SUMMER in SEOUL
อันยองฮาเซโย!!! ที่เห็นฮอตๆ ตอนแดดร้อนๆ อยากรู้จังว่านี่มันหน้าร้อนหรือน่ารัก ก็แหมมองไปทางไหนๆ ก็ข๊าว ขาว จนอยากรู้ว่านี่เกาหลีหรือโรงงานผลิตสำลีกันล่ะเนี่ย อ่ะๆ เพ้อขนาดนี้ไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อนหรือการเมืองที่ชวนขนลู๊กกกกหรอกนะ แต่เพราะเราเพิ่งกลับมาจากเกาหลีในช่วงฤดูร้อนที่เด็ดดวง จนต้องเก็บมาเม้าท์ให้ฟัง ก่อนจะเริ่มเราขอให้แกละลายภาพหิมะขาวฟุ้งจนควันออกปาก และภาพฤดูใบไม้ผลิอันแสนโรแมนติกของเกาหลีออกไปให้หมดก่อน เพราะนับแต่นี้เราจะพาพวกแกสลัดผ้าพันคอ ถอดถุงมือ แล้วไปเริงร่าท้าแดด กิน เที่ยว ปาร์ตี้ แจมอีเว้นท์เผ็ดๆ ซ่าส์ๆ สนุกแบบร้อนฉ่าให้ทั่วโซลกับกิจกรรมสุด exclusive ที่จัดขึ้นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น จะแซ่บจะฟาดแข่งกับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนของเกาหลีขนาดไหน ทากันแดดแล้วตามมาเลยจ้า …
ช่วงฤดูร้อนของเกาหลีจะเริ่มตั้งแต่ประมาณเดือนมิถุนายนถึงช่วงต้นเดือนกันยายน อุณหภูมิก็จะประมาณ 22-38 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าดีกรีความร้อนไม่ต่างจากไทยมากนัก แต่ความคึกคักนั้นเกินเบอร์เกินเรื่องมากแม่ ก็อย่างว่าอ่ะนะ เค้าคงอัดอั้นจากความหนาวเย็นมาหลายเดือน พอร้อนทีก็ได้เวลาปล่อยของกันแบบเต็มที่ทั้งอีเว้นท์ ตลาดนัด สวนสาธารณะต่างอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมเฉพาะหน้าร้อนที่เรียงคิวมาให้เลือกแบบไม่หวาดไม่ไหว เราเลยขอยกตัวอย่างกิจกรรมที่ทำแล้วมันส์แถมได้รูปชัวร์มาให้แกเลือกตามแบบนัวๆ 5 วันเต็ม กับ 3 กิจกรรมหลักอย่างกินอาหารจานเด็ดของกรุงโซล เที่ยวงานอีเวนท์แบบอินไซด์ และแอดเวนเจอร์ท้าแดดสุดชิค รับรองงานนี้ความร้อนจะทำให้แกหลงรัก
Fly to South Korea with Thai AirAsia X
แน่นอนว่าการเดินทางไปเกาหลีของเราครั้งนี้ เราเลือกบินกับ Thai AirAsia X เจ้าเดิม ด้วยเครื่องใหม่ลำใหญ่อย่าง Airbus A330 ที่นั่งสบายกว้างขวางมั่นใจได้เลยว่าไม่มีเมื่อยตลอดเส้นทาง แถมข้อดีของการบินไปเกาหลีหน้าร้อนเนี่ยคือการที่ Thai AirAsia X เค้าขยันออกโปรโมชั่นราคาเบาๆ เป็นมิตรต่อกระเป๋า มาให้พวกเราบินไปสัมผัสความฮอตของเกาหลีแบบคุ้มจุก ที่สำคัญยังมีแพ็คสุดคุ้มที่กดอัพได้ตอนจองตั๋ว ซึ่งความดีงามก็คือ แกจะได้อาหารร้อนอร่อยๆ ถูกปาก, เลือกที่นั่งได้ดั่งใจนึก, น้ำหนักกระเป๋าให้อัดสายเดี่ยว เกาะอก เดรสสั้นได้สะใจอีก 20 กิโลกรัม แถมมีประกันการเดินทางตลอดเส้นทางให้อีก เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้มจริงๆ ส่วนเรื่องเที่ยวบินเค้าก็มีให้เลือกถึง 3 เที่ยวต่อวัน อยากบินสายๆ บินช่วงเย็น หรือจะถนัดบินดึกแล้วไปงีบบนเครื่องก็ดีงามทุกไฟลต์เลยจ้า จองเถอะ!!! ไม่ผิดหวังแน่นอน
เรื่องบินจบไปแบบหลวยๆ คุ้มๆ มาเม้าส์ต่อกันกับเรื่องที่หลายคนหวาดกลัว นั่นก็คือ ตม.เกาหลี ผู้มีดีกรีส่งคนกลับบ้านไวกว่าโบกแท็กซี่แถวประตูน้ำยามฝนตก แต่จากประสบการณ์การผ่าน ตม.เกาหลี ครั้งแรกจนมาถึงครั้งสอง ครั้งสาม ครั้งสี่ …. เราบอกเลยว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สำหรับใครที่เป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ แค่แกมีตั๋วกลับที่แน่นอน มีที่พักที่ชัดเจน มีแพลนเที่ยว แกก็สามารถผ่าน ตม. ได้แบบง่ายดาย แต่ถ้ากลัวไม่ชัวร์ แกก็สามารถปริ้นหลักฐานทุกอย่างติดตัวไปด้วย เค้าถามเมื่อไหร่ก็ตอบให้ชัดพร้อมยื่นแพลนให้ดู แกก็สามารถออกมาเดินทอดน่องอย่างเฉิดฉายพร้อมสเตตัสว่า “ชั้นไม่ผีนะจ้ะ” ได้ง่ายๆ แล้วจ้า
SUMMER in SEOUL :: Eat
001 HUN River : Perfect picnic spots in Seoul
ไม่รอช้านะจ้ะ เริ่มที่แรกแบบเกาหลี๊ เกาหลี ราวกับหลุดออกมาจากซีรีย์ทำนองว่านางเอกชวนเพื่อนมาปิคนิควันหยุดฤดูร้อนริมน้ำแบบชิวๆ เม้าท์มอยหอยกาบ ถ่ายรูป วิ่งเล่นใสๆ ซีนสาวน้อยที่เพิ่งเรียนจบและได้งานทำมาหมาดๆ หรือใครใคร่อยากจินตนาการไปซีนไหนก็ตามสะดวกจ่ะ ซึ่งเราเลยพาตัวเองมาสานต่อจินตนาการด้วยการนั่งใต้ดินมาลงที่สถานี Yeouinaru ทางออก 2 แล้วเดินต่ออีกหน่อยไปริมแม่น้ำฮัน หรือที่ภาษาเกาหลีจะเรียกว่า ‘ฮันกัง’ แม่น้ำที่ไหลผ่านกรุงโซลและแบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่งคล้ายๆ กับแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรานั่นแหละ แต่ต่างกันตรงที่บริเวณรอบๆ ริมฝั่งแม่น้ำฮันเค้าจะมีสวนสาธารณะให้พักผ่อนหย่อนใจได้หลายจุด
มาถึงริมฝั่งน้ำไม่ต้องมัวพร่ำเพ้อระเมอครวญในความสวยใส กว้างใหญ่ และสะอาดสะอ้านของแม่น้ำ แต่ควรจัดด่วนๆ ในเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งมีให้เลือกเต็มแน่นตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้า ทั้งร้านมินิมาร์ท ทั้งสตรีทฟู๊ด แต่มาเกาหลีทั้งทีฉากกินเบียร์กับไก่ทอดริมแม่น้ำต้องมีแล้วสินะ จัดไปไก่ทอดสองน่องใหญ่ๆ กับเบียร์คนละป๋องพอกรึ๊บๆ ได้พร็อพมาเป็นอาหาร เอ้ย!!!! ได้อาหารมาพร้อมก็ปูผ้าจัดพร็อพ นั่งอ้อร้อหยิบไก่ กรึ๊บเบียร์พอให้แก้มแดง แต่อย่าเพิ่งกินจริง เพราะยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจถ่ายรูปแบบซีรีย์ แนะนำให้เปลี่ยนท่านั่ง ท่านอน ท่ามองค้อนคนมีคู่ให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมานั่งกินดื่มเสพย์สายลมที่เย็นสบายพร้อมๆกับไก่ทอดสไตล์เกาหลี และรอชมคอมเม้นหลังลงรูปคู่แม่น้ำฮันแบบเพลินๆ
นอกจากนั่งเล่นปิคนิคริมแม่น้ำแล้ว ใครที่พอมีเวลาหรืออยากจะอินมากกว่านี้ที่ริมแม่น้ำฮันเค้าก็ยังมีจุดกางเต็นท์ ที่จัดไว้ให้เราได้สัมผัสกลิ่นอายแบบเกาหลีกันชัดเจนยิ่งขึ้นอยู่ด้วย นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะสามารถมานั่งล้อมวงกินข้าวแล้ว บางวันก็ยังมีเหล่าหนุ่มสาวผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความใฝ่ฝันออกมาโชว์สเต็ป เล่นดนตรี ร้องเพลง เต้นคัฟเวอร์ให้เราชมกันแบบฟรีๆ เป็นโซลที่น่ารักไปอีกแบบนะบอกเลย
002 Piggy bank Stone Grill
ถ้าการเดินทางคือการเปลี่ยนที่กินหมูกระทะ เกาหลีจะเป็นสวรรค์สำหรับแกอย่างแน่นอน เพราะหมูย่างเกาหลีขึ้นชื่อว่าอร่อยติดอันดับโลก(โลกของเรา) ไม่ว่าจะเป็นสามชั้น จะลิ้น จะหนัง จะไส้ จะอะไรก็อร๊อยยยยยน้ำตาไหลไปแทบทุกร้าน แต่มาโซลทั้งทีเราก็มีร้านเด็ดที่ไม่เหมือนใครมาแนะนำ เพราะนอกจากเนื้อหมูชั้นดีแล้วความพิเศษของร้านนี้ก็คือการใช้หินก้อนกลมกลมแทนกระทะสแตนเลสที่เราเห็นทั่วไป ทำให้เวลาย่างความร้อนจะทะลุผ่านหินมาจนถึงเนื้อหมูทำให้เนื้อสุกกำลังดีนุ่มละมุนลิ้นฉ่ำน้ำ ย่างร้อนๆ กินคู่กับเครื่องเคียงที่จัดมาเต็มโต๊ะก็ฟินเหมือนมีแสงพุ่งออกจากปากเลยทีเดียว ส่วนเมนูเด็ดที่แนะนำว่าต้องสั่งเลยคือ Sogum-kui หมูหมักเกลือ และ Seang-samgyeoop-sal หมูสามชั้น บอกเลยว่าเด็ดมากกก สั่งแล้วสั่งอีกสั่งวนไปเลยจ้า พิกัดความแซ่บนี้อยู่ที่ฮงแดย่านฮิตของวัยรุ่น เดินออกสถานี Hongik Univ. ออกทางออก 8 แล้วตามกลิ่นหอมกรุ่นกับแมพไปเลยรับรองเจอดีแน่!!!!
003 Lamer cadeau 라메흐꺄도
อีกหนึ่งของขึ้นชื่อของเกาหลีที่มีดีชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้กินก็เหมือนมาไม่ถึงเกาหลี นั่นคือเมนูสุดคูลปูดองซีอิ๋วสุดอร่อย และร้านที่เราอยากพาทุกคนไปลองก็คือ Lamer cadeau 라메흐꺄도 ร้านนี้อยู่ใกล้ Yangpyeong station ทางออกที่ 2 เป็นร้านดังที่มีชื่อเสียงมายาวนาน เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจถ้าไปแล้วอาจเจอคนไทยนั่งอยู่หลายโต๊ะ ส่วนเมนูเด็ดที่ต้องลองและควรสั่งก็คือปูสดดองซีอิ๊ว간장게장 (คันจังเคจัง) ปูไข่ไซด์ใหญ่เน้นไข่เน้นเครื่อง ที่จะทำให้กระเพาะของแกรู้สึกคุ้มค่ากับการย่อยขั้นสุด
ความฟินจนต้องหลับตาพริ้มยิ้มปริ่มในใจของมื้อนี้ คือ การเอาข้าวสวยร้อนๆ ไปคลุกเคล้ากับมันปูและน้ำซีอิ๊วในกระดอง คลุกแล้วเคล้าให้เข้ากัน ก่อนตักใส่ปากคำโตๆ ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอมน้ำซอสและเครื่องเทศ ความมันและสดใหม่ของไข่ปูที่ชุ่มฉ่ำ คือสวรรค์ของผู้ที่รักของดิบ อร่อยฟินจนแกจะต้องอยากบินมาเกาหลีเพียงเพื่อจะกินเจ้าปูดองนี่อีกแน่นอน ส่วนเครื่องเคียงอีกเกือบ 10 อย่างที่เค้าให้มานั้นก็อร่อยถูกปากสาวไทยหน้าใสอย่างเราแทบทุกจาน โอ้โห โอ้โห โอ้โห งานนี้บอกได้คำเดียว่าคุ้มจุกมากแม่
003 Hong’s Jjukkumi 홍스쭈꾸미
ของกินที่ขึ้นชื่อของเกาหลียังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะยังมีอีกหนึ่งเมนูที่เราบอกเลยว่าห้ามพลาด(อีกแล้ว) นั่นก็คือปลาหมึกผัดเผ็ดเจ้าดังที่มีสาขาอยู่ทั่วกรุงโซลอย่างร้านฮงสึจูกูมี Hong’s Jjukkumi 홍스쭈꾸미 ที่จะต้องมาลงชื่อจองก่อนเข้าไปนั่งทาน และเมื่อเข้าไปแล้วเราจะต้องสั่งอาหารเป็นเซ็ตเท่ากับจำนวนคนที่นั่งอยู่ คือไม่กินก็ต้องสั่งนะจ้ะ จะมานั่งเฉยๆ ดูเพื่อนไม่ได้จ้า สั่งเสร็จพนักงานก็จะยกเครื่องเคียงต่างๆ เซตแรก ที่มีทั้งใบงา กิมจิและถั่วงอกมาเสิร์ฟ (จานต่อไปต้องเดินไปตักเครื่องเคียงเองจ้า) และคอยบริการผัดๆ คลุกๆ ตามแบบฉบับเกาหลีให้เรา ซึ่งไอ้ที่ดูเหมือนเยอะในตอนแรกกินไปกินมาเผลอแป๊บเดียวก็แทบจะหมดกะทะในเวลาอันรวดเร็ว
อีกหนึ่งความพิเศษของเมนูนี้ก็คือ พออาหารในกระทะใกล้จะหมดพนักงานก็จะนำข้าวสวยมาผัดกับซอสที่เหลืออยู่ในกระทะ และเติมไข่ปลากับสาหร่ายคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วปล่อยให้จนแห้งติดกระทะ บอกเลยว่าอเมซิ่งกิ่งก่องแก้วมากแม่ คือมันดีงาม เคี้ยวเพลิน หอมข้าวสวยที่ไหม้ๆ นิดนึง แล้วยังกรุบๆ จากไข่ปลา เค็มๆ จากสาหร่าย หวานๆ จากซอส เป็นความงุนงงที่น่าพิสมัยจนยกให้เป็นอีกหนึ่งจานที่พลาดไม่ได้ไปเลยจ้าาา สาขาที่เราไปทานก็อยู่ในย่านสุดฮอตอย่างฮงแดอีกแล้วจ้า ไปง่ายมาง่ายลงใต้ดินสถานี Hongik Univ. ประตู 8 เดินนิดนึงถึงเลย
004 Stylenanda Pink Pool Café
เข้าเพจเราแล้วไม่ชวนเม้าท์ถึงคาเฟ่ที่แสนเก๋ คงเหมือนตอนดื่มเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์นั่นล่ะ ว่าแล้วก็ไม่รอช้าที่จะขอพาพวกแกไปนั่งเล่นในคาเฟ่แบบเบาๆ เอาใจสาวหวาน กับร้านที่ถือว่าเป็นต้นฉบับร้านสีชมพูสุดหวานแหววที่รวมไอเท็มเด็ดดวงของสาวๆ ไว้ ไล่ตั้งแต่บิวตี้ไอเท็ม แฟชั่น คอฟฟี่ และขนมต่างๆ ที่มีสไตล์สุดฟรุ้งฟริ้งและเอาจริงเรื่องแฟชั่น ทำให้ทุกซอกทุกมุมของร้านมีความคิ้วท์ซ่อนอยู่ และยังมีสไตล์เก๋ไม่ซ้ำใครเพราะนอกจากจะเป็นคาเฟ่อินดอร์สุดหวานแล้ว ยังมีมุมสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใสสไตล์แกลอรี่ให้ได้นั่งจิบชาไปถ่ายรูปไป จะอัพมุมไหนก็สวยโดด ส่วนการเดินทางก็แสนง่ายเพราะร้าน Stylenanda flagship Store สาขา Hongdae มาง่ายๆ แค่ลงที่สถานี Hongik Univ. ออกทางออก 8 และเดินอีกหน่อยก็ถึงร้านแล้วจ้า
นอกจากตัวร้านจะน่ารักน่าชังแล้ว สาขานี้ยังมีส่วนของบาร์ที่เป็นเบเกอรี่ไว้ให้เลือกเยอะมาก แต่ละชิ้นก็น่ารักสดใสจะเอามากินหรือเอามาเป็นพร็อพก็โดดเด่นไม่ซ้ำใคร เราเลือกสั่ง Strawberry Tiramisu กับ ไอศกรีมสายไหมสีหวานมาลอง บอกเลยว่าฟินกับสตรอว์เบอร์รีของที่นี่มาก ทั้งลูกใหญ่ ฉ่ำหวาน เป็นปลื้มลืมร้อนไปเลยจ้า หรือใครสายกาแฟก็มีกาแฟหอมกรุ่นไม่ว่าจะเป็นคาปูชิโน่ร้อนๆ หรือลาเต้ก็มี ก่อนกลับก็เก็บภาพให้ทั่วร้าน แล้วลงไปช้อปปิ้งต่อชั้นล่างละลายทรัพย์ต่ออีกหน่อย คิดดูว่าถ้าชวนแก๊งค์เพื่อนสาวมามันจะแฮปปี้ขนาดไหนกัน
005 Café Skon
เรียกได้ว่าสดใสและสะท้อนความเป็นซัมเมอร์สุดเริงร่าออกมาได้ดีสุดๆ เลยล่ะ เพราะ Café Skon ร้านคาเฟ่ท้อปลิสต์ในย่าน Hongik Univ. แห่งนี้ แม้ว่าจะเลือกใช้สีหลักแต่งแต้มคาเฟ่ทั้ง 2 ชั้นด้วยสีขาว แต่ก็ไม่ลืมเพิ่มความสนุกด้วยการแซมแม่สีสุดจัดจ้านตั้งแต่ส้ม แดง น้ำเงิน เหลือง เพื่อเพิ่มความชิคคูลจนต้องร้องอู้วหูวบวกยกนิ้วให้ตั้วงแต่แรกเห็น โดยชั้นแรกนั้นจะเป็นโซนร้านทำเล็บของสาวๆ แต่เมื่อเดินขึ้นไปที่ชั้นสองก็จะเป็นคาเฟ่และสารพัดของกุ๊กกิ๊กให้เลือกเป็นพร็อพถ่ายรูป
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วแน่นอนว่าเราต้องพุ่งตัวขึ้นไปที่ชั้นสองเป็นอันดับแรก เพื่อไปตามเก็บมุมฮิตตาม Instagramer ชาวเกาหลี มาอัพลงไอจีเพิ่มความสนุกสนานให้กับไทม์ไลน์ ไม่ว่าจะเป็นมุมหน้าต่างบานโต มุมบันไดสุดคิ้วท์ หรือมุมเก๋ๆ บนโต๊ะขนม และอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องยอมยกนิ้วให้กับร้านนี้ก็คือรสชาติของขนมและเครื่องดื่มที่ไม่ไก่กาธรรมดานะจ๊ะ เพราะทุกเมนูคือหน้าตาดี แถมยังอร่อยมากๆ แนะนำให้สั่ง French Cloud ขนมปังอบแบบโทสต์ เสิร์ฟพร้อมครีมสดและผลไม้ที่เป็นซิกเนเจอร์ดิชของร้านดู แต่ถ้าชอบความน่ารักแพคเกจเก๋ก็ต้อง Lemon Cake ที่ห่อเป็นท็อฟฟี่ด้วยกระดาษลายสกอตสีเหลือง กับคุ๊กกี้ Skon ซิกเนเจอร์ของร้านเลย ส่วนเครื่องดื่มก็มีให้เลือกหลายเมนูทั้ง Cream Latte, Flat White หรือจะพวกน้ำผลไม้สมูทตี้ก็ดีงามไม่แพ้กันจ้า สำหรับการเดินทางมาร้านขอแนะให้นั่งบัสสาย 5 จากสถานี Hongik Univ. มาลงที่ป้าย Binyu หรือไม่ก็แท็กซี่มาเลย เพราะร้านจะตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้านิดนึง
006 Cafe Onion
กลายเป็นกระแสที่มีแต่คนพูดถึงและเหมือนเป็นข้อบังคับไปแล้วว่าถ้าไปเที่ยวย่านหมู่บ้านโบราณเกาหลีจะต้องแวะไปจิบกาแฟซึมซับบรรยากาศที่คาเฟ่ ออเนี่ยน (onion) ซะก่อน ซึ่งสาขานี้จะตกแต่งสไตล์บ้านโบราณตามแบบฉบับเกาหลีดั้งเดิม แตกต่างกับสาขาแรกค่อนข้างมาก สาขานี้จึงได้รับความนิยมอย่างสูงจนร้านแทบแตกตลอดทั้งวัน ดังนั้นถ้าอยากไปแบบโล่งๆ คนไม่เยอะ ได้เลือกโต๊ะที่ถูกใจ แนะนำให้ตื่นไวหน่อยแล้วไปคอยตั้งแต่ร้านเปิดกันเลยจ่ะพี่จ๋า ส่วนการเดินทางก็ง่ายแสนง่าย ใช่สิ!!! เพราะถ้ายากเราก็คงไม่ไปหรอก แกสามารถนั่งรถไฟมาลงสถานี Anguk ออกทางออกที่ 3 เลี้ยวซ้ายอีกหน่อยเดินไม่ถึง 2 นาทีก็เจอแล้วจ้า
บรรยากาศที่ว่าดีแล้วก็ยังต้องแพ้ให้กับเหล่าลูกค้าสาวๆ สวยๆ ที่มีแต่งานดี ขาววิ้งค์เงาวับ รวมถึงโอปป้าสูงหล่อ มาดเท่ ที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ จนนึกว่านี่คือที่แคสติ้งงานไปซะแล้ว ส่วนขนม นม เนย ชา กาแฟก็ดีงาม เพราะที่นี่เค้าอบเบเกอรี่กันแบบสดๆ ยกมาเติมตลอดวัน โดยเราสามารถหยิบถาดไปเลือกขนมได้เลย ที่เด่นๆ ก็จะมี Pandoro ขนมปังทรงสูงเหมือนภูเขาน้ำตาลไอซิ่งสีขาว ซึ่งเท่าที่เราสังเกตน่าจะเป็นขนมที่ขายคล่องที่สุดในร้านแล้ว ส่วนกาแฟทางร้านก็มีเมล็ด Single Origin ดีๆ หลายตัวให้เราเลือกสั่ง อย่างเมล็ดกาแฟเอธิโอเปียก็สามารถสั่งมาเป็นลาเต้ละมุนๆ ที่เสิร์ฟทีได้กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งล้นแก้ว หรือจะสั่งเป็นดริปเย็นก็ชื่นใจไปอีกแบบ
007 Cheonggyecheon Time Slip Market 청계천 타임슬립마켓
ยามเย็นในช่วงฤดูร้อนของเกาหลีเค้าก็ยังมี Night Market ที่เปิดเฉพาะช่วงหน้าร้อนที่จำเป็นต้องใส่ไว้ในลิสต์เอามากๆ อยู่ถึง 5 ตลาดทั่วกรุงโซล ส่วนตลาดที่เราไปเดินนั้นมีชื่อว่า Cheonggyecheon Time Slip Market นางตั้งอยู่ริมคลองชองกเยชอน สามารถนั่งใต้ดินมาลงที่สถานี Gwanghwamun ทางออก 5 ได้เลยจ้า ตลาดเปิดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เข้าหน้าร้อนจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี ที่นี่มีร้านขายของจำพวกงานแฮนด์เมดกระจุกกระจิกต่างๆ มากมายมารวมตัวกัน และที่น่าสนใจมากๆ ก็จะเป็นพวก ฟู้ดทรัค (Food Truck) ที่ยกขบวนกันมาแบบจัดเต็มแบบจุกๆ จนต้องขอเตือนว่าระวังเงินในกระเป๋าไว้ให้ดี เพราะนี่คือเครื่องดูดเงินชั้นดีของเกาหลีที่มาในรูปแบบตลาดนัด!!!!
นอกจากอาหารฟิวชั่นตาม Food Truck แล้วที่ตลาดนัดกลางคืนก็มีอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อให้เราลองกิน ไม่ว่าจะเป็นโอเด้ง จาจังเมียน ออมุก หรือ ต๊อกบกกีผัดซอส อาหารที่เจอได้ทั่วหัวมุมถนน และทุกร้านรวง ราวกับเป็นส่วนหนึ่งในขีวิตของชาวเกาหลีไปแล้ว โดยเฉพาะกับสาวๆ ที่หลงใหลในรสเผ็ดจัดจ้าน ต๊อกบกกีนี้นี่ล่ะที่ชาวเกาหลียกให้เป็นเมนูที่เผ็ดที่สุด!!! อีกหนึ่งเมนูท้องถิ่นที่ควรลองคือคเยรันปัง หรือขนมปังไข่ ขนมยอดฮิตริมทางอีกหนึ่งเมนูที่คนเกาหลีนิยมทานกัน ด้านล่างจะเป็นขนมปังเนื้อคล้ายมัฟฟิน ส่วนด้านบนจะเป็นไข่ดาวที่ไข่แดงสุกกำลังพอดี แนะนำว่าต้องทานตอนร้อนๆ เท่านั้นมันจะอร่อยมาก และหากใครต้องการหาของหวานหรือผลไม้ล้างปากที่ตลาดแห่งนี้ก็มีมากมาย เดินยังไงก็ไม่มีหิว ฟันธง!!!
ยังไม่พอหากพวกแกทั้งช้อปทั้งกินจนเหนื่อยแล้วขาอ่อน พวกแกก็สามารถเดินไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจชมบรรยากาศที่ริมคลองชองกเยชอน ช่วงยามเย็นและยามค่ำที่เขาจะตกแต่งด้วยไฟสีสันสวยงามและโรแมนติกสมเป็น Seoul Romance & Nightlife แบบแท้ทรูให้หายเหนื่อยแล้วค่อยกลับไปเดินใหม่หรือกลับที่พักพร้อมความฟินส์ก็ยังได้ เห็นมั้ยว่าเกาหลีช่วงซัมเมอร์มันเด็ดจริง ใครที่เบื่อการช้อปแบบเดิมๆ หรือวิวเมืองที่คุ้นตาก็จงมาหาอะไรใหม่ๆ ใส่สตอรี่ไอจียามมาเกาหลีได้ในช่วงซัมเมอร์นี่ล่ะ
SUMMER in SEOUL :: Festival
001 Seoul Jazz Festival 2019
อย่างที่บอกไปว่าช่วงซัมเมอร์ของเกาหลีก็น่าสนใจไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เพราะมีกิจกรรมให้เราได้ร่วมสนุกมากมาย รวมถึงมีงานเฟสติวัลแจ่มๆ ที่จัดขึ้นอยู่หลายงานด้วย อย่างช่วงที่เราไปเราได้มีโอกาสไปแจมอยู่ 2 Festival นั่นก็คือ “ Seoul Jazz Festival 2019” ซึ่งจัดขึ้นที่ Olympic Park โดยในงานนี้เค้ารวบรวมศิลปินแจ๊สระดับโลกและระดับเอเชียมาร่วมงานถึง 50 วง รวมแล้วกว่าร้อยชีวิตเลยทีเดียว เช่น Omara portuondo, John Scofield, Aloe Blacc เป็นต้น ทางเรามีหรือจะพลาดหอบผ้าปูไปหาทำเลดีๆ นั่งโยกตัว โยกหัวไปตามจังหวะ และรับลมเย็นๆ ทำตัวเนียนเป็นชาวเกาหลีแบบคูลๆ ทำให้รู้ว่าการเดินทางที่ไม่ต้องไปตามแต่แลนด์มาร์คใหญ่ๆ แล้วเปลี่ยนไปทำอะไรแบบคนท้องถิ่นดูบ้างก็สนุกและอินกับสถานที่ได้มากจริงๆ
งานนี้จัดขึ้นทั้งหมด 2 วัน ในช่วง 25-26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในงานแบ่งออกเป็น 5 โซน แต่ชะโซนคือจัดเต็มแสง สี เสียง เลเซอร์ สปอตไลท์ยันไฟทาง คืออลังการระดับอินเตอร์สุดๆ จนต้องยกนิ้วให้เลยว่า เยี่ยมจริงๆ ส่วนโซนที่ครึกครื้นและคนเยอะมากที่สุดก็จะเป็นโซนเวทีกลาง May Forest นี่แหละ ซึ่งโซนนี้เราสามารถนำเสื่อผ้าปูมานั่งปิคนิคชิลล์ๆ ฟังเพลง ซื้อขนมนมเนย ไก่ทอดเกาหลีภายในงานมาทานได้ หรือใครจะจิบเบียร์เย็นๆ เพิ่มความอินก็ไม่ผิดกติการับรองว่าอิ่มอกอิ่มใจกับไก่ทอดและดนตรีแจ๊สอย่างแน่นอน และไม่แน่แกอาจจะได้เพื่อนใหม่ชาวเกาหลีที่คอดนตรีแจ๊สแนวเดียวกันภายในงานก็ได้นะ
002 Yeon Deung Hoe ( Seoul Lotus Lantern Festival 2019 )
เทศกาลถัดมาที่บอกได้เลยว่า น่าร๊ากกกก และเต็มเปี่ยมไปด้วยสตอรี่ที่เล่ากี่ทีก็มีกิมมิค นั่นก็คือเทศกาลดอกบัว ที่ถูกจัดขึ้นมานานนับ 1000 ปี ในทุกๆวันวิสาขบูชาโดยมีจุดประสงค์เพื่อระลึกถึงการประสูติของพระพุทธเจ้าและขอพรให้กับโลกนี้มีความสุข มีวิถีชีวิตที่สมบูรณ์ เกิดเป็นความสว่างขึ้นในใจของผู้ร่วมงาน และผู้ที่พวกเขาอธิฐานถึง ซึ่งก็คือชาวโลกนั่นเอง ในงานจะมีการจัดนิทรรศการเล่าถึงประวัติของงาน และซุ้มกิจกรรมต่างๆ ที่เราสามารถเข้าร่วมทำกิจกรรมได้ โดยซุ้มในงานจะจัดขึ้นโดยคนเกาหลีและชาวพุทธจากทั่วโลกที่ถูกเชิญมาในงานนี้ ทางเราเลยขอลองทำโคมไฟดอกบัวสีพาสเทลเพื่อร่วมส่งใจอธิษฐานให้โลกนี้สงบสุขกับเขาด้วย ผละจากซุ้มกิจกรรมก็ยังมีการแสดงสนุกๆ สวยงามให้เราเที่ยวชม เที่ยวถ่ายรูปพร้อมเสียงเพลงบรรเลงตลอดทั้งวัน เหมือนงานวัดบ้านเราที่ครึกครื้น สนุกสนาน และเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้มาร่วมงาน
แต่ที่ไม่ควรพลาดในเทศกาลนี้ก็คือการร่วมชมขบวนพาเหรดสีดอกบัวขนาดใหญ่ที่จะเริ่มเดินจาก Dongdaeum Gate ไปจบที่วัด Jogyesa Temple หรือประมาณ 4 กิโลเมตรซึ่งถือว่าไกลพอสมควร แต่ตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เฝ้ารอขบวนแห่งความศรัทธา มีทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนชรา และไม่ใช่มีแต่ชาวเกาหลีเท่านั้น แต่ชาวพุทธทั่วโลก และวัดทั่วโลกต่างได้รับเชิญให้เข้าร่วมในขบวนแห่งความศรัทธานี้ ขบวนของแต่ละวัดแต่ละประเทศจึงจัดเต็มทั้งการแต่งกาย รูปแบบ การร่ายรำ โคมหลากสีสันมาประชันกันสุดฤทธิ์สุดเดช แต่บนความสวยงามและรื่นเริงนั่นล้วนแฝงไว้ด้วยเรื่องราวของธรรมะและการประสูติของพระพุทธเจ้า นับว่าเป็นเทศกาลแห่งความสุขสงบที่สนุกสนานและไม่ควรพลาดในฤดูร้อนจริงๆ
SUMMER in SEOUL :: Adventure
เกาหลีที่เราเห็นผ่านตามาส่วนมากจะเป็นภาพเมืองใหญ่ แฟชั่น ความทันสมัย ความศิวิไลซ์ คาเฟ่ เครื่องสำอาง เคป็อบ GOT7 BTS และ Blackpink แต่เชื่อมั้ยว่าแท้จริงแล้วประเทศเกาหลีเต็มไปด้วยทิวเขาที่สวยงาม และธรรมชาติที่ชวนให้ออกผจญภัยอยู่มากมาย เนื่องด้วยภูมิประเทศเป็นภูเขาซะส่วนใหญ่ เกาหลีจึงมึงอุทยานแห่งชาติอยู่หลายที่รอบกรุงโซล ดังนั้นการเดินเขาจึงเป็นงานอดิเรกของชาวเกาหลีที่ไม่ว่าเมื่อไร ฤดูไหนก็จะต้องไปผ่อนคลาย ออกกำลังกาย เดินขึ้นเขากันเป็นกิจวัตร รู้อย่างนี้แล้วแม้เวลาจะน้อยแต่เราขอใช้สอยอย่างเต็มที่ด้วยการหาวันเดย์ทริปไปสัมผัสชีวิตแบบชาวเกาหลี ขึ้นเขาลงห้วย ชมต้นไม้สวยๆ ให้ถึงถิ่นที่ อุทยานแห่งชาติบุคฮันซาน (Bukhansan National Park Seoul)
บุคฮันซานมีความหมายตรงตัวว่าภูเขาใหญ่ ก็เห็นจะใหญ่จริงตามเค้าว่า เพราะจากข้อมูลในเว็บไซต์อุทยานแห่งชาติของเกาหลีบอกไว้ว่าภูเขานี้ทอดตัวยาวจากทางตอนเหนือของโซล จนถึงเขต Gyeonggi-do ของอีกเมืองเลยทีเดียว กายพร้อมใจพร้อมจะรอช้าอยู่ใยออกไปพิสูจน์ความใหญ่ด้วยตาตัวเองกันเลย การเดินทางไปอุทยานก็สะดวกมากๆ สามารถนั่งใต้ดินมาลงที่สถานี Gireum Station จากนั้นก็ต่อบัสสาย 110B หรือ 143 ก็ได้มาลงที่ป้ายสุดท้ายก็จะถึงปากทางเข้าอุทยาน พร้อมเพื่อนร่วมทางอีกมากมายแบบไม่ต้องกลัวเหงา สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วปีนได้
ถึงสายตาจะเห็นเป็นพื้นเรียบๆ ที่ดูเหมือนจะเดินง่าย แต่บอกเลยว่าไม่ง่ายอย่างตาเห็นนาจา เพราะภูเขาของพี่เกาส่วนใหญ่จะเป็นหินแกรนิต ทำให้ด้านล่างของภูเขาจะมีต้นไม้เยอะแต่บนยอดจะเหลือเพียงโขดหินลงโล่งๆลื่นๆ และชัน ทำให้หลายช่วงมีการทำบันไดไว้ให้ชวนใจสั่นเพื่อให้เดินได้ง่ายขึ้น ซึ่งบนเขาลูกใหญ่ลูกนี้ก็มีเส้นทางให้เลือกเดินหลายเส้นทาง และมีหลายยอดเขาให้ไปพิชิตกัน แต่พวกเราขอเลือกยอดกลางๆ ที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่าถึงจะถึงจุดสูงสุดของเขา Dobongsan เพราะงั้นงานนี้น้ำต้องพร้อม ลูกอมต้องมี หรือจะพกแตงกวามาแทะเล่นกันขาดน้ำเหมือนคนเกาหลีก็ยิ่งดี ที่สำคัญรองเท้าต้องพร้อมนะจ้ะ
ซึ่งจุดยากสุดก็อยู่ตรงช่วงก่อนถึงยอดที่เราต้องใช้สองมือสองเท้าตะเกียกปนตะกายขึ้นไปถึงจะถึงนี่ล่ะจ้า แถมบริเวณยอดเขา Wonhyobong ของภูเขา Dobongsan นี้จะค่อนข้างแคบและชัน เพราะงั้นจึงสามารถไปยืนได้แค่ครั้งละไม่กี่คน แต่วิวเขาบวกเมืองโซลตรงหน้าก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยมลายหายไปในพริบตา คงเหลือไว้แต่ความสุข ความฟิน และความภูมิใจในตัวเองที่พาสังขารมาจนถึงที่นี่ได้ ว่าแล้วก็อย่ารอช้า หามุม วางท่า เก๊กหน้าว่าไม่เหนื่อยพร้อมรัวชัตเตอร์ให้คุ้มกับพลังงานที่เสียไปแบบรัวๆ ยิ่งพอกลับมาดูรูปยิ่งบอกได้เลยว่าคุ้มค่าทุกพลังงานที่เสียไป เพราะมันดูสวยสดใส แตกต่างจากเกาหลีที่เคยเห็นของคนอื่นเป็นไหนๆ จนต้องปักหมุดเป็นจุดใหม่ว่าต้องมาถ่ายให้ได้เพื่อความชิคไม่ซ้ำใครเลยนะพวกแก
ใดๆ ก็ตามก่อนที่จะต้องกล่าวลาทริปฤดูร้อนสุดฮอตกลางกรุงโซลไป เราอยากบอกว่าเกาหลีก็คือเกาหลี ที่ไม่ได้มีแค่สามกิจกรรมที่เราหยิบยกมาแนะนำช่วงหน้าร้อนนี้เท่านั้น แต่ยังมีมิวเซียมให้เข้า มีประวัติศาสตร์ให้เที่ยว มีโลเคชั่นฮิปๆให้เช็คอิน มีมุมให้ถ่ายรูปเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ทุกๆ ฤดู เพราะนี่คือเมืองที่ไม่หยุดเติบโต และก่อนบินกลับเราขอทิ้งทวนชวนชมความฮิปกันที่อีกหนึ่งจุดเช็คอินที่กำลังฮอตสุดในเกาหลีตอนนี้ กับที่ๆ บางคนเรียกมันว่า ตึกย่น แต่จริงๆ มันคือ Paradise city โรงแรมและคาซิโนสุดหรูของเกาหลี ที่ชิคกระจาย เอาเป็นว่าเห็นตึกแล้วต้องร้องว้าวกันบ้างล่ะ เพราะมันสวยเก๋เท่ระเบิด สดใสบรรเจิดเลิศเลอสุดแล้วในตอนนี้ นี่ถ่ายไปยังนึกชมคนออกแบบที่กล้าและบ้าบิ่นสร้างตึกสีขาวเหลืองพร้อมดีเทลสุดเท่ขนาดนี้ออกมาได้ นับว่าฝีมือไม่ธรรมดา งานนี้ชาวโซเชียลต้องรุม เพราะถ่ายมุมไหนก็ปัง จากสนามบิน Incheon Airport Terminal 1 สามารถเดินข้ามฝั่งมานั่งรถบัสของ Paradise city ได้เลย รถมีทุกชั่วโมง ใช้เวลานั่งรถไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้นก็ถึง บึ่งไปเลยจ้าาาา ไลค์กระจายแน่นอน
เห็นมั้ยล่ะแก … ว่าเกาหลีหน้าร้อนมันฮอตซ่า ร้อนฉ่าทุกสถานการณ์ ตั้งแต่กิน เที่ยว ช้อป อีเว้นท์ แอดเวนเจอร์ แฟชั่น คาเฟ่ ฯลฯ แบบปังๆ จุกๆ ที่มีเฉพาะหน้าร้อนมากเว่อร์ขนาดไหน แต่นี่ก็แค่น้ำจิ้มๆ นาจา เกาหลีหน้าร้อนยังมีงานกิจกรรมอีกมากกกกกกรอคิวให้แกไปแจม มีคาเฟ่อีกมากกกกกกกรอให้แกเช็คอิน มีภูเขาอีกหลายลูกให้แกไปพิชิต มีของกินอีกมากกกกกกให้แกได้ลิ้มลอง พักภาพหิมะกับใบไม้เปลี่ยนสีเอาไว้ก่อน เพราะหน้าร้อนนี้พระอาทิตย์รอรับความฮอตจากนักท่องเที่ยวสายชิคอย่างแกอยู่ มั่นหน้ามั่นใจจองตั๋วให้ไว แล้วลอก Summer in Seoul ฉบับนี้ของเราได้เลย