรึเปล่านะ แต่ละร้านก็นำเสนอไอเดียและสินค้ากันแบบเต็มเหนี่ยว น่ารัก น่าช้อปไปซะหมด ถ้าไม่อดใจไว้ให้ดีมีเสียทรัพย์ถึงขั้นล้มละลายแน่ ๆ

011 : Yunotsubo street

แพ้พ่ายให้ความน่ารักและของกระจุกกระจิกในหมู่บ้านดอกไม้ไปแล้ว ใกล้กันก็มีถนนคนเดินที่ยาวกว่า 800 เมตร พร้อมร้านรวงที่เรียงรายตลอดสองฝั่งถนนสลับกับบ้านเรือนญี่ปุ่นโบราณให้เราได้พ่ายแพ้และพร้อมล้มละลายกันอีกระลอก เพราะไม่ได้มีแค่ร้านขายขนมนมเนยที่ส่งกลิ่นหอมยั่ว ๆ ให้แวะชิมตลอดทางเท่านั้น แต่ยังมีร้านขายของจากสตูดิโอ Ghibli Moomin, Snoopy รวมถึง Totoro และ Ponyo ให้เหล่าแฟนคลับทั้งหลายกรี๊ดกร๊าดเลือกซื้อกันจนตาลายอีกด้วย ส่วนใครสายสตรีทที่นี่ก็ทีมีรถลากโบราณสไตล์ Jinrikisya ให้เรานั่งเก๋ ๆ ชมเมืองด้วยจ้า

เดินเล่นลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นถนนก็มีอะไรให้ดูให้ชมตลอดสองข้างทาง แต่แล้วก็มาสะดุดตาหยุดเข้ากับร้านโรลเค้กร้านนึงที่มีคนต่อแถวยาวท่ามกลางสายฝนที่ปรอย ๆ แบบไม่กลัวจะป่วย จนเราเหมือนโดนสะกดจิตให้ไปยืนต่อแถวแบบไม่รู้ตัว ร้านนี้มีชื่อว่า B-Speak เป็นร้านโรลเค้กประจำเมืองยูฟูอินที่ดังมาก เปิดขายมานานกว่า 20 ปี มีโรลให้เลือกเพียง 3 รสชาติ คือ แบบสอดไส้ครีมวานิลลา แบบต้นตำรับ และชาเขียวมัจฉะที่เพิ่งออกใหม่ คิดไม่ตกว่าจะเลือกรสไหนดีแต่พอถึงคิวก็คิดได้ว่าออริจินอลเท่านั้นที่เราต้องคู่ควร พอตักเข้าปากคำปากก็เข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงต่อแถวยาวเบอร์นี้ เนื้อโรลนุ่มละมุนลิ้น แทบละลายในปาก ส่วนตัวครีมสดก็รสหวานมันกำลังดีตักอีกกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

ราวกับกระเพาะของหวานไม่มีวันเติมเต็ม แม้จะอิ่มฟินส์กับโรลแสนอร่อย แต่พอเดินไปอีกไม่ไกลเราก็พาตัวเองเลี้ยวเข้าร้าน Nico ร้านโดนัทโฮมเมทสุดน่ารัก ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งถนนจนอยากของหวานอีกครั้ง ตัวร้านเป็นบ้านไม้สีขาวดูอบอุ่น ตกแต่งน่ารัก และอยู่ห่างสถานี yufuin ประมาณ 230 เมตรเท่านั้น ที่นี่มีเมนูโดนัทให้เราเลือกเยอะมากทั้งแบบ Original โรยน้ำตาล แบบเคลือบน้ำเชื่อมรสช็อกโกแลตสีต่าง ๆ หรือแม้แต่แบบฟิวชั่นที่เอาไว้กินกับไอศครีมหวานเย็นก็มีให้เลือก งานนี้หามุมดี ๆ แล้วนั่งละเลียดกับขนมปังที่มีรูตรงกลางพรางจิบกาแฟร้อนตามเป็นอันแฮปปี้มีความสุขแบบหวานฉ่ำ

012 : Kirin Lake

อีกหนึ่งสถานที่ชมวิวที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคคิวชูที่อยู่ ณ เมืองยูฟุอินก็คือบริเวณทะเลสาบคินริน Kinrin Lake ทะเลสาบเล็ก ๆ ที่กว้างเพียง 400 เมตร ลึกเพียง 2 เมตรเท่านั้น แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะน้ำใสที่ไหลอยู่ตรงหน้าเรานี้เกิดจากน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนไหลมารวมกัน ทำให้สระแห่งนี้มีน้ำที่อุ่นอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งในฤดูหนาว หากมาที่นี่ในช่วงเช้าเราจะมีโอกาสได้เห็นหมอกลอยเหนือพื้นน้ำจะยิ่งทำให้ทัศนียภาพน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น และเจ้าทะเลสาบเล็ก ๆ แห่งนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศได้ไม่ซ้ำในทุกฤดู ดังนั้นใครที่เคยมาเยือนที่นี่แล้วก็ยังสามารถมาที่นี่ซ้ำเพื่อเฝ้าดูฉากที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลได้อย่างไม่น่าเบื่ออีกด้วย

013 : Tadewara Marsh

จากธรรมชาติที่สดชื่นสู่ Tadewara Marsh อีกหนึ่งที่เที่ยวธรรมชาติที่แสนประทับใจ ต้นหญ้าสีเขียวชวนฝันกับด้านหลังคือภูเขาคูจูลูกย่อมที่กำลังเคล้าคลอกับหมอกจาง ๆ หือออ เอาจริงไม่รู้จะบรรยายความธรรมดาอันแสนเลิศเลอนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ยังไงจึงจะเหมาะสม มันคือองค์ประกอบที่เรียบง่ายมาก ๆ ถ้าเป็นภาพวาดนี้ก็คงเป็นแค่จินตนาการของเด็กอนุบาลด้วยซ้ำ แต่แปลกที่เรารู้สึกว่ามันคือมาสเตอร์พีชของญี่ปุ่นที่ควรค่าแก่การชื่นชม ดูแล รักษา ที่นี่คือหนึ่งในพื้นที่ชุ่มน้ำเพียงไม่กี่แห่งของประเทศญี่ปุ่น เขตอุทยานแห่งชาติ Aso Kuju NationalPark พื้นที่รวมตัวของนกหายากดอกไม้หลากชนิดและสัตว์อีกหลายสายพันธุ์ เป็นความหลากหลายทางพันธุกรรมที่อยู่รวมตัวกันอยู่เงียบ ๆ ด้านในเราสามารถเลือกชมความงามได้สองระยะบนสะพานไม้สีอ่อนนี้คือทางเดินแบบสั้น ๆ 800 เมตร และทางเดินแบบจุใจระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร

014 : Jigoku Meguri Beppu

สถานที่ถัดมาแม้ว่าจะอยู่ในจังหวัดโออีตะ แต่เราจะย้ายจากเมืองยูฟุอินไปยังอีกเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อน Beppu สถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาแช่ออนเซ็นและอบทรายร้อนริมทะเล รวมถึงการตระเวนเที่ยวชมบ่อน้ำพุร้อนทั้ง 8 แห่ง ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ โซน Kannawa และ โซน Shibaseki ซึ่งบ่อน้ำพุแต่ละบ่อนั้นก็จะมีลักษณะและจุดเด่นแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วยแร่ธาตุที่แตกต่างกันจึงทำให้น้ำพุร้อนในแต่ละบ่อมีสีที่แตกต่างกันไปด้วย

ใครอยากจะตระเวนให้ครบทั้งแปดบ่อก็ทำได้ แต่ของเราขอเลือกแบบพอกรุบกริบคือ 2 บ่อที่เราคิดว่าน่าสนใจและเป็นไฮไลท์มากที่สุด โดยเริ่มจากบ่อแรกที่มีชื่อว่า Umi Jigoku หรือที่แปลว่า ทะเลเดือด อันเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟสึรุมิ (Mt. Tsurumi) เมื่อ 1,200 ปีก่อน ส่งผลให้น้ำในบ่อเปลี่ยนเป็นน้ำสีฟ้า Cobalt blue และมีอุณหภูมิน้ำสูงถึง 98 องศา ที่นี่ยอมรับเลยว่ามันสวยแปลกตามากพระเจ้าบ่อน้ำสีฟ้าที่มองเผิน ๆ เราคงนึกว่ามันเย็นฉ่ำชื่นใจน่ากระโดดลงไปเล่น แต่พอเข้าไปใกล้ไอน้ำและกลิ่นของแก๊สที่ลอยมาปะทะหน้า ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่ามันร้อนและอันตรายเกินกว่าจะแช่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีมันก็จัดว่าเป็นมุมที่ถ่ายรูปออกมาได้สวยแบบเหลือเชื่อเลยล่ะ

ถัดจากบ่อสีฟ้าสดใสก็มีอีกบ่อที่เราสามาถเดินชมได้ไม่ไกลกันนั่นก็คือบ่อโคลนเดือด Oniishibozu Jigoku จุดเด่นของบ่อนี้คือโคลนร้อนที่มีฟองน้ำโคลนเดือดปุด ๆ เป็นลูกกลม ๆ และตีแผ่ออกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา ดูแปลกตาดี ซึ่งภายในบริเวณเดียวกันก็จะมีบ่อย่อยให้ชมอีก 2-3 บ่อ และควันไม่ได้เยอะอลังการเท่าบ่อสีฟ้าเพราะงั้นจึงเดินชมสบายไม่รู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกปลอม แถมยังมีบ่อน้ำร้อนเล็ก ๆ ให้เราสามารถไปนั่งแช่เท้าคลายความเมื่อยล้าได้อีกด้วย จุดนี้ล่ะที่ถือว่าเด็ด

:: Miyazaki ::

มิยาซากิอีกหนึ่งจังหวัดที่ค่อนข้างห่างไกลจากความรับรู้ แต่เมื่อได้รับรู้แล้วก็เหมือนเมืองอื่น ๆ ที่ยังคงทำให้เราตกหลุมรักญี่ปุ่นอย่างหัวปักหัวปลำ แม้คนไทยจะไม่ค่อยได้ยินชื่อนักแต่รู้มั้ยว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเลยนะ เพราะมีที่ท่องเที่ยวมากมายทั้งภูเขา ทะเล วัดวา และพิพิธภัณฑ์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ครบเครื่องไม่แพ้ใครและมีจุดเด่นไฉไลไม่แพ้เพื่อน แต่ถึงแม้รอบนี้ทางเราจะมีโอกาศไปแวะแค่หนึ่งแลนด์มาร์คของจังหวัด แต่บอกได้เลยว่ามันจะเป็นจุดแลนด์มาร์คที่จะทำให้ทุกคนตกหลุมรักจนต้องหาโอกาสไปเยือน

015 : Takachiho Gorge

จุดหมายปลายทางสุดท้ายที่จะทำให้แกต้องร้องว้าวจนอาบปากค้าง เพราะนี่คือนางเอกของทริปเราก็ว่าได้ ท่ามกลางภูมิภาคที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ก็ย่อมมี hidden gem แอบซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับภูมิภาคนี้เราขอยกให้ Takachiho Gorge ช่องเขาทาคาจิโฮะที่เกิดจากการแข็งตัวของธารลาวาในยุคโบราณนี้เป็นอันดับหนึ่งในใต้ล้าไปเลยแล้วกัน เพราะวิวขนาดนี้ไม่ได้หาดูกันง่าย ๆ อย่างแน่นอน แนวหน้าผาที่ตั้งตระหง่านมันเป็นกำแพงสีเทาดำสูงใหญ่กว่า 80 เมตร และมีลวดลายสวยงามตามธรรมชาติช่างคมเข้มตัดกับสีน้ำเงินอมเขียวของแม่น้ำ Gokase ที่ไหลผ่านมาตรงกลางราวจับวาด ซ้ำยังมีเสียงของน้ำตก Manai น้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นสายเล็ก ๆ เป็นเครื่องดนตรีประกอบ ทำให้องค์ประกอบของที่นี่สวยงามจนยากที่จะบรรยายหรือเปรียบเทียบได้

ที่นี่แกสามารถเลือกเส้นทางเดินชมธรรมชาติระยะทาง 1 กิโลเมตร เพื่อเสพอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดได้ หรือจะเลือกเช่าเรือพายแล้วพายไปตามช่องเขาบนแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ออกแรงแขนผ่านการพายเรือ ออกแรงนิ้วชี้ผ่านการรัวชัตเตอร์ แค่นี้ก็คุ้มค่ากับราคาเช่าเรือที่อยู่ที่ 2000 เยนต่อ 30 นาที ที่สามารถนั่งได้สูงสุด 3 คน ถือเป็นราคาที่โคตรคุ้มค่าเพราะเราจะได้พายเรือท่ามกลางแม่น้ำสายสีเขียวมรกต ได้แอบมองเจ้าเป็ดน้อยที่ว่ายน้ำไปมาแบบใกล้ชิด ได้รับความสดชื่นจากละอองของน้ำตกที่สาดกระเซ็น ให้ตายเถอะ เราได้แต่คิดว่าทำไมมันสวยอะไรแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา และหากแกมีโอกาสมาที่นี่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน แกจะได้เจอกับการประดับไฟตามทางเดินและไฟส่องน้ำตกด้วยแสง LED ที่มีทั้งสีฟ้า สีเหลือง สีม่วง สีชมพู และอื่น ๆ สลับไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นและสวยงามมมมมมมมมมมขึ้นอีกหลายเท่า คิดแล้วก็ก้มหน้าเช็ควันลาหาตั๋วโปรวนไป

หลังจากพายเรือ เราก็มาเติมพลังกับอาหารขึ้นชื่อของหุบเขา Takachiho นี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Nagashi Somen หรือโซเม็งรางไม้ไผ่ ที่มีวิธีการทานไม่ธรรมดา โดยเส้นโซเมนนุ่ม ๆ นั้น จะไหลมาตามน้ำเย็น ๆ ในกระบอกไม้ไผ่ ให้เราใช้สกิลในการคีบมาจิ้มกินกับซอสและเซตอาหารที่เราเลือก เป็นวัฒนธรรมการกินที่ดูตื่นเต้นดีมีมาตั้งแต่สมัยก่อน ใครได้มาต้องลองมาชิมให้ได้นะ เพราะสำหรับเราแล้วเป็นอีกหนึ่งมื้อที่อร่อยแปลกใหม่แถมยังสนุกอิ่มท้อง อิ่มใจ มีเรื่องไว้เล่าเป็นกำไรชีวิตอีกด้วย

จบไปอีกหนึ่งทริปดีดีที่ ภูมิภาคคิวชู ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัญมณีสีมรกตของเกาะทางใต้ กับ 4 จังหวัดที่ชวนตกหลุมรัก กับสถานที่ท่องเที่ยวที่เราพามาชมแบบเบา ๆ เพราะมันไม่มีที่เที่ยวแค่ที่เราหยิบยกมาเล่าเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกเพียบรอแกออกค้นหาอยู่ ถ้าอยากลองเที่ยวญี่ปุ่นในมุมที่ต่างออกไปจะตามรอยทริปเราเป๊ะ ๆ หรือหาทริปใหม่แบบปัง ๆ เราก็เชื่อว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับทุกคนที่ออกเดินทางอย่างแน่นอน เพราะธรรมชาติคือความลงตัวที่ไม่ต้องอาศัยการปรุงแต่ง คือที่ปรึกษาที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ย คือยาชั้นดีที่ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน คือของขวัญที่ล้ำค่า คือสิ่งที่เราต้องร่วมกันรักษาเพื่อให้ในอีก 5 ปี 10 ปีหรือ 100 ปีข้างหน้า ความสวยงามเหล่านี้จะได้ยังอยู่เป็นแรงใจให้คนรุ่นต่อ ๆ ไป ยื่นใบลาแล้วออกเดินทางไปหาธรรมชาติที่ญี่ปุ่นกันได้แล้ว