วีคเอนด์หน้าเราอยากชวนทุกคนออกตามล่าหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ชวนไหลหลง เริ่มตั้งแต่ต้องไปง่ายมาง่าย ต้องบินแบบสบายกายสบายใจ บริการยอดเยี่ยม เดินทางต้องสะดวกรวดเร็ว ข้าวปลาอาหารต้องบริบูรณ์ มุมถ่ายรูปต้องแน่น ที่พักต้องปัง ที่สำคัญต้องรั้งตำแหน่งความงามระดับมรดกโลก!!!! ให้สมกับธีมเมืองมรดกโลกเท่านั้นที่ชั้นคู่ควร ถึงโจทย์จะยากแต่ “เว้” ก็ทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงได้ เอาหล่ะ!! ได้เวลากดจองตั๋วเครื่องบินแล้วไปแลนดิ้งสวยๆ ทิ้งความอับเฉาไปพร้อมกับสายลม เพราะอดีตเมืองหลวงของประเทศเวียดนามแห่งนี้ได้เปิดประตูรอต้อนรับให้ทุกคนได้เชยชมแล้วจ้า …
เว้ (Hue) อดีตเมืองหลวงแห่งนี้ ตั้งอยู่ในอาณาเขตเวียดนามใต้เช่นเดียวกับเมืองดานังและฮอยอัน แหล่งท่องเที่ยวสุดป๊อบในช่วงนี้ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและทั่วโลก เราจึงสามารถเที่ยวสามเมืองนี้ได้ในคราวเดียวกัน โดยสามารถเริ่มต้นจากเมืองดานังแล้วต่อรถมาเพียงสองชั่วโมงก็สามารถมาเยือนเมืองมรดกโลกแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย และแม้ว่าเมืองเว้แห่งนี้จะมีแผลเป็นจากร่องรอยในช่วงสงครามรวมชาติของเวียดนามอยู่บ้าง แต่ริ้วรอยแห่งความสวยงามตามกาลเวลากลับเจิดจรัสชัดเจนยิ่งกว่า แล้วแบบนี้จะไม่ให้ใครต่อใครหลงรักจนอยากกลับมาเล่าเรื่องเมืองเว้ให้ฟังได้ยังไง
Fly to Da Nang with Boutique Airline
การเดือนทางสู่เมืองเว้ครั้งนี้ เราเลือกบินกับ Bangkok Airway สายการที่มีเที่ยวบินบินตรงจากกรุงเทพสู่ดานังถึง 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เพื่อให้ตรงกับโจทย์การเดินทางแบบหรูหราของเรา และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะตั้งแต่ที่เราจัดแจงโหลดกระเป๋าเดินเข้าเล้าจ์แล้วหาอะไรทานก่อนเวลาขึ้นเครื่อง ก็ต้องบอกเลยว่ามาตราฐานของเค้าดี ไม่มีตก ทั้งห้องรับรองที่กว้างขวาง ขนม ของว่าง เครื่องดื่มร้อนเย็นที่จัดเต็มแบบเน้นๆ อย่างข้ามต้มมัดของโปรดใครหลายคน ไปจนถึงป๊อปคอร์นอุ่นๆ ของโปรดของเรา ก่อนจบลงที่การจิบชานมเบาๆ ก่อนเดินขึ้นเครื่องตามประกาศ ขึ้นเครื่องปุ๊บยังไม่ทันได้เริ่มหิว คุณแอร์ก็เอาอาหารร้อนๆ มาเสิร์ฟให้ถึงที่ งานนี้เปรมปรีดิ์ลาภปากกันตลอดทาง และฟาดเรียบทุกอย่างชนิดที่ถ้าเกิดเป็นพระโค รับรองได้ว่าประเทศไทยคงบริบูรณ์ทั้งน้ำท่า พืชพรรณ ธัญญาหารครบจบในคราวเดียว
• Azerai La Residence
แลนด์ดิ้งลงแบบงามๆ ท่ามกลางความสวยใสของเมืองดานัง เราก็นั่งรถมากันอีกสองชั่วโมงผ่านป่าเขาลำเนาไพรที่ดูแล้วสบายใจจนอยากหลับ พูดยังไม่ทันขาดคำปั๊บเราก็ลืมตาตื่นมาที่หน้าโรงแรม Azerai La Residence, Hue แบบอ๊าาา ภูเขาเมื่อกี๊สวยจัง แล้วก็บิดขี้เกียจรับกุญแจ เดินเข้าห้องไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเหมือนหลับมาอย่างเต็มตื่น ซึ่งห้องพักที่นี่บอกเลยว่า … มีทั้งแบบโมเดิร์นและความวินเทจตั้งแต่ยุคแรกเริ่มก่อสร้าง ที่สำคัญอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครันเว่อร์ๆ จ้าาา
หลังตื่นจากความงัวเงียแล้วก็ได้ออกมาเดินสำรวจอย่างจริงจัง บอกเลยว่าขนลุกล้าวววว เพราะมันสวยจนร้องว๊าว ตั้งแต่พื้นจรดเพดานช่างสวยคมคายจากสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลผสมผสานกับศิลปะแบบเวียดนาม สมแล้วที่เคยเป็นเรือนรับรองของราชวงค์ ขุนนาง และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในสมัยนั้น รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่อยู่ ร.9 ก็เคยเสด็จมาประทับที่นี่ด้วยแก
ซึ่งหลังจากการรีโนเวจโรงแรมใหม่ภายใต้เครือของ Azerai ยิ่งทำให้ที่นี่ดูสวยงามและมีมนต์เสน่ห์มากยิ่งขึ้น เพราะทำให้มีมุมถ่ายรูปที่สวยงาม ไล่ตั้งแต่ล็อบบี้ที่มีความใหญ่โตโอ่อ่า มิวเซี่ยมเล็กๆ ที่จัดแสดงภาพวาดของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์เวียดนาม ไปจนถึงรายละเอียดที่สวยงามอีกหลายจุดภายในโรงแรม คือแบบยังไม่ทันออกไปเที่ยวไหนก็มีรูปอัพกันยาวๆ ได้อีกสองเดือนแล้วอ่ะแก
นอกจากโรงแรมแห่งนี้จะเป็นโรงแรมเดียวในเมืองเว้ที่มีโลเคชั่นดีมากๆ คือตั้งอยู่ใจกลางเมืองและติดกับแม่น้ำหอมแล้ว นางยังมี facility ต่างๆ ในโรงแรมอยู่อย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นห้องสปา ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ และห้องอาหารริมแม่น้ำหอมที่พร้อมเสิร์ฟอาหารในทุกทุกมื้อด้วยความพิถีพิถัน โดยเฉพาะอาหารเวียดนามและอาหารเว้แบบดังเดิมที่หาทานได้ยากในปัจจุบันอีกด้วย เรียกได้ว่าแค่ภายในตัวโรงแรมเองเราก็มีกิจกรรมให้ทำได้ไม่ซ้ำกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำแล้วล่ะแก
หลังจากนอนทอดกายสบายใจบนที่นอนดูดวิญญานมาตลอดคืน พอยามเช้ามาถึงเราก็รีบดึงผ้าห่มออกจากตัว อาบน้ำแล้วเตรียมตัวพร้อมไปรับทานอาหารเช้าริมแม่น้ำหอม ที่หอมจริงไม่ใช่แค่เรื่องเล่า เพราะในแม่น้ำมีสาหร่ายชนิดหนึ่งที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้แม่น้ำมีกลิ่นหอมโดยเฉพาะตอนเช้า เราเลยได้ทานอาหารในบรรยากาศสวยๆ ทัศนียภาพที่ปลอดโปร่ง และกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เป็นดั่งสัญญานเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใส
• Cruising a Dragon Boat
กิจกรรมย่อยอาหารเช้าของเราในวันนี้นั้น เรียกได้ว่าสวีทวี๊ดบึ้ม หวานจนน้ำตาลเรียกพี่ แต่เสียดายคนข้างกายคือเพื่อนจ้า แต่เอาเถอะแค่ได้ล่องเรือชมความงามตลอดระยะเวลา 30 นาที ต่อให้ตรงนี้มีแค่เรากับเงาตัวเองก็สวย เลิศ เชิด หยิ่งได้จ้า
• Thien Mu Pagoda
30 นาทีผ่านไปพร้อมกับทิวทัศน์อันสวยงาม เรือลำน้อยก็พาเรามาเทียบท่าที่ Thien Mu Pagoda วัดเทียนมู่วัดที่ชาวเมืองเว้สร้างเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยออกแบบให้ตรงกลางวัดมีเจดีย์แปดเหลี่ยมเจ็ดชั้นตัวแทนในชาติต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ด้านในวัดประดิษฐานพระพุทธรูปปางแสดงธรรม และไม่ไกลกันนั้นคือหนึ่งในไฮไลท์ที่ต้องห้ามพลาด นั่นคือรถออสตินสีฟ้า ตัวแทนของพระภิกษุวัย 73 ปีจากวัดเทียนมู่ที่ยอมเผาร่างตัวเองเบื้องหน้ารถสีฟ้าอันสดใสคันนี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการเข่นฆ่าชาวพุทธและปกป้องพระพุทธศาสนา ถือเป็นอนุสรณ์แห่งเปลวเพลิงและความโหดร้ายที่ตราตรึงใจชาวเมืองเว้เป็นที่สุด
• The Imperial City of Hue
สถานที่ถัดมาที่เรากำลังจะไปคือ The Imperial City of Hue หนึ่งในเจ็ดมรดกโลกของเวียดนามหรือพระราชวังเก่าแห่งเมืองเว้ พระราชวังที่สร้างตามแบบพระราชวังต้องห้ามของจีน คือมีกำแพงสูงถึงสามชั้น มีพระราชฐานชั้นนอก ชั้นใน และท้องพระโรง แม้ว่าพื้นที่บางส่วนของพระราชวังนี้ได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปในช่วงสงคราม แต่รัฐบาลเวียดนามก็ไม่ได้เมินเฉย แต่ยังคงบูรณะให้ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุดทำให้อดีตศูนย์กลางของราชอาณาจักรกลายเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเมืองเว้ในปัจจุบัน
แม้ร่องรอยแห่งความเจ็บปวดจะยังหลงเหลือให้เราเห็นอยู่ประปราย แต่เราก็ได้เห็นรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ที่ฉายทับร่องรอยเหล่านั้น และพื้นที่ต้องห้ามก็ถูกเติมเต็มด้วยรอยยิ้มของเรานักท่องเที่ยวที่ฉายซ้ำในทุกๆ วัน ความคลาสสิคเก่าแก่และความปราณีตคือมุมถ่ายรูปชั้นดีที่ไม่อาจหาช่างฝีมือปัจจุบันคนไหนมาเทียบเคียงได้ การได้มาเดินใส่หมวกเวียดนามแล้วหมุนตัวอยู่รอบรอบพระราชวังจึงเพิ่มดีกรีความฮอตให้กับวีคเอนด์นี้ของเราเป็นที่สุด
• Tomb of Khai Dinh
หมุนตัวจนส้นรองเท้าสึก แต่เราก็ยังไม่หมดพลังในการถ่ายรูปขอไปต่อกันแบบไม่พักที่ Tomb of Khai Dinh สุสานคอนกรีตเสริมเหล็กที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกและสถาปัตยกรรมตะวันตก จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมสุดแปลกที่เกิดจากการผสมผสานแบบสุดขั้วระหว่างจีนและยุโรป ที่นี่คือสุสานของพระเจ้าไคดิงห์ที่ถูกก่อสร้างยาวนานถึง 11 ปี อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุดตระการตาของเมืองเว้ ก้าวแรกสู่สุสานคือบันไดมังกรอันโอ่อ่าที่จะพาเราเคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นที่หนึ่ง ก่อนจะพบกับบันไดทอดยาวสู่ชั้นที่สองอันเป็นลานกว้างเรียงรายด้วยรูปปั้นของเหล่าช้าง ม้า ทหาร และชาวบ้าน ราวกับสุสานจิ๋นซีขนาดย่อม
และเมื่อเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปจนขึ้นไปยังด้านบนสุดเราก็จะได้พบกับพระราชวังเทียนดิงห์ พระราชวังที่ชวนสะดุดตาตั้งแต่กระเบื้องสีบนพื้นไปจนถึงภาพมังกรในม่านเมฆบนเพดานที่เขียนด้วยเทคนิคเฟรชโก้ เทคนิคการลงสีของชาวฝรั่งเศสและกระจกสีอีกนับ 1,000 ชิ้น กำลังรายล้อมรูปปั้นสำริดขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ ที่ถูกสร้างในประเทศฝรั่งเศส ทำให้ตลอดระยะเวลาที่เราเที่ยวชมสุสานนี้เราได้สัมผัสถึงสถาปัตยกรรมสุดแปลกตาที่จะว่าไม่เข้ากันก็ไม่ได้ จะต้องว่าเข้ากันมากๆ ถึงจะใช่เลยทีเดียว
• Tu Hieu Pagoda
ออกจากสุสานเราก็ไปยัง Tu Hieu Pagoda อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของเมืองเว้ที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน เป็นอีกหนึ่งวัดที่แสดงให้เห็นถึงความฝักใฝ่ในศาสนาพุทธของชาวเมืองเว้อย่างจริงจัง ผ่านทางศิลปกรรมอันปราณีตงดงาม และความสงบร่มรื่นภายในวัดทำให้เราได้รู้สึกถึงความสงบ ความเป็นธรรมะที่มาจากธรรมชาติได้มากขึ้น
• Dong Ba Market
สงบร่มเย็นมันก็เป็นแนวของเรา แต่ถ้าจะให้เข้าขอเป็นแนวคึกคัก เราจึงไปเดินเล่นต่อกันที่ Dong Ba Market ตลาดดงบากตลาดศูนย์กลางของเมืองเว้ที่มีสินค้าขายแทบทุกชนิด ทั้งในราคาปลีก ราคาส่ง และยังแบ่งเป็นโซนต่างๆ ให้จับจ่ายกันได้ง่ายขึ้น เช่น ตลาดสด ตลาดผลไม้และของฝาก ผู้คนก็เดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก ถ้าให้เทียบเคียงก็อารมณ์ตลาดสำเพ็งและจตุจักรของบ้านเรา ส่วนเรื่องการซื้อขาย บอกเลยว่าสะดวกสบายได้สลายเงินในกระเป๋ากันแบบเบาๆ แทบทุกคน เพราะแม่ค้าที่นี่สามารถพูดภาษาไทยกันได้แทบทุกร้าน แถมยังขายเก่ง ชวนเก่ง ชงเก่ง และยังสามารถซื้อของต่างๆ ด้วยเงินบาทของเราได้อีกด้วย มาที่นี่ได้เสียเงินแน่นอน!!!!
ท้ายสุดเกือบสุดท้าย ก่อนจะจบกิจกรรมสวยๆ ของวัน เราขอกลับมาที่โรงแรมเพื่ออาบน้ำอาบท่าทาแป้งหอมๆ แล้วหยิบชุดว่ายน้ำตัวใหม่ที่มั่นใจว่าใส่แล้วปั๊วะ เพื่อไปโพสท่าริมสระแบบเฟียสๆ ไว้ลงในไอจีสักสองสามภาพ ก่อนค่อยลงเล่นน้ำ ไปทำสปา พักผ่อนแบบเบาๆ ให้ร่างกายได้รีเฟรช และได้ใช้กิจกรรมต่างๆ ของโรงแรมให้คุ้มค่ากันก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าจากแบบสากลไปใส่ชุดอ๋าวหย่าย ชุดประจำประเทศเวียดนาม ไปรับประทานใต้เสียงเทียนกันแบบหรูหรา เพื่อปิดวันอันเลอค่าให้สุขมิรู้ลืม
• Tha Om Garden House
พระอาทิตย์ลับของฟ้าเวลาของดินเนอร์ใต้แสงเทียนก็เริ่มต้นขึ้น เราอยู่กันที่ Tha Om Garden House ร้านอาหารเรือนไม้สุดเก่าแก่ แต่ยังคงความเลอค่าไว้ในทุกไม้กระดาน รวมทั้งความเก๋ไก๋สไตล์บ้านเมืองร้อนที่สามารถเปิดผนังทุกด้านออกเป็นหน้าต่างสำหรับรับลมที่โชยผ่าน หรือหากจะกล่าวว่านี่คือบ้านที่ไม่มีผนังหรือจะกล่าวว่าผนังทุกด้านคือหน้าต่างก็ไม่เกินจริงเลย หลังจากที่มีโอากาสได้นั่งฟังประวัติของบ้านที่สวยงามแห่งนี้จากปากของทายาทรุ่นที่ 3 สำรับอาหารแนวฟิวชั่นที่ผสานอาหารสมัยใหม่เข้ากับอาหารเว้พื้นเมืองก็ถูกตั้งไว้ตรงหน้าอย่างพอดิบพอดี อาหารแต่ละคำในมื้อนี้จึงผสานกับกลิ่นอายประวัติศาสตร์ ทำให้เนื้อย่างสูตรเว้บนแผ่นหินที่หอมตลบอบอวลอยู่แล้วจานนี้ ยิ่งดูยั่วยวนมากยิ่งขึ้น เป็นการจบวันที่สองของทริปได้อบอุ่นชวนฝัน และส่งเราเข้านอนอย่างฝันดี
• My Khe Beach
แล้วเช้าวันสุดท้ายก็มาถึง หลังจากเก็บรูปอีกพอกรุบกริบและเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม จุดสุดท้ายก่อนเดินทางกลับไปยังสนามบินดานัง เราแวะเที่ยวกันที่ My Khe Beach ชายหาดใจกลางเมืองดานัง ชายหาดโล่งๆ กว้างๆ ที่ความสวยงามไม่อาจทำให้ใจของนักท่องเที่ยวผู้หลงไหลในอันดามันอย่างเราสั่นไหวได้ แต่ความที่ชายหาดสะอาดมาก มีการจัดระเบียบเตียงนอนริมหาดอย่างดี สวย และมีที่ทิ้งขยะรีไซเคิลรูปปลาไว้จัดการเรื่องขยะ ที่นี่ก็ได้ใจเราไปทั้งสี่ห้องแบบเต็มๆ คือความสวยก็ถือว่าสวยแบบบ้านๆ แต่เรื่องความสะอ้านสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี่เรียกได้ว่าระดับยูนิเวิร์สไปเลยจ้า
และแน่นอนขึ้นอย่างหงส์ต้องลงอย่างหงส์ต่อไป เราจึงเดินทางกลับด้วยสายการบินฟูลเซอร์วิสอย่าง Bangkok Airway ที่จะพาเราบินตรงลง กทม. อย่างสวยงามเจ้าเดิม พร้อมทั้งบริการและอาหารสุดประทับใจ ยิ่งทำให้การปิดทริปของเราครั้งนี้เพอร์เฟคแบบไม่ต้องรอลุ้น ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพพร้อมรูปอีกล้านใบแบบงงๆ สุดท้ายเราอยากบอกว่าการเดินทางสำคัญเสมอ อย่าปล่อยให้ชีวิตของเราออกเดินทางไปแค่บ้านและที่ทำงาน เพราะโลกนี้ยังมีท้องฟ้าสีชมพู สีทอง สีส้มให้ชื่นชม ยังมีนกที่ร้องกา กา กา แควก แควก ก๊าบ ก๊าบ ให้ไปฟัง ยังมีเรื่องราวทั้งความเศร้าและสุขสันต์ให้ได้รับรู้ ออกเดินทางเถอะ แล้วแกจะรู้ว่าโลกของพวกเราใหญ่แค่ไหน