ใคร ๆ ก็รู้ว่าญี่ปุ่นเที่ยวได้ตลอดทั้งปี จะฤดูไหนก็มีเสน่ห์ ชอบหิมะก็มี ซากุระก็ได้ ดอกไม้ไฟก็ยิ่งใหญ่ นับจากนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงที่ทั้งญี่ปุ่นจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม แสนสดใส ไม่ว่าจะในเมืองหรือแหล่งท่องเที่ยวที่ห่างไกล ก็สามารถชมความงามได้.. และหนึ่งในทริปใบไม้แดงที่เราประทับใจมากที่สุดทริปหนึ่งก็คือรูท OSAKA – TAKAYAMA เมืองแห่งสีสันกับเมืองอันแสนสงบที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ ทริปนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสวิถีชีวิตที่ทาคายาม่า แวะชมหมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะ เดินชมธรรมชาติหลากสีสันริมแม่น้ำ
before you FLY
ก่อนที่จะเดินทางส่วนใหญ่เราจะแพลนเที่ยวก่อนแทบทุกครั้ง นอกจากหาที่เที่ยวแล้วเรายังต้องการตัวช่วยในการจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ระหว่างเที่ยวให้ครอบคลุมที่สุด มีการรีวิวจากผู้ใช้จริงที่น่าเชื่อถือได้ด้วย ผลลัพธ์จึงมาลงที่ KLOOK แอปพลิเคชั่นหน้าตาสะอาดใช้งานง่าย จะไปเที่ยวประเทศไหนแค่จิ้มจุดหมาย เขาก็แยกประเภทของสถานที่ และความชอบของเราเอาไว้ให้เสร็จสรรพ รวมทั้งราคาที่โชว์เป็นสกุลเงินไทยไม่ต้องมานั่งคำนวณเรทเอง อย่างตั๋วรถไฟ พาสต่างๆ พอมาเทียบแล้วถูกกว่าหลายๆ เจ้าที่ขายเหมือนกัน, ซิมการ์ดก็จ่ายน้อยกว่าไปซื้อเองที่เคาน์เตอร์, สวนสนุกดังๆ ที่เราเห็นคิวแต่ละครั้งแล้วลมแทบจับ รวมถึงดีลโดนๆ ร่วมกับบริการอื่นๆ ทำให้เราประหยัดทั้งเงินและเวลา หรือถ้าใครเป็นสายล่าร้านอาหารดังๆ ก็สามารถสำรองที่นั่งพร้อมสั่งอาหารได้ผ่านแอปนี้เลย ถ้าขี้เกียจแพลนเที่ยวเองหน่ะเหรอ? เขาก็มีทัวร์แบบ one day ให้จองด้วยจ้า เอาเป็นว่าจะสายกิน สายธรรมชาติ สายวัฒนธรรม ฯลฯ มีให้เลือกหมด จองปุ๊ปตั๋วต่างๆ จะส่งเข้า email เลย นี่เป็นแค่การเตรียมก่อนเดินทางผ่านปลายนิ้วนะ ไหนลองมาดูกันดีกว่า ว่าพอไปถึงญี่ปุ่นแล้ว ชีวิตเราง่ายขนาดไหน
Day1 : One day in Shirakawa-go
วันไปไม่นับวันกลับขอไม่พูดถึง เราขอเริ่มต้นเช้าแรกของทริปกันที่หมู่บ้านสุดคลาสสิคที่ได้ใจเสมอในทุกฤดูที่ไป Shirakawa- go กว่าจะมาถึงที่นี่เราเดินทางจากเมืองทาคายาม่าด้วยรถบัส โดยทุกคนสามารถจองตั๋วแบบ Reserved Seat ก่อนวันเดินทางได้ที่ Takayama Nohi Bus สถานีรถบัสข้างๆ สถานีรถไฟได้เลย แนะนำให้มาตั้งแต่เช้าเพราะในหมู่บ้านคนยังไม่เยอะ ถ่ายรูปได้ สะดวกหน่อยนะจ๊ะ ที่ญี่ปุ่นพยาการณ์อากาศค่อนข้างแม่นยำมาก ก่อนจะออกจากที่พักก็ให้เช็กอากาศกันดีๆ ด้วย วันนี้เราเจอฝนตกแค่ปรอยๆ เลยไม่เป็นอุปสรรคกับการถ่ายเที่ยวถ่ายรูปเลย พอไม่มีแดด มันก็จะได้บรรยากาศเหงาหน่อยๆ ด้วย ชอบ
หมู่บ้านมรดกโลกที่เป็นจุดหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ชิราคาวาโกะ แห่งนี้ เป็นหมู่บ้านชาวนาเก่าแก่กว่า 200 ปี พร้อมเอกลักษณ์ที่บ้านทุกหลังจะเป็นทรง g1sshō-zukuri (合掌造) หลังคามีความลาดเอียง และชันถึง 60 องศาเพื่อไล่หิมะให้ลู่ลงตามความเอียงช่วงฤดูหนาว หมู่บ้านตั้งอยู่กลางหุบเขาล้อมด้วยภูเขาลูกโต ที่มีธรรมชาติแสนสมบูรณ์จนหมู่บ้านเล็กๆ นี้ ดู ยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที แม้ช่วงที่เรามาจะไม่มีหิมะ แม้ฝนจะตก แต่ก็ไม่อาจลดความน่ามองของที่นี่ได้เลยจริงๆ ความมีชีวิตชีวาของต้นไม้หลายสีเหล่านี้ ทำให้หมู่บ้านนี้น่าจดจำ มากี่ครั้งก็ต้องบอกต่อ มันเป็นความสวยที่รูปภาพเหล่านี้เล่าได้เพียงเสี้ยวเท่านั้นอะแก
แต่ละบ้านแม้จะดูเก่าแก่ตามการอนุรักษ์ แต่ข้างในเขาได้ตกแต่งใหม่ สะอาดสะอ้าน ที่ถนนเส้นหลักของหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร รวมถึงร้านขายของฝากมากมาย ถ้าเดินลึกเข้ามาหน่อยก็จะเจอเกสต์เฮ้าส์แสนสงบที่แต่ละบ้านจะมีออนเซ็น หรือห้องอาบน้ำร้อนให้เราด้วยนะ แต่เราแนะนำให้จองมาก่อนเด้อเพราะเต็มเร็วมาก แม้จะมีพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวเยอะแยะแบบนี้ในหมู่บ้าน แต่ก็ยังมีที่อยู่อาศัยของชาวนาจริงๆ ด้วย เวลาเราเดินเล่นก็ระวังไปเดินเข้าสวนเขา หรือไปรบกวนความเป็นส่วนตัวของเขานะฮะ เราเดินสำรวจหมู่บ้านไปเรื่อยๆ สังเกตสิ่งของที่เขาเอาตั้งไว้หน้าบ้าน ข้างบ้าน หรือหลังบ้าน เราจะเห็นอุปกรณ์ดำรงชีวิตแสนธรรมดาแต่มีเรื่องราวด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นจักรยานคัน ชเก่า บันไดลิงที่พาดขึ้นไปบนหลังคา ทำให้เห็นถึงความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มีเท่าที่จำเป็น ไม่หลงใหลความหวือหวา ทำให้เราได้กลิ่นอายของหนู่บ้านนี้จากอดีตขึ้นมาเลยแหละ
สำหรับบ้านบางหลังของที่นี่ เขาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วยนะ ค่าเข้า 300 เยน แต่สิ่งที่เห็นคุ้มกว่าราคามาก ทั้งข้าวของเครื่องใช้ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ที่ไม่ได้บิดเบือนไปจากอดีตมากนัก นอกจากสาธารณูปโภคที่มีมากขึ้นเท่านั้น แต่แม้ไฟฟ้าจะเข้าถึง เขาก็ยังต้มน้ำชงชาด้วยฟืนตรงที่นั่งเล่นกลางบ้าน นอกจากน้ำจะเดือดแล้ว บ้านยังอุ่นอีกด้วย รักประเทศนี้ตรงที่หมู่บ้านที่ห่าง ไกลเมืองขนาดนี้ศิลปะยังมาถึง ทั้งตามฝาหนัง ประตู และเบาะรองนั่ง ล้วนมีลวดลายของศิลปะแบบญี่ปุ่นอยู่ด้วย
ร้านอาหารสุดฮอตประจำเมืองชิราคาวาโกะ หนีไม่พ้นร้าน Irori ด้วยคิวที่ยาวเหยียด ทำให้เราอดคาดหวังไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้เราประทับใจตั้งแต่เดินเข้าไป…ได้พบการตกแต่งร้านแสน Local อุปกรณ์การทำไร่นา และการดำรงชีพถูกเอามาจัดวางอย่างไม่เป็นระเบียบนัก แต่ลงตัว รู้สึกอบอุ่น Lunch set ที่เราได้มาประกอบด้วยปลาทอด ยำสาหร่าย เต้าหู้ ซุปโซบะร้อน แล้วก็หม้อไฟไข่กับปลาย่าง รสชาติเหมือนฝีมือแม่ มันอร่อยแบบกลมกล่อมและดีต่อสุขภาพ ขนาดกำลังพอดี อิ่มพร้อมเที่ยวต่อแบบไม่แน่นมาก
หลังจากเพลินกับเซตอาหารพื้นเมืองรสเลิศกันแล้ว ก็ถึงเวลาขึ้นดอยไปจุดชมวิวของหมู่บ้านที่ใครๆ เขาก็ไปกัน เราเดินขึ้นตามถนนที่ทางค่อนข้างชันแต่ไม่สูงมาก พร้อมอากาศเย็นๆ ก็ถือว่าเป็นการย่อยอาหารที่ดี เดินมองธรรมชาติ สีสันใบไม้รอบๆ ก็เพลินไปเรื่อยๆ จนมาถึง View Point ถึงกับทำให้เราหยุดชะงักกับความสวย ความเงียบของเมืองที่มีเพียงเสียงลมกระทบ ใบไม้พูดคุยกัน ความสงบที่แทบไม่มีรถยนต์ มีเพียงผู้คนที่เดินช้าๆ ยืนตรงนี้เหมือนเห็นทุกความเคลื่อนไหวของหมู่บ้าน มันไม่ใช่การสร้างภาพ และไม่ใช่แค่การอนุรักษ์ให้คงอยู่ แต่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติของคน และสภาพแวดล้อมของที่นี่จริงๆ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่ดูร้อนแรงด้วยสีสันแต่นุ่มลึกด้วยความสงบ เป็นความรู้สึกที่แกต้องมาเห็นเองถึงจะเข้าใจ
เร่งเท้าเดินกลับมาที่สถานีรถบัส เพื่อกลับไปชื่นชมเมือง Takayama ยามเย็นกันต่อที่ ย่านซันมาชิซูจิ หรือที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “Little Kyoto” ย่าน Old Town สุดเฟี้ยวของทาคายาม่าที่มีอายุกว่า 300 ปี ตั้งแต่สมัยช่วงยุคเอโดะ บ้านโบราณที่รายตลอดสองข้างทางจะมีเอกลักษณ์คือสีของบ้านจะออกโทนดำเกือบทุกหลัง ที่นี่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลส่งเสริมให้เป็นแหล่งชอปปิ้ง เพราะเดิมเขาก็เป็นย่านการค้าอยู่แล้ว เส้นทางเดินมีทั้งหมด 3 ซอยต่อกันให้เราได้ลัดเลาะ มีที่อยู่อาศัย เงียบบ้าง คึกคักบ้างเป็นช่วงๆ เพราะฉะนั้นจะถ่ายรูปชิคๆ เก๋ๆ พร้อมชอปปิ้งไปด้วยก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะ
สิ่งที่เราไม่อยากให้พลาดเมื่อมาย่านนี้คือ Hida Gyuum1n หรือซาลาเปาไส้เนื้อฮิดะ เนื้ออีกชนิดที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ มีความฉ่ำนุ่มลิ้นและกลิ่นหอมหวนอบอวลใบปาก เมื่อได้กินพร้อมแป้งนุ่มๆ แล้ว ยิ่งทำให้ทุกอย่างเข้าเนื้อกันชุ่มปากไปหมด เราสามารถเดินไปกินไปได้ จนมาเจอจุดมุ่งหมายของเราอีก Senbei Plate ขนมแป้งย่างพร้อมสาหร่าย ที่เคี้ยวกรุบกรอบเพลินไปได้เรื่อยๆ และอีกหนึ่งเมนูที่ไม่อยากให้พลาดเลยคือ Hida Beef Sushi ซูชิเนื้อฮิดะที่เสิร์ฟบน Senbei Plate ด้วยความนุ่มนวลละลายในปาก พร้อมข้าวหอมๆ สาหร่ายกรอบๆ ไข่ดิบไร้กลิ่นที่สร้างเท็กเจอร์ที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ มันเข้ากัน ครบรสมากจนเราไม่กล้ากลืน กลัวความรู้สึกนี้จะหายไป หลังจากละเมียดกินซูชิจนหมดก็ถึงเวลากลับห้องพักเตรียมลุยพรุ่งนี้ต่อ
Day2 : One day in Kamikochi
เช้าวันใหม่ อากาศสดใส ด้วยการนอนที่เต็มอิ่มและการเที่ยวที่เตรียมตัวมาอย่างเต็มร้อย เรากำตั๋วหิ้วเป้สะพายกล้อง ทิ้งของไว้ที่โรงแรม เพราะเราจะกลับมานอนที่ Takayama อีกคืน พร้อมลุยกันต่อกับจุดหมายเดินเทรคกิ้งสบายๆ กับวิวหลักล้านที่ Kamikochi โดยการเดินทางวันนี้ เราซื้อตั๋วบัสต่างหากและเส้นทางนี้ต้องต่อรถสองต่อ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ จาก Takayama Nohi Bus ไปลงที่ Hirayu Onsen ( 53 นาที ) และจาก Hirayu Onsen ไปที่ Kamikochi ( 25 นาที ) ซึ่งตั๋วอันนี้ไม่มีการจองล่วงหน้า แต่ก็มีรอบรถให้เลือกค่อนข้างเยอะ ใควรวางแผนการเดินทางเผื่อสักนิด
คามิโคจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ทางเหนือของเทือกเขา Japan Alps. ใน Nagano เป็นทางเดินป่าขึ้นเขาเบาๆ ไม่เหนื่อยมาก และจะเปิดให้เที่ยวเฉพาะกลางเดือน เมษายน-พฤศจิกายน ของทุกปี ถ้าอยากเจอวิวใบไม่ร่วงแบบนี้ก็มาปลายตุลาคมต้นพฤศจิกายนนะเราว่ากำลังโอเคเลย จุดที่เป็น The must!! ของที่นี่คือการชมทิวเขาโฮทะกะ (Hotaka) อย่างที่เห็นนี่แหละ ทิวเขาหิมะกว้างใหญ่ จุดเริ่มต้นของแม่น้ำอาซุสะที่ทอดเชื่อมต่อกันจนกลายเป็นวิวที่หาได้ยากแบบนี้ ด้วยระยะทางยาวถึง 15 กิโลเมตรและสูงถึง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นระดับที่กำลังดีในการมาเดินเล่น ปีนเขาเอาบรรยากาศสวยๆ ด้วยอากาศที่กำลังเย็น และบริสุทธิ์แบบนี้ เดินเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อยจริงๆ
โดยที่นี่มีทั้งเส้นทางเดินสบายๆ และปีนเขาแบบจริงจังให้เลือกเดิน แต่ถ้ามีเวลาแค่วันเดียวแบบเรา ก็คงต้องเป็นตัวเลือกแรกนี่แหละ เราเริ่มเดินตามเส้นริมแม่น้ำอาซุสะไปยังสะพานเมียวจิน เส้นทางเป็นทางราบ เดินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนเราอดเอ็นดูนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่มาแบบครอบครัวไม่ได้ คุณตาคุณยายจูงมือค่อยๆ เดินช้าๆ แต่แข็งแรง เด็กเล็กๆ จูงมือพ่อแม่เดินอย่างไม่อิดออด ทำให้นอกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นจากธรรมชาตินี้แล้ว บรรยากาศก็ยังทำให้เราอบอุ่นไปด้วย เส้นทางที่เราแนะนำนี้จะมีไฮไลท์ที่อยากให้แวะอยู่ 5 จุด ดังนี้ฮะ
สระน้ำไทโช ( Taisho Pond ) แหล่งน้ำที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟยาเคดะเมื่อปี ค.ศ.1915 จนเส้นทางของแม่น้ำถูกปิดกั้น ซึ่งในบึงนี้ยังมีตอไม้ผุพังจมน้ำตั้งเด่นอยู่ตรงกลางเป็นหลักฐานของเหตุการณ์อยู่เลย เป็นจุดที่สวยและมีเสน่ห์จนเหล่าช่างภาพต้องมาตั้งขาถ่ายรูปกับแบบจริงจังอย่างที่เห็น
สระน้ำทาชิโระ ( Tashiro Pond ) เดินจากสระหนึ่งมาเจออีกสระหนึ่งที่คล้ายกัน แต่วิวรอบข้างแตกต่างกว่า เพราะจุดนี้เป็นจุดใกล้กับทางเดินป่าที่เชื่อมระหว่างคัปปาบาชิ (Kappabashi) กับสระน้ำไทโช (Taisho Pond) ทำให้หันซ้ายก็เจอน้ำสีฟ้าใสกิ๊ง ทางขวาก็เจอป่าแดง ส้มสดใส สวยจนแทบละลายอยู่ตรงนั้น
สะพานคัปปาบาชิ ( Kappabashi / Kappa Bridge ) สะพานแขวนที่อยู่เหนือแม่น้ำอาซุสะ สะพานใจกลางคามิโกจิที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูปเช็คอิน จุดนี้จะมีร้านอาหาร โรงแรม และของขายที่ระลึกมากมาย จากเดินป่าชมวิวเงียบ มาเจอตรงนี้คึกคักขึ้นทันตาเลย จะถ่ายรูปจากข้างล่างให้เห็นสะพานก็สวย หรือจะขึ้นไปอยู่บนสะพานถ่ายรูปวิวจากตรงนั้นก็ปังนะแก
ที่ลุ่มทาเกะซาวะ ( Takezawa Marsh ) เดินจากสะพานคัปปาบาชิเพียง 5-10 นาที ก็มาถึงลุ่มแม่น้ำทาเกะซาวะ จุดนี้เราจะได้เห็นวิวต้นไม้ในน้ำ สีฟ้าใสสะท้อนตา พร้อมสูดอากาศสดชื่น อีกวิวแหล่งน้ำที่มาถึงคามิโคจิแล้วต้องตามมาเก็บให้ครบเด้อ
สระน้ำเมียวจิน ( Myojin Pond /Myojinike ) จากลุ่มทาเกะซาวะ เราใช้เวลาเดินอีกประมาณ 1 ชั่วโมงมาจนถึงสระน้ำเมียวจิน สระที่อยู่รอบๆ ศาลเจ้าโฮทากะ และคามอนจิโงยะ สระแห่งนี้ประกอบด้วยสระนำ้เล็กๆ มารวมกันคือ Ichino-ike และ Nino-ike มีทางเดินทอดยาวออกไปนอกสระ ทำให้เห็นน้ำที่ใสแจ๋วจากภูเขา Myojin-Dake ได้ชัดเจนมาก ใครที่เริ่มหิว เขาก็มีร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ไว้คอยบริการอยู่นะ จุดนีมีค่าเข้าชมเพิ่ม 300 เยนฮะ
เต็มอิ่มกับการเดินชมธรรมชาติแบบ One day trip ใน Kamikochi แห่งนี้กันไปแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแหล่งท่องเที่ยวของที่นี่ ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นได้ทุกครั้ง และทุกที่จริงๆ ด้วยความใส่ใจทั้งกับนักท่องเที่ยวและธรรมชาติที่สามารถจัดสรรได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้ทุกอย่างทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นไม้ ลำธาร สภาพแวดล้อมสวยงามอลังการที่ปรนเปรอเราได้ตลอดทาง สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่เนียนไปกับสถานที่ ทำให้ได้ภาพสวยงามไม่ขัดตาแม้จะอยู่ในฤดูกาลไหนก็ตาม เราเดินจนลืมเมื่อยไปเลย มารู้ตัวว่าเหนื่อยอีกทีก็ต้องขึ้นรถบัสกลับแล้ว ได้แต่เก็บช่วงเวลาความฟินนี้เอากลับไปฝันต่อยามค่ำคืน
Day3 : Takayama – Osaka
เช้าวันใหม่เที่ยวแบบพริ้มๆ ในเมืองที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิตอันแสนสงบ แม้จะดูเป็นเมืองท่องที่ยวที่มีคนหัวดำหัวทองหลากหลายภาษาแวะเวียนมาเรื่อยๆ แต่หมู่บ้านนี้ไม่ได้ตื่นเต้นไปกับสิ่งเหล่านี้เลย คนที่นี่ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตลาดเช้าที่คิดว่าจะมีของฝากโหลๆ ขาย กลับมีพืชผัก ของใช้ในชีวิตประจำวันให้คนที่นี่เลือกซื้อได้จริงๆ โซนเมืองที่ไม่ได้พลุกพล่านอย่างที่คิด ร้านขนมปัง ร้านกาแฟที่แอบอยู่ตามซอกหลืบที่เราหลงทางไปเจอ แต่คนพื้นที่กลับรู้จักดี เข้าออกเป็นว่าเล่น ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่อยู่ได้แบบสบายๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบันแบบไม่ต้องพึ่งการทำเงินจากนักท่องเที่ยวแบบเรา
ถ้าพูดถึงรูปแบบเมือง Takayama ก็ยังคงเป็นเมืองชนบทที่ยังไม่มีตึกสูง ซอกซอยแต่ละบ้านสร้างทรงแบบง่ายๆ สีสันเรียบๆ โทนขาว น้ำตาล จนกลายเป็นว่าบ้านเมืองดูสะอาดตาไปโดยปริยาย แล้วยิ่งมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้แล้ว แดงขาว เทาส้ม ตัดกันได้ลงตัว เหมือนภาพศิลปะไปทั้งเมือง สวยจนเดินถ่ายรูปเพลินจนเมมกล้องแทบเต็ม
เดินชมเมืองช่วงเช้าตรู่อากาศเย็นๆ แล้ว แอบแวะไปหาขนม-กาแฟกินกันที่ตลาดเช้าทาคายาม่ากันดีกว่า ตลาดเช้าที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 6:30 – 12:00 น. ซึ่งมีด้วยกันอยู่ 2 จุด คือตลาดจินยะเมะ ( Jinya-Mae Market) อยู่หน้าอาคาร Takayama Jinya และตลาดมิยางาวะ ( Miyagawa Market) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิยางาวะในเขตเมืองเก่าทาคายาม่า ด้วยบรรยากาศและอ่านรีวิวมามากมาย เราเลือกที่จะมาตลาดมิยางาวะ เพราะนอกจากของจะเยอะกว่าแล้ว ตลาดยังอยู่เลียบแม่น้ำแบบสวยๆ เราการันตีเรื่องความใสของน้ำ ใสจนเห็นตัวปลาจริงๆ เดินตลาดพร้อมเสียงน้ำไหลสงบๆ พร้อมของสด ของฝาก ขนมต่างๆ บรรยากาศแบบนี้มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆ นะแก
อย่างที่เราบอกไปตอนแรก ตลาดที่นี่ไม่ได้ขายของฝากโหลๆ เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว เขาขายของที่คนพื้นเมืองสามารถใช้ได้ด้วยจ้า ทั้งพืชผลทางการเกษตร ผัก ผลไม้สดๆ ที่เราสามารถซื้อกินกันได้ตรงนั้นเลย คนที่นี่น่ารักมาก พ่อค้าแม่ค้าขายกับแบบเงียบๆ เหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่า ไม่ต้องเรียกลูกค้าแบบโหวกเหวก ที่ประทับใจสุดคือแอปเปิ้ลที่มีให้เลือกหลายพันธุ์ ชิมไปมาคือนุ่มละมุนลิ้นมาก ความหวานสดชื่นเหมาะสำหรับยามเช้าแบบนี้ กำเงินแล้วยื่นไปให้เลยจ้า ซื้อ!!
ใครตามเรามาตลอดจะรู้ว่านี่สายคาเฟ่ และชอบชิมกาแฟมาก ขาดเธอเหมือนขาดใจ เดินมาเจอร้านกาแฟเก๋ๆ ที่ทำให้ตาเรามีแสงระยิบๆ ฉายออกมาทันที ซึ่งร้านตรงตลาดมิยางาวะนี้ไม่ได้เลิศหรูสวยงามอะไรหรอก แต่เป็นคู่สามีภรรยามาตั้งเต็นท์ขาย พร้อมโต๊ะสีขาวสะอาดตาในชื่อ cafe’ macchiato สิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นคือกาแฟที่นี่เสิร์ฟใน cookie cup ที่ดื่มกาแฟเสร็จเราก็สามารถกัดกินถ้วยคุกกี้ในมือได้เลย มันอร่อยกรุบ คุกกี้รสชาติดีที่ยังมีกลิ่นกาแฟติดอยู่ภายในแก้ว ทำให้เรากินจนไม่เหลือร่องรอยเลยล่ะ
จากเมือง Takayama เรานั่งรถไฟมาสู่เมืองอันแสนคุ้นเคย Osaka ของเรานี่เอง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. ถึงนี่ก็บ่ายแก่ๆ พอดี ถือว่ายังเช้ามากสำหรับเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ หลังจากที่เราเช็กอินที่โรงแรมแล้ว ก็ไปเดินเล่นชอปปิ้งให้หายอยากที่ย่าน Dotobori ย่านชอปปิ้งที่ทอดยาวไปหลายช่วงถนน มีร้านค้าทั้งแบรนด์เนม สตรีทแบรนด์ ของวัยรุ่น ของจุกจิก ร้านขายยา เครื่องสำอาง ร้านตู้เกมส์ ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเรียงรายอยู่ตลอดทาง ถือเป็นสีสันของเมืองนี้เลยก็ว่าได้
อีกหนึ่งทีเด็ดของเส้นนี้คือ Street food จ้า ของกินริมทางเยอะมากๆ หันไปทางไหนก็เจอของกิน จะเงยหน้าไปเจออะไรก็ได้กลิ่นแต่ของกิน ไม่ว่าจะเป็นทาโกะยากิที่มีให้เลือกเป็นสิบร้าน ร้านเกี๊ยวซ่าอีกหนึ่งอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ชีสทาร์ตที่ขยายสาขามาถึงบ้านเรา ดมๆ มองๆ จนท้องเริ่มประท้วงว่าช่วยเอาอะไรลงมาให้ย่อยได้แล้ว.. แต่เราจะกินเยอะไม่ได้เพราะมื้อเย็นเรามีของดี ที่เรารอจัดหนักอยู่ อิอิ
หลังจากที่ลองอย่างสองอย่างตามข้างทางแล้วนั้น ก็ถึงเวลามาจัดมื้อหลักเพิ่มพลังให้ร่างกายกันสักที เลิกกับทุกร้านเพื่อมากินที่เธอคนเดียว ที่ร้าน “Kitamura” ร้านสุกี้และหม้อไฟวากิวระดับมิชลินสตาร์ (ได้ 1 ดาว) ที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1881 แต่ที่เขาเด็ด ไม่ใช่เพราะเปิดมานานหรอกนะ เพราะคุณภาพเนื้อต่างหากที่เขาเคลมว่ามาจากโกเบทุกชิ้น เนื้อจะต้องนุ่มละลายในปากเป็นสุกี้ ปิ้งย่างสไตล์คันไซที่แท้จริง ถ้าใครอยากลิ้มลอง walk-in มาก็อาจหมดสิทธิ์นะจ๊ะ เพราะส่วนมากเขาจองล่วงหน้ากันข้ามวันข้ามคืนเลย จองผ่านเว็บไซต์ญี่ปุ่นภาษาก็ไม่เข้าใจเพราะต้องเลือกเซตอาหารด้วย โชคดีที่มี KLOOK ทั้งเมนู คำอธิบาย และราคาเป็นไทยทั้งหมด กดปุ๊ป https://www.klook.com/th/activity/6779 ได้สิทธิ์กินปั๊ปไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยเลยแก!!! นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการวางแผนที่ดีผ่าน KLOOK ซึ่งนอกจากร้านนี้แล้ว เขาก็มีให้จองร้านอาหารเจ้าดังอีกหลากหลายร้านเหมือนกันนะ ถ้าไม่อยากเสียเที่ยว-เสียเวลา จองมาเถอะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะทุกคน …
Day4 : One day in Universal Studio Japan
สวนสนุกที่เป็นหนึ่งความใฝ่ฝันของใครหลายๆ คนที่ในชีวิตต้องมาสักครั้ง คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ Universal Studios Japan แม้จะมีหลายสาขาทั่วโลก แต่เชื่อเราเถอะ ว่าแต่ละที่ไม่ได้เหมือนกันไปซะหมดหรอก สถานที่นี้ได้เก็บกักความเด็กของเราเอาไว้ แค่เราเดินย่างก้าวเข้าไป พลังนั้นก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาให้เราได้เล่นสนุกเสมอๆ และในแต่ละวันที่มีคนหมายตาปองใจจะมาเที่ยววันละเป็นหมื่นๆ คน ถ้าเราต้องไปรอซื้อตั๋วที่หน้าทางเข้า ก็จะทำให้การตื่นเช้าของเราหมดความหมายไปซะดื้อๆ การที่เราเลือกจองบัตรจาก KLOOK มาก่อน แค่กดจอง https://www.klook.com/th/activity/835 จ่ายเงิน รอรับ QR code ในมือถือ แล้วก็ไปสแกนเข้าสวนสนุกได้เลย ยิ่งไปได้เช้า คิวเครื่องเล่นข้างในก็จะน้อยมาก โดยเฉพาะโซน The Wizarding World of Harry Potter นะฮะ
นั่นแหละที่แรกหลังจากเราเข้าไปแล้วก็คือ The Wizarding World of Harry Potter โลกของน้องแว่นแฮรี่ที่มีอยู่ไม่กี่สาขาทั่วโลกเท่านั้น โดยเครื่องเล่นของโซนนี้จะมีสองอย่างคือ Forbidden Journey 4D เครื่องที่สมมติให้เราเป็นหนึ่งในผู้ร่วมแข่งขันควิดดิช ตื่นเต้นกับผู้คุมวิญญาณที่บินร่อนไปมา ไม่รู้จะเข้ามาหาเราเมื่อไหร่ และ Flight of the Hippogriff รถไฟเหาะที่ให้เรารู้สึกเหมือนขี่เจ้าฮิปโปกริฟฟ์ทะยานผ่านป่าและทิวทัศน์ต่างๆ ให้พอเวียนหัวและเสียวท้องจนต้องมาตบ Butterbeer หวานๆ ซ่าๆ หอมคาราเมล พลางมองปราสาทฮอกวอตต์สะท้อนน้ำทำให้หายมึนไปได้ในพริบตา
จากโลกเวทมนต์ก็ยังไม่พร้อมที่จะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เราเลยไปย้อนอดีตสู่ยุคไดโนเสาร์ เมื่อ 65 ล้านปีของมนุษย์โลกจะกำเนิด ณ โซน Jurassic Park โซนที่จะพาเราย้อนเวลาไปยังยุคที่ผู้คุมคือนักล่าอันดุร้าย ตัวใหญ่โต พร้อมเขี้ยวที่แหลมคม ที่ไม่แน่พวกมันอาจจะหลงเหลือและหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นได้ โซนนี้มีเครื่องเล่นหลักด้วยกัน 2 เครื่องคือ Jurassic Park-The Ride เครื่องเล่นล่องแก่งที่กระชากใจเราไปได้หลายๆ ครั้งในรอบเดียว ที่แน่ๆ ใครก็ต้องประสบพบเจอคือความเปียกที่หนียังไง มุดยังไงก็ไม่พ้น เมื่อตัวชุ่มไปด้วยน้ำ เราก็ไปเป่าให้แห้งด้วยความเร็วกับ The Flying Dinosaur ที่ไม่ได้ให้เรานั่งเล่นเหมือนรถไฟเหาะ แต่ให้เรานอนคว่ำเสมือนว่าเราโดนนังนกนั้นจับเอาไว้ร่อนไปมา เสียวสุดจนลืมหายใจ คือเราไม่เห็นข้างหน้าแต่เห็นข้างล่างอะแก๊!! ถือเป็นเครื่องที่เรายกให้ว่าเสียวที่สุดใน USJ นี้เลย
กรี๊ดจนไส้แทบหลุด เพราะความหิวเลยหาของว่างที่ใครมาแล้วไม่ได้กินก็เหมือนกับยังมาไม่ถึง คือน่องไก่ยักษ์ที่ไม่รู้ว่าเลี้ยงยังไงได้น่องใหญ่ขนาดนี้ ยอมรับการอบของที่นี่ เขาทำได้หอมจริงๆ กับรสชาติเค็มๆ ที่ไม่ได้ว้าวววมาก แต่เนื้อไก่นุ่มแทะได้เพลินๆ เมนูนี้ชื่อว่า Turkey Leg ราคา 800 เยน ชิ้นเดียวอิ่มนิดๆ แบบเล่นเครื่องเล่นได้อีกสามเครื่อง
พักท้องด้วยการมาดูอะไรน่ารักๆ กับตัวการ์ตูนพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่เอาใจเราไปได้ทุกครั้งที่มีซีนในอนิเมชั่นเรื่อง “Despicable Me” กับโซน MINION PARK โซนคุมโทนน้ำเงินเหลือง เอกลักษณ์ของเจ้ามินเนียนสุดตุ๊บตั๊บน่ากอด เหมาะกับเด็กน้อย หรือคนชอบถ่ายรูปอย่างเรา โดยตั้งแต่ทางเข้าเราจะบ้านเหมือนในหนัง หมู่บ้านน่ารักในจินตนาการแสนสนุก เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของพวกเขาเลย
อากาศช่วงใบไม้ร่วงนี้ แม้จะไม่ได้เย็นอะไรมากมาย แต่ก็เย็นกำลังพอดี จะเหนื่อยขนาดไหนก็ไม่มีความรู้สึกอยากงอแงเลยสักนิด ความจริงอยากรีวิวให้ดูในทุกโซนที่เราไปนะ แต่ให้แกมาเห็นเองน่าจะตื่นเต้นกว่า เลยเลือกมาแค่ที่ชอบมากๆ ให้ดูเท่านี้พอ… ใครรู้สึกอ่อนล้า ไม่สดใสอยากปลุกพลังในตัวเอง ก็ลองตีตั๋วมาที่นี่กันเด้อ เพราะมีอีกหลายโซนกำลังรอแกอยู่
Day5 : Osaka City Tour
แป๊ปๆ ก็เข้าวันสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดของการมาเยือนแดนปลาดิบ เอ๊ะ.. พูดถึงปลาดิบเรายังไม่ได้กินกันเลยนี่ งั้นเช้านี้จะไปกินร้านซูชิเจ้าดังแห่งโอซาก้ากันเถอะ Endo Sushi Osaka ร้านที่มีตำนานยาวนามมากว่าร้อยปี เมนูของร้านจะมีทั้งหมด 4 เซตใหญ่ๆ ให้เราเลือก แต่ละเซตก็จะหน้าตาต่างกันไป ถ้าเราไม่กินอันไหนก็บอกเขาได้จะได้เปลี่ยนเป็นหน้าอื่น ส่วนรสชาติคือสมคำร่ำลือและสมกับที่มารอก่อนเปิดร้าน ปลาสดกรึบ หวานสดชื่นกับข้าวพอดีคำนุ่มๆ ไม่หวานไป ส่วนหอยเม่น เอาคะแนนเต็มไปเลย สิบ สิบ สิบ สดมาก กลิ่นดีไม่มีคาว หน้าแน่นพูนขึ้นมานอกสาหร่ายเลยอะแก พดได้สองคำหลังกินเสร็จ ไปลอง!!!
กินปลาอิ่มๆ ก็ไปเดินดูปลากันต่อที่ Osaka Aqurium Kaiyukan พิพิธภัณธ์สัตว์น้ำไคยูกังเป็นอีกจุดสุดป๊อปของโอซาก้า จนเราต้องจองตั๋วล่วงหน้าด้วย KLOOK https://www.klook.com/th/activity/598 มาเหมือนเดิม ไฮไลท์ของที่นี่คือการมีแท๊งก์น้ำอันยักษ์กลางตึกแล้วให้เราเดินวนจากข้างบนลงมาเรื่อยๆ สัตว์น้ำมากมายที่โบยบิน แหวกว่ายอย่างเป็นอิสระอยู่ในนั้น ปลากระเบน ฉลาม สัตว์ทะเลหลากหลายชนิด แต่ที่เป็นพระเอกของที่นี่คือเจ้าจุด วาฬลายจุดสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าจุดจะว่ายวนไปมาในนี้ ไปทักทายตามกระจกรอบๆ พิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้เรายังได้ตื่นตาตื่นใจกับการให้อาหารปลาจำนวนมากในโลกใต้น้ำนั้น ชมแมวน้ำว่ายวนอยู่ในโดมน้ำขนาดใหญ่ที่ในโลกที่อาร์กติกโซน, ฟังเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของนกแพนกวิ้นร็อคฮอปเปอร์ และอีกมากมายหลายโซนที่ทำให้ใช้เวลาอยู่ได้เป็นวันๆ แบบไม่เบื่อเลยจ้าทุกคน
ถ้าเดินๆ แล้วเมื่อย เราอยากให้แวะไปนั่งพักที่ Mermaid Cafe คาเฟ่ภายในอควาเรียมที่มีของกินเล่นให้เลือกพอกรุบกริบ ขนมที่อยากแนะนำก็คงเป็นสองเมนูสุดคิ้วท์อย่าง Whale Shark Soft Serve Ice Cream ( 400 เยน) ซอฟเสิร์ฟแบบสองสีที่หน้าตาเหมือนจะงง แต่รสชาติสุดแสนจะสดชื่น ทำไมต้องเป็นสีน้ำเงิน? เพราะพระเอกของที่นี่ ตัวสีน้ำเงินไง.. ใช่แล้ว!! นี่เป็นสีของน้องจุดของเราเอง ที่บอกว่ารสชาติสดชื่นก็เป็นเพราะนี่คือรสเลม่อนโซดาผสมรสวนิลลา โรยน้ำตาลให้เราเคี้ยวเล่นกรุบกรับด้วย ส่วนอีกเมนูก็คือ Jinbee Pan (430เยน) ขนมปังเมล่อนรูปฉลามวาฬรสคัสตาร์ดครีมแสนหวาน ปังเมล่อนกลิ่นหอม สัมผัสนุ่มกับรสคัสตาร์ดแทรกแบบหวานนิดๆ กับรอยยิ้มรสช็อคโกแลตของน้องวาฬ ควรค่าแก่การลิ้มลอง
ที่สุดท้ายที่เราอยากมาเช็กอินก่อนกลับก็คือ American Mura หมู่บ้านอเมริกันที่จะละลายทรัพย์ของเราไปด้วยฉายา Sibuya West ย่านผู้นำด้านแฟชั่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะชื่อหมู่บ้านอเมริกันไม่ได้ได้มาเพราะคนอเมริกาอยู่เยอะ แต่เป็นคลังสินค้าเก่าที่ส่งมาจากอเมริกาตั้งแต่ปี 1970 ต่างหาก เพราะฉะนั้นใครอยากแต่งตัวสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง ย่านนี้ก็มักจะมีของหายากขายอยู่เสมอ เพราะนอกจากร้านแบรนด์ต่างๆ แล้ว ของมือสองสวยๆ สภาพดี เขาก็มีอยู่มากเหมือนกัน ดังนั้นถ้าใครชอบเผลอใจต้องมนต์กับของหายาก อาจจะเสียทรัพย์กันได้ง่ายๆ เลยนะแก
นอกจากแฟชั่นชิคเกร๋มากมายแล้ว เรื่องของกินก็ไม่เป็นสองรองใครนะจ๊ะ อย่างชาไข่มุก Sin an ju ชาไข่มุกบราวชูการ์หวานหอม โลโก้ม้าน้ำที่อร่อยจนสาวกชานมจะต้องตามมากินกันให้ได้เพราะไข่มุกของเขาเด้งๆ กรุบๆ สดใหม่ทุกวัน หรือจะเป็น Long Soft Cream ซอฟไอศกรีมรสวนิลลาอันยาวถึง 40 ซม. ที่ยาวจนต้องให้เพื่อนช่วยถือ ถ้ากลัวเสียวฟันก็มี Sekaide Nibanmeni Oishi MelonPan ICE เมล่อนปังยอดนิยมที่เขาการันตีจากชื่อร้านว่าอร่อยเป็นที่ 2 ของโลก(เพราะที่ 1 คือคนสอนเขาไง) มั่นใจขนาดนี้ก็ต้องลองกันหน่อยปะละ? ใครเน้นถ่ายรูปสวยๆ แม้ขนมนั้นจะธรรมดามากก็ตาม ลองร้าน Totti Candy Factory ร้านขายลูกอมที่มีสายไหมฟูๆ เสียบไม้ขายด้วย ที่นี่เขาไม่ธรรมดาตรงที่สายไหมเขาปั่นเป็นทรงใหญ่มากก ทรงเหมือนลูกข่างไล่เป็นสามสี ทำให้อวดรูปเพื่อนได้ใสๆ เลยแก
เป็นยังไงบ้างกับแพลนเที่ยวดูใบไม้เปลี่ยนสีเส้นทาง Takayama – Shirakawa-go – Kamikochi – Osaka แต่ละที่ที่เราพาไปแม้จะอยู่ในฤดูเดียวกันแต่เสน่ห์มันต่างกันมากเลยใช่มั้ย? นี่แหละคือเวทมนต์ของการท่องเที่ยวที่ทำให้เราหลงไหลชวนเคลิ้มไปกับมัน แต่ถ้าต้องมาสะดุดเพราะการต่อคิว ตั๋วเต็ม เวลาไม่พอ มันก็คงจะให้เราหมดสนุกไปอีกเยอะ เห็นมั้ย.. การวางแผนที่ดีมันทำให้เราเที่ยวได้เป๊ะมากขนาดไหน ทางไหนที่ประหยัดเวลา หลีกหลี่ยงการต่อแถวแบบไม่เบียดเบียนใครก็ควรจะทำนะ เอาเวลาไปเดินสวยๆ ถ่ายรูปเก๋ๆ ได้อีกเป็นอัลบั้มด้วย เพราะทุกอย่างเราจัดการจองล่วงหน้าจากไทยด้วย KLOOK มาแทบทั้งหมด หลายปีมานี้เราเที่ยวมาก็มาก พลาดมาก็เยอะ ไม่อยากให้พวกแกเที่ยวแบบพลาดๆ เหมือนเราเมื่อก่อน เวลาเจออะไรดีๆ เลยชอบแนะนำแบบนี้ไง ใบไม้ร่วงปีนี้ขอให้เที่ยวอย่างสนุกสนานกันนะทุกคน 🙂