รีวิวหมู่เกาะแฟโร :: Discover Your Planet : Faroe Islands

สิ่งที่มีค่าที่หาได้ง่ายที่สุดแต่รักษาไว้ได้ยากที่สุดในชีวิตก็คือ “เวลา” หลายครั้งที่เราปล่อยผ่านจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงทำอะไรเดิมๆ ที่บ่นว่าไม่อยากทำ กินอะไรเดิมๆ ทั้งที่บอกว่าอยากกินให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ยังคงเฝ้ารอเวลาเพื่อทำอะไรบางอย่างโดยที่ไม่เคยรู้ว่าบางอย่างนั้นคืออะไร แต่เชื่อเรามั้ยว่าการเดินทางไม่เคยทำให้ใครเสียเวลาไปเปล่าๆ ไม่ว่าจะไปคนเดียวหรือไปกับใคร ไม่ว่าจะไปเช้าเย็นกลับหรือเดินทางเป็นเดือนๆ การเดินทางให้อะไรตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ เพราะฉะนั้นในหนึ่งปีเราควรจัดสรรเวลาให้กับการเดินทาง เพื่อออกไปใช้ชีวิต ไปค้นหา ไปพบเจอเรื่องราวใหม่ๆ ที่อาจทำให้เรารู้ว่าบางอย่างที่เรากำลังตามหามันคืออะไร ครั้งนี้เราเลยพาตัวเองออกไปไกลถึง หมู่เกาะแฟโร Faroe Island และใช้เวลากับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับเพื่อนใหม่อย่างนาฬิกา Seiko รุ่น SSC663P (Sea Series)

ตามเรามาแล้วแกจะรู้ว่าการให้เวลากับการเดินทางมันดีขนาดไหน …

Faroe Island หมู่เกาะชื่อแปลกนี้มีความหมายว่า “เกาะแห่งแกะ” เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของประเทศเดนมาร์กแต่ไม่ได้อยู่ในเดนมาร์ก และไม่ได้อยู่ติดกับประเทศใดๆ เลย เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความสวยงามสุดยิ่งใหญ่ตั้งแต่ผืนทะเลจรดผืนฟ้า ตั้งแต่ผืนดินจรดอากาศ และมีประชากรแกะมากกว่าประชากรในประเทศเสียอีก ที่นี่จึงเป็นแดนสวรรค์สำหรับนักเดินทางผู้รักในธรรมชาติ ที่รอต้อนรับด้วยความสวยงามอันไม่รู้ส้ินสุด มีอากาศบริสุทธิ์ให้สูดจนเต็มปอด และมีเรื่องราวดีๆ ให้เก็บเป็นประสบการณ์กับมุมมองใหม่ๆ ที่อาจทำให้ใครหลายคนได้เจอโลกใบใหม่ของตัวเองจากการเดินทางบนเกาะหลักหกเกาะที่เชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์ใต้น้ำสุดตื่นเต้นเหมือนเราครั้งนี้ก็เป็นได้

และเหตุผลที่เราตัดสินใจไปเยือนหมู่เกาะแฟโรในครั้งนี้ เราได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกา Seiko ที่ล่าสุดมีแคมเปญ #DiscoverYourPlanet ที่เค้าอยากชักชวนให้ทุกคนออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะทุกครั้งที่ออกไปเราจะได้พบเจอกับสิ่งใหม่เสมอ และทริปเราออกไปเปิดประสบการ์ณกับเพื่อนคู่ใจใหม่นั่นก็คือ Seiko รุ่น SSC663P (Sea Series) ที่จะทำให้รู้สึกเหมือนได้ดำดิ่งไปพบโลกของตัวเองราวกับนักประดาน้ำผู้ค้นพบโลกใบใหม่ใต้มหาสมุทรแม้ว่าครั้งนี้เราจะไม่ได้ดำน้ำก็ตาม เพราะความสปอร์ตแบบเต็มพิกัดของนาฬิกาสเปเชียล เอดิชั่น ที่สวมใส่สบายข้อมือด้วยสายซิลิโคนสีน้ำเงินที่สามารถยืดหยุ่นได้เรือนนี้จะพาเราดำดิ่งสู่การพจญภัยทุกรูปแบบโดยไม่ต้องกังวลกับรอยขีดข่วนใดๆ และความแม่นยำของทุกเสี้ยววินาทีจะทำให้เราไม่พลาดเวลาดีๆ อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะบนบก ใต้น้ำ กลางอากาศ เดินเล่นในเมือง ผ่านป่า ฝ่าทะเล ก็เท่ห์ไม่เหมือนใคร บนโลกอีกมุมที่เราเอามาฝากกับ 11 โลเคชั่นในหมู่เกาะแฟโรที่เราได้สัมผัสตลอดเวลา 5 วัน ถ้าอยากรู้ว่าจะสวยสมกับเวลาที่ใช้ไปหรือไม่ก็ตามมา

001 Saksun

คำว่าสวยไม่มีที่ติผุดขึ้นมาในหัวเราทันทีที่ตรงหน้าปรากฎภาพบ้านไม้สีดำสนิท หลังคามุงด้วยหญ้า ปลูกเรียงกันบนเนินเล็กๆ โดยมีทะเลสาบน้ำเค็มอยู่ด้านหน้า มีภูเขาสูงสีเขียวโอบล้อม และน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลจากยอดเขาลงสู่ทะเลสาบ ที่นี่คือ Saksun Village หมู่บ้านที่อยู่ทางเหนือของเกาะ Streymoy หมู่บ้านที่โด่งดังในแฟโร ที่นี่ประกอบด้วยฟาร์มเก่าแก่ โบสถ์หิน พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่สะท้อนเรื่องราวของเมืองแฟโรในอดีตท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ มันจึงกลายเป็นจุดหมายของนักเดินทางจากทั่วโลกรวมถึงเราด้วย

ในหมู่บ้านที่มีประชากรเพียง 14 คน มีประชากรสัตว์เลี้ยงทั้งหมดรวมกันมากกว่าประชาชนแห่งนี้ มันทำให้เราได้เห็นโลกในมุมที่เราไม่คาดคิด ความเงียบสงบที่เราไม่คาดฝัน และความสวยงามที่มากกว่าจินตนาการราวกับถูกดูดเข้าไปหาธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเหลือเกิน แต่ในความตัวเล็ก ณ ที่นี่มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดหรือกดดันใดๆ เลย กลับรู้สึกเหมือนมีธรรมชาติโอบกอดและปลอบใจเราอยู่ตลอดเวลา จนอยากจะนั่งเล่นอยู่กลางหมู่บ้านนี้ให้นานๆ แต่ถ้าหากใครชอบเทรคกิ้งที่นี่ก็มีเส้นทางสำหรับผจญภัยสำหรับขาลุยให้ได้เข้าไปพูดคุยกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดชนิดที่ติดใจแน่นอน

002 Tórshavn

เมืองหลวงเล็กๆ ของหมู่เกาะแฟโรแห่งนี้มีประชากรเพียงสองหมื่นกว่าคนเท่านั้น ภาพของบ้านไม้สีเข้มทั้งแดง ดำ เขียว เหลือง ที่มีการปลูกหญ้าไว้บนหลังคาเป็นเหมือนสัญลักษณ์อันโดนเด่นของที่นี่ โดยสาเหตุที่บ้านเรือนส่วนมากปลูกหญ้าไว้บนหลังคาก็เพราะว่าน้ำหนักของดินที่ใช้ปลูกหญ้าจะช่วยต้านลมไม่ให้หลังคาปลิวเมื่อมีพายุ ช่วยกันเสียงดังจากฝน และหญ้าก็เป็นสิ่งที่ค่อนข้างหาง่าย เมืองหลวงที่ผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัยนี้จึงขับขานบทเพลงร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ทำให้มันติดอันดับเมืองที่เราชอบมากที่สุดอีกหนึ่งเมืองไปเลย

ไฮไลท์เมื่อมาเมืองหลวงแห่งนี้แล้วพลาดไม่ได้ก็คือย่าน Tinganes ย่านเก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของ Tórshavn ที่นี่คือที่ซึ่งประวัติศาสตร์เดินเคียงข้างกับปัจจุบัน ที่ซึ่งเพลงยุคเก่าถูกขับขานโดยคนสมัยใหม่ ที่ซึ่งบ้านแบบดั้งเดิม และตึกสูงที่อยู่เคียงข้างกัน มันจึงกลายเป็นสถานที่มีความร่ำรวยทางวัฒนธรรม และก่อเกิดเป็นสถานที่จัดนิทรรศการศิลปะแหล่งสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ โรงแรม ร้านอาหารระดับ 5 ดาว ร้านคาเฟ่ และบาร์ต่างๆ ซึ่งล้วนอยู่ภายใต้บรรยากาศที่สวยแบบโคตะระ ….

003 Gásadalur and Múlafossur

อีกหนึ่งจุดหมายที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ Sørvágur ที่ซึ่งปรากฎทิวทัศน์ระดับมาสเตอร์พีชชวนอึ้งอีกครั้ง Gassadalur คือหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา เร้นกายอยู่ข้างสายน้ำตก และเหล่ายอดเขาที่สูงชันถึงห้าแห่ง โดยจุดที่สูงที่สุดมีความสูงถึง 722 เมตร ด้วยความเร้นกายแสนห่างไกลนี้ทำให้ประชากรลดลงอย่างมาก บ้านเรือนถูกทิ้งร้าง จนในปี 2004 มีการสร้างอุโมงค์ให้รถยนต์วิ่งเข้าออกหมู่บ้านได้อย่างสะดวก ทำให้มีประชากรบางส่วนกลับมาอยู่ยังหมู่บ้านนี้และมีนักท่องเที่ยวมาเยือนแบบไม่ขาดสาย ที่นี่จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ภาพบ้านเรือนไม่กี่หลังคาเรือนที่ด้านหลังเป็นภูเขา ด้านหน้ามีน้ำตก Múlafossur ไหลดิ่ง 90 องศา ระยะ 60 เมตร ลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกแห่งนี้นี่แหล่ะคือภาพที่ทำให้เรารู้จักหมู่เกาะแฟโร และเมื่อภาพถ่ายที่เคยเห็นกลายเป็นภาพจริงตรงหน้า นี่คงเป็นเป็นอีกครั้งที่เรารู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกแห่งความจริง เพราะทุกสิ่งตรงหน้ามันชวนว๊าวมากว๊าวจนอ้าปากค้างเหมือนเราได้ค้นพบโลกใหม่เป็นคนแรก เราได้แต่ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองมีโอกาสได้มาสัมผัสอะไรแบบนี้ และแม้ที่นี่จะไม่ใช่โลกใบใหม่ของคนทั้งโลกแต่ม้นก็เป็นโลกใหม่สำหรับเราเลยล่ะ

004 Sørvágsvatn

ทะเลสาบที่ได้รับการขนานนามว่า “ทะเลสาบเหนือมหาสมุทร” เป็นสถานที่เดียวใน 11 สถานที่ที่เราต้องเดินเท้าเข้าไป บอกได้เลยว่าเป็น 45 นาที ที่เหนื่อยทุกนาทีแต่คุ้มค่าทุกย่างก้าว ทะเลสาบ Sørvágsvatn แห่งนี้ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแฟโร ที่ตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรสมฉายาทะเลสาบเหนือมหาสมุทรจริงๆ ซึ่งนอกจากจะเหนือมหาสมุทรแล้วต้องบอกเลยว่ามันเหนือความคาดหมายจนเราเผลอกดชัตเตอร์มาแบบไม่สามารถยับยั้งได้ และเราก็ได้เรียนรู้ว่าบนโลกอินเทอร์เน็ตนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เราหาไม่ได้ หรือหาได้ก็ไม่อาจเห็นมันเท่าที่มันเป็นจริงๆ ดังนั้นการออกเดินทางก็เหมือนกับการเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะเป็นยังไง มันอาจจะผิดหวังตั้งแต่แรก มันอาจจะสวยงามกว่าที่คิด แต่ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงมันก็ดีกว่าการไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วทิ้งเวลาไปเปล่าๆ นะ

005 Mc Cafe&Barr

คาเฟ่ในเมือง Saltangara ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะ Eysturoy ตัวร้านตกแต่งง่ายๆ โล่งๆ แต่ดูอบอุ่นจากโคมไฟสีเหลืองนวล มีเมนูสไตล์อเมกันเรียบง่ายอย่างนาโช่ เบอร์เกอร์แบบต่างๆ ฟิชแอนด์ชิฟ ส่วนเครื่องดื่มก็จะมีให้เลือกทั้งชา กาแฟ ช็อคโกแลต เราเลือกสั่งคลับแซนวิชชิ้นโตที่มาพร้อมกับเฟรนฟรายและมายองเนสถ้วยใหญ่ กับช็อคโกแลตร้อน 1 แก้ว รสชาติถือว่าได้มาตรฐานตามแบบทั่วๆ ไป แต่วิวนั้นทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจเพิ่มมากขึ้น เราเลยใช้เวลาค่อยๆ ละเลียดฟาสต์ฟู้ดตรงหน้าแบบเรื่อยเปื่อย พูดคุยกับคนตรงหน้าบ้าง คนในหน้าจอบ้าง จนมีเรี่ยวแรงที่จะเดินทางอีกครั้งหนึ่ง

 

006 Gjógv

ถ้าถามว่าหมู่บ้านไหนในหมู่เกาะแฟโรที่เราชอบมากที่สุดมากแบบให้ย้ายมาอยู่แล้วตัดขาดจากโลกภายนอกก็ยอม เรายกให้ Gjógv หมู่บ้านทางเหนือของเกาะ Eysturoy ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล The Nordic Council for the Nature & Environmen ในปี 2004 ที่ประกอบด้วยบ้านเรือนจำนวนน้อยกว่า 50 หลัง แต่ละหลังเป็นบ้านไม้หลังคามุงด้วยหญ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ มันจึงเป็นความสวยงามที่สงบเงียบ ส่วนสำหรับใครที่ชอบผจญภัยกลางป่าเขาที่นี่ก็ยังมีเส้นทาง tracking ให้เดินอีกด้วยนาจา ส่วนใครอยากลองพักในบรรยากาศดีๆ แบบนี้ หมู่บ้านแห่งนี้เขาก็มีเกสต์เฮาส์ 1 หลังไว้รองรับนักท่องเที่ยว

นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้วที่นี่ยังมีโบสถ์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1929 ซึ่งเป็นโบสถ์แห่งแรกในหมู่เกาะแฟโร และอนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำที่แกสามารถเดินทอดน่องนั่งอ้อยอิ่งได้แบบมีความสุขสุดๆ และไม่ว่าแกจะเร่งรีบแค่ไหนแต่ความสวยงามของเมืองนี้จะทำให้ทุกอย่างช้าลงแบบไม่ต้องพยายาม

007 Viðareiði

หมู่บ้านที่ตั้งเหนือสุดของเกาะ Vidoy เกาะที่อยู่ไกลสุดจากเมืองหลวงที่สามารถขับรถทะลุอุโมงค์ใต้น้ำไปเที่ยวได้ หากใครอยากลองชิมอาหารแบบแฟโร่สไตล์ แท้ๆ รวมถึงลิ้มรสวัฒนธรรมและธรรมชาติในแบบของแฟโร่จริงๆ ที่นี่ก็เป็นที่ที่เหมาะที่สุดที่แกสามารถมาเดินชิวๆ เพื่อใช้ทุกวินาทีไปกับอากาศบริสุทธิ์หรือทำกิจกรรมผจญภัยแบบมันๆ ที่นี่จึงเป็นอีกหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งแห่งในหมู่เกาะแฟโร ยิ่งภาพของโบสถ์สีขาวที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าโดยมีภูเขาสูงและท้องฟ้าเป็นฉากหลังยิ่งทำให้เราเข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงบางครั้งมันก็เรียบง่ายเพียงแค่ได้มีเวลานั่งมองโลกกำลังหมุนผ่านตัวเองไปแบบนิ่งๆ

008 Fossá

ที่หมู่เกาะแฟโร่เราจะเห็นน้ำตกเยอะมากระหว่างที่ขับรถบนถนนเส้นหลักของเกาะ มีทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ อยู่ใกล้ อยุ่ไกล แต่ที่โดดเด่นมีขนาดใหญที่สุดก็คือ Fossá น้ำตกที่อยู่ใกล้ถนนเส้น 594 ถนนเส้นหลักที่วิ่งไปยังหมู่บ้าน Tjørnuvík โดยน้ำตกมีความสูงถึง 140 เมตร ตกเป็น 2 ช่วงจังหวะ ก่อนดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง ส่วนขนาดของความกว้างนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนในแต่ละวัน ที่บางครั้งอาจจะกว้างเพียง 2 เมตร และบางครั้งสามารถกว้างได้ถึง 30 เมตร และเราก็คือหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้เห็นน้ำตกแห่งนี้ในวันที่มีความกว้างมากที่สุดจนพวกเราได้แต่ส่งเสียงงึมงำๆ ในลำคอเพราะอึ้งในความสวยงามและน่าเกรงขามที่อยู่ด้านหน้า

009 Tjørnuvík

หมู่บ้านที่เป็นหนึ่งในสถานที่เก่าแก่ที่สุดในหมู่เกาะแฟโร ที่จะทำให้แกรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อ 1000 ปีที่แล้ว ที่ทุกอย่างยังดูบริสุทธิ์สดใสเรียบง่าย บ้านเรือนหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมชายหาดทั้งหมดนี้มีประชากรเพียง 65 คนเท่านั้น โดยหากมาที่นี่ในช่วงฤดูร้อน ก็สามารถลงเล่นน้ำในหาดทรายสีดำลึกลับที่แสนสงบนี้ได้ หรือจะเลือกนั่งริมฝั่งเพื่อชมหินที่มีลักษณะเหมือนยักษ์และแม่มดที่ปลายอ่าวก็นับว่าชิลดีเหมือนกัน

ท่ามกลางอากาศหนาว ลมแรง หมอกที่ปกคลุมทั่วทั้งหมู่บ้าน เราได้กลิ่นหอมๆ เหมือนกำลังมีคนทำขนมแล้วเราก็ตามกลิ่นนั้นไปจนได้พบกับบ้านหนึ่งหลังที่แปะป้ายว่า Coffee & Waffle เราไม่รอช้าเปิดประตูเข้าไปสั่ง Waffle มาทาน เค้าแถมชากาแฟให้กินฟรี แล้วก็มีวิบครีมที่โคตรอร่อยที่ตีโดยคุณลุงเอง พอคุณลุงว่างจากการทำ Waffle เค้าก็มาชวนคุย ถามประสบกาณร์นู้นนี่นั่นว่าไอ่หัวดำนี้มาเที่ยวไกลจัง ลมอะไรช่างหอบมาได้ ทำให้วาฟเฟิลที่ว่าอร่อยอยู่แล้วยิ่งอร่อยและหวานไปถึงหัวใจกรุ่นกลิ่นไอมิตรภาพใหม่ๆ ของการเดินทางขึ้นไปอีก

010 Mykines

ช่วงหน้าร้อนที่แสนอบอุ่นที่เกาะ Mykines จะมีเหล่าพัฟฟินเจ้านกตัวเล็กๆ สีขาวดำปากส้มพากันมาเที่ยวที่เกาะแห่งนี้เยอะ พอๆ กับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อชมพวกมันในฤดูร้อนนี่ล่ะ นอกจากพวกนกที่น่ารักนี้แล้ววิวของที่นี่ก็ยังสวยจนชวนหยุดหายใจอีกด้วย การเดินทางมายังที่นี่จำเป็นต้องใช้เพียงเรือหรือเฮลิคอปเตอร์เท่านั้นเพราะปัจจุบันยังไม่มีสะพานหรืออุโมงค์ใดๆ เชื่อมต่อถึง

011 Kalsoy

อีกหนึ่งเกาะที่ไม่มีอุโมงค์หรือสะพานเชื่อมแต่สามารถข้ามไปตัวเปล่าหรือนำรถไปด้วยได้ โดยใช้เรือเฟอร์รี่จาก Klaksvík บนเกาะจะมีเพียงถนนเส้นเดียวยาวตั้งแต่ท่าเรือจนสุดเกาะ และตลอดเส้นทางเราจะได้พบ 4 หมู่บ้านคือ Syoradalur, Husar, Mikladalur และ Trollanes ที่มีประชากรรวมกันแล้วไม่ถึง 200 คน โดยตลอดเส้นทางเราจะเห็นวิวที่เหมือนกับจุดอื่นๆ นั่นแหล่ะคือบ้านหลังเล็กๆ สงบเงียบและวิวชวนตะลึงสุดลูกหูลูกตา แต่จากความสวยงามที่เห็นต่อให้มองอีกเป็นร้อยรอบก็ไม่มีเบื่อ

ไฮไลท์ของเกาะจะอยู่ที่หมู่บ้าน Mikkladalur หมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของรูปปั้นหญิงสาวกำลังถอดชุดแมวน้ำ อยู่ริมหาดมีชื่อว่า Seal Woman ที่เป็นตำนานของเกาะ ว่าเวลาที่คนเราตายไปในทะเลก็จะกลายเป็นแมวน้ำและกลับขึ้นมายังฝั่งอีกทีในคืนวันที่ 13 เพื่อกลายร่างเป็นมนุษย์และจัดงานรื่นเริงกันที่ริมหาด จนมีอยู่วันหนึ่งที่แมวน้ำได้ขึ้นมาบนหาดแล้วกำลังถอดชุดมนุษย์ออก กลายเป็นหญิงสาวแต่ชาวนาก็มาเห็นซะก่อนและหลงรักนางจึงเอาชุดแมวน้ำของนางไปซ่อนแล้วบังคับให้แต่งงานจนมีลูกกัน กลายเป็นตำนานอันโด่งดังของหมู่เกาะแฟโร่

ณ หมู่เกาะแฟโรแห่งนี้อาจจะไม่ได้มีเรื่องราวโลดโผนชวนใจเต้นโครมคราม แต่ทุกวินาทีบนเกาะแห่งนี้กลับทำให้เราได้พบโลกใหม่ภายในจิตใจของเรา เป็นความสวยงามที่ทั้งปลอบให้เราสงบจากความวุ่นวายภายในจิตใจ และปลุกให้เราตื่นจากความกลัวในจิตใจของตัวเองด้วยเช่นกัน ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าทุกวินาทีที่ใช้ดำดิ่งไปกับการเดินทางไม่เคยมีวินาทีไหนที่เสียเปล่าเลย หากใครยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนเราขอแนะนำให้เริ่มจากจากหาเวลาแล้วก้าวไปข้างหน้าแบบไม่ต้องคิดไม่ต้องคาดหวังอะไร ขอให้จุดหมายนั้นมีเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นก็พอ แล้วก็อาจจะเจอคำตอบที่ตามหามาทั้งชีวิตก็ได้