ชวนเที่ยวปัง ๆ ในปีนัง 3 วัน 2 คืน เมืองน่ารักน่าชังที่ทำให้เราตกหลุมรักจนแทบหาทางกลับไม่เจอ เพราะนอกจากปีนังจะเนเมืองที่มีสีสันทางวัฒนธรรมที่รวมอารยธรรมของหลากหลายเชื้อชาติ มีสถาปัตยกรรมแนวสไตล์ชิโน-โปรตุกีสให้ชม มีร้านกาแฟแบบหวานแหว๋ว ชิคเก๋ เก่าแก่ หรือเท่ ๆ ให้เราเลือกนั่งแล้ว ยังเป็นเมืองศิลปะที่มี Street Art แห่งแรก ๆ จนเป็นต้นแบบให้กับเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ทำตามกันเป็นแถว
สำหรับทริปนี้เราหยิบเอาอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ชอบมากๆ อย่าง Live Focus หรือการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอของ Galaxy S10+ มาเล่น ซึ่งความดีงามคือนางมีให้เลือกถึง 4 แบบ ไม่ว่าจะเป็นละลายหลังธรรมดา, จะทำฉากหลังเป็นแบบหมุนๆ, ดูดสีพื้นหลังให้เป็นขาวดำแบบอัตโนมัติ หรือจะทำให้ภาพดูเท่ๆ พุ่งๆ ก็ทำได้ ลูกเล่นเยอะถ่ายสนุกคุ้มเกินเบอร์แบบนี้ บอกเลยว่าตอบทุกโจทย์คนรักการท่องเที่ยว และถ่ายรูป พร้อมคอนเซ็ปต์รูปสวย ตัวปลิว ไม่หิ้วของหนัก อย่างเราเป็นที่สุด
Day 1
เริ่มต้นวันกันแบบชิวๆ เพราะเราบินลงสนามบินนานาชาติปีนังตอนบ่ายๆ เข้าเช็คอินโรงแรมแบบสวยๆ แล้วก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายแรกของทริปกันที่ Hin Bus Depot ถ้าใครคิดว่ามาที่แล้วจะเจอรถบัสมากมายตามชื่อ คือคิดผิดนะจ๊ะ ที่ชื่อ Hin Bus Depot เพราะเมื่อก่อนที่ตรงนี้เป็นชุมทางรถบัสของ Hin Company Ltd. มาก่อน พอเขาเลิกกิจการก็กลายเป็นที่รกร้าง จนมีการพัฒนาเป็น Art Space พื้นที่เสพงานศิลป์ มีลักษณะเป็นอเวนิวอย่างที่เห็น มีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนงานศิลปะ ร้านขายของอาร์ตๆ สินค้าแฮนด์เมด ร้านกาแฟงามๆ สำหรับสายอาร์ตติสเราแนะนำให้มาวันอาทิตย์เพราะเขาจะจัด Workshop กันไม่ซ้ำแต่ละอาทิตย์เลยจ้า
เดินถัดจาก Hin Bus Depot นิดเดียว ก็จะเจอกับ Bloom Cafe’ คาเฟ่ชมพูหวานแหว๋ว ที่แม้หน้าร้านดูแคบแต่ทรงลึกสะใจ ที่นี่เป็นทั้งร้านกาแฟ และร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง น่ารักอินเทรนด์แบรนด์ Yeohwen ส่วนจุดถ่ายรูปไฮไลท์ของที่นี่คงจะเป็นมุมอ่างอาบน้ำ และสระน้ำน้อยๆ พร้อมกองทัพลูกบอลหลายร้อยลูก ให้เราลงไปนั่งห้อยขา โพสท่าเก๋ๆ ได้ นอกจากการตกแต่งร้านเป็นสีชมพูโดดเด่นแล้ว ขนมและเครื่องดื่มก็ทำหน้าตาออกมาได้หวานไม่แพ้กันเลย ทุกอย่างที่นำมาเสิร์ฟแทบจะเป็นสี Pastel แซมดอกไม้มุ้งมิ้งไปซะหมด.. ที่เห็นทุกโต๊ะสั่งมาถ่ายรูปกันก็คือ Strawberry Panna Cotta ที่ชื่อดูธรรมดาแต่หน้าตาน่าชังมากเด้อ
ไหนลองมาใช้ Live Focus กันสักหน่อย ในฟังก์ชั่นละลายหลังธรรมดาก็สวยไม่มีหลอกตา ซึ่งถ้าเราถ่ายระยะที่พอดีภาพก็จะออกมาเนียนกริบเหมือนใช้เลนส์หลักหมื่นเลยนะ แล้วลองเล่นฟังก์ชั่น Spin ที่เบลอแบบวงล้อหมุนภาพก็ออกมาสวยแปลกไม่เหมือนใครอีกต่างหาก คือบอกเลยว่าฟีเจอร์นี้ทำให้เราได้มุมที่หลุดกรอบจากความคิดเราไปเยอะเลย มันสนุกขึ้นมากเลยจริงๆ ขนาดเพิ่งเที่ยววันแรกเองนะเนี้ย ถือว่าไม่เลวกับปีนัง ปัง ๆ ๆ ! เดี๋ยววันที่ 2 มาจัดเต็มต่อ ขอลาไปนอนแป๊ปนึงน้าาา
Day 2
เช้านี้เราเริ่มต้นกันแบบสดชื่นที่ Penang Hill ซึ่งถ้าไปเช้าคนก็จะน้อย ถ่ายรูปชิล อากาศก็เย็นสบาย อย่างที่เห็นนี่แหละจ้าพี่จ๋า วิธีขึ้นไปก็แค่โปรยเงินซื้อตั๋วราคา 30 RM (รวมไป – กลับ ) นั่งรถรางที่ใช้งานตั้งแต่ปี 1923 ขึ้นเนินเขาเพื่อไปชมวิวพาโนราม่าของจอร์จทาวน์ หนึ่งในมรดกโลกที่ไม่ได้มีดีแค่เมืองเก่า แต่อุดมไปด้วยธรรมชาติเช่นกัน ที่นี่เป็นทั้งอุทยานแห่งชาติที่มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จุดชมวิว ที่ออกแบบมาให้ถ่ายรูปได้แบบเก๋ๆ วัดฮินดู มัสยิด คาเฟ่ ร้านขายของฝาก พร้อมร้านอาหารมากมาย หรือถ้าใครมาเป็นคู่ก็ไปคล้องแม่กุญแจแบบเกาหลีก็ได้นะ
พอขึ้นมาด้านบนเราก็เลือกไปที่ The Habitat Penang Hill หรือเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพืชไม้นานาพันธุ์ สีเขียวชอุ่ม ยิ่งทำให้สดชื่นขึ้นอีกหลายเท่า บวกกับ Sky walk ที่ออกแบบมาอย่างดีไม่ขัดกับธรรมชาติ สร้างทางขึ้นให้อยู่สูงเหนือยอดไม้ ให้เราได้ชมวิวแบบ 360 องศา แอบเสียวท้องไปกับพื้นตะแกรงเหล็กเล็กๆ ที่ทอถี่ๆ ให้มองเห็นด้านล่างได้ทะลุปรุโปร่ง คนกลัวความสูงอาจร้องกรี๊ด.. แต่ไม่ครณามือคนอย่างเราหรอก เพื่อรูปสวยยังไงเราก็สู้ !! จะถ่ายเบลอหลังด้วย Live Focus หรือชัดทั้งภาพยังไงก็สวย เดินมั่วๆ โพสให้ทั่ว ก็คุ้มค่าตั๋วที่เสียไปแล้ว
ลงจากปีนังฮิลปุ๊ป เราก็ไม่รอช้าเรียก Grab มุ่งหน้าไปยัง Kek Lok Si Temple วัดบนเขาสีอ่อนหวาน เน้นชมพูออกพาสเทล อีกวัดหนึ่งของปีนังที่โดดเด่นที่สุด ด้วยการการันตีว่าเป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเจดีย์พระพุทธเจ้า 10,000 องค์ สร้างเสร็จเมื่อปี 1930 บอกเลยว่าอลังการสุด ถ่ายเป็นตีป ลึกเบลอหลัง ยิ่งดูแพง นอกจากความหมายจะยิ่งใหญ่แล้วรูปแบบของเจดีย์ยังเป็นการผสมผสานระหว่างสามประเทศด้วย คือ ฐานเจดีย์แบบจีน ตัวเจดีย์แบบไทย และยอดเจดีย์แบบพม่า ซึ่งสถาปัตยกรรมรูปทรงนี้หาดูไม่ได้ง่ายๆ นะจ๊ะ ยิ่งถ้าใครมาช่วงตรุษจีนก็จะแกรนด์เข้าไปใหญ่เพราะทางวัดจะประดับโคมแดงเป็นพันๆ ดวงด้วย..
ว่าแล้วก็เดินออกไปร้านของฝากข้างหน้าตามหาโปสการ์ด มาถ่ายรูป Check in เป็นที่ระลึก ด้วย Live Focus กันหน่อยดีกว่า ด้วยมุกถ่ายรูปก๊อปมุมโปสการ์ดนี่แหละ เหมือนจะซ้ำคนอื่น แต่พอได้เป็นคนลั่นชัตเตอร์เองแล้วมันรู้สึกน่าภูมิใจอยู่น้าา
เน็กสเตชั่นอิส Penang Peranakan Mansion บ้านสีหยกทรงโบราณสุดหรูหราของคหบดีชาวจีนที่ถูกขายให้แก่เศรษฐีปีนัง ปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เราเข้าชมในราคาเพียง 20 RM ภายนอกของตึกดูจะไม่ได้วิเศษอะไร นอกจากสีสันที่สะดุดตา แต่เมื่อเดินเข้ามาข้างในถึงกับต้องอ้าปากค้างกับการตกแต่งแบบผู้ดีจีนโบราณของแท้ที่เราไม่เคยเห็นที่ไหน ทุกอย่างเป็นของสะสม ตกแต่งด้วยความวิจิตรบรรจงแบบที่คนธรรมดาอย่างเรา แค่มองก็รู้ว่ามีมูลค่ามหาศาล
บางทีการเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ที่มีของสะสมมีค่าเยอะๆ แบบนี้ ก็ทำให้เราหวาดระแวงกับการเดินของตัวเองมากเหมือนกันนะ ชอบกลัวว่าจะไปเกี่ยวอะไรล้ม แค่คิดน้ำตาก็จะไหลแล้ว ยิ่งถ้าหิ้วกล้องใหญ่ๆ มาด้วยเราแทบจะไม่เดินเข้าห้องแคบๆ เลย แต่ครั้งนี้เรามี Galaxy S10+ ติดมือไว้ แค่ยกขึ้นมาถ่ายพร้อมโยนเข้าแอพแต่งรูป จิ้มๆ ก็แชร์ได้เลยไม่รุงรัง ชีวิตก็ง่ายขึ้นอีกเยอะ ถ้าใครกลัวได้ภาพซ้ำคนอื่นก็ปัดกล้องไปโหมด Live Focus เลือกเบลอภาพแบบซูม ที่เป็นเหมือนพุ่งเข้าหาวัตถุ ก็ช่วยเพิ่มมิติให้ภาพ แบบนี้ก็เก๋ไปอีกแบบนะ
หลังจากพาเที่ยวป่าเขา เคล้ามิวเซียมแล้ว ก็ถึงเวลาสุดโปรดของเรา นั่นคือการตามหาคาเฟ่สวยๆ กาแฟนุ่มๆ เพิ่มคาเฟอีน ซึ่งจะว่าไปในปีนังก็มีคาเฟ่อยู่เยอะมาก ถ้าตามรีวิวต่างๆ สามวันก็ยังไปไม่ครบ แต่ครั้งนี้เราตั้งเป้ามาที่ร้าน Ome by Spacebar Coffee ร้านห้องแถว 1 ห้องเล็กๆ ตกแต่งหน้าร้านด้วยต้นไม้สีเขียวสะอาดตา และลึกเข้าไปข้างในเป็นโต๊ะรองรับลูกค้าแบบยาว เพดานตีทะลุขึ้นไปถึงชั้นสอง ทำให้ห้องแคบๆ ดูกว้างขึ้นทันตา
ด้วยการตกแต่งที่เน้นความดิบทำให้เห็นพื้นผิวผนังอิฐของตึกเก่าที่เหมือนปูนจะกร่อนไปแล้ว แต่กลับทำให้ร้านดูชิคเก๋ขึ้นทันที บวกกับบาริสต้าที่ยิ้มแย้ม อัธยาศัยดี ชงกาแฟอย่างตั้งใจแก้วต่อแก้ว ทำให้เราอยากเล่น Latte Art กับโหมด Spin ของ Live Focus ที่ขับวงของลาเต้อาร์ตในแก้วกาแฟทรงกลมให้ดูเด่นและสวยกว่าเบลอธรรมดามาก ซึ่งนอกจากกาแฟแล้วที่ร้านยังหอมฟุ้งไปด้วยขนมอบใหม่ทุกวันอีกด้วย
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกพระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินในเวลาทุ่มตรง จะจบวันแล้วก็อยากให้เที่ยวแบบครบๆ ไปเลย เข้าป่า ชมพิพิธภัณฑ์ เช็คอินร้านกาแฟ แล้วก็มาจบที่ทะเลแล้วกันนะ.. เราตั้งใจมาดูพระอาทิตย์ตกที่ Tan Jetty หนึ่งในหกท่าเรือของหมู่บ้านประมงของปีนัง เป็นท่าที่ชิวที่สุดในการมาชมวิวทะเลกว้างขวาง นั่งห้อยขา เพราะท่า Tan Jetty นี้จะไม่วุ่นวายเหมือนท่าอื่นๆ ที่อยู่ในชุมชน มีลักษณะเป็นสะพานไม้กว้างห้าแผ่นทอดยาวไปอยู่กลางทะเล ที่ปลายสะพานไม้จะมีบ้านสีส้มสดใส ที่ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าและน้ำทะเล มองยังไงก็เหมือนภาพวาด แต่บ้านนั้นไม่ใช่บ้านคนนะจ๊ะ เป็นศาลเจ้าและห้องน้ำจ้า เราเลยเลือกนั่งถ่ายภาพโดยใช้ Live Focus แบบธรรมดาถ่าย Portrait ก็ไม่ไก่กานะเนี้ยตัดขอบเนียนกริบไม่มีหลุดเลย เจ๋งมาก
Day 3
อีกจุดไฮไลท์ในปีนังที่ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปสักแชะเป็นหลักฐาน ทุกเรื่องที่เล่าว่ามาเที่ยวปีนังจะกลายเป็นเรื่องโกหก นั่นก็คือ Street Art หัวใจแห่งปีนังนั่นเอง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต้องไปถ่ายจุดไหนบ้าง? เพราะที่นี่เป็นสัญลักษณ์ของปีนัง ฉะนั้นทุกโรงแรมจะมีแผนที่ให้เราไปล่าลายแทง ตามจุดถ่ายรูป ร้านอาหาร และร้านกาแฟกันแบบง่ายๆ ครบทุกจุด สำหรับภาพเพ้นท์ตามผนังเหล่านี้เป็นศิลปะแบบ Interactive Painting หรือการดึงเอาสภาพแวดล้อมมาเป็นส่วนประกอบของภาพด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแต่ละภาพถึงดูมีชีวิตและดูมีเสน่ห์ขนาดนี้
ถ้าใครมาเที่ยวกับชาวแก๊งค์แบบกลุ่มใหญ่ๆ แต่งตัวให้เข้าธีมแล้วมาถ่ายรูปกันตามสตรีทอาร์ตเหล่านี้คงสนุกน่าดู แต่เรานั้น.. มากันแค่สองคนก็ถ่ายกันแบบสงบๆ แล้วกัน ด้วยมิชชั่นที่เราทำมาตลอด กับการถ่ายรูปด้วย Live Focus ของ Galaxy S10+ และรู้สึกสนุกกับการถ่ายโปสการ์ดซ้ำกับสถานที่จริง ก็ขอใช้วิธีนี้ในการบันทึกภาพความทรงจำแล้วกันนะ.. ตามล่าหาภาพเพ้นท์ตามโปสการ์ดที่มีอยู่ในมือให้ครบก็ถือว่ามิชชั่นคอมพลีท
ไปญี่ปุ่นต้องกินโมจิ ไปไต้หวันต้องกินชาไข่มุก แล้วถ้ามาปีนังต้องกินอะ? ก็ Chendul ไงงงงงง.. ชื่ออาจดูแปลกไม่เคยได้ยินที่ไหน แต่หน้าตามันก็คือลอดช่องบ้านเรานี่แหละจ้า.. แต่จะมีถั่วแดงเพิ่มมา ราดด้วยกะทิ น้ำตาลทรายแดงเคี่ยว และน้ำแข็ง เจ้าตรง Street Art นี้ชื่อว่า Teochew Chendul ขายมากว่า 80 ปี เก๋าจนเขามีภาพเพ้นท์เป็นของร้านตัวเอง ให้เราก๊อปปี้ท่าถ่ายตามแบบนี้ด้วย เพราะทางร้านรักษารสชาติ และใช้ของมีคุณภาพ ทั้งหวาน อร่อย สดชื่นแบบนี้นี่เองถึงอยู่เป็นคู่ขวัญของชาวปีนัง จนคนนอกอย่างเราอยากจะลองลิ้มรสบ้าง แถมราคาก็ถูกเหมือนกินน้ำแข็งใสบ้านเรา ถ้วยละ 3 RM เท่านั้น
เดินมั่วๆ เหนื่อยๆ ก็เหมือนมีพรหมลิขิตให้มาเจอกับร้าน Jio Cafe เพราะโลโก้รูปกล้วยทรงน่ารักสะดุดตาเลยคิดว่าร้านนี้ต้องมีอะไรเด็ดแน่ๆ ซึ่งเซนต์เราไม่เคยพลาดอยู่แล้ว ร้านนี้ถือว่าเอาใจสาวๆ สายมุ้งมิ้งได้เลยนะ เพราะภายในตกแต่งด้วยสีเหลือง ชมพู สุดฟริ้ง มีสระว่ายน้ำจำลองสีชมพูหวานๆ พร้อมห่วงยางฟามิงโก้เป็นพร๊อพที่วางตรงไหนก็ไม่ขัดตา ผนังที่ฝังโทรศัพท์โบราณสีชมพูให้ยืนคุยสวยๆ ถ่ายรูปก็ยังดูน่ารัก ผนังสีเหลืองที่ตกแต่งด้วยกล้วยให้ยืนเป็น Backdrop เก๋ๆ จะเลือกนั่งตรงไหนก็ชื่นใจ
เมนูที่นี่มีให้เลือกทั้งอาหารคาว หวาน และเครื่องดื่ม ราคาพอๆ กับคาเฟ่เก๋ๆ บ้านเราเลย อย่างเครื่องดื่มจะเริ่มต้นที่ 7 – 16 RM อาหารและของหวาน 16-32 RM ประมาณนั้น.. วันนี้ขอของหวานเบาๆ ด้วย Matcha Latte, Rasberry Peach Soda และ Tiramisu Cake ให้มีแรงไปเที่ยวต่อ เพราะยังมีอีกร้านที่เราหมายตาไว้อยู่
กินต่อไม่หยุดฉุดไม่อยู่แล้วจ้า ที่บอกว่ามีร้านหมายตาไว้ก็คือร้านนี้นี่แหละ Awesome Canteen เป็นคาเฟ่ชื่อดังที่อยู่ในทุกรีวิวของปีนัง มีเหรอที่ “จ ะ เ ที่ ย ว ไ ป ไ ห น” จะพลาด เขาเด็ดขนาดไหนเราต้องมายลให้รู้กันไปว่าดีจริงหรือมั่วนิ่ม ด้วยร้านที่ตกแต่งสไตล์ลอฟ ปูนเปลือย เน้นให้เห็นความคลาสสิค จัดวางเหมือนไม่ใส่ใจ เก้าอี้ไม่ได้เข้าชุดกับโต๊ะ แต่กลับดูเข้ากันอย่างลงตัวก็ทำให้รู้แล้วว่าร้านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ บรรยากาศร้านเหมือนเป็นโรงอาหารเก่าตามชื่อ แต่ด้วยเพดานสูงของร้าน พร้อมมีต้นไม้สูงปลูกอยู่ภายใน ก็ยิ่งสร้างความรื่นรมย์ให้เรายิ่งขึ้น.. เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมใครๆ ถึงชอบมากัน
โดยเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนี้จะเป็น Hot Choholate และเบอร์เกอร์ชิ้นโตกัดยังไงก็ไม่พอดีคำ เพราะให้มาไส้แน่น เนื้อเน้นมาก โดยการสั่งนั้นเราสามารถเลือกไส้ได้ว่าอยากได้เนื้อกับชีสล้วนๆ, เห็ดผสมเนื้อหรือไก่ หรือพีนัทบัตเตอร์พร้อมเนื้อหรือไก่ โดยในชิ้นจะมีซอสและผักให้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็แอดเพิ่มได้ เคียงด้วยเฟรนช์ฟรายส์ทุกจาน อ่อ.. ที่นี่ไม่มีหมูนะฮะ เพราะเขาเป็นอาหารฮาลาลกันหมดเด้อออ และถ้าใครไม่สันทัดเบอร์เกอร์ก็สั่งเป็นข้าวได้ มีเมนูให้เลือกเยอะแยะมาก.. ด้วยความใหญ่ของเบอร์เกอร์พอถ่ายแบบเบลอหลัง เราชิดซ้ายไปเลยอะ ยกความเด่นให้นางไปเลย
อีกหนึ่งลูกเล่นของ Live Focus ที่เฉียบคม และเท่ระเบิด สมกับบทบาทพระเอกของทริป คือโหมดดูดสี การทำด้านหลังเป็นสีขาวดำ ขับวัตถุด้านหน้าให้เด่นขึ้น ก็ยิ่งทำให้ภาพนี้ทรงพลัง ส่งผลต่อกระเพาะอาหารเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ พอกลับมาดูรูปอีกทีก็เริ่มหิวอีกแล้วเนี้ย..
สุดท้ายเรามาจบกันที่ Setia spice convention หรือที่เรียกกันยาวๆ ว่า Penang International Convention and Exhibition Centre เป็นศูนย์ประชุมไว้จัดงานแสดงต่างๆ คล้าย Impact บ้านเราแต่ความล้ำนำสมัยของเขาคือการออกแบบของตึก แม้ที่นี่จะไม่ใช่จุดท่องเที่ยวที่สำคัญอะไร แต่เราเชื่อว่าอีกหน่อยจะต้องเป็นอีกแลนด์มาร์คที่คนจะต้องมาแวะถ่ายรูปกันแน่นอน เราเห็นที่นี่จากไอจีเพื่อนๆ ชาวต่างชาติ ตอนแพลนเลยแอบเซฟพิกัดไว้ กะว่าถ้ามีเวลาจะต้องมาให้ได้ และด้วยความโชคดีที่อยู่ใกล้สนามบิน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะแวะถ่ายรูปสักสามสี่แชะอะเนอะ..
แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดของที่เที่ยวในปีนัง แต่ก็รวมทุกจุดไฮไลท์ที่ถ่ายรูปยังไงก็ไม่เอ้าท์ และที่นี่ก็สร้างความประทับใจให้เราไม่น้อยไปกว่าที่อื่นเลย รวมกับการสร้างมิชชั่นให้ตัวเอง โดยการถ่ายภาพด้วย Live Focus ของ Samsung Galaxy S10+ ก็ยิ่งทำให้ทริปนี้สนุกขึ้นไปอีก.. เชื่อมั้ยว่า?? แม้เราจะมีมือถือเหมือนกัน เที่ยวในสถานที่เดียวกัน แต่ถ้าเรามีมุมมองที่ต่างกัน รูปของเราก็ไม่มีวันออกมาเหมือนคนอื่นหรอก.. เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่นั่งดูอยู่เลย เดินไปเก็บกระเป๋า แพลนที่เที่ยว แล้วจองตั๋วไปเที่ยวแบบเรากันเถอะ แล้วปีนังของแกจะเป๊ะปังอลังเว่อร์ไม่ต่างจากเรา …