ไม่ต้องเกริ่นนำให้มากความแค่รูปแรกก็คงจะเห็นกันอยู่แล้วว่าทริปนี้ต้องดีแน่ ๆ ยิ่งพอเอ่ยชื่อออกมาเป็นต้องร้อง อ๋อ.. เพราะหลายคนคงคุ้นชินมานาน แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสักทีกับ “เลห์ลาดัก” ด้วยความงามหมดจดที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกยอมรับ เทือกเขาน้อยใหญ่สลับกันไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมหิมะที่ปกคลุมยอดและตามเนินสูงมากมาย บนภูมิประเทศสุดพิศวงเกินคาดเดาว่าระหว่างทางเราจะได้เจอกับอะไรบ้าง จนหลายคนคงคิดว่าการมาเที่ยวที่นี่มันคงยุ่งยากน่าดู ทริปนี้เราเลยจะพาไปให้รู้ว่าเที่ยวที่นี่มันง่ายแค่นิดเดียว ขอแค่มีแก๊งเพื่อนคู่ใจที่พร้อมลุยไปกับเรา นั่งรถได้ยาว ๆ เหนื่อยก็พัก สวยก็แวะ เปิดประสบการณ์กับอาหารท้องถิ่นที่แปลกตาแต่เพลินปากด้วยการแบ่งกันชิม เจอปัญหาก็ช่วยกันแก้ เจออะไรดี ๆ ก็สะกิดกันไปมุง นี่แหละเสน่ห์ของการเดินทางที่จะทำให้เราได้อิ่มตา อิ่มใจจนลืมไม่ลงเลยล่ะ
แม้จะแพลนทริปทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี แต่จงจำไว้เสมอว่าความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งเที่ยวลุยแบบเราทริปนี้เสี่ยงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบินดีเลย์ เกิดอุบัติเหตุหรือเกิดเจ็บป่วยสภาพร่างกายพังจนต้องเข้าโรงพยาบาล รวมถึงเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้ทริปสะดุด สร้างปัญหาให้เราไม่น้อย ดังนั้นทุกครั้งก่อนการเดินทางไม่ว่าจะเที่ยวแบบชิล ๆ หรือไปแบบลุย ๆ ทางที่ดีที่สุด คือการหาตัวช่วยให้เราผ่านพ้นปัญหานั้นได้ง่ายขึ้น คือเราต้องทำประกันภัยเดินทาง เพราะจะได้อุ่นใจเหมือนมีคนคอยดูแลเราตลอดทริปเลยก็ว่าได้ ซึ่งจุดนี้ทางเราอยากแนะนำประกันเดินทาง i-Insure บอกเลย!! ว่านางดูแลเก่งเว่อร์ คุ้มครองครอบคลุมทุกปัญหาที่เราพูดมา ตั้งแต่ออกจากบ้าน จนกลับถึงบ้านก็คุ้มครองต่อไปอีก 7 วัน ยิ่งซื้อตอนนี้โปรดี๊ดี ไปถึง – 30 กันยายน 2562 นางยังให้โปรสุดคุ้มแบบจุก ๆ ถึง 2 ต่อ ต่อแรก สะสมไมล์ไว้บินฟรี เบี้ยประกันภัยเดินทางทุก 5 บาท รับ 1 ไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส หรือ 1 คะแนน แอร์เอเซีย Big Point ต่อที่สอง เบี้ยประกันภัยเดินทางทุก 500 บาท เลือกรับส่วนลดใช้แทนเงินสดได้ 1 สิทธิ์ e-Coupon จาก Starbuck, ค่าอาหาร-เครื่องดื่ม Bar B Q Plaza, ค่าเช่า Pocket Wi-fi หรือ Sim card จาก Wi-Ho! ตามไปดูรายละเอียดเพิ่มได้เลยที่ https://www.kpi.co.th/Company/Blog/151 จัดไปเลยจ้า!!! คุ้มฝุด ๆ
Day 1
Flight ::
ถ้าถามถึง How to การไปเลห์ที่สะดวกที่สุดตอนนี้ ก็คงต้องนั่งเครื่องไปลงที่กรุงเดลี เมืองหลวงประเทศอินเดียก่อน เพราะยังไม่มีสายการบินไหนบินตรงจ้า จากนั้นก็ต่อไฟล์ทบินในประเทศไปที่เลห์อีกที ระยะเวลาก็ไม่ถึงกับเมื่อย รวม ๆ แล้วก็ 5 ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้นเอง ( กรุงเทพฯ – เดลี 4 ชม. และ เดลี – เลห์ 1.30 ชม.) จากเดลีไปเลห์เราขอแนะนำให้ทุกคนเลือกที่นั่งฝั่งซ้าย แล้วเปิดหน้าต่างเอาไว้ให้สุด เพราะสวยพีคจนไม่อยากกะพริบตากับภาพทิวเขาสูงใหญ่ที่มีหิมะปกคลุมสลับซับซ้อนจนสุดตาราวกับภาพวาดที่ธรรมชาติสรรสร้างอย่างวิจิตรบรรจง ทำเอาคนขี้เซาอย่างเราต้องตื่นตลอดเที่ยวบิน ยิ่งใกล้ถึงวิวยิ่งพีค บอกเลยว่ามันเป็นซีนแรกของเริ่มต้นทริปที่น่าประทับใจสุด ๆ
LEH City ::
เครื่องลงปุ๊ป รับกระเป๋าเสร็จสรรพเราก็ออกมาเจอไกด์ที่เราติดต่อซื้อทัวร์ไว้ตั้งแต่ตอนทำแพลนเที่ยว สิ่งหนึ่งที่เราอยากให้คำนึงเอาไว้คือเลห์อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,000 เมตร สำหรับคนพื้นราบอย่างเรา ก็เป็นระดับที่สามารถสร้างความวิงเวียน และหายใจยากพอสมควร ดังนั้นก่อนการเดินทาง 24-48 ชม. ควรกินยา Diamox ปรับสภาพร่างกาย เพื่อป้องกันโรค Altitude Sickness (โรคแพ้ความสูง) ถ้าแพ้หนัก ๆ จะมีอาการมึนหัว อาเจียน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้จะมั่นใจว่าร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดโรคนี้นะฮะ เพราะฉะนั้นควรกันไว้ก่อนดีที่สุดเด้อ
Shanti Stupa ::
หลังจากพักผ่อนกันเต็มอิ่ม ร่างกายเริ่มปรับสภาพ ประมาณสี่โมงเย็นพี่ไกด์ก็มาเคาะประตูพร้อมบอกว่าให้แต่งตัวหนา ๆ แล้วจะพาไปเช็คอินโลเคชั่นแรกกันที่ “Shanti Stupa” หรือเจดีย์สันติภาพ เจดีย์สีขาวทรงโดมตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมือง จุดนี้มีลมโกรกแรงตลอดเวลาจนจมูกแห้งกันเป็นแถว หันไปหันมาก็ไปสะดุดตาที่ธงมนต์ 5 สี สัญลักษณ์ของชาวพุทธในเมืองเลห์ การมีไกด์ทำให้เรารู้ว่าทั้ง 5 สีนั้นมีความหมายที่แตกต่าง คือ สีแดง = Fire (ไฟ), สีขาว = Air (ลม), สีน้ำเงิน = Water (น้ำ), สีเหลือง = Land (ดิน), สีเขียว = Environment (ไม้) สะท้อนความเชื่อเรื่องความสมดุลของธาตุในร่างกายและธรรมชาติ ถ้าบ้านไหนนับถือศาสนาพุทธก็จะมีธงมนต์นี้ประดับอยู่บนตัวบ้านนั่นเอง ส่วนตัวเจดีย์นี้เริ่มสร้างปี 1983 แล้วเสร็จเมื่อปี 1991 โดยพระภิกษุชาวญี่ปุ่นร่วมมือกับพระลามะชาวเลห์ ด้วยความตั้งใจที่อยากให้ศาสนาพุทธกลับสู่ต้นกำเนิด ณ ประเทศอินเดีย จึงได้เริ่มรวมเงินบริจาคจากชาวบ้านและรัฐบาล สร้างเจดีย์แห่งสันติภาพแห่งโลกนี้ขึ้น
นอกจากประวัติที่น่าชื่นชมแล้ว วิวจากบนนี้ยังทำให้ใจเต้นแรง ตาลุกวาวได้เช่นกัน เราสามารถเห็นเมืองเลห์แบบพาโนราม่าได้โดยไม่ต้องเดินให้เหนื่อย วิวภูเขาน้ำแข็งนับร้อยเป็นแแบ็คกราว เบื้องหน้าเต็มไปด้วยบ้านทรงทิเบตสีขาวเรียงรายสลับต้นไม้แห้งในหน้าหนาว สร้างสีโทนเดียวกัน เหมือนใส่ฟิลเตอร์ภาพถ่ายเอาไว้ วิวแกรนด์ ๆ ของที่นี่ถือเป็นไฮไลท์สำหรับการเปิดทริปวันแรกของเราได้ดีเลยทีเดียว แสงเย็นและลมโกรกที่เราเริ่มชินก็ทำให้เราอยากอยู่บนนี้ให้นานอีกหน่อย ดื่มด่ำได้สักพักก็มีเสียงเรียกจากพี่ไกด์ให้ขึ้นรถนำเราไปสู่จุดหมายต่อไป
Leh Market ::
จากบนเจดีย์สันติภาพเรานั่งรถย้อนลงมาเพียงสิบห้านาที ภาพวิวทิวเขาเปลี่ยนเป็นตลาดใจกลางเมืองได้ทันที ยามเย็นแสงส้ม ไม่ร้อนแสบแบบนี้ ได้เดินชมตลาดก็ดีเหมือนกัน เผื่อวันสุดท้ายมีเวลาจะมาละลายทรัพย์กวาดของฝากไปให้เพื่อน ๆ สักหน่อย ตลาดกลางเมืองนี้ก็เหมือนถนนคนเดินทั่วไปที่มีของฝากปักชื่อเมืองทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ รวมไปถึงพืชผักประจำถิ่นก็มีแซมมาด้วย แต่ที่ต้องหยิบมาดูเห็นจะเป็น Himalaya ครีมที่ครองใจนักท่องเที่ยวชาวไทยใครมาก็ต้องติดมือกลับไปสักสองสามกระปุก จนฉลากกำกับสรรพคุณยังเป็นภาษาไทย … ฮิตขนาดไหนคิดดูแล้วกัน ถ้าถามถึงร้านอาหารมิตรรักอาหารอินเดียคงจะปลื้มกันเป็นแถบเพราะ 80% ของที่นี้เป็นอาหารอินเดียจ้า กินนาน(แป้งอินเดีย)กันจนแก้มป่องไปเลย เลิฟมาก
Day 2
เช้าวันนี้เราตื่นมาอย่างสดใส ไร้ซึ่งอาการวิงเวียนเพราะร่างกายคงเริ่มปรับเข้ากับที่สูงบ้างแล้ว แพลนเที่ยววันนี้เป็นการเที่ยวรอบเมืองไม่ได้ออกไปไกลมากเพราะฉะนั้นยังไม่ต้องรีบเก็บกระเป๋าย้ายโรงแรม แค่อาบน้ำ แต่งตัว แต่งหน้าฉ่ำ ๆ แล้วลงมารับประทานอาหารเช้าแบบสวย ๆ แล้วพอพูดถึงอาหารเชื่อว่าหลายคนอาจจะกังวลว่ามาที่นี่จะกินยากเพราะอาหารอินเดียขึ้นชื่อเรื่องกลิ่น แต่ไม่ต้องกลัวจ่ะ.. คนไทยมาเที่ยวเยอะมาก ผู้ประกอบการจึงมีการเรียนรู้ และปรับตัวเพื่อนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร อาหารเช้านี้จึงเป็นไปแบบสากล ขนมปัง ไข่ดาว นม คอนเฟลก และกาแฟ บวกกับแดดยามเช้า และอากาศบริสุทธิ์ พาให้อาหารแสนธรรมดานี้อร่อยขึ้นหลายร้อยเท่า
เพราะการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเลห์แบบ RoadTrip ก็เป็นที่นิยมกันมาก อากาศช่วงนี้ก็เป็นใจ ระยะทางที่ต้องขับก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วก็อยากถ่ายรูปคูล ๆ เท่ ๆ แบบแก๊งค์นักบิดกับเขาบ้าง ทางเราและชาวแก๊งค์เลยโหวตกันว่าแพลนวันที่สองจะเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวแบบ One day tour จ้า.. ซึ่งค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์จะเริ่มต้นที่ 1,400 รูปีอินเดีย (ประมาณ 700 บาท) หนึ่งคันนั่งได้สองคน ใครที่กำลังสนใจวิธีนี้ขอเตือนก่อนว่า ผู้ขับขี่ควรมีความชำนาญในการขับนะฮะ เพราะทางโค้งขึ้นเขาเยอะมาก และเขายังขับรถชิดขวากันด้วย ต่างจากเราที่ชิดซ้ายมาตั้งแต่เกิด ถ้าไม่มั่นใจก็เช่ารถยนต์เอา ปลอดภัยสุดเด้อ.. วิวก็สวยเหมือน ๆ กันแหละ
Sangam view point ::
ที่แรกของนักบิดพาร์ทไทม์อย่างเราก็คือ “Sangam view point” ที่นี่เป็นวิวพอยท์ชื่อดังที่ใครมาเลห์แล้วไม่แวะชักภาพก็เหมือนมาไม่ถึง จุดนี้เราจะเห็นการบรรจบกันของแม่น้ำซันสการ์ และแม่น้ำสินธุ ที่เกิดจากการละลายของหิมะ ความน่าประทับใจคือแม่น้ำทั้งสองสาย มีสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คู่สีเขียวฟ้าแสนสดใสกำลังรวมกับเขียวฟ้าสีนมตรงจุดตัดทำให้เราได้ภาพแปลกตา เห็นความคอนทราสของสีอย่างชัดเจน เหมือนเรากำลังดูการผสมสีของธรรมชาติอย่างไม่มีวันสิ้นสุด หลังจากที่ถ่ายรูปจนจุใจ เราก็เดินทางต่อ พอเราเริ่มคุ้นชินกับการขับก็กล้าที่จะมองไปรอบ ๆ ทำให้เห็นทัศนียภาพสุดอลังการ มองเพลินจนแดดที่ว่าแรงก็ไม่ทำให้เรารู้สึกร้อน ไม่แปลกใจเลยที่ถนนของเลห์ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สวยอันดับต้น ๆ ในโลก ตลอดทางเราได้พบกับภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง เหมือนเราเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกใบนี้
Lama Yuru Gompa ::
เพราะเลห์ลาดักอยู่ติดกับทิเบตจึงทำให้ได้รับอิทธิพลทั้งวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ศาสนา รูปแบบการปกครองของทิเบตมาเต็ม ๆ จึงมีวัดของชาวทิเบตขึ้นกระจัดกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ จนได้ชื่อว่า “Little Tibet” ส่วนวัด “Lama Yuru Gompa” แห่งนี้ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเลห์อีกแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 (หรือเกือบพันปีมาแล้ว) แม้บริเวณด้านในจะไม่เหมือนวัดบ้านเราที่มีพระ หรือศิลปะตามฝาผนัง แต่ด้วยความเก่าแก่และแรงศรัทธาของชาวพุทธทิเบตที่มาสักการะนั้น ก็สร้างมนต์ขลังได้มากเช่นกัน ออ ด้านในวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เพราะฉะนั้นถ้าแกอยากเห็นก็ต้องบินไปดูเองนาจา ส่วนเราขอเอาวิวรอบ ๆ มาเป็นออเดิร์ฟล่ะกันเนอะ
Moonland ::
ถัดมาจากวัดอีกเพียงเล็กน้อยเราจะได้พบกับภูมิประเทศสุดแปลกตา จนได้ฉายาว่าดินแดนโลกพระจันทร์ (Moonland) พื้นที่ที่แสดงผลลัพธ์จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การพังทลายของภูเขาหิมะ และอดีตทะเลสาบที่แห้งขอด จนทำให้พื้นผิวของภูเขาหินแกรนิตอันใหญ่โตเบื้องหน้าเรานั้น แตกเป็นหลุมเป็นบ่อ คล้ายกับพื้นผิวดวงจันทร์ จุดนี้เหมาะมากสำหรับสายถ่ายภาพ landscape เพราะความประหลาด แปลกตานี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่า อยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่ใช่โลก สร้างความพึงพอจนเราใช้เวลาถ่ายรูป นานอยู่พอสมควร ไม่มีใครเร่ง ไม่มีใครบ่น นี่แหละข้อดีของการมาเที่ยวกันเอง
Likir Monastery ::
จุดสุดท้ายของวันนี้คือ “Likir Monastery” วัดบนเนินเขาเล็ก ๆ ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก มีอายุกว่า 954 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวาอยู่เพราะภายในวัดยังมีลามะศึกษาพระธรรม และยังเป็นศูนย์กลางการสอนศาสนาถึง 3 ภาษา คืออังกฤษ ฮินดี และสันสฤต ความโดดเด่นของที่นี่คือมีพระศรีอริยเมตไตรยองค์สีทอง ความสูง 25 เมตรประดิษฐานอยู่ พร้อมกับวิวภูเขาน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา แต่กว่าเราจะมาถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว วัดเลยดูเงียบเหงาหน่อย อยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบกลับ เพราะเมื่อไหร่ที่ฟ้ามืดการขับขี่จะค่อนข้างอันตราย จึงขอจบวันด้วยวิวงาม ๆ ที่ชาตินี้ได้มาเห็นเองกับตาก็ถือก็คุ้มแล้วก็แล้วกัน
Day 3
On the Way to Nubra ::
แพลนวันนี้คือพวกเราจะลัดเลาะเที่ยวไปเรื่อย ๆ โดยมีปลายทางที่หมู่บ้าน Nubra ที่พักของพวกเราในคืนนี้นั่นเอง ซึ่งจากตรงนี้การเดินทางจะเริ่มยาวนาน และลำบากขึ้นหน่อย แนะนำให้นอนพักเอาแรงกันเยอะ ๆ นะจ๊ะ วันนี้ไกด์ของเราจะเป็นคนขับรถพาเราไปเที่ยวเอง ในระหว่างที่รถกำลังไต่เขาไปเรื่อย ๆ ด้วยความชำนาญในอาชีพ หรืออ่านใจเราได้ก็ไม่รู้พี่ไกด์แกจอดให้เราแวะถ่ายรูปเยอะมาก โดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากขอเลย นี่อยู่กันแค่สองวันก็รู้ใจเราแล้วเหรอ มีความใส่ใจจนเริ่มหวั่นไหวละนะ ฮ่า ๆ
จากพื้นดิน แผ่นถนนแปรเปลี่ยนเป็นพื้นหิมะที่ขาวโพลน จากแสงแดดที่สาดส่องกลายเป็นหมอกหิมะที่ปกคลุม.. นี่ไม่ใช่บทกลอนหรือกวีใด ๆ แต่เราเจอพายุหิมะ !! ที่ความจริงสำหรับที่นี่อาจเป็นแค่หิมะตก แต่สำหรับมนุษย์เมืองร้อนอย่างเราก็รู้สึกว่ามันหนักมาก เราเริ่มหวั่นใจเพราะการจราจรอยู่ ๆ ก็หยุดชะงักเป็นอัมพาต เราและเพื่อนได้แค่นั่งรออยู่ในรถ อากาศเริ่มหนาวเย็นจนปากสั่น จมูกชาทำให้เราต้องหาเสื้อโค้ดใส่เพิ่ม อุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็ว กับภาพขาวโพลนเบื้องหน้าทำให้เราตื่นตระหนก ได้แต่ภาวนาให้มันผ่านพ้นไปโดยเร็ว แต่เหมือนคนที่นี่จะชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว พวกเขารออย่างใจเย็น จนทำให้เรารู้สึกสงบขึ้น เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงเส้นทางกลับมาใช้ได้เป็นปกติ รถทุกคันรวมทั้งคันของเราก็หยิบโซ่มาใส่ล้อไว้ เพื่อกันลื่นจากทางที่เต็มไปด้วยหิมะ แล้วเดินทางกันต่อไปอย่างช้า ๆ
Khardumg La Pass ::
จากเลห์เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมง จนมาถึง “Khardumg La Pass” ถนนที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 5,620 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความสูงระดับนี้ออกซิเจนด้านบนจะเบาบางมาก การหายใจก็ลำบากขึ้น และเหนื่อยเร็วกว่าปกติ เพราะฉะนั้นเราควรทำอะไรช้า ๆ จิบน้ำอยู่เรื่อย ๆ ถ้าใครกลัวมีปัญหาเรื่องหายใจให้ซื้อออกซิเจนกระป๋องติดไว้ก็ได้นะ เราว่ามันช่วยได้เยอะเลย ที่ถนนสายนี้ไกด์จอดรถให้เราถ่ายรูปราวครึ่งชั่วโมง มีร้านค้าเล็ก ๆ ที่ขายชาร้อน กาแฟร้อนแสนธรรมดา แต่เมื่อมันมาอยู่ในมือ ท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้ ถือเป็นสวรรค์น้อย ๆ ของเราเลย ไหน ๆ ก็มาถึงแล้วขอถือแก้วกาแฟชิค ๆ ถ่ายรูปเช็คอินสักหน่อย ให้ทุกคนได้รู้ว่าเราได้มาเยือนถนนที่สูงที่สุดในโลกแล้วจ้า
Diskit Monastery ::
ก่อนเข้าที่พักเราแวะเที่ยวอีกวัดที่ถือว่ามีความสำคัญทางศาสนาอย่างมากเช่นกัน “Diskit Monastery” หรือที่เรียกกันว่า Diskit Gompa วัดเก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน Nubra สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14 เป็นวัดนิกายเกลุกปะ (นิกายหมวกเหลือง) วัดนี้แบ่งออกเป็น 2 โซนคือ โซนวัดเก่า และโซนวัดใหม่ ซึ่งจุดที่เห็นเด่นชัดที่สุดอยู่ที่โซนวัดใหม่ เป็นองค์พระพุทธรูปพระศรีอาริยเมตไตรย หรือที่ชาวทิเบตเรียกว่า ‘จัมปะ’ องค์โตสูงถึง 32 เมตร ตั้งอยู่กลางเนินเขาเด่นเป็นสง่า สีสันสวยงาม ทำให้มีนักท่องเที่ยวหนาตากว่าจุดอื่น ๆ จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นโซนวัดเก่าได้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดทิเบตริมหน้าผา ที่สร้างขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อน ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังโบราณให้เราได้เข้าชม
Hunder Sand Dune ::
หลังจากที่เราเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ถึงกิจกรรมที่เรารอคอย นั่นก็คือการขี่อูฐในทะเลทราย เนี้ยความมหัศรรย์ของทริปนี้ เมื่อกี๊ยังเจอหิมะอยู่เลย ตอนนี้มาเจอทะเลทรายแล้ว หยุดตื่นเต้นไม่ได้เลยจริง ๆ เหตุผลที่พื้นที่ห่างไกลอและกันดารแห่งนี้มีอูฐได้เป็นเพราะอดีตมีพ่อค้าชาวมองโกเลียต้องการซื้ออูฐจากเลห์ไปใช้งานที่ประเทศของตน แต่ระหว่างทางพวกมันเกิดป่วยจนเดินทางต่อไปไม่ไหว พ่อค้าจึงจำใจทิ้งอูฐไว้ที่นี่ นับตั้งแต่นั้นอูฐที่ถูกทิ้งไว้ก็ออกลูกออกหลานและไม่ไปไหนกันอีกเลย ส่วนค่าขึ้นอูฐก็อยู่ที่คนละ 300 รูปีอินเดีย (150บาท) ไป-กลับใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดยมีคนจูงน้อง ๆ ไปที่กลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เป็นประสบการณ์อันดีสำหรับคนที่ยังไม่เคยขี่อูฐนะ ลองสักครั้งแล้วถ่ายรูปมาอวด รับรองคนอิจฉาเพียบ !
Day 4
One day trip to Pangong ::
เราเดินทางออกจากหมู่บ้าน Nubra ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปยังแลนด์มาร์กหลักของทริปนี้ที่ทะเลสาบ “Pagang” ขึ้นรถปุ๊ปไกด์บอกเราว่าให้หลับรอได้เลยจ่ะ เพราะนั่งรถนานเหมือนเดิม แต่บ้าเอ้ย.. เปลือกตามันหลับไม่ลงจริง ๆ เพราะวิวข้างทางมันสวยมาก แม้จะเป็นวิวคล้ายเดิมตลอดสามวันแต่เราก็มองได้ไม่เบื่อเลย ทิวเขาธรรมชาติ ที่มาพร้อมฝูงสัตว์กระจายอยู่ตลอดทาง จนอยากแวะลงไปเซย์ไฮน้อง ๆ สักหน่อย
ด้วยสายตาอันเฉียบคมของพี่ไกด์ เราได้เจอตัว “Marmot” ที่โผล่หน้ามาจากกองดินอย่างฉงนสงสัย Marmot นางเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกระรอก แต่ตัวใหญ่กว่า อาศัยอยู่ในรู ซึ่งในช่วงหน้าหนาวที่เรามา มันจะจำศีลประมาณ 6 เดือนและโผล่ขึ้นมาอีกทีในหน้าร้อน นี่ก็ทำใจไว้ว่าจะไม่ได้เจอน้อง แต่ด้วยแต้มบุญที่สะสมมาน้องก็โผล่มาให้เห็นโดยบังเอิญ ถ้าอยากถ่ายเจ้า Marmot ใกล้ ๆ แบบนี้ต้องค่อย ๆ เดินเข้าไปนะ ถ้านางตกใจมุดลงรูเมื่อไหร่ก็เตรียมขึ้นรถแล้วไปต่อได้เลย เพราะอีกนานกว่าจะโผล่ขึ้นมาอีก
Changla Pass ::
เผลอหลับไปแป๊ปเดียว ก็มีคนปลุกเราขึ้นมาจากภวังค์ ที่ก่อนหน้าเห็นเป็นทะเลทราย ตอนนี้เป็นภูเขาหิมะไปซะแล้ว ในหัวก็ยังงง ๆ จนได้ยินเสียไกด์บอกว่าเรามาถึง “Changla Pass” ถนนที่สูงเป็นอันดับสองของโลกแล้ว ด้วยความสูงกว่า 5,360 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้ความรู้สึกไม่ค่อยต่างจาก Khardumg La Pass ที่เราไปมาเมื่อวานเท่าใดนัก แต่ใครจะมีโอกาสได้มาอยู่บนถนนสูงที่สุดในโลกอันดับต้น ๆ แบบนี้บ่อย ๆ ก็ขอแวะถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมติดไม้ติดมือกันหน่อยแล้วกัน
Pangong ::
เกือบ 4 ชั่วโมงในการเดินทาง และแล้วเราก็มาถึงทะเลสาบ “Pangong” ทุกคนในทริปดูตื่นเต้น และมีชีวิตชีวากว่าทุกวันที่ผ่านมา เพราะนี่ถือเป็นแลนด์มาร์กที่เราอยากมาเห็นกับตามากที่สุด ถ้าถามถึงความแรร์ของทะเลสาบนี้เหรอ ? มันคือทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงถึง 4,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถือว่าสูงที่สุดในโลกยังไงล่ะ แล้วยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศอันกว้างใหญ่ทั้งสองประเทศไว้ด้วยกันคือ จีนและอินเดีย โดย 30% เป็นของอินเดีย เหตุที่ทะเลสาบแห่งนี้ดังเป็นพลุแตกจนคนแห่แหนกันมาก็เพราะ หนังอินเดียเรื่อง 3 Idiots ถ้าสังเกตดี ๆ ทุกจุดจะมีป้ายหนังติดไว้ด้วย ตอนแรกคิดว่าสิ่งที่จะเห็นก็คงเหมือนรูปถ่าย ที่ใคร ๆ อัพลงโซเชียลแต่เปล่าเลย มันสวยกว่านั้นหลายร้อยเท่า ภาพน้ำทะเลกว้างใหญ่สีฟ้าใส ที่ใกล้ผืนฟ้าแค่เพียงเอื้อม พร้อมภูเขาที่แทรกซ้อนกันดั่งภาพสามมิติ มันมีอยู่จริงไม่ใช่แค่ในนิยาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนยกที่นี่ให้เป็นที่สุดของเลห์
น่าเสียดายที่เราไม่ได้นอนดูดาวที่นี่ เนื่องจากช่วงที่เรามาเขามีปัญหาขัดแย้งกันที่ชายแดนทำให้โรงแรมและบ้านพักแถบทะเลสาบถูกรื้อถอดออกไปจนหมด แต่ให้พูดจริง ๆ จะช่วงเวลาไหนทะเลสาบแห่งนี้ก็สวยหมดนั้นแหละ จุดที่เราอยากแนะนำให้มาถ่ายรูปกันนั้นมี 2 จุดใหญ่ ๆ จุดแรกอยู่ด้านหน้าทะเลสาบ ซึ่งเป็นมุมมหาชน คนค่อนข้างเยอะอาจจะถ่ายภาพได้ยากหน่อย ก็เน้นบรรยากาศเอาแล้วกันนะ และจุดที่สองพี่ไกด์พาขับเลียบจากด้านหน้ามาประมาณ 15 นาที ก็ได้มุมสงบจนแทบไม่มีคน วิวก็สวยไม้แพ้จุดแรกเลยแก เดินออกไปกลางน้ำได้ด้วยผลัดกันถ่ายรูปแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว เรามีเวลา 1 ชั่วโมงในการกอบโกยบรรยากาศเหล่านี้เก็บไว้ในภาพจำ แม้มันจะเป็นเวลาอันน้อยนิด แต่เราว่ามันคุ้มนะที่ได้มาสักครั้ง
นอกจากวิวที่เราย้ำว่าสวยนักสวยหนาแล้ว ผู้คนที่นี่ยังน่ารักและเป็นมิตรกับเรามาก ๆ พวกเขาใส่ใจรายละเอียด ดูแลเราเหมือนเพื่อนมากกว่าลูกค้า เป็นเสน่ห์ของผู้คนที่เราฟังจากปากใคร ก็ต่างชมกันอย่างหนาหู ความเคร่งในศาสนาที่สอนให้เคารพต่อธรรมชาติ และสรรพสัตว์ทุกชีวิต ยิ่งทำให้เราอินกับดินแดนแห่งศรัทธานี้ เคารพกระทั่งสัตว์ที่กำลังข้ามถนน การรออย่างใจเย็นเมื่อเจอกับปัญหาในการเดินทาง ถ้าเรานำสิ่งเหล่านี้มาปรับใช้กับตัวเอง ลดความใจร้อนลงได้บ้าง เราคงเป็นคนที่มีความสุขมากขึ้นอีกหลายระดับเลย แต่เที่ยวแบบนี้ ยังไงก็ไม่ควรเสี่ยงกับเรื่องที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการท่องเที่ยว อย่างลืมซื้อประกันภัยเดินทาง i-Insure เผื่อไว้ด้วยล่ะ มีไว้คอยรับมือกับเรื่องที่อาจเกิดขึ้น ดีกว่ามันหนักหนาจนเรารับมือเองไม่ไหว ในระหว่างทริปที่เกิดปัญหา i-Insure เค้ามีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินระหว่างทริปโทรได้ 24 ชั่วโมง ยังไงก็อุ่นใจกว่าก็อย่างที่เราพูดย้ำแล้วย้ำอีกในหลายทริป ทริปนี้เราโชคดีที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะมีเรื่องให้ตื่นเต้นบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนกันเนอะ … ฉะนั้นใครชอบท่องเที่ยวธรรมชาติแบบดิบ ๆ ไม่ผ่านการปรุงแต่ง เราขอแนะนำให้แพลนทริป แล้วตามมาที่ “เลห์ ลาดัก” ได้เลย เราเชื่อว่า แกจะต้องไม่มีคำว่าผิดหวังอย่างแน่นอน