ประเทศไทยสวยทุกที่เท่ทุกเวลาเราขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง!! อย่างล่าสุดเรามีโอกาสได้ไปเที่ยว “จังหวัดสระแก้ว” เมืองรองที่อยู่สุดแคว้นแดนบูรพา ความสวยงามที่ถูกมองข้ามไปแห่งภาคตะวันออก แหล่งของดีของเด็ดไม่แพ้เมืองอื่นๆ แถมเดินทางง่ายๆ ใกล้กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะได้ไปสัมผัสโอโซนสูดอากาศบริสุทธิ์ไร้ฝุ่นไร้ควันให้ฉ่ำใจ ชมต้นธรรมชาติเขียวๆ เที่ยวได้แบบครบรส ไม่มีกั๊ก และไม่ซ้ำใคร เพราะทริปนี้เราจะขอมาเปิดเผยมุมเด็ดๆ ให้ทุกคนได้รู้กัน บอกเลยว่างานนี้ลับเฉพาะคนรู้ใจถ่ายรูปเช็คอินไปเมื่อไหร่ต้องมีคนเม้นถามว่าที่นี่ที่ไหนแน่นอน!! เพราะงั้นรีบตามอ่านแล้วแชร์ให้ไวกับ 8 โลเคชั่นเด็ดที่เก็บได้ภายใน 2 วัน 1 คืน
01 :: อุทยานแห่งชาติปางสีดา และน้ำตกปางสีดา
เช้าตรู่วันเดินทางร่างกายสดใสหัวใจสี่ดวง เผลอแปบเดียวเวลาผ่านไปไวกว่าขับรถข้ามแยกลาดพร้าวซะอีก เพียงสามชั่วโมงเราก็มาถึงตัวเมืองสระแก้ว อู้หูววว บอกเลยว่าขนลุกตั้งแต่ทางเข้ากับสโลแกนที่รอต้อนรับว่า “ชายแดนเบื้องบูรพา ป่างามน้ำตกสวย มากด้วยอารยธรรมโบราณ ย่านการค้าไทยเขมร” แค่นี้ก็รู้สึกถึงความงามละจ้า ใครจะรอช้าเรารีบมุ่งหน้าไปจุดหมายแรกตามคำขวัญที่อุทยานแห่งชาติปางสีดาอุทยานที่ครอบคลุมถึงสองจังหวัดคือสระแก้วและปราจีนบุรี แหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ สัตว์ป่าหายาก ไม่ว่าจะเป็นช้างป่า กระทิง วัวแดง รวมถึงน้ำตกปางสีดาไฮไลท์ที่มาแล้วห้ามพลาดเพราะมันคือน้ำตกขนาดหย่ายยยยที่สูงถึง 8 เมตร งานนี้อยากจะเตรียมชุดมาว่ายน้ำก็สุดสดชื่น หรือแต่งตัวสวยๆ มาแช่เท้าให้น้ำกระเซ็นโดนหน้าพอสวยสวยก็ฟิน
นอกจากจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องความสวยงามของน้ำตกแล้ว ไฮไลท์หลักอีกอย่างหนึ่งของอุทยานแห่งชาติปางสีดาที่ใครใครก็ต้องมารอชม นั่นก็คือเหล่าหมู่มวลผีเสื้อที่มีอยู่มากกว่า 400 ชนิด นับ 10,000 ตัวที่ต่างพร้อมใจกันลงมาเริงระบำยั่วใจนักท่องเที่ยวและเหล่าช่างภาพบริเวณดินโป่ง ที่เป็นแหล่งอาหารของผีเสื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีผีเสื้อให้เราชมมากที่สุด แต่หากใครพลาดโอกาสนั้นไปก็ไม่ต้องถึงกับเสียใจตีอกชกหัว เพราะว่าที่นี่มีผีเสื้อให้ชมได้ตลอดทั้งปี แต่อาจะเจอไม่เยอะเท่าช่วงพีค ดังนั้นรับรองได้ว่างานนี้ไม่มีนกจ้า
02 :: โรงเรียนกาสรกสิวิทย์
ชมเหล่าผีเสื้อน้อยบินวนในอุทยานไปแล้ว ก็มาเที่ยวทุ่งดูเจ้าทุยไถนากันต่อที่โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ โรงเรียนที่สอนทั้งคนทั้งควายให้รู้จักวัฒนธรรมการเกษตรท้องถิ่นและภูมิปัญญาแบบชาวบ้าน สอนให้เรารู้จักการใช้ชีวิตที่พอเพียง ที่นี่มีกิจกรรมให้เราได้ลงมือทำมากมาย แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดของเรานั้น เราเลยเลือกทำบ้านดินและลองขี่ควายครั้งแรกในชีวิตดู บอกเลยว่าตื่นเต้นพอๆ กับขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเลยจ้า เพราะเจ้าควายที่เขานำมาให้เราขี่ก็ไม่ใช่ควายสีดำธรรมดาทั่วไป แต่เป็นควายเผือกที่หาได้ยากและยังเป็นควายเผือกทรงเลี้ยงที่มีชื่อจริงว่าคุณตะเภาทองและมีชื่อเล่นว่าคุณเผือก ซึ่งนอกจากเราจะได้เห็นความน่ารักและวิถีชีวิตของเหล่าผู้ช่วยกระดูกสันหลังของชาติแล้วเรายังได้เรียนรู้การทำเกษตรรูปแบบต่างๆ จากแปลงสาธิต รวมถึงนิทรรศการเครื่องทำนาดังเดิมเป็นครั้งแรก จนเราเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงบอกเราว่าข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างอย่ากินทิ้งขว้างเพราะมันเป็นของมีค่า
พอเรียนรู้เรื่องการเกษตรแบบคร่าวๆ และเดินเล่นกับคุณเผือกจนเหงื่อแอบตกไปสองกะละมัง เราก็มูฟไปทำอีกหนึ่งกิจกรรมพี่ได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอันดับต้นๆ นั่นก็คือการปั้นบ้านดิน ซึ่งตอนแรกที่เราฟังจากชื่อยังแอบคิดว่ามันคงจะไม่ได้คงทนสักเท่าไหร่ แต่ระหว่างที่กำลังลองทำไปเรื่อยๆ นั้นพี่คนสอนก็ได้บอกกับเราว่าบ้านดินที่เรากำลังทำอยู่นี้สามารถอยู่ได้จริงๆ และมีความคงทนไม่แตกต่างกับบ้านที่ทำจากปูนเลย ซึ่งในขั้นแรกของการเรียนรู้นั้นพวกเราต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกดินที่จะนำมานวด เข้ากับฟางข้าวแล้วก็นวดนวดๆ ต่อไปจนกลายเป็นดินเหนียวๆ เพื่อนำไปก่อขึ้นเป็นกำแพงที่ขึ้นโครงรอไว้ด้วยไม้ไผ่ท่อนเล็กๆ ซึ่งตลอดการทำเรายิ่งรู้สึกเหมือนกำลังโฆษณาผงซักฟอกที่มาพร้อมสโลแกนยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ เราเลยเชื่อว่าถ้าเด็กๆ มาลองมาทำ จะต้องชอบแน่ๆ หลังจากที่ทั้งนวดทั้งปั้นทั้งก่อไปได้ส่วนหนึ่ง พวกเราก็ได้เวลาขอตัวไปจิบกาแฟและน้ำสมุนไพรเย็นๆ ให้ชื่นใจที่ร้านควายคะนอง คาเฟ่เล็กๆ ในบรรยากาศสุดชิวและวิวท้องทุ่ง ที่มาใน concept จิบกาแฟแลน้องควาย ให้เหงื่อแห้งและพร้อมที่จะไปต่อ
03 :: สกายวอล์ค วัดเขาสิงโต
เต็มอิ่มกับวิวท้องทุ่งและการขี่ควายจนรู้สึกหน้าตาแจ่มใสจิตใจเบิกบานไปแล้ว พวกเราก็มีแรงเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่สกายวอล์ควัดเขาสิงโตแลนด์มาร์คใหม่ของจังหวัดสระแก้ว เพื่อขึ้นไปชมวิวแบบ 360 องศา พร้อมกราบขอพรรอยพระพุทธบาทขวาของพระพุทธเจ้า ส่วนเส้นทางเดินขึ้นนั้นเราต้องเดินผ่านทางบันไดปูนสลับกับทางเดินดินที่ระยะทาง 250 เมตร ซึ่งระหว่างทางก็จะมีวิวและร่มเงาบางๆ พอให้เราหายเหนื่อยได้บ้าง แต่ถ้าใครไม่ไหวอยากหยุดพักจริงๆ เค้าก็มีเก้าอี้ให้นั่งเป็นระยะๆ เพราะฉะนั้นเราลูกเด็กเล็กแดงและคนชราที่ยังพอเดินไหวก็สามารถขึ้นมาได้แน่นอน
ด้านบนของจุดชมวิวแบบ 360 องศานี้ จะมีการจำกัดจำนวนคนที่จะขึ้นมาชมวิวเพื่อความปลอดภัย และแม้ว่ามันจะดูแข็งแรงและไม่มีทีท่าว่าจะโครงเครงใดๆ แต่เราก็ขอแนะนำให้ทุกคนทำตามคำแนะนำจะดีที่สุด… ไม่ไหวอย่าฝืนจร้าาาา… สำหรับสาวสาวที่ใส่กระโปรงพริ้วๆ และหมวกใบเก๋ขึ้นมาเราขอแนะนำว่าก่อนที่จะเข้าไปตีระฆังไหว้พระบาทพระพุทธเจ้าหรือโพสท่าใดๆ ก็ตามพวกแกควรจับกระโปรงและหมวกไว้ให้มั่นก่อนเป็นอันดับแรกมิเช่นนั้นมันอาจจะปลิวว่อนไปทักทายคนอื่นได้ทุกเมื่อเพราะลมมันแรงมากจริงๆ จุดนี้ถือว่าเป็นการปิดจ๊อบยามเย็นวันแรกแบบเพอร์เฟคที่สุดไปเลยจ้า
04 :: ถ้ำเพชรโพธิ์ทอง
เช้าวันที่สองเมื่อสมองสั่งการให้อาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปยังจุดหมายแรก เราก็หยิบเสื้อผ้าชุดที่คิดว่าทะมัดทะแมงแต่แฝงด้วยความน่ารัก แล้วปักหมุดไปยังถ้ำเพชรโพธิ์ทอง ถ้ำหินปูนขนาดกลางที่ภายในมีทั้งหินงอกหินย้อยอายุกว่า 1000 ปีอยู่เต็มไปหมด ซึ่งจากที่จอดรถเราต้องเดินต่อมาอีกประมาณ 300 เมตร ผ่านป่าจันทน์ผาของชุมชน จนมาเห็นปากถ้ำที่ใหญ่โตอลังการยืนประหนึ่งรอต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยว ด้วยความเฉิดฉายจนเราอดไม่ได้ต้องหยิบกล้องมาถ่ายภาพแบบรัวๆ จนเพื่อนที่มาทัวร์ด้วยกันต้องสะกิดไหล่เตือนสติให้เราเดินต่อเข้าไปชมด้านในเพราะยังมีโถงถ้ำรอต้อนรับเราอยู่ถึงสี่โถง โดยระหว่างทางจากโถงหนึ่งมาโถงสองก็จะเจอโพรงขนาดใหญ่ที่มีแสงสาดลอดเข้ามาทำให้ผนังในถ้ำเกิดมอสและตะไคร่น้ำเป็นสีเขียวมรกตสวยงามมาก รู้สึกเลยว่าเราพูดคำสวยกับเพื่อนจนนับไม่ถ้วนเลยล่ะ
ในส่วนของโถงสามมีความพิเศษอยู่ว่า ถ้าเรามองไปที่ผนังด้านบน พื้นผิวของเพดานถ้ำมีรูปคล้ายๆ ใบโพธิ์สีทองกระจายอยู่ ซึ่งเกิดจากน้ำขังในแอ่งหินด้านบนภูเขาจนเกิดสนิมทะลุผ่านจนเป็นดวง รูปคล้ายใบโพธิ์ จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเพชรโพธิ์ทอง” นั่นเอง ภายในถ้ำค่อนข้ามืดควรพกไฟฉายนำทางไปด้วย นอกจากจะไว้ส่องให้แสงสว่างแล้ว ก็ยังใช้ถือมาเป็นพรอบถ่ายรูปเก๋ๆ แบบที่เราทำได้อีกด้วย ส่วนเรื่องอากาศหายใจก็ไม่ต้องห่วง เพราะทำมีมีโถงค่อนข้างสูง ทำให้มีลมพัดผ่านเย็นสบายตลอดเวลาไม่ต้องกลัวว่าจะขาดอากาศหายใจ ณ จุดนี้บอกได้เลยว่าสระแก้วนั้นมีดีกว่าที่เราคิดแบบจริงๆ
05 :: ร้านยายต๊าม อาหารเวียดนาม
เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าในจังหวัดสระแก้วมีชุมชนชาวเวียดนามอาศัยอยู่ที่อำเภออรัญประเทศด้วย พอได้ฟังพวกเราก็หูตั้งห่างกระดิกรีบพุ่งตรงจากอำเภอคลองหาดไปยังอำเภออรัญประเทศใกล้เขตชายแดน ที่ตั้งของร้านยายต๊าม อาหารเวียดนามที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อทานมื้อกลางวันอันโอชะ ภายในร้านจะเป็นบรรยากาศบ้านๆ สบายๆ มีโต๊ะให้นั่งอยู่หลายมุม ส่วนอาหารจานเด็ดที่ทางร้านแนะนำก็มีทั้งแบบจานเดียวและแบบชุด แต่ที่เด็ดสุดๆ จนต้องขอยกนิ้วให้คือเมนูที่มีชื่อว่าบั่นหอย หรือหมี่ขาวเสิร์ฟมาพร้อมกับหมูสามชั้นเนื้อนุ่มและคลุกเคล้าด้วยน้ำจิ้มหวานๆ ลื่นคอ ห่อพักแก้มอีกสักหน่อยโรยหอมเจียวกรอบๆ อีกสักนิดก็กลายเป็นอะไรที่ดีต่อใจตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย นอกจากนั้นก็ยังมีแหนมเนือง จ๋าหย่อ หว๋อยก๊วน จ๋าเจียง บั๊นแส่ว บั๊นก๊วน ซึ่งอร่อยทุกอย่างสมแล้วที่ต้นตำรับเบอร์หนึ่งของที่นี่ รสชาติอาหารว่าถูกปากแล้วการบริการก็ยังดีจนประทับใจจนต้องขอยกนิ้วให้อีกครั้ง
06 :: ปราสาทสด็อกก็อกธม
อิ่มหนำสำราญเบิกบานพุงเรี่ยวแรงก็เริ่มกลับมาแข่งขันเราเลยมุ่งหน้ากันไปยังปราสาทสด็อกก็อกธม ปราสาทขอมโบราณที่ใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันออกโดยรูปแบบของปราสาทนั้นได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากประเทศเขมร เพราะอำเภออรัญประเทศจังหวัดสระแก้วคือแนวตะเข็บชายแดนระหว่างไทยกับเขมร แม้แต่ชื่อของปราสาทก็ยังเป็นภาษาเขมรอันมีความหมายว่าเมืองที่ต้นกกขึ้นรกในหนองน้ำ ตัวปราสาทนั้นก่อสร้างด้วยหินศิลาแลงและหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามความเชื่อของขอมว่าเป็นทิศแห่งพลังแสงสว่างที่เป็นสิริมงคลมากที่สุดในบรรดาทิศทั้งแปด
ทุกย่างเก้าที่เราได้เข้ามายังปราสาทโบราณแห่งนี้ทำให้เราต้องขนลุกชูชันไม่ใช่เพราะอาถรรพ์หรือคำสาปใดๆ แต่เป็นเพราะความสวยงามละเอียดอ่อนช้อยที่ถูกฝังลึกในศิลาแลง และความอลังการที่ดูจะเกินมือของมนุษย์ในยุคสมัยนั้น แต่มันก็เกิดขึ้นได้เพราะความศรัทธาโดยแท้จริง หลังจากเดินชมปราสาทจนทั่วทุกซอกทุกมุมเราก็หันหลังให้กับปราสาทและเดินไปนั่งริมหนองน้ำเพื่อรับลมเย็นๆ และเฝ้ามองดูปราสาทหินอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ไกลๆ ด้วยใจเคารพนับถือในความพยายามของคนในสมัยนั้น
07 :: ละลุ
อะเมซซิ่งไทยแลนด์แดนดินไทยเรานั้นมีอยู่ทั่วตั้งแต่เหนือจรดใต้ และแน่นอนที่ดินแดนบูรพาแห่งนี้ก็เช่นกันที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ให้แผ่นดินสีส้มอมแดงธรรมดาๆ ผืนหนึ่งได้เกิดการยุบตัว พังทลาย กัดเซาะ กัดกร่อน ทั้งจากกระแสลม จากสายฝน จนกลายเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แสนอัศจรรย์นามว่า “ละลุ” ที่มาจากภาษาเขมรหรือแปลเป็นไทยว่าทะลุ
พื้นดินสีแดง ได้ถูกแต่งแต้มเพิ่มเติมจากสีเขียวของต้นไม้ ทำให้ผืนดินที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแห่งนี้กลับมีดีจนเราหลงใหลทนเดินท่ามกลางแดดร้อนๆ แบบประเทศไทยได้เป็นชั่วโมงกว่าๆ เพราะว่ามุมถ่ายรูปมันเยอะเหลือเกินยิ่งในช่วงยามเย็นที่มีแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์สาดส่งมากระทบกับดินแดนที่ดูแห้งแล้งจุดนี้ยิ่งเพิ่มความสวยงามขึ้นได้อีกหลายเปอร์เซ็นต์ และจะว้าวยิ่งขึ้นถ้าพวกแกได้มาในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมเพราะจะเป็นช่วงที่ชาวบ้านบริเวณนี้ทำการปลูกข้าวรอบๆ บริเวณ ยิ่งการันตีความสวยได้อีกมาก
08 :: 21 มีนาคาเฟ่
และแล้วเวลาที่มนุษย์สายคาเฟ่แบบเรารอคอยก็มาถึง นั่นคือการได้ไปนั่งพักเบาๆ ก่อนเข้ากรุ่ง ณ ร้านกาแฟน่ารักๆ อย่างร้าน 21 มีนาคาเฟ่แห่งนี้ ที่ได้จับเอาตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่มามิกซ์แอนด์แมตช์เป็นคาเฟ่เก๋ๆ ชิคๆ สองชั้น ที่ให้ความรู้สึกกว้างขวาง โปร่งสบาย ดูแล้วสามารถหมกตัวอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน ยิ่งถ้ามีหนังสือโดนๆ สักเล่มหรือเพื่อนน่ารักๆ สักคนก็สามารถนั่งได้ทั้งวันโดยไม่มีเบื่อเลยล่ะ
พอเดินเล่นเก็บภาพร้านกาแฟจนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะสั่งกาแฟขมๆ และขนมหวานๆ มาทานคู่กัน ก็เป็นอันจบการเดินทางได้อย่างหวานๆ หอมๆ และกลมกล่อมอย่างสมบูรณ์แบบ จะว่าไปสองวันหนึ่งคืนมันดูไม่นานเลยจริงๆ แต่มันก็เต็มอิ่มมากเว่อร์ ^^
จบไปอีกหนึ่งทริปกับเมืองรองที่แสนจะประทับใจ ทั้งกิจกรรมที่แปลกใหม่และสถานที่ท่องเที่ยวที่แปลกตาทำให้เราได้รู้ว่าสระแก้วเป็นจังหวัดที่ควรต้องไปไม่ใช่จังหวัดที่ควรต้องแวะหรือมองข้ามไปไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม พราะที่นี่มีหลากรสให้ได้มาลองลิ้ม ทั้งธรรมชาติ ที่สมบูรณ์น่าตื่นตาตื่นใจ ร้านอาหารที่อร่อยจนอยากมาบอกต่อใครๆ กิจกรรมที่ทำแล้วได้ทั้งความรู้และประสบการณ์ชีวิต และเราบอกได้เลยว่าสระแก้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่รอให้พวกแกไปสัมผัส วันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะเก็บเสื้อผ้าแล้วตามมาสระแก้ว หรืออยากจะลองออกไปประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เมืองรองอื่นๆ ก็ดี แล้วแกจะเชื่อเหมือนเราว่าเมืองไทยน่าไปทุกที่! ปะ ออกไปตกหลุมรักประเทศไทยกันเถอะ