ในแต่ละสัปดาห์เราก้มหน้าก้มตาทำงานจนออฟฟิศซินโดรมแทบจะถามหา แต่พอถึงเวลาพักผ่อนกลับไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนดี แม้ว่าใจจะอยากเดินเล่นให้พอยืดเส้นยืดสายเรื่อยเปื่อย อยากออกไปถ่ายรูป ไปกินอาหารใหม่ๆ แต่สุดท้ายจบลงที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง รู้ตัวอีกทีคือเที่ยงวันอาทิตย์!!! อ่ะ ไม่ต้องร้องไห้ เพราะปัญหานี้แก้ได้ง่ายเพียงก้าวเดียว แค่ก้าวออกจากบ้านแล้วตามมา เราจะพาพวกแกไปป่วนมาเก๊า เดินทางราคาเบาๆ เข้าออกง่ายไม่ต้องขอวีซ่า ข้าวปลาอาหารครบครัน มุมถ่ายรูปแบบชิคๆ ที่ไม่เหมือนใครเพียบ จุดเช็คพ้อยแน่น แต่เดินทางสะดวกบวกใช้เวลาสั้นๆ แล้วจะรู้ว่าบนเขตบริหารพิเศษบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ จะเที่ยว จะกิน จะช้อป ก็ทำได้แบบเน้นๆ จัดเต็มไม่มีอวยเกินจริง!!! ออกไปรับความสุขสันต์ หรรษา เฮฮาแบบครบเครื่อง ที่มาเก๊าพร้อมเก๊ากันได้เลย
Fly with AirAsia to Macao
บุญหล่นทับยิ่งว่าบุญปลูกได้เฮียตงก็คือเวลาบินตรงดอนเมืองสู่มาเก๊าที่แสนดีจากแอร์เอเชียที่มีให้เลือกถึงสี่เที่ยวบินต่อวัน จุกๆ แน่นๆ มีเวลาดีๆ ให้เราเลือกได้ตามใจอยาก ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัดก็สะดวกเพราะมีบินตรงทั้งจากภูเก็ต กระบี่ อู่ตะเภา เชียงใหม่ และใหม่ล่าสุดเชียงราย แนะนำอีกนิดว่าตอนจองตั๋วอย่าลืมกดเลือก แพ็กสุดคุ้ม เข้าไปด้วยล่ะ จะได้โหลดกระเป๋าพร้อมพร้อบแบบสวยๆ แล้วเดินขึ้นเครื่องไปนั่งไขว่ห้างแสนเก๋บนที่นั่งที่เราเลือกเองตามใจ รอรับประทานอาหารให้อิ่มหนำจะได้ไม่เสียเวลาไปทานมื้อเช้าอีกรอบ จิบน้ำดับกระหาย แล้วเติมหน้าให้ฉ่ำอีกนิด ยังไม่ทันถึงสามชั่วโมงดีก็จะได้เดินลงกลางมาเก๊า เก็บกระเป๋าแล้วเที่ยวต่อได้ทันที แถมแพ็กนี้เค้ามีประกันคอยคุ้มครอง ครบครัน คุ้มค่าถูกกว่าจองแยกถึง 20% คุ้มจุก!!!
001 หมู่บ้านไทปา (Taipa Village)
หลังจากเข้าห้องพักไปเก็บกระเป๋า เช็คความน่ารักของตัวเองเบาๆ เราก็พร้อมเริ่มต้นทริปที่รับรองความจุก ทั้งอิ่มจุก รูปจุกกันที่ หมู่บ้านไทปา (Taipa Village) หมู่บ้านเก่าแก่ที่ถูกอนุรักษ์วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางเกาะไทปาทำให้บ้านเรือนส่วนมากของหมู่บ้านนี้มีสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียนและมีสีสันพาสเทลเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าสดใสแบบเกินเบอร์มาก ถ้าเล่นบอลลูนสีคือต้องชนะ ต้องยืนหนึ่งแน่นอนหมู่บ้านนี้ ดังนั้นเตรียมตัวหาพร้อบและจัดเสื้อผ้าให้พร้อมถ้าอยากสดใสฟาดๆ แข่งกับตึกก็จัดสีสไตล์เรณูมาได้เลย แต่ถ้าอยากได้ลุคคุณหนูหวานใสก็ให้ใส่สีเอิร์ธโทน แต่งหน้าใสๆ ผมยุ่งแบบไม่ตั้งใจ เหมือนเกิดมาพร้อมกับความสวยที่ธรรมชาติมอบให้ แต่ในใจคือฆ่าใครได้ฆ่า เพราะแค่ที่นี่แกก็สามารถมีรูปไว้ลงโซเชียลยาวไปทั้งปีได้แล้ว
002 ถนนคูนา (Cunha Street, Rua do Cunha)
แม้เขตหมู่บ้านจะมีหลายจุดให้เดินเล่น ต่ที่ชอบสุดไรสุดของหมู่บ้านไทปาเราขอยกให้ ถนนสายอาหาร (Taipa Food Street) บนตรอกเล็กๆ ที่ชื่อว่าถนน Rua do Cunha เพราะแน่นไปด้วยอาหารจีนทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ มีทั้งร้านอาหารและสตรีทฟู๊ดชิคๆ อยู่มากมาย จะหาของฝาก ขนมนมเนย ของกินเล่น กินจริงก็มีให้เลือกแบบจุกๆ นอกจากนี้ที่ปากซอยและท้ายซอยก็ยังมีสรีทอาร์ตเก๋ๆ ให้เดินชมเล่นๆ อยู่หลายภาพ เรียกว่าเดินเพลิน กินเพลิน ถ่ายรูปเพลินกันไปเลย ครบราวกับกาแฟ 3 in 1 ชั้นยอดเลยจ้า
003 Sei Kee Cafe’
ที่ต่อไปต้องเอาปากกามาไฮไลท์ใส่ดอกจันทร์แปดสิบดอก เพราะนี่คือความจัดจ้านในย่านไทปา Sei Kee Cafe’ ร้านคาเฟ่สไตล์โบราณที่เปิดบริการมานานกว่า 50 ปี เสิร์ฺฟความอร่อยแบบจุกๆ จากหมูทอดชิ้นโต ไข่กวนเนื้อนุ่น ขนมปังหนาๆ ให้ฟีลแบบเบอร์เกอร์แต่เป็นเบอร์เกอร์ไส้หมูทอดไข่กวน แล้วทานคู่กับกาแฟที่ต้มในหม้อดิน หรือชานม คือโดนมากกกกก ถูกปาก ถูกใจเว่อร์วัง จดเข้าเช็คลิสต์ร้านอาหารที่ต้องกลับมากินซ้ำเป็นที่เรียบร้อย
004 หมู่บ้านโคโลอาน Coloane village
จากหมู่บ้านไทปานั่งรถเมล์กินลมชมวิวข้างทางเรื่อยๆ แป๊บเดียวเราก็มาโผล่กันที่ Coloane village หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลทางตอนใต้สุดของมาเก๊าที่แสนเงียบสงบ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่ถูกอนุรักษ์ให้เป็นแบบดั้งเดิม เราจึงสามารถเดินเลียบเลทอดน่อง ชมวิว ถ่ายรูปได้แบบชิวๆ ตลอดเส้นทาง และอย่าลืมแวะ Chapel of St. Francis Xavier โบสถ์สีเหลืองอ่อนที่มีประตูสีเขียวเข้มตัดด้วยขอบขาวตามสไตล์บาร๊อคเหมือนโบสถ์เซนดอมินิคที่เราไปเมื่อวานนี้แต่เล็กกว่าด้วยล่ะ เพราะด้านมีแท่นบูชาอายุหลายสิบปีให้ชม แถมใกล้ๆ กันก็ยังมีกำแพงสีพาสเทลสุดชิคจุดเช็คพ้อยของเหล่า Instagrammer ที่เราเห็นกันบ่อยๆ อยู่ด้วยจ้า สับขาตามมาแล้วโพสท่าแซ่บๆ ได้เลยจ้า
005 Load Stow Bakery
อีกหนึ่งเมนูสุดขึ้นชื่อของมาเก๊าที่ถ้าไม่พูดถึงคงแปลกๆ ก็คือทาร์ตไข่ และเจ้าที่ดังเป็นอันดับต้นๆ ก็ต้องยกให้ Load Stow Bakery ร้านขนมตะวันตกร้านแรกในย่านนี้ที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคที่เปิดจนขยายสาขาอยู่ทั่วมาเก๊าในทุกวันนี้ แต่สาขานี้ที่เรามามันเด็ดกว่าเพราะว่ามันคือสาขาต้นตำหรับนั่นเองจ้า ถึงแม้รสชาติจะเหมือนกันแต่การได้มากินจากต้นกำเนิดมันก็ทำให้เราแอบรู้สึกเลิศๆ เชิดๆ มีเรื่องมาเล่าได้อีกสักโพสเลยล่ะ ส่วนรสชาติต้องบอกว่าขนมที่อบใหม่ปกติมันก็อร่อยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นทาร์ตเจ้านี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหอม มัน ของไข่ เนย นม และน้ำตาล คือแบบยอมแล้วจ้าาาา ยอมอ้วนแล้วจ้า เอามาอีกชิ้นเดี๋ยวนี้
นอกจากจะซื้อใส่กล่องกลับไปกินได้แล้ว เดินถัดไปอีกหน่อยก็จะเจอทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ในชื่อเท่ๆ แบบเดียวกันว่า lod stow’s ให้เราได้นั่งลิ้มรสทาร์ตไข่กันแบบเพลินๆ พร้อมเครื่องดื่ม และอาหารคาวหวานแบบชิวๆ กินนมชมวิวดูนักท่องเที่ยวเดินเข้าออกร้านก็เพลินดีจ้า
006 ไอศครีมแซนด์วิชโบราณที่ Lai Kei Ice-Cream
กิน กิน กิน และกิน แต่อย่าเพิ่มรีบอิ่มหรือท้อถอยเพราะเรายังต้องไปต่อกันที่ Lai Kei Ice-Cream ร้านไอศกรีมสไตล์ย้อนยุคที่มอบความสดชื่นมากว่า 70 ปี และยังคงความดั้งเดิมตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้านจนถึงทายาทรุ่นที่สามในปัจจุบันไว้แทบจะครบถ้วนสมบูรณ์ ในเรื่องความอร่อยสำหรับเราต้องบอกว่ามันไม่ได้โดดเด่นเท่าไอศกรีมสมัยใหม่ที่มีทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ มาผสานในรสชาติ แต่มันเป็นรสธรรมดาที่ทำให้เราย้อนกลับไปในอดีตผ่านเนื้อไอศกรีมสีเหลืองนวลนั้นในทุกคำ มุมต่างๆ ในร้านก็เก๋ไก๋ถ่ายรูปสไตล์วินเทจได้แบบเรียลๆ ไม่แปลกใจเลยที่เรายังเห็นคนเดินเข้าออกร้านนี้ตลอดเวลา
007 Single Origin – Pour Over and Espresso Bar
จากคาเฟ่โบราณมาต่อกันที่ Single Origin – Pour Over and Espresso Bar ร้านคาเฟ่สองชั้นเล็กๆ อยู่ริมหัวมุมถนน ตกแต่งด้วยโทนขาวดำ เรียบๆ แต่ดูดีจากการเลือกแมทช์กับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม เครื่องชงกาแฟสีเงินที่เงาวิบวับ ทำให้ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่ลงตัว มันจึงเชิญชวนคนผ่านไปมาให้แวะเข้ามาดื่มกิน นั่งพัก อ่านหนังสือ อัพรูป ถ่ายรูปได้แทบตลอดเวลา
กาแฟนุ่มอร่อย เย็นก็สดชื่น ร้อนก็ละมุน ได้เค้กสักชิ้นกินคู่กันยิ่งเพลินๆ เวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศเรารู้สึกว่าการได้นั่งในคาเฟ่นิ่งๆ ชิวๆ ฟังเพลงเพลินๆ สังเกตุผู้คนที่ผ่านไปมาทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว พร้อมๆ กับการดื่มกาแฟไปด้วยคือกิจกรรมโปรดสุดชิวที่ทำให้เราหลงไหลการนั่งในคาเฟ่แบบถอนตัวไม่ขึ้น
008 Common Room
ท้ายสุดสุดท้าย เราขอจบวันแรกด้วยอีกหนึ่งร้านกาแฟที่ละมุนมากๆ อย่าง Common Room ร้านสีขาวล้วนที่ไม่มีอะไรจะใช้บรรยายแทนได้เท่ากับคำว่าสวยละมุนไม่ต่างจากกาแฟที่เค้าเสิร์ฟเลย ที่นี่เป็นร้านสองชั้น เน้นความโล่ง และเรียบง่าย แต่ในความง่ายล้วนใส่ดีเทลของไม้เนื้ออ่อนแทรกอยู่ ทำให้เราอยากจะปรับเวลาให้ช้าลงสักนิดเราจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเล่มโปรดในบรรยากาศดีๆ แบบนี้ได้นานขึ้นอีกหน่อย
009 จัตุรัสเซนาโด (Senado Square)
ตัดภาพมาวันที่สอง … ตื่นเช้ามาแต่งตัว จัดชุด เดินออกจากห้องพร้อมหน้าฉ่ำวาวยิ่งกว่าสาวเกาหลี อารมณ์ก็ดี๊ดีที่ได้เที่ยว เราก็พร้อมออกลุยกันต่อ เพราะความอลังของมาเก๊าจะทำให้เราได้รูปไว้อัพสเตตัสอีกล้านแปด เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เริ่ม!! ไปตะลุยโลเคชั่นแรกของวันนี้กันแบบสบายๆ ที่ Senado Square 1 ใน 4 จตุรัสที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของมาเก๊า และเป็นจตุรัสที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนาจาาาา เข้ามาปุ้บบอกเลยว่าเหมือนหลุดมาอยู่ยุโรปเลยแก๊ ตึกรามบ้านช่องห้องหับล้วนได้รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกส มันจึงเหมาะแก่การมาเดินเล่นถ่ายรูปวนไปด้วยการแต่งกายสไตล์ยุโรปเป็นที่สุด!!! แม้หน้าจะออกไปทางแต้จิ๋วก็ตามที
010 Wong Chi Kei
เช้าๆ แบบนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เราจึงต้องกวาดสายตามองหา Wong Chi Kei ร้านในตำนานของย่านนี้ ที่เป็นตำนานมากว่า 60 ปี โดยเมนูเด็ดที่ห้ามพลาดของร้านนี้ก็คือเมนูเกี๊ยว และเหล่าบะหมี่ทั้งหลาย เพราะเจ้าของร้านเค้าได้เรียนการทำบะหมี่มาจาก Hua Yuan ปรมาจารย์ทางด้านบะหมี่ของจีนอยู่หลายปี ก่อนแยกตัวออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเองจนดังเปรี้ยงปร้างมาจนถึงทุกวันนี้
แม้จะเป็นคนหัวแข็งแต่เรื่องกินมักอ่อนแอแพ้ให้กับคำว่าเมนูแนะนำทุกทีไป เลยจัดเมนูแนะนำมาแบบเน้นๆ สามจาน ไม่ว่าจะเป็นบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่อร่อยพุ่งเหมือนมีรุ้งออกจากปาก เส้นเหนียวนุ่มหนึบ ที่รูดผ่านน้ำซุปใสๆ เค็มๆ หอมๆ มันช่างชวนให้กินแล้วกินอีก ยิ่งพอตามด้วยเกี๊ยวกุ้งชิ้นโตเนื้อสดเด้งบอกเลยว่าน้ำตาจะไหล จานต่อไปคือเส้นหมี่เนื้อตุ๋น น้ำซุปอุ่นๆ เนื้อตุ๋นนุ่มๆ ชิ้นโต คืออาหารจานโปรดที่จะต้องโกรธตัวเองแน่ๆ ถ้าลืมสั่ง และปิดจ๊อบที่เกี๊ยวกุ้งทอดที่อร่อยที่สุดในชีวิตการเป็นมนุษย์ที่ได้กินเกี๊ยวมา คือแป้งรอบนอกกรอบบางเหมือนเป็นกำแพงห่อหุ้มกุ้งตัวโตให้ยังคงความชุ่มฉ่ำและรสที่สดใหม่ได้แบบเข้ากันมากกก จนเรากับเพื่อนได้แต่บอกหน้ากันว่าเฮ้ย แกคิดเหมือนชั้นรึเปล่าบี1 เราควรบินกลับมากินมันอีกให้ได้ในคราวหน้าเลยนะบี2 กระนั้นก็ดีคำว่าอร่อยสุดๆ ของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกันอ่ะเนอะ เราก็อยากให้พวกแกมาทดลองกันเองว่าชอบไม่ชอบ แต่เอาเป็นว่าถ้าถามเราคือชอบมากชอบที่สุดชอบแบบถ้าเป็นผู้หญิงจะให้แม่ไปขอ เว่อร์ไป ฮ่าาา
011 โบสถ์เซนต์โดมินิก (St. Dominic’s Church)
อิ่มฟินส์จนถึงคอหอย เราก็ต้องออกมาเดินย่อยเบาๆ เพื่อไปยังจุดหมายหลักถัดไปที่อยู่ใกล้แบบนิสสสสสเดียว นั่นก็คือ โบสถ์เซนต์โดมินิก (St. Dominic’s Church) โบสถ์สีเหลืองอร่ามเรืองรองที่ตัดกับประตูเขียวหัวเป็ดและเสริมด้วยขอบขาวสไตล์บาร๊อคที่ผสมสไตล์โปรตุเกสและสเปนเข้าด้วยกัน มองผ่านๆ ยังรู้ว่าไม่ธรรมดา พออ่านประวัติก็ไม่ธรรมดาจริงครับท่านผู้ชม เพราะมันเป็นโบสถ์เก่าแก่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และยังเป็นโรงพิมพ์ที่ทำการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาษาโปรตุเกตฉบับแรกบนแผ่นดินจีนอีกด้วย รู้อย่างนี้มีหรอที่เราจะรอช้า เดินหน้าถอยหลังหามุมแจ่มๆ เก็บภาพหน้าโบสถ์แบบเต็มๆ สักสองสามมุม
แล้วไหลตามคนเข้าไปชมด้านในที่ชวนตะลึงไม่แพ้ด้านนอก ห้องโถงใหญ่แรกที่เราเข้ามาเจอเป็นแท่นประกอบพิธีมิสซา มีรูปปั้นแม่พระอยู่ตรงกลาง โดยจะจัดงานเลดี้ฟาติมาในวันที่ 13 พค. ของทุกปี เดินถัดไปเรื่อยๆ เราจะได้เจอกับพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาไว้บริเวณหอนาฬิกาเก่า ซึ่งขนาดเราที่ไม่ได้อินกับเรื่องราวของศาสนาแต่หัวใจอันเปี่ยมไปด้วยศิลปะก็บอกให้เรารู้ว่าผลงานแต่ละชิ้นช่างละเอียดอ่อนและมีคุณค่ามากมายอย่างแน่นอน
012 ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s)
ไม่รอช้าเราไปต่อกันที่อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เป็นหน้าเป็นตาของมาเก๊าชนิดที่ถ้าไม่มาที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงมาเก๊าเลยล่ะ นั่นก็คือ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s) ซากปรักหักพังสีเทาสุดอลังการนี้มีอายุกว่าสี่ร้อยปี แต่เพราะโดนไฟไหม้คลายครั้งหลายคราจนหลงเหลือมาเพียงซากประตูทางเข้าและบันไดทางขึ้น!!!! ใช่แก ที่เห็นว่าใหญ่โตขนาดนี้มันแค่ประตูเท่านั้น เดินๆ ถ่ายรูปไปพลางนึกไปว่าถ้ายังอยู่ครบทั้งโบสถ์ที่นี่คงสวยงามเกินบรรยายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ต้องเสียใจไป เพราะแค่ประตูก็ทำเอาคนที่ได้เห็นหลงไหลกันเป็นแถบๆ แล้วจ้า ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงเห็นผู้คนมากมายมาถ่ายรูปคู่กับประตูศักดิ์สิทธิ์บานนี้กันรอบด้านของกำแพง
สายโซเชียลผู้ยืนหนึ่งในบ้านแบ้จะมาแพ้นักท่องเที่ยวหลายสิบคนที่นี่ไม่ได้ สับไปจ้า มีขาก็สับไป เดินหามุมรอบนอกวนไป แนะนำให้สับมาทางด้านขวาของโบสถ์ มันจะมีเนินให้เราเดินขึ้นมา ก็อย่าขี้เกียจจ่ะ พาตัวเองมาจากบ้านแบ้แล้ว พาตัวเองขึ้นไปอีกนิด ถ้าเหนื่อยให้นึกหน้าอีพิไลตอนยังไม่สำนึกผิดไว้ จะได้มีแรงสับขามานั่งโพสท่าเท่ๆ แอ็คติ้งเก๋ๆ ว่าเฮ้ยไม่ได้สนใจจะถ่ายรูปเลยจริ๊งจริ๊งงง แค่บังเอิญมานั่งเล่นมาเดินเล่นแล้วเจออีกหนึ่งมุมปั๊วๆ ของแลนด์มาร์คแบบงงๆ สงสัยกรรมดีเพราะมีอาซาเป็นต้นแบบเท่านั้นเอ๊งแกร๊
013 Love Street
จากนั้นเราก็เดินไปต่อกันที่ Love Street ถนนสายสั้นๆ ที่เป็นสวรรค์ของชาวพาสเทล เพราะสีสันในย่านนี้ช่างน่ารักน่าชัง หวานจ๊อยราวนมชมพูเย็นที่ดื่มพร้อมกับคนที่เราแอบชอบเลยล่ะ มาถึงตรงนี้แนะนำให้ยิ้มหวานๆ ใส่กล้องสองสามที เพื่อความใสๆ แบบที่วัยรุ่นชอบกัน หรือจะเดินไปซื้อไอศกรีมโคนที่หัวมุมถนนมาเป็นพร้อบก็น่ารักน่าหยิกขึ้นอีกไม่น้อย และใครที่เป็นสายภาพยนตร์ก็สามารถแวะเข้าไปในตัวตึกสีชมพูนี้ได้ด้วย เพราะมันคือโรงหนังท้องถิ่นที่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับภาพยนตร์ไว้จ้า
014 Pace Coffee
ชิคต่อไม่รอแล้วนะ ต้องยอมรับว่ามาเก๊าคือตัวจริงในเรื่องของความชิค และความคลาสสิค เพราะเค้าจะนำตึกเก่าๆ มาปรับปรุงใหม่เป็นร้านคาเฟ่สุดยูนีค มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปหลายมุม และร้านที่เราอยากนำเสนอก็คือ Pace Coffee คาเฟ่ที่อยู่ในตรอก Guanqian ถนนสายคลาสสิคที่เต็มไปด้วยอาคารแบบดั้งเดิมที่ถูกอนุรักษ์ไว้ โดยร้านนี้ได้เปลี่ยนภายในให้เข้ากับยุคสมัยด้วยโทนสีขาวสลับไม้สีอ่อน เน้นความเรียบง่าย น้อยแต่ละเอียดในดีเทลที่สังเกตได้จากโลโก้ของร้าน แต่ก็ยังคงความเป็นหนึ่งเดียวกับความดั้งเดิมอยู่ด้วย เพื่อให้มันเป็น Pace หรือก้าวเดินที่จะนำส่งอดีตที่แสนคลาสสิคให้ก้าวเชื่อมต่อไปยังความทันสมัยของภายนอก บวกกับรสชาติกาแฟที่ละมุนแล้วล่ะก็ บอกได้คำเดียวเลยว่าเคลิ้ม โดนใจสายกาแฟแนวคราฟต์แน่นอน
015 ถนนสายความสุข (Happiness Street / Rua da Felicidade)
เวลาเดินเร็วจนมาถึงจุดหมายท้ายสุดแต่ไม่สุดท้าย ณ จุดเช็คอิน ถนนสายความสุข (Happiness Street / Rua da Felicidade) ย่านเมืองเก่าที่เร้าใจจากสถาปัตยกรรมขาวแดงแบบโบราณที่ชวนให้เราเดินเข้าหาเวลาในอดีตและเก็บภาพไว้ลงในรูปปัจจุบันแบบชิคๆ มุมนี้ถ้าอยากได้จังหวะคนน้อยๆ โล่งๆ แนะนำให้มาเช้าหน่อย แต่ถ้าอยากได้ความคึกคัก ผู้คน ร้านรวง ให้ดูมีชีวิตชีวาก็ให้มาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แบบเรานี่ล่ะ จะได้ฟีลแบบเก๋ๆ ยืนหนึ่งท่ามกลางผู้คนมากมายอะไรแบบนี้ โพสต์ท่าถ่ายรูปเสร็จถ้าท้องว่างเค้าก็ยังมี option ร้านอาหารโปรตุเกสเก๋ๆ อยู่หลายร้าน แถมมีติ่มซำระดับมิชลินชื่อดังอย่าง Tou Tou Koi อยู่ไม่ไกลด้วย มาที่เดียวได้ทั้งรูปสวยๆ และอิ่มเพลินพุง เป็นการวางจุดเกือบปิดทริปที่ทำให้เราแฮปปี้ตามชื่อถนนได้ดีจริงๆ
016 Chan Kong Kei
ปิดท้ายทริปหลังจากเดินเล่นเดินชิวใช้เวลาทอดน่องชมเมือง ก่อนกลับโรงแรมไปลากกระเป๋าเข้าแอร์พอร์ตเราก็ไปฝากท้องกันที่ Chan Kong Kei ร้านสุดโด่งดังที่ติดอันดับ 1 ใน 8 ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ในฮ่องกงและมาเก๊า ที่เปิดบริการมากว่า 60 ปี อาหารตัวท้อปที่ป้อบแบบพลาดไม่ได้คือเหล่าของย่างสไตล์แคนโตนิสทั้งเป็ด หมู เนื้อ จะกินเดี่ยวหรือกินคู่กับเส้นหมี่ ข้าวสวย ก็นับว่าอร่อยเด็ดแบบเลิฟๆ เป็ดหนังกรอบเนื้อนุ่ม ไก่ผิวชุ่มนุ่มลิ้น ทุกจานน้ำราดจะเค็มๆ หน่อยแต่อร่อยแบบโคตรเพลิน ขนาดผัดยอดผักซอสหอยก็ยังเด็ดสมรางวัลมิชลินสตาร์จริงๆ แก จนอยากจะร้องออกมาว่า แม่ชั้นต้องได้กินเป็ดย่าง!!!! และพบกันใหม่เพราะนายแจ่มมาก!!
เผลอแปบเดียวก็จบทริปแบบฉ่ำๆ จุกๆ ครบเครื่องครบรสจนอดไม่ได้ที่จะต้องเอามาเล่าต่อแบบพอกรุบกริบ เพราะจริงๆ มาเก๊ายังมีที่เที่ยว ที่กิน ที่ช้อป ที่ถ่ายรูปอยู่อีกเยอะมากกกกกกก เราเลยบอกได้คำเดียวเลยว่ามาเก๊านายเก๋ามาก นายคือความคลาสสิคที่ทันสมัย คือแผ่นดินใหญ่ที่น่าค้นหา คือที่ที่ทำให้การเดินทางโคตรคุ้มค่า คือที่ที่ทำให้เรามีแรงกลับมาทำงานหาเงินเที่ยวต่อ คือที่ที่บอกได้เลยว่า “ต้องไป” จริงๆ ตอนนี้เราว่าพวกแกคงเปลี่ยนความคิดที่ว่ามาเก๊าเล็ก เงียบ และไม่มีอะไรออกไปให้หมดได้แล้ว อ้าว!!!! จะรออะไรกันอีกล่ะ รีบแท็กแฟน ชวนเพื่อน ออกไปสับขาโพสท่าปังๆ ออกไปชิมอาหารที่แปลกใหม่ บิ้วท์กันขนาดนี้ … ไม่ไปได้หรอ