แกว่าการเดินทางสนุกมากที่สุดตอนไหน ???
สำหรับเรา…เรามีความสุขมากที่สุดคือตอนที่ได้กลับมาเรียบเรียงความทรงจำ และแบ่งปันกับทุกคน เหมือนกับการฉายเรื่องราวอีกครั้งในใจเรา มีหลายตอนเหมือนกันที่นึกถึงทีไรก็ขำทุกทีไป… แต่ก็มีบ้างที่รู้สึกเขิลปนอาย บางการเดินทางก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บางการเดินทางก็เต็มไปด้วยเสียงหัวใจที่โลดแล่น แต่ความทรงจำใน “ศรีลังกา” ของเรา กลับเต็มไปด้วยเสียงลมหายใจ เพราะครั้งนี้เสียงหัวเราะถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่สงบสุข ณ เมืองแคนดี้ เมืองสีเอิร์ทโทนที่แสนจะเย็นสบาย เสียงหัวใจที่สั่นระรัวจากความตื่นเต้นถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวใจที่คึกโครมจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ และผลงานการสร้างสรรค์ของคนโบราณ ณ พระราชวังลองฟ้าอย่างสิกิริยา เสียงพูดคุยจอแจถูกแทนที่ด้วยเสียงภาวนาแห่งศรัทธา ณ วัดวัดพระเขี้ยวแก้ว แต่เสียงหนึ่งที่หนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าทริปไหนก็คือ เสียงชัตเตอร์ที่รัวเพื่อเก็บความทรงจำ โดยเฉพาะที่มัสยิดขาวแดงสีลูกกวาด
ทั้งหมดนี้คือการเดินทางที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ณ มุมหนึ่งของศรีลังกา ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน มาเดินทางเพิ่มเติมเรื่องราวบทใหม่ให้ชีวิตกันเถอะ
Where To Go : ไปศรีลังกาไปไหนบ้าง
01 :: Sigiriya
เริ่มที่แรกอย่างว่องไวกันที่พระราชวังลอยฟ้าหรืออีกชื่อเรียกว่า สิกิริยา พระราชวังอายุกว่า 2,285 ปี ที่สร้างขึ้นเพื่อการหลบหนีความผิด มันจึงมาเร้นกายแฝงตัวอยู่กับมวลเมฆที่กลางป่า ที่นี่คือพระราชวังโบราณและป้อมปราการหินขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์พาหิยะที่ได้ครองราชจากการปลงพระชนม์พระราชบิดาของตัวเอง ผู้ที่ตำนานกล่าวว่าสร้างที่นี่ขึ้นมาเพราะกลัวความผิดบ้าง เพื่อไถ่โทษมหันต์บ้าง ที่นี่จึงมีอีกนามหนึ่งว่าอนุสรณ์สถานของคนบาป การเที่ยวชมนั้นเราต้องก้าวผ่านบันไดถึง 1200 ขั้น หรือจากพื้นดินราวๆ 200 เมตร ที่ในบางช่วงอาจจะต้องไต่บันไดที่ชันเกือบ 90 องศาด้วย ดังนั้นก่อนไปควรฟิตร่างกายให้ดีสักนิดแล้วอย่าลืมพกน้ำหรือลูกอมขึ้นไปด้วยจะดีที่สุด แต่พอมาคิดดูแล้วนี่ก็เป็นเรื่องราวน่ามหัศจรรย์มากทีเดียว เพราะขนาดเราที่เดินขึ้นลงแบบตัวเปล่ายังรู้สึกยากลำบากขนาดนี้แล้วในการสร้าง เค้าต้องอดทนขนาดไหนกันนะ??
มองจากข้างล่างขึ้นไปก็รู้สึกว้าวสมกับคำว่าพระราชวังลอยฟ้าชวนทึ่งมากแล้วว่าขึ้นไปสร้างได้ยังไง ยิ่งพอได้ขึ้นมาด้านบนและเห็นฐานของพระราชวังขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ยิ่งทำให้เรารู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของคนโบราณที่สามารถสร้างสิ่งที่ยากจะเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ ด้านบนในปัจจุบันยังคงหลงเหลือสระน้ำที่ล้อมรอบพระราชวังทั้งสี่ด้าน แท่นประทับ สระสรงน้ำ ลานกว้าง ระเบียงหน้าผา และเมื่อมองออกไปเราก็จะได้เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบแบบ 360 องศาของจริง เพราะที่นี่คือยอดเขาที่สูงที่สุดในละแวกนี้ แล้วยิ่งได้เห็นทั้งต้นไม้ท้องฟ้าภูเขาน้อยใหญ่ก็ยิ่งทำให้เราจินตนาการถึงความรุ่งเรืองในอดีตของมัน แต่นั่นแหละพอคิดถึงเรื่องราวความเป็นมาก็แอบขนลุกไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
นอกจากความสวยงามด้านบนแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมายังศรีลังกาปีละหลาย 10,000 คน ก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเลื่องชื่อที่อยู่ก่อนถึงลานสิหบาท ภาพหญิงสาวในชุดเปือยอกที่เค้าว่ากันว่าเป็นตัวแทนของนางฟ้านางสวรรค์ที่ถูกวาดขึ้นโดยชาวสิงหล แม้ว่าภาพชุดนี้จะมีอายุมากกว่า 1,500 ปี แต่ที่สีสันยังคงสดสวยและงดงาม ก็เป็นเพราะวิธีการวาดภาพแบบเฟรชโก้ (ภาพเขียนที่ลงสีโดยปูนยังไม่แห้ง) อีกหนึ่งจุดสำคัญคือประตูอุ้งเท้าราชสีห์ที่แต่เดิมถูกก่อสร้างให้เป็นสิงโตครบทั้งตัวก่อนจะพังทลายลง แล้วทิ้งไว้เพียงอุ้งเท้าข้างเดียวที่ใหญ่โตจนเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่าแท้จริงแล้วมันจะใหญ่ขนาดไหน เป็นการเดินทางที่ออกแนวแอดเวนเจอร์นิดๆ ชวนอึ้งหน่อย ๆ เป็นการได้เห็นสิ่งใหม่ในมุมแปลก ได้ฟังเรื่องราวหน้าประวัติศาสตร์ที่เกิดคาด และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่สิกิริยาควรอยู่ในลิสต์ศรีลังกาของแก
02 :: Pidurangala rock
มาถึงสิกิริยาที่ท่องเที่ยวหลักของศรีลังกาทั้งที เราก็อยากเห็นความอลังการนี้หลาย ๆ มุม เราเลยไปปีนเขากันต่อที่ Pidurangala Rock จุดชมวิวที่ได้ชื่อว่าเป็นเดอะเบสท์วิวพอยท์ที่สามารถมองเห็นเขาสิกิริยาได้เต็มสองตา โดยเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการโบกรถสามล้อจากสิกิริยาให้มาส่งที่หน้าทางเข้าแล้วใช้เวลาเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 30 นาที ซึ่งบันไดของที่นี่จะเดินยากกว่าที่สิกิริยา ที่นี่สามารถขึ้นชมได้ทั้งวันแต่เราแนะนำให้มาในช่วงใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า เพราะบรรยากาศจะค่อนข้างดีและอากาศไม่ร้อนมากเกินไป เหมาะแก่การใส่เดรสยาวตัวที่พริ้วที่สุดในตู้ มายืนหมุนตัวแอคติ้งชมพระราชวังลอยฟ้าแบบชิลล์ ๆ เผลอ ๆ ในช่วงที่ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสี เรียกว่าเป็นจุดเช็กอินที่ชาวไอจีไม่ควรพลาดจ้า
03 :: Dambulla Royal Cave Temple
างจากกรุงคอมลอมโบเมืองหลวงของศรีลังกาไปกว่า 148 กิโลเมตร ลัดเลาะสู่ภายในชั้นหินแกรนิต เราจะได้พบกับวัดถ้ำหินแห่งดัมบุลละที่มีชื่อว่า “วัดราชมหาวิหาร” ความน่าสนใจของวัดนี้คือเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นภายในถ้ำ ซึ่งมีถึง 5 ถ้ำให้เราเดินชม บอกเลยว่าใครชอบแนวศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่จะต้องหลงรักวัดนี้แน่นอน เพราะนอกจากสถาปัตยกรรมที่ชวนหลงใหลแล้วยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเต็มไปทั้งเพดานถ้ำ ซึ่งถ้าสังเกตดี ๆ คือเค้าไม่วาดลงบนผ้าใบเหมือนที่อื่น แต่วาดเส้นและลวดลายลงบนเพดานถ้ำเลยจริง ๆ อย่างช่วงที่เราไปเค้ามีการบูรณะซ่อมแซมมาแต่งแต้มเติมสีให้ดูสวยงามเหมือนใหม่ไว้ให้นักท่องเที่ยวต่อ ๆ ไปได้มาเยี่ยมชม
ภายในของแต่ละถ้ำก็จะมีสถาปัตยกรรม มีจิตรกรรมที่ไม่เหมือนกัน แต่ที่เราประทับใจมากที่สุดก็คือถ้ำแรก ที่ภายในจะมีพระพุทธรูปปางปรินิพพานที่แกะสลักจากหินอ่อน ตั้งเรียงรายยาวกว่า 49 เมตรประดิษฐานอยู่ ซึ่งนอกจากพระพักตร์ที่ดูสงบนิ่งแล้ว บรรยากาศภายในถ้ำที่เย็นสบายก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงความสงบได้มากขึ้น หลายครั้งที่การเดินทางของเราเป็นการพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ ไปแปะไว้เพียงมุมหนึ่งเพื่อถ่ายรูป แต่การเดินทางครั้งนี้เหมือนเราได้เดินทางภายในจิตใจของตัวเองไปพร้อม ๆ กับเรื่องราวภายนอก เราจึงได้ความสุขที่มากกว่าภาพถ่าย แต่คือความสุขที่เป็นความสงบ
04 :: Kelaniya Temple
ด้วยพลังแห่งศรัทธาในพุทธศาสนาของประเทศนี้ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจส่วนใหญ่มักเป็นวัดวาอาราม ซึ่งแต่ละแห่งก็สวยงามโอ่โถง มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ทำให้การมาเดินชมวัดหลายแห่งของเราในทริปนี้ไม่มีเบื่อเลย แต่กลับมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมากกกกก อย่าง วัดวัดกัลณียา นี้เองก็เป็นหนึ่งในอีกหลาย ๆ วัดที่น่าสนใจ เพราะมีองค์เจดีย์หลักสีขาวองค์ใหญ่ตั้งอยู่กลางผืนทรายสีน้ำตาลอ่อน ตัดกับท้องฟ้าสีพาสเทล จัดว่าเป็นมุมดี ๆ ที่ต้องถ่ายมาลงโซเชียลสักสองช็อต พร้อมลงร่ายประวัติไปด้วยว่าที่นี่คือวัดที่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาเทศน์พญานาคา ภายหลังจึงได้มีการสร้างพระเจดีย์ครอบบริเวณพื้นดินศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เอาไว้ และกลายมาเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของศรีลังกา การเข้าชมจึงต้องแต่งกายสุภาพ ไม่สวมรองเท้าถุงเท้ารวมถึงหมวก จึงมีข้อควรระวังว่าการโพสท่าก็ไม่ควรจะให้เกินงาม เพราะฉากหลังสวย ๆ ของเราคือความศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองของเค้า
วิหารของวัดกัลยาณีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การใช้เวลาทอดน่องชมพุทธประวัตินิทานชาดก และตำนานต่าง ๆ ผ่านจิตรกรรมฝาผนัง ภาพที่เราเห็นจะเน้นการใช้สีแบบเอิร์ธโทนเติมด้วยสีฟ้าเพื่อเพิ่มสีสันอีกนิด ทำให้เรื่องราวที่เราเคยเห็นผ่านตามาบ้างกับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนดูมีความน่าสนใจ ทั้งในแง่ของเรื่องราวและในแง่ของศิลปะมากยิ่งขึ้นทำให้เราใช้เวลาที่นี่มากกว่าที่คิดในตอนแรกเสียอีก และที่นี่ทำให้เรารู้ว่าการเดินทางที่ไม่หวือหวา การใช้เวลาแบบมีคุณค่าแบบช้า ๆ นั้นมันดียังไง
05 :: Colombo City
กลับมาเที่ยวในเมืองกรุงคอลอมโบกันบ้างดีกว่า แม้ว่าจะเป็นครั้งที่สองที่เรามาเยือนเมืองที่แสนคึกคักนี้ แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าความตื่นเต้นยังไม่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกสักเท่าไหร่ ก็บรรดาร้านรวงต่าง ๆ ที่มีมากมายเต็มสองข้างถนนล้วนมีของขายแทบทุกแบบ ทุกประเภท ตั้งแต่ของกินสตรีทฟู้ด ผลไม้ ไปจนถึงเสื้อผ้าอาถรณ์ เครื่องนุ่งห่ม ผ้าส่าหรีสีสวย และเครื่องประดับต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจ ซึ่งมอง ๆ ไปก็ละม้ายคล้ายกับย่านสำเพ็งพาหุรัดบ้านเรา แต่คูณความจอแจเข้าไปอีกสามเท่า ทำให้ 5 นาทีแรกของเราออกจะเวียนหัวอยู่นิดหน่อย แต่พอผ่านไป 6 นาทีปุ๊บ เราก็รู้สึกผ่อนคลายและเคยชินมากยิ่งขึ้น เพราะถนนหนทางที่นี่ก็ดูไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ใครอยากลองมาสัมผัสบรรยากาศความจอแจ เสียงแตร แนะนำให้มาที่ย่าน Pettah เลย รับรองว่ามีอะไรเซอร์ไพรส์ให้แกประทับใจกลับไปแน่นอน ส่วนใครที่ชอบถ่ายรูปสตรีทแนวผู้คน ท้องถนน หรืออะไรก็ตามที่มีความอาร์ทตัวพ่อก็จะยิ่งแฮปปี้เข้าไปใหญ่ เพราะเรากล้าการันตีเลยว่าเป็นเมืองที่ถ่ายรูปสตรีทสนุกที่สุดจริงๆ
06 :: Jami UI-Alfar Mosque
จากถนนใหญ่เราก็ลัดเลาะเข้าสู่ซอยเล็ก ๆ จนมาเจอกับมัสยิดสีแดงที่ผ่านตามาสะกดใจเรา จนทำให้ต้องจองตั๋วบินมาถึงศรีลังกานั่นก็คือ Jami UI-Alfar Mosque มัสยิดที่นำเอาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มาผสมกับสถาปัตยกรรมแบบอินโด อิสลาม อินเดีย และสถาปัตยกรรมฟื้นฟูแบบโกธิคเข้าด้วยกัน ซึ่งฟังดูแล้วก็แทบจะร้องโอ้โหว่าความเข้ากันนี้มันจะมีมาจากที่ใด แต่พอมองด้วยตา และเห็นมัสยิดสูงใหญ่โดดเด่นสะดุดตาด้วยสีขาวสลับแดง ๆ เหมือนกับโลลี่ป๊อปในมือของเด็กน้อย ก็ทำให้เราต้องซูฮกในความช่างผสมของสถาปนิกที่ทำให้มันกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของย่านนี้ได้อย่างลงตัว
07 :: Kandy View Point
เปลี่ยนฉากจากความจอแจมาเป็นความชิลล์ ๆ อิงแอบแนบชิดธรรมชาติท่ามกลางภูเขาอันเขียวชอุ่มที่เมืองแคนดี้ เมืองมรดกโลกที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 500 เมตร ทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีภูมิทัศน์เหมาะที่จะเป็นเมืองตากอากาศ เราจึงขอไปเช็คอินเพื่อสำรวจเมืองสีเอิร์ทโทนและสถานที่สำคัญ ๆ กันที่ Kandy View Point จุดชมวิวของเมืองที่แกสามารถมองเห็นเมืองแคนดี้คล้ายเมืองของเล่น ที่มีใจกลางเมืองเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ เพราะบ้านเรือนดูเล็กลงไปถนัดตา ไม่รู้เพราะชื่อที่ชวนหวานรึเปล่า เราจึงรู้สึกว่าเมืองนี้แลดูน่ารักตะมุตะมิน่ามอง ถ้าถามว่ามาที่นี่มีอะไรให้ทำ คำตอบคงยียวนคือแค่มายืนเฉย ๆ ก็พอ แต่เป็นการยืนเฉย ๆ รับลมเย็น ๆ หยุดนิ่งสักแปบเพื่อคุยกับเพื่อนร่วมทาง ออกห่างจากโซเชียลสักช่วงเพื่อดื่มดำบรรยากาศ เราว่าแค่ยืนเฉย ๆ ก็มากพอแล้วนะ
08 :: Temple of the Sacred Tooth Relic
ท่ามกลางวัดนับร้อยหรืออาจจะนับพันในประเทศศรีลังกา วัดพระเขี้ยวแก้ว คือหนึ่งในวัดที่ได้ชื่อว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นวัดที่ชาวศรีลังกาเชื่อว่า เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือฟันเขี้ยวด้านล่างขวาของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 9 ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าวิมลสุริย์ กษัตริย์ในราชวงศ์สุดท้ายของศรีลังกา โดยชาวศรีลังกามีความเชื่อกันว่า หากมีใครนำพระเขี้ยวแก้วออกไปจากเกาะแห่งนี้แล้วจะก่อให้เกิดภัยพิบัติต่อประเทศชาติ ชาวศรีลังกาจึงไม่เคยเคลื่อนย้ายพระเขี้ยวแก้วไปประดิษฐานที่อื่นเลย แต่ในทุกๆ ปีช่วงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม จะมีพิธีเอสละเประเฮระ หรือพิธีสมโภชพระเขี้ยวแก้ว วันงานจะมีริ้วขบวนยาวเหยียดนำด้วยช้างที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม มีระบำรำฟ้อน การแสดงพื้นเมืองศรีลังกา และดนตรีพื้นเมืองบรรเลงแห่ไปรอบเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนศรีลังกา
การเข้าชมวัดพระเขี้ยวแก้วด้านในนั้นจะเปิดให้เข้าชมเพียงแค่วันละสองรอบ รอบเช้าเวลา 06.00 น.และรอบเย็นเวลา 18.00 น. หากอยากชมเราก็ควรซื้อดอกไม้สวยๆ ไปนั่งรอ พร้อมขบวนผู้ศรัทธาที่มาต่อแถวยาวเหยียดแทบทุกวัน ด้านนอกของบานประตูที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วคือประตูบานเล็กที่วิจิตรในทุกตารางเซนติเมตร สีส้มเหลืองถูกนำมาใช้เป็นสีหลัก ให้ความรู้สึกสวยงามและน่าศรัทธา พอประตูบานเล็กที่อารักษ์พระเขี้ยวแก้วถูกเปิดออก แม้แต่เราที่ไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่พอได้เห็นก็ทำให้รู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาด สำหรับเรา ๆ ว่าครั้งนึงในชีวิตควรมานะ เพราะเอาจริงเราเองก็ไม่ได้อินกับวัดวาอารามเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างทั้งบรรยากาศและผู้คนที่มาด้วยใจ มันทำให้เราขนลุกและรับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเขี้ยวแก้วได้อย่างมากเลย
What to eat : ไปศรีลังกากินอะไรดี
01 :: Ministry of Crab
วัดก็ต้องเข้าข้าวก็ต้องกิน อิ่มบุญไม่อิ่มท้องก็เหมือนโดนสาปนะจ้ะ และมากับเราสายกินถ้าไม่หาไรฟินส์ ๆ ท้องถิ่นลงท้องจะแย่ยิ่งกว่าทำบาป เพราะงั้นไปจ่ะ เริ่ม!!! ร้านแรกนี่บอกเลยว่าโด่งดังเปรี้ยงปร้างทั่วกรุงโคลอมโบกับร้านอาหารซีฟู๊ดที่มีชื่อว่า Ministry of Crab แค่ชื่อก็ดูยิ่งใหญ่อลังการ ตัวร้านจะออกสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค เน้นไฟเหลือง ๆ ส้ม ๆ เพิ่มความอยากอาหาร เมนูจะมีซีฟู๊ดหลากชนิดให้เลือก แต่ชื่อร้านมาขนาดนี้เราคงต้องสั่งปูมาลองละล่ะ การสั่งเราต้องเลือกขนาดปูก่อน แล้วค่อยเลือกซอส ว่าจะผงกระหรี่ พริกไทยดำ เนย หรือซอสสูตรพิเศษของทางร้าน ซึ่งทางเราขอเลือกปูย่างเนยและกุ้งพริกไทยดำมาลอง ตอนเสิร์ฟเค้าจะมาพร้อมอุปกรณ์แกะ ทุบปู ผ้ากันเปื้อนและสบู่ล้างมือ ให้เราได้ล้วงควักเนื้อแน่น ๆ หวาน ๆ มากินให้เกลี้ยงเกาแล้วค่อยล้างไม้ล้างมือ ความสดอยู่ในเกรดดีมาก ซอสคือนัว ใครชอบซีฟู๊ดชอบชัวร์เราบอกเลย
02 :: The Empire Cafe’
สำหรับใครที่ไม่ใช่สายกินตัวพ่อ แต่เป็นสานคาเฟ่ตัวแม่ ขอแนะนำที่นี่เลยจ้า The Empire Cafe’ คาเฟ่แนวโอลสคูลสีครีมดูเรียบ ๆ แต่น่ารัก ให้ฟีลของความเป็นภาระตะจากประตู หน้าต่างทรงโค้ง และป้ายภาพยนตร์แบบโบราณ คาเฟ่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดเขี้ยวแก้วในเมืองแคนดี้ เหมาะแก่การรับบุญเสร็จแล้วมารับอาหารต่อทันที ที่นี่มีให้เลือกทั้งอาหารและเครื่องดื่ม อาหารก็มีให้เลือกแบบละลานตามากแม่ ทั้งอาหารพื้นบ้าน อาหารฝรั่ง เอเชีย ฟิวชัน บลาๆ รวมถึงมีโฮสเทลราคาน่ารักอยู่บนชั้นสองด้วย ส่วนทางเราขอแบบชิลล์ ๆ รับมะพร้าวปั่นนมสด และลาเต้อุ่น ๆ มานั่งดื่มเบา ๆ เพิ่มแต้มบุญแห่งความสุข นั่งเล่น หาอะไรมาอ่านพอเพลิน ๆ พักสายตาด้วยการมองวิถีชีวิตสักนิดก็พร้อมออกเดินทางต่อ
03 :: Geragama Tea Factory
หากมาถึงเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องชาอย่างแคนดี้ ถ้าไม่ได้ชิมชาต้นตำหรับของเมืองก็ดูยังไง ๆ อยู่ เราจึงขอแวะชมโรงงานผลิตชาซีลอน ตั้งแต่กระบวนการตากใบชา แยกใบชาอ่อนแก่ออกจากกัน ก่อนปิดท้ายด้วยวินาทีที่รอคอย… คือ การจิบชา… นั่นเอง ก็ตามสไตล์ชาซีลอนที่ให้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ จะดื่มเพียว ๆ ก็สดชื่น จะเติมนมและน้ำตาลก็นุ่มนัว ยิ่งหลังจากเห็นขั้นตอนอันปรานีตยิ่งรู้สึกชื่นใจเป็นพิเศษ ซึ่งหลังจากลองชิมชาไปแล้วใครชอบชาตัวไหนรสชาติไหนก็สามารถซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านได้ด้วยจ้า
Where to Stay : ไปศรีลังกานอนที่ไหนดี
และอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในทุกทริปท่องเที่ยวก็คือเรื่องหลับนอน ที่พักที่น่ารักทั้งบรรยากาศและทำเลใจกลางเมืองโคลอมโบที่เราอยากแนะนำก็คือ The Hilton Hotel Colombo โรงแรม 5 ดาว ที่เพรียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบถ้วนทันสมัย ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์ของศรีลังกา ที่เพียงเปิดผ้าม่านกั้น! ผ้าม่านกั้น! ก็จะเจอกับวิวเมืองศรีลังกาสุดแจ่ม และถ้าได้ห้องดีในดี แถมฟรีไปเลยวิวมหาสมุทรอินเดียสุดสายตา อาหารเช้าก็เนืองแน่นทั้งอาหารเอเชีย อาหารพื้นบ้าน อาหารฝรั่ง แต่ทีเด็ดที่ควรเก็บท้องไว้รองรับก็คือของหวานที่อร่อยทุกอย่างแบบสาบานได้ ให้ตายเถอะ!!! น้ำหนักจะขึ้นเยอะแค่ไหนก็ต้องกินแล้วป๊ะแก๊
5 วัน 4 คืนที่ไม่ร้องวี๊ด ไม่ปรี๊ดจนร้องว้าว แต่ทุกย่างก้าวบนศรีลังกาก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง และการเที่ยววัดก็ไม่ได้ทำให้เราอยากนุ่งขาวห่มขาวขนาดนั้น ถ้าเปรียบเทียบการเดินทางเป็นนิยาย ศรีลังกา คงอยู่ในช่วงบทพักครึ่ง เนื้อเรื่องเรียบง่ายไม่โดดเด่น แต่ความละมุมละไม และความสละสลวยก็จะถูกใส่ไว้อย่างเต็มที่ ความดีงามของที่นี่เราคงไม่ต้องมานั่งจาระไนให้ฟังกันอีกรอบ แต่ที่อยากบอกซ้ำก็คือเรื่องของเนื้อเรื่องไม่พิศดารแต่พิเศษที่เรากล้าการันตีได้ว่า ศรีลังกามีดีกว่าที่คิด แถมผู้คนก็เป็นมิตรไม่ได้น่ากลัวเลยจ้าาาา