Discover China : เที่ยว ลี่เจียง (LIJIANG) — แชงกรีล่า (SHANGRI LA)

ชีวิตก็เหมือนกับภาพยนตร์ที่คนกำกับคือเราเอง … เราเลือกได้ว่าอยากให้หนังชีวิตเรื่องนี้เต็มไปด้วยสีสันที่หลากหลายจากการเดินทาง หรือมีเพียงสีขาวจากแสงไฟในห้องทำงาน ถ้าแกเลือกความหลากสี เลือกเป็นผู้หลงใหลกับการแต่งแต้มเรื่องราว และหลงรักกับการสัมผัสสิ่งใหม่ๆ ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคย เราแนะนำว่าควรตามเรามาในทริปนี้ เพราะเราจะพาพวกแกไปผจญภัยบนเส้นทางแชงกรีล่า ลี่เจียง สถานที่ท่องเที่ยวสุด Masterpiece ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์  ธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ จนได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับ AAAA และ AAAAA ระดับที่สูงที่สุดของสถานที่ท่องเที่ยวในจีน!!! หากแค่การได้ยิ่งเรื่องราวเหล่านี้ทำให้ใจของแกสั่น นั่นแปลว่าแกต้องรีบเก็บกระเป๋า ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น กระชับเสื้อหนาวไว้ให้ดี แล้วตามเรามาแบบด่วนเลย

และทริปนี้เราไม่ได้ออกเดินทางแบบตัวเปล่านะ แต่เป็นการออกเดินทางไปกับแบรนด์ Timberland ที่นอกจากจะสืบสานตำนานความอึด ถึก ทน มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกเข้ากับทุกสภาพอากาศจนกลายเป็นขวัญใจนักเดินทางสายลุยมาตั้งแต่ปี 1952 หรือกว่า 67 ปีแล้ว ความเท่ที่เกินบรรยายทำให้หลายไอเท็มไม่ว่าจะเป็นหมวก เสื้อยืด กางเกง รองเท้า เสื้อกันหนาว สามารถเอามามิกซ์แอนด์แมทซ์ใส่เดินเที่ยวได้ทั้งในป่าแบบเซฟๆ และเดินในเมืองแบบคูลๆ เก๋ๆ ได้เลย ขนาดทริปนี้เราต้องขึ้นเขาไปเจอความหนาว แล้วกลับที่ราบมาเจอความอุ่นก็ยังมีแบบเท่ๆ ให้เลือกแบบจุกๆ ยิ่งคอลเลกชันใหม่ล่าสุด Timberland เค้าใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยไอเดียเจ๋งรักษ์โลก โดยการนำเอาขวดพลาสติกรีไซเคิลที่ถูกทิ้งอยู่ตามท้องถนนมาเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นรองเท้าสุดเท่ … ทำให้เราชื่นชอบและรู้สึกรักแบรนด์นี้เพิ่มขึ้นอีก

Day 0 : การเดินทางอันยาวนานกับเส้นทางที่ไม่อาจลืมเลือน

วันนี้เป็นวันที่เรียกได้ว่าเราใช้เวลาแทบทั้งหมดไปกับการเดินทาง แต่มันก็เป็นระยะเวลายาวนานที่แสนสั้น เพราะตั้งแต่เราได้ลงเครื่องและนั่งรถไฟความเร็วสูงจากเมืองคุนหมิงไปยังลี่เจียง จากที่คิดว่าจะได้นอนหลับพักผ่อนเอาแรงสักหน่อย กลับเปลี่ยนเป็นเอาได้แต่เฝ้าดูวิวข้างทางที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนกับสมุดภาพที่ถูกเปิดทีละหน้าอย่างไม่รู้จบ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนพาหนะเดินทางเพื่อนั่งรถบัสต่อไปอีก 4 ชั่วโมง จากลี่เจียงเพื่อไปยังแชงกรีล่า ความคาดหวังที่จะได้นอนหลับและงีบเอาแรงของเราก็ดูริบหรี่ไปอีกครั้งหนึ่ง เพราะวิวทิวทัศน์ตั้งแต่รถค่อยๆ เคลื่อนจากพื้นราบสู่ยอดเขาก็เป็นอีกหนึ่งโมเม้นต์ที่เราไม่อาจทำใจหลับได้ลง โดยเฉพาะเมื่อข้างหน้าคือภาพภูเขาสูงใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนมาใกล้เรามากขึ้น สุดท้ายการเดินทางอันยาวนานในวันแรกก็จบลงที่เมืองแชงกรีล่า ทันทีที่เราถึงย่านเมืองเก่าก็มุ่งหน้าเข้าที่พักนอนเอาแรงเพื่อเตรียมลุยในเช้าวันรุ่งขึ้น

Day 1 : ดำดิ่งประวัติศาสตร์และทะยานสู่ภูเขาที่สูงชัน

• Songzanlin Temple

ทันทีที่นาฬิกาปลุกเราก็เด้งตัวขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วผิดกับวันที่ต้องออกไปทำงาน จนแอบรู้สึกผิดกับเจ้านายไป 20% ก็แหม ระหว่างไปทำงานมันไม่ได้วิวดีขนาดนี้นี่นา หลังจากสวมหมวกใบเก่งและกระชับเชือกรองเท้าให้แน่นแล้วเราก็พร้อมออกเดินทางไปยัง วัดซงจ้านหลิน Songzanlin Temple วัดสไตล์ทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนานที่มีอายุถึง 340 ปี และแม้ว่าจะเคยถูกทำลายให้เสียหายอย่างหนักในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนแต่ก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยงามดังปัจจุบัน

หลังจากจ่ายค่าตั๋วในราคา 115 หยวน เราก็พร้อมมุ่งหน้าขึ้นสู่บันได 146 ขั้น เพื่อออกสำรวจประวัติศาสตร์ของวัดที่อยู่บนความสูง 3,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้ ภายในวัดแห่งประกอบด้วยอาคารหลักอยู่ 3 อาคาร คือ Tsongkhapa Hall, Dratsang Hall และ Sakyamuni Hall ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังมีอาคารเล็กๆ อยู่อีกหลายอาคาร ที่เราสามารถไล่เดินชมความวิจิตรตระการของศิลปะแบบทิเบตผสมกับฮั่นที่ถูกสะท้อนออกมาผ่านพระอรหันต์ 108 องค์ ที่ถูกนำมาประดับตกแต่งอยู่รอบอาคาร รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังที่ยังคงความสมบูรณ์และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และถึงแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปภายในอาคารแต่ความสวยงามก็ยังฝังอยู่ในใจเราจนถึงวันนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในทุกๆ ปีที่มีเทศกาล Gedong ชาวทิเบตผู้มีศรัทธาแรงกล้าจึงหลั่งไหลกันมาเพื่อคลานเข่าและเอาหน้าผากโขกกับพื้นในทุกๆ ก้าว ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงตัวอาคารสถานที่ที่อยู่สูงที่สุดในมณฑลยูนนานแห่งนี้

• Lamuyangcuo Lake

พอเดินชมความสวยงามแบบใกล้ชิด … เราก็อยากจะเห็นภาพรวมของวัดนี้แบบเต็มตาจึงได้รับคำแนะนำมาว่าให้ไปยัง Lamuyangcuo Lake ทะเลสาบลาหมู่ยางชั่ว หรือทะเลสาบจิตวิญญาณแห่งนางฟ้า ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นที่อาศัยของพระเจ้าสูงสุด หนึ่งในสามของทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์แห่งทิเบตที่มีความกว้างถึง 2,110 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงถึงจะรอบเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ดีมันก็เป็นเวลาที่คุ้มค่าแก่การสละ เพราะระหว่างทางที่เราเดินเล่นรอบทะเลสาบเราจะผ่านจุดชมวิวที่สำคัญที่สุด 2 จุดนั่นก็คือ Conggulong Village และจุดกึ่งกลางของทะเลสาบ ซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถเห็นวัดซงจ้านหลินแบบพาโนรามา และรอบๆ ทะเลสาบเรายังสามารถพบเห็นพระสงฆ์ และเราผู้มีจิตศรัทธาทยอยกันมาสวดมนตร์รอบทะเลสาบแห่งนี้ตลอดเวลาอีกด้วย

ออกมาจากวัดในเวลาเที่ยงตรง และคนขับรถก็เหมือนจะรู้ใจว่าทางเรากำลังหิว เราจึงให้เค้าพาเราไปยังร้านอาหารที่คนท้องถิ่นนิยมกินกัน และก็น่าจะจริงตามนั้นเพราะทันทีที่เราเปิดประตูเข้าไปทุกโต๊ะล้วนหันมามองพวกเรา ไม่รอช้าเรารีบสั่งอาหารทิเบตมารัวๆ เริ่มจากหมูทิเบตสามชั้นทอด ที่อร่อยได้มาตรฐาน จานถัดมาคือซี่โครงหมู ก็ยังอยู่ในมาตรฐานเซฟโซนของเรา และท้ายสุดกับเมนูไฮไลท์ของมื้อนี้นั่นก็คือ เนื้อจามรีย่าง อาหารพื้นถิ่นที่โด่งดังจนใครมาเค้าก็แนะนำให้ลอง ส่วนคาร์โบไฮเดรตนั้นคนที่ร้านนี้จะกินแป้งที่มีลักษณะคล้ายๆ แป้งนาน ที่เสิร์ฟเป็นจานหันเป็นซีกคล้ายเค้ก ซึ่งเมื่อเอามากินกับของทอดกลับอร่อยลงตัวกว่าที่คิด ก่อนจะปิดท้ายด้วยนมจามรีที่ให้ความรู้สึกว่าเออก็นมอ่ะ ดื่มง่ายไม่โป๊ะ และระหว่างทานทั้งเจ้าของร้าน และลูกค้าต่างจับจ้องชวนคุย เอาใจช่วย แนะนำการกินจนเรารู้สึกเหมือนเป็นตัวแทนจากประเทศไทยที่มาเยือนทิเบตกันเลยทีเดียว … มื้อนี้จึงถือว่าผ่านมาได้แบบอิ่มอร่อยและสนุกสนานทั้งร่างกายและจิตใจในคราวเดียว

• Shika Snow Mountain

เต็มอิ่มทั้งร่างกายและจิตใจเราก็พร้อมที่จะเหยียบย่างขึ้นสู่ดินแดนแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่า Shika Snow Mountain ภูเขาหิมะสือข่า ที่สื่อถึงภูเขาที่อุดมไปด้วยกวางสีแดงสัญลักษณ์ของความอายุยืนและความยุติธรรม การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาเราจะต้องนั่งกระเช้าถึงสองต่อ โดยสนนราคาค่าเข้าอยู่ที่ 260 หยวน เรียกได้ว่าสูงชันทะลุเมฆยิ่งกว่าฟงอวิ๋นขี่พายุทะลุฟ้าซะอีก หลังจากเราขึ้นกระเช้าในต่อแรกก็รู้สึกตื่นเต้นกับความสูงใหญ่อลังการของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้เป็นที่สุด แต่ไม่ทันไรเราก็มาถึงสถานีครึ่งทางที่เป็นที่ราบทุ่งหญ้ากว้างๆ จุดนี้เราสามารถเดินเล่นเป็นวงกลมรอบๆ สถานี ซึมซับบรรยากาศ สัมผัสไอเย็นที่พัดผ่านภูเขา และชมวิวหมู่บ้านที่อยู่ไกลๆ ถือว่าเป็นจุดเป็นการวอร์มอัพร่างกายให้อบอุ่นก่อนขึ้นไปผจญความหนาวด้านบนได้อย่างดี ซึ่งจากตรงนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินขึ้นไปยังยอดเขา หรือเลือกนั่งกระเช้าเพื่อย่นระยะเวลา แต่เมื่อก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือเราก็ทันทีว่ากระเช้าคือคำตอบสุดท้าย

และเมื่อกระเช้าไต่ระดับมาที่ความสูง 4449 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทิวทัศน์แปลกตาที่ไม่อาจหาได้ที่ไหนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เราต้องยอมรับจริงๆว่าความสวยระดับนี้สมแล้วที่ถูกจัดอันดับให้เป็นที่ท่องเที่ยวเกรดเอโฟร์ AAAA ตามการจัดอันดับที่ท่องเที่ยวสุดอะเมซซิ่งของจีน โดยที่มีเพชรยอดมงกุฎคือเอห้า AAAAA ดังนั้นถ้าที่นี่เป็นเพชรมันก็คงเป็นเพชรที่อยู่บนมงกุฏของฮองเฮาที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้เท่านั้น โอ้โห อาจดูเหมือนเว่อร์ แต่ถ้าแกมาเห็นแกคงขนลุกเพราะความหนาวไม่ต่างจากเรา ผิด!!! ขนลุกเพราะว่ามันสวยอย่างกับดินแดนในฝัน

ทางเดินบนยอดเขาก็ถูกทำไว้อย่างดี ทำให้เราสามารถเดินสำรวจวิวทิวทัศน์และสัมผัสความงดงามได้แบบสบายๆ ระหว่างทางเราสามารถสังเกตเห็นผ้าหลากสีที่ถูกผูกไว้อันเป็นเครื่องหมายของการสักการะบูชาพระเจ้าของชาวทิเบตอีกด้วย ซึ่งในขณะนี้ที่เป็นฤดูร้อนลมหนาวยังพัดให้เราได้ชื่นใจอยู่ตลอดเวลา ต้นหญ้าเป็นสีเขียวไปทั่วทั้งภูเขาสลับกับดอกไม้ป่าที่ขึ้นเป็นทุ่งขนาดใหญ่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่น และเมื่อฤดูหนาวเข้าปลุกคุมหิมะสีขาวก็จะเข้ายึดครองภูเขาที่เราเห็นนี้จนหมด แต่หากเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงทุ่งหญ้าสีเขียวนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามสลับกับสีส้มก็ได้ฟิวลิ่งไปอีกแบบหนึ่ง ไม่แปลกที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะสร้างความประทับใจได้ทุกฤดูกาล

อย่างที่บอกไปว่าทิวทัศน์ของที่นี่มันสวยงามมาก มุมถ่ายรูปก็เลยเยอะมากเช่นกัน โชคดีที่เราใส่เสื้อผ้าของ Timberland ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นและเส้นทางยากสลับง่ายที่เราเดินผ่านๆ มา ทำให้เรามีความสะดวกสบายเพราะน้ำหนักเบา ใส่ง่าย ไม่เกะกะ แต่กันหนาวได้ดี และมีความสุขเพราะไม่ต้องระวังว่าจะเดินลื่นไถลไถไปกับเขา มันยิ่งช่วยให้เราสัมผัสบรรยากาศได้มากยิ่งขึ้นตลอดการเดินทาง แถมยังให้ลุคที่เท่แบบกินขาดเหมาะกับมาดนักผจญภัยผู้รักอิสระและพร้อมในการเดินทางแบบเราที่สุด งานนี้จะแอ็คเผลอหรือตั้งใจไลค์ก็ถล่มให้ทั้งคนและวิวอย่างแน่นอน

• Napahai Lake

เราใช้เวลาอยู่บนภูเขาหิมะสือข่าจนเกือบเย็น ก็ได้เวลาลงมาปิดทริปกับจุดหมายที่ห่างกันเพียง 10 นาที Napahai Lake ทะเลสาบที่สวยจนอยากร้องขอชีวิตให้ได้อยู่เห็นมันไปอีกนาน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าสัตว์น้อยใหญ่และหมู่บ้านรอบข้างดังที่เราเห็นอยู่นี้หากในช่วงฤดูฝนพื้นที่เขียวชอุ่มจะถูกสายน้ำเข้าแทนที่เกือบจะทั้งหมด พอช่วงฤดูใบไม้ร่วงทุ่งหญ้าก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็นสีทอง พอฤดูหนาวสีขาวจากหิมะก็เข้ามาแทนที่ และเมื่ออยู่ในช่วงของฤดูร้อนอย่างตอนนี้ เราก็จะได้เห็นฝูงจามรี ม้า แกะ ห่าน นักท่องเที่ยว และเด็กๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นออกมาร่วมกันใช้พื้นที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้ด้วยความเบิกบานใจ โดยมีภูเขาสูงเป็นวิวในระยะไกล แกเอ้ยยยย มุมนี้ก็สวยไม่แพ้มุมข้างบนจนอยากจะนั่งมองจนหมดคืนเลยแก๊ สวยน้ำตาจะไหล ขอบคุณประเทศจีนที่ยังเก็บมุมดีๆ อย่างนี้ไว้ให้เรา

Day 2 : เหยีบย่างประวัติศาสตร์ หมุนวนกงล้อแห่งศรัทธา

• Dukezong Ancient Town

หลังจากอิ่มเอมกับความสุขและเมื่อยขาจากระยะทาง วันนี้พวกเราเลยตื่นสายกันนิดนึงก่อนจะออกมาทานมื้อเช้า เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋า แล้วเข้าไปเดินเล่นในย่านเมืองเก่าแชงกรีล่า Dukezong Ancient Town ที่นี่คือชุมชนชาวทิเบตที่เก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งมีอายุกว่า 1,300 ปี ตลอดระยะการเดินเล่นในเมืองนี้เราจะเห็นได้ถึงสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่แทรกความสวยงามและปราณีตแบบโบราณเอาไว้อย่างแยบยล น่าเสียดายที่ต้นปี 2014 เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้เมืองแห่งนี้ถูกทำลายลงไปมากและอยู่ในช่วงกำลังบูรณะ เราจึงเดินสำรวจได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังโชคดีที่ว่าความสดใสในชุมชนยังไม่ได้หายไปไหนเราจึงสามารถเลือกซื้อหาของฝากแบบ Original ทิเบต หรือแวะหาชิมซุปจามรีชื่อดังได้อย่างไม่ยากเย็น

• Guishan Park

เดินเล่นสำรวจไปเรื่อยเปื่อยเราก็มาถึง Guishan Park ลานกว้างที่สามารถเห็นวิววัดต้าฝอได้แบบเต็มตา ลานดังกล่าวถือเป็นจุดพบปะสังสรรค์และออกกำลังกายของชาวเมืองในช่วงยามเย็น ส่วนในเวลากลางวันเราก็จะเห็นเหล่านักท่องเที่ยวออกมาเดินสำรวจบ้าง ถ่ายรูปคู่กับจามรีบ้าง หรือเช่าชุดแบบชาวทิเบตพื้นเมืองถ่ายรูปกันบ้าง เป็นอีกหนึ่งความมีชีวิตชีวาความมีสีสันที่เราอยากให้แกลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง

• Dafo Temple

ชื่นชมวิถีชีวิตกันพอกรุบๆ เราก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปสำรวจภายในวัดสไตล์ทิเบตโบราณแห่งนี้ Dafo Temple ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง มีอายุกว่า 1,600 ปี ตั้งอยู่บนยอดเขาและมีความสูงสามชั้น ทำให้สามารถมองเห็นย่านเมืองเก่านี้ได้ทั้งเมือง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวัดที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากนักแต่เมื่อเราได้อ่านรีวิวตอนหาที่เที่ยวเรากลับรู้สึกว่าความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาตินี้แหล่ะที่น่าดึงดูด

นอกจากตัววัดจะสวยเพราะสีสันที่สดใสแล้ว ที่นี่ยังมีไฮไลท์เด็ดต้องห้ามพลาดคือกงล้อยักษ์ขนาด 24 เมตร สีทองอร่ามและลวดลายตามคติความเชื่อของชาวทิเบตอยู่รอบตัวกงล้อ นอกจากจะถูกตั้งไว้อย่างสวยงามแล้ว ยังเป็นเครื่องรางแห่งความศรัทธาที่เราสามารถร่วมเป็นหนึ่งในผู้หมุนกงล้อพร้อมกับคนอื่นๆ โดยการหมุนกงล้อเทียบได้กับการสวดมนต์ภาวนา รู้อย่างนี้มีหรอที่เราจะไม่รีบเข้าไปหมุนกงล้อยักษ์นี้

Day 3 : The Short Story Highlight

• Blue Moon Valley

หากการเดินทางครั้งนี้เปรียบเหมือนหนังสั้นเรื่องนึง … เนื้อเรื่องตอนนี้คงดำเนินมาถึงจุดไคลแมกซ์ เราเริ่มต้นโลเคชั่นแรกของเช้านี้กันที่ Blue Moon Valley หรือหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน ที่เมื่อมองมันจากมุมสูงแม่น้ำนี้จะมีลักษณะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แต่เมื่อดูจากพื้นราบสายน้ำสีน้ำเงินแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากนิยายของจีนสักเท่าไหร่ เพราะมันสวยงามราวกับภาพวาดจากศิลปินเอกที่จับเอาแม่น้ำมาเป็นฉากหน้าและภูผาสูงชันมาเป็นฉากหลัง แต่มันคือเรื่องจริง สถานที่จริงๆ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเรา

น้ำสีฟ้าที่ใส่ราบเรียบราวกับกระจกนี้ใช่ว่ามันจะเป็นสีฟ้าตลอดทั้งปี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตกลงมาโคลนสีขาวและหินปูนจากภูเขามังกรหยกฉากหลังที่ตั้งตระหง่านก็จะไหลลงมาจนทำให้น้ำสีฟ้านี้เปลี่ยนเป็นสีขาวน้ำนม และเย็นเยียบราวกับกำลังแช่เท้าอยู่ในอ่างหิมะ ชาวบ้านที่นี่ในวัยหนุ่มสาวจึงมาพิสูจน์ความรักที่มีต่อกันด้วยการที่ฝ่ายชายจะลงไปยืนเปลือยเท้าในน้ำที่ไหลจากภูเขาหิมะศักดิ์สิทธิ์อันเยือกเย็นแทนคำมั่นสัญญาว่าจะมีรักนิรันดร์ให้กับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นเหมือนแม่น้ำแห่งความรักในความรู้สึกของชาวบ้านละแวกนี้ ส่วนการเดินทางเค้าจะมีรถกอล์ฟไว้บริการเพื่อพาเราไปยังจุดชมวิวที่สำคัญๆ ถึงสามจุด โดยเราสามารถใช้เวลาได้ตามต้องการและเมื่ออยากจะไปอีกที่หนึ่งก็กลับมายืนรอที่จุดบริการรถกอล์ฟได้เลย

• Lijiang Impressions Show

หลังจากที่ใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวันตะลึงไปกับหุบเขาพระจันทร์ความงามตามธรรมชาติที่สวยจนต้องยกนิ้วให้ เราก็ไปตะลึงกันต่อกับโชว์สุดอลังการ Lijiang Impressions Show ซึ่งเป็นโชว์ที่ใช้ภูเขามังกรหยกเป็นฉากหลัง โอ้โหฟังแค่นี้ก็รู้สึกถึงความอลังการกันแล้ว ไม่รอให้เวลาล่วงไปมากกว่านี้เรารีบจ่ายค่าดูโชว์ 190 หยวนและเข้าชมในรอบ 11 โมง ซึ่งปกติโชว์จะมีด้วยกันถึง  3 รอบ อีกสองรอบคือรอบเก้าโมงและบ่ายสอง สะดวกเวลาไหนก็มานะ แต่ต้องมาให้ได้เพราะมันอลังการขนลุกฟู่ๆ ตลอดโชว์เลยจริงๆ ก็แน่ล่ะเพราะนี่เป็นโชว์แบบโอเพ่นแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในจีนและตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงที่เรากำลังนั่งชมโชว์อยู่บนความสูง 3,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เขาได้นำเอาชาวพื้นเมืองกว่า 500 คนเข้ามาร่วมแสดงสุดยิ่งใหญ่นี้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูเขาหิมะและเมืองเก่าแห่งนี้ ผ่านบทเพลงและการสื่อสารตามสไตล์พี่จีนด้วยภาษาจีน พร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษ ซึ่งเราแทบจะไม่ได้สนใจเพราะแม้เราจะฟังไม่รู้เรื่องแต่สีหน้าและท่าทางของนักแสดงก็ชวนให้เราจินตนาการตามจนไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทั้งหมดก็ได้

เสียงดนตรีที่ดังกึกก้องกับกองทัพนักแสดงหลายร้อยชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหว โดยมีภูเขาสูงเป็นเบื้องหลังและการจัดวางผังการแสดงที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ยิ่งทำให้เรารู้สึกคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปมากถึงมากที่สุด จนผู้ชมต้องพร้อมใจกันลุกขึ้นปลุกมืออยู่นานหลายนาทีหลังจบการแสดง ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เรากล้าพูดว่าห้ามพลาด!!!

• Jade Dragon Snow Mountain

ความประทับใจที่คิดว่าสุดแล้ว มันก็ยังไม่สุดสักทีเดียวเพราะถ้าภูเขาสือข่าคือสถานที่ท่องเที่ยวระดับเอโฟร์ AAAA แสดงว่ามันยังต้องมีสถานที่ที่เหนือกว่านั้นจนได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในระดับเอไฟว์ AAAAA แล้วมันก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล เพราะมันคือภูเขาหิมะมังกรหยก Jade Dragon Snow Mountain ที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ที่นี่คือธารน้ำแข็งที่อยู่ใต้สุดของซีกโลกเหนือเป็นภูเขาที่มีความยาวกว่า 35 กิโลเมตร มียอดเขาถึง 13 ยอด และสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 5,600 เมตร มันจึงมีหิมะและหมอกปลุกคลุมตลอดทั้งปีจนดูเหมือนกับมังกรหยกสีขาวที่กำลังนอนทอดตัวอยู่เหนือเมฆตามชื่อของมัน

การขึ้นสู่ยอดเขานั้นเราต้องนั่งกระเช้าเพื่อไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และหลังจากที่กระเช้าถูกปล่อยตัวออกจากอาคารและเผยให้เห็นถึงบรรยากาศรอบข้างเราก็เหมือนโดนมนต์สะกดของมังกรทำให้ตกหลุมรักจนไม่อาจหยุดกดชัตเตอร์ได้เลยยยยยยย เมื่อถึงยอดเขาเราก็จะเจอกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีทางเดินเป็นสะพานไม้ให้เราเดินชมภูเขาได้อย่างสะดวกสบาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีบนความสูงทะลุเมฆนี้ก็ทำให้อากาศค่อนข้างจะบางเบามากพอสมควร ดังนั้นห้ามวิ่งและห้ามออกแรงมากจนเกินไปเป็นอันขาดเพราะจะทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่ทัน เราจึงค่อยค่อยเดินสำรวจไปตามเส้นทางที่เค้ากำหนดอย่างช้าๆ (เพราะมัวแต่แวะถ่ายรูป) และแม้จะโชคไม่ค่อยดีนักเพราะวันที่เราไปหมอกค่อนข้างจะหนาจนเราแทบไม่มีโอกาสได้เห็นยอดของภูเขามังกรหยก แต่ก็ทำให้เราได้รูปในอีกฟิลลิ่งหนึ่งที่สวยงามแปลกตา

ช่วงหัวค่ำหลังจากวางกระเป๋ากล้อง ถอดเสื้อกันหนาว ปลดเชือกรองเท้า และอาบน้ำ ความเงียบก็เข้าปกคลุมภายในห้อง ทำให้เราได้นึกย้อนถึงกิจกรรมและความสวยงามที่เราได้เห็นในวันนี้ จนเราต้องหยิบกล้องขึ้นมาเช็คดูรูปอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ได้เป็นแค่เพียงความฝันแต่เราได้เอาตัวเองไปยืนในจุดนั้นอยู่จริงๆ จนต้องขอบคุณตัวเองที่กล้าลบทุกอคติเกี่ยวกับจีนและออกเดินทางมาที่นี่ และอยากจะขอบคุณตัวเองอีกครั้งที่เลือกใส่ Timberland มา ทำให้เรายังสามารถหล่อเท่ชิคคูลได้ท่ามกลางอากาศหนาวในช่วงฤดูร้อนของที่นี่ (ไม่ได้อยากจะอวยตัวเองแบบภาพมันฟ้องก็ไม่รู้จะทำยังไง 555)

Day 4 : Time Traveller

• Lijiang Old Town

ใครว่าการย้อนเวลาจะมีแค่เพียงในหนัง เพราะทันทีที่เราเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปยังย่านเมืองเก่า Lijiang Old Town ก็เหมือนกับว่าเราได้หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อปลายราชวงศ์ซ่ง เมืองเก่าแห่งนี้ได้สั่งสมความร่ำรวยทางวัฒนธรรมมาแล้วกว่า 800 ปี ตั้งแต่สมัยกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์หยวน และด้วยพื้นที่ที่มีความหลากหลายของประเทศในเอเชียทั้งจีน ทิเบต อินเดีย และประเทศอื่นๆ ทำให้ลี่เจียงกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญทั้งในแง่ของการเมือง วัฒนธรรม และศูนย์กลางการศึกษา มันจึงสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ทำให้การเดินเล่นในย่านนี้มีจุดไฮไลท์ต้องห้ามพลาดอยู่หลายจุดไม่ว่าจะเป็น Black Dragon Pool บ่อน้ำหลักของชาวเมือง, Square Street สี่แยกใหญ่ของเมืองที่จะพาแกไปถนนสายรองอื่นๆ ที่เรียงรายไปด้วยบ้านแบบโบราณที่ให้ความสำคัญกับการตกแต่งตามสไตล์ของชาวน่าซี ชาวพื้นเมืองของลี่เจียง และยังมีสะพานหินเก่าแก่กับบ้านเรือนอื่นๆ อีกมากมาย ให้ได้เดินชมความสวยงามของมรดกโลกแห่งนี้ได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ

วันนี้เราเลยแต่งตัวสบายๆ โดยใส่เชิ้ตขาว กางเกงขาสั้น และหมวกอีกสักใบ เป็นอันจบลุคนักเดินทางข้ามกาลเวลาที่เรียบแต่โก้ มายืนถ่ายรูปคู่กับ โลโก้ที่ใช้โปรโมทลี่เจียงอย่างเจ้ากังหันน้ำยักษ์ ระบบชลประทานที่เก่าแก่ที่สุดของจีนที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประดิษฐ์เครื่องมือ เรื่องราวประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมชั้นสูงในยุคสมัยนั้น มันจึงกลายเป็นแลนด์มาร์คที่มีคุณค่าและเรื่องราวมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองลี่เจียง

และด้วยความที่นี่มันคือเมืองที่รุ่งเรืองมากๆ ในอดีต มันจึงมีที่ถ่ายรูปอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตรอกซอกซอยที่ตกแต่งด้วยร่มแบบจีน ผนังบ้านไม้แบบโบราณ จักรยานเก่าที่จอดทิ้งไว้ สตรีทอาร์ตในยุคใหม่ๆ ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างล้วนสามารถกลายเป็นแบล็คกราวน์ให้เราถ่ายรูปและเล่าเรื่องราวของมันได้อย่างดี แถมถ้าถ่ายรูปไปแล้วเกิดท้องหิวก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโหย เพราะในย่านเมืองเก่าแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านรวงขนมนมเนยให้เราเลือกกินกันจุกๆ หรือแม้แต่จะซื้อของฝากก็สามารถหาได้ภายในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ เอาเป็นว่ามันใหญ่มากและสามารถเดินเล่นได้ทั้งวัน

เขาค้อมีทะเลหมอก พม่ามีทะเลเจดีย์ ที่เมืองเก่าลี่เจียงก็มีไฮไลท์เป็นทะเลหลังคา จุดชมทะเลหลังคาก็มีค่อนข้างเยอะหลายมุมหลายจุด แต่ถ้าให้แนะนำเราขอให้แกปักโลเคชั่นมาที่ว่านกู่โหลว จุดที่เราสามารถเห็นเมืองโบราณลี่เจียงในมุมสูง และหลังคาโบราณติดกันเป็นแพกว้างราวกับเกรียวคลื่นในทะเลที่มาของชื่อทะเลหลังคา โดยมีค่าเข้าชมอยู่ที่ประมาณ 15 หยวน แต่ถ้าอยากจะชิคเก๋กว่านั้นเราแนะนำว่าให้เลือกคาเฟ่ที่อยู่รายทางก่อนถึงจุดชมวิว แล้วนั่งรับลมชมวิวจิบชา ชิมขนมพร้อมวิวทะเลหลังคาจะชิคคูลดูเหมือนไม่ต้องพยายามกว่าเป็นไหนๆ

• Sleeper Train to Kunming

เราใช้เวลานั่งจิบกาแฟสลับกับออกมาเดินเล่นเดินดูของฝากถ่ายรูปจนค่ำ แล้วค่อยไปนั่งรถไฟนอนเพื่อกลับไปยังคุณหมิง งานนี้กะนอนยาวๆ แล้วค่อยรอให้แสงยามเช้าปลุกเราในตอนถึงที่หมาย และแม้ว่าวิวด้านนอกจะสวยงามแต่เราก็อยากจะใช้เวลานิ่งๆ อ่านหนังสือที่เราชอบ โชคดีที่เจ้าเสื้อกันหนาวตัวเก่งที่ใส่เดินเล่นบนภูเขามังกรหยกของเราสามารถกลายร่างเป็นหมอนรองคอ เลยช่วยให้เราเดินทางไกลได้สบายคอมากขึ้นแถมยัง เพิ่มพื้นที่ให้กระเป๋าได้อีกหน่อย

Day 5 : 

• Golden Horse and Jade Cock Gates

เราเดินทางมาถึงคุณหมิงเช้าตรู่ แม้ว่าจะยังมีอาการเมื่อยล้าอยู่นิดหน่อย แต่เราก็อยากจะใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด ก่อนบินกลับไทยเลยขอแวะไปเก็บภาพที่ Golden Horse and Jade Cock Gates ประตูม้าทองและประตูไก่มรกต สถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่กว่า 400 ปี ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคุนหมิง ถือว่าสัญลักษณ์และแลนด์มาร์คของเมืองที่ตกแต่งลวดลายอย่างปราณีตบรรจงสวยงามตามศิลปะของราชวงศ์หมิง ถือว่าเป็นโลเคชั่นปิดก่อนกลับไทยแบบนิ่มๆ แต่ประทับใจมากทีเดียว

และแล้วหนังสั้นของเราก็ได้จบลงแบบสวยงาม ตื่นเต้น อลังการ มาดเท่ ชิคคูล ครบรส พร้อมกลับไปใช้ชีวิตทำงาน และหาเวลากับสถานที่ใหม่ๆ สำหรับภาพยนตร์การเดินทางแห่งชีวิตเรื่องใหม่ที่เขียนเอง กำกับเอง เลือกเอง โดยเล่าเรื่องใหม่ในตอนถัดไป แล้วขอถามอีกครั้งว่าพวกแกล่ะ อยากให้หนังชีวิตเป็นแบบไหน อยากให้เต็มไปด้วยสีฟ้าของท้องทะเล สีเขียวของภูเขา หลากสีจากหลากประสบการณ์ หรือมีเพียงแค่สีขาวจากไฟในห้องเรียนและห้องทำงาน… ก็ลองถามใจตัวเองดู ส่วนใครที่ตื่นเต้นจนทนไม่ไหว ก่อนเดินทางก็อย่าลืมเตรียมร่างกายให้พร้อม จัดข้าวของไว้ให้ดี โดยต้องอย่าลืมนึกถึงฟังก์ชันการใช้งานที่เหมาะกับสภาพอากาศเวลาแกไป เพราะทริปปังๆ อาจพังได้หากไม่พร้อม และนอกจากฟังก์ชันต้องได้ ดีไซน์ก็ต้องโดน เพราะท่ามกลางวิวสวยๆ แกคงไม่อยากให้รูปของแกออกมาพลาดหรอกใช่มั้ย เพราะมันไม่ใช่ที่ๆ แกจะขึ้นรถเมล์ 9 บาท แล้วไปถึงสักหน่อย ถ้ายังไม่รู้จะเลือกยังไง แนะนำว่าให้ไปเลือกที่ Timberland ได้เลยรับลองปัง