3 Days 2 Nights : เชียงรายในมุมเท่ …

ประเทศของเราสวยทุกที่ เท่ทุกเวลา ตั้งแต่เหนือสุดจนจรดปลายด้ามขวาน 77 จังหวัดในดินแดนที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำนี้คือแดนดินที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ความอลังการ ความสดชื่น และความมีเสน่ห์เหลือเกิน ตรงนั้นก็ไข่มุกอันดามันสวรรค์เมืองใต้ ตรงนี้ก็สูงสุดแดนสยาม เลยไปก็มีสายน้ำแห่งชีวิต ถัดมาหน่อยก็วัดวาอาราม หิวตรงไหนก็หากินได้ที่ตรงนั้น หลงตรงไหนก็มีคนพร้อมช่วยเหลือ Thailand land of smile ถึงเมืองไทยจะยิ้มให้กันน้อยลงแต่ถ้าได้ออกเดินทางเมืองไทยก็จะทำให้แกยิ้มได้มากขึ้น ยิ่งช่วงหน้าฝนฤดูแห่งความผลิบาน ช่วงเวลาที่ทั่วทั้งภาคเหนือกำลังงอกงาม วันนี้เราเลยขอออกเดินทางตามเม็ดฝนเพื่อสัมผัสเชียงรายในมุมเท่ๆ ที่ไม่เคยรู้ …

แผ่นดินเหนือสุดแดนสยาม ชายแดนสามแผ่นดินแห่งนี้ คือที่ที่รวบรวมรากเหง้าวัฒนธรรมล้านนา ประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทางด้านภาษา วัฒนธรรม ศิลปะ อาหารการกิน รวมถึงธรรมชาติ เชียงรายอาจเป็นเมืองที่หลายคนมองข้าม แต่วันนี้เราจะพาพวกแกไปซอกแซก สำรวจเชียงรายในหลายๆ แง่มุม เเล้วแกจะรู้ว่าเชียงรายอันแสนสงบนี้มีเสน่ห์และความเท่เกินคาดคิดแน่นอน

โลเคชั่นแรกกับสถาที่ที่เป็นทั้งโฮมสเตย์ สวน ร้านกาแฟ ที่นี่คือ สวรรค์บนดิน ฟาร์ม แอนด์ โฮมสเตย์ ฟาร์มผักสมุนไพรแบบออแกนิค และร้านชาในเพิงเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรชวนหวือหวา นี่แหละชีวิตสุดเท่ที่คนกรุงฯ ผู้เคยชินกับฝุ่นควันต้องหลงไหล เพราะแกจะได้จำลองการใช้ชีวิตแบบสโลวไลฟ์ของจริง ที่ได้ตื่นเช้าขึ้นมาเก็บผัก เก็บหญ้า รดน้ำทำสวน ทานอาหารดีๆ ที่เป็นเสมือนยารักษาโรค นั่งพักจิบชากับคนในครอบครัว และการต้อนรับแบบอบอุ่นจากเจ้าของเสมือนลูกค้าเพื่อนคนหนึ่ง พอว่างก็ไปนั่งปั้นถ้วยชา หรือจะหามุมดีๆ ปูเสื่อนั่งอ่านหนังสือสักหน้าสองหน้า เฮ้ยแก นี่แทบอยากหอบเสื้อผ้าย้ายมาอยู่สักเดือนเลยอ่ะ

นี่ขนาดเราจะไม่ได้พักที่นี่ เพียงแต่แวะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดดีๆ กับพี่เจ้าของ ผู้เคยเป็นช่างภาพในเมืองกรุงมาก่อนเท่านั้น ยังอินและได้เรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ ขนาดนี้ ถ้าใครมีเวลาก็ลองมาพักดูเถอะไม่ผิดหวัง หรือจะมานั่งละเลียดชิมคุกกี้งาขี้ม่อน คุกกี้ดีๆ ที่หวานละมุม พร้อมๆ กับจิบลาเต้สีฟ้าอุ่นที่ทำจากดอกอัญชัน และเดินชมบรรยากาศสักสี่สิบนาทีก็เหมือนได้เติมพลังชีวิตให้มีแรงฝันกันต่อละ

มาต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ทรงคุณค่าและมีมูลค่าสูงแบบประเมินไม่ได้ ที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ที่สร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ สถานที่รวบรวมผลงานทางด้านศิลปะทั้งทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ของสะสมต่างๆ ของอาจารย์ถวัลย์ เช่น ภาพเขียน เขาควาย และกระดูกสัตว์ต่างๆ ที่ถูกบรรจุอยู่ในบ้านทรงไทยสไตล์ล้านนาที่มีสีดำทั้งหมด 36 หลัง ในบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย

ที่นี่ให้อารมณ์แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไป มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ความมั่นคง คุณค่าทางศิลปะที่คนไม่มีหัวทางศิลปะอย่างเรายังสัมผัสได้ เพราะสิ่งของทุกสิ่งให้ความรู้สึกถึงเรื่องราวที่เชื่อมถึงกัน จากห้องหนึ่งสู่อีกห้องหนึ่ง ราวกับว่าเรากำลังทำความรู้จากอาจารย์ถวัลย์ผ่านผลงานและของสะสมแต่ละชิ้น ผ่านรูปภาพแต่ละรูป ผ่านหน้าจั่วเรือนไม้สีดำแต่ละหลัง จนทำให้เราผู้ที่ไม่เคยเจออาจารย์ถวัลย์ตัวจริงและไม่เคยเสพงานใดๆ ของอาจารย์ ได้ยินเพียงแต่ชื่อเสียงในระดับฐานะของศิลปินแห่งชาติเท่านั้น เข้าใจได้ในเวลาไม่นานว่าทำไมผลงานอาจารย์ถึงทรงคุณค่าแม้ตัวตนของอาจารย์จะละโลกนี้ไปแล้วก็ตาม

คืนแรกเราพักกันที่ ภูใจใส เมาน์เทน รีสอร์ท รีสอร์ทที่บอกกับเราว่าความหรูหราไม่ใช่การมีทีวีจอยักษ์ หรือเครื่องปรับอากาศ แต่เพียงเท่านั้น แต่คือการได้ตื่นขึ้นมาฟังเสียงจากธรรมชาติ ลืมตามาเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้า สูดอากาศบริสุทธิ์และรับสายลมเย็นๆ จากระเบียงส่วนตัวในห้องพักไม่ไผ่อันแสนอบอุ่นด้วย ธรรมชาติคือความหรูหราที่สุดแล้วสำหรับจิตวิญญาณ และมนต์ขลังของภูเขาก็ช่วยเตือนใจว่าการใช้ชีวิตกับธรรมชาติเป็นไปได้แม้ในยุคปัจจุบัน

แค่คอนเซ็ปท์ก็รู้สึกหรูหราชวนฝันมากมายละ และพอได้เข้าพักภายในรีสอร์ทที่น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ที่ถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติแต่หรูหรานี้ ก็ทำให้เรารู้สึกถึงธรรมชาติแบบใกล้ชิดมากจริงๆ รวมถึงความสงบผ่อนคลายแบบที่หาได้ยากในเมืองกรุงอีกด้วย เพราะห้องทุกห้องได้ถูกสร้างขึ้นด้วยการผสมผสานกับวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ และดินเหนียว ในทำเลที่ทำให้เราได้สัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด พร้อมทั้งห้องอาหาร ฟาร์มอินทรีย์ ห้องสปา สระว่ายน้ำ โดยที่ทุกอย่างอยู่ในคอนเซ็ปท์จากธรรมชาติและใกล้ชิดธรรมชาติทั้งนั้น เราเลยได้ใช้ชีวิตหนึ่งคืนพักผ่อนกายใจได้เป็นอย่างดี

หลังจากนอนเต็มอิ่มหลับเต็มตื่นยืนดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมขอบฟ้าเป็นที่เรียบร้อย เราก็ล้างเนื้อล้างตัวออกมาทานอาหารเช้าที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับอาหารเช้าของที่อื่นไม่มีผิด แต่ผิด เพราะอาหารเช้าของที่นี่ล้วนเสิร์ฟจากผักปลอดสารพิษที่ปลูกจากสวนของที่นี่ ขนมปังก็ใช้การปิ้งด้วยเตาถ่านแทนเตาไฟฟ้า มันจึงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งได้ทานคู่แยมที่เปลี่ยนตามฤดูกาลยิ่งฟิน ก่อนจะเพิ่มข้าวต้มร้อนๆ สักหนึ่งถ้วย เบคอนที่ย่างใหม่ๆ จานต่อจานแทนการทอดแช่ทิ้งไว้ในไขมันอิ่มตัว สลัดอีกสักจาน ไข่ดาวอีกซักฟอง แล้วตบท้ายด้วยผลไม้สด กินไป ชิลไป ชมวิวไป เหมือนจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นนอกจากร่างกายจะได้วิตามินและสารอาหารจากการกิน แสงแดดอ่อนๆ ยังให้ความอบอุ่นแบบฟินๆ และช่วยเสริมวิตามินดี into กระดูกเราไปอี๊กกกก!!

กายพร้อมใจพร้อมเราทำได้!! วันนี้เลยขอเริ่มต้นวันด้วยกิจกรรมสุดมันส์ชวนตื่นเต้นกันที่ สีหมอกฟาร์ม ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านแม่สะลองในที่อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทมากนัก เพื่อที่จะไปขี่ม้าเข้าป่า ชมไร่นา ฝ่าลำห้วย ชมน้ำตก ถือเป็นการกุมบังเหียนด้วยตัวเองแบบยาวนานที่สุดเป็นครั้งแรก แต่ใครที่ยังไม่เคยขี่ม้าก็ไม่ต้องกลัวไปเพราะเจ้าของฟาร์มคือคุณสีหมอกจะสอนเทคนิคและสร้างความเคยชินระหว่างเรากลับมาภายในบริเวณฟาร์มก่อนลงสนามจริง โดยฟาร์มนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากคุณสีหมอก ประพันธ์วงศ์ มีวัตถุประสงค์ที่อยากจะอนุรักษ์และบำรุงพันธ์ม้าแกลบซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมืองเป็นหลัก เราเลยมีฟาร์มม้า แกรบให้ได้ลองขี่กันด้วยประการฉะนี้

ตลอดระยะทางก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเป็นอย่างดี พร้อมบรรยายให้ข้อมูลเกี่ยวกับการอนุรักษ์พันธุ์ม้าแกลบ การทำสวนเกษตรแบบอินทรีย์ และวิถีแห่งธรรมชาติ ให้กับนักเดินทางทุกท่านได้เข้าใจและเป็นกระบอกเสียงบอกต่อกับคนอื่นๆ ถึง ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติที่เราต้องรักษาไว้ บวกกับเส้นทางที่เราได้ขี่ม้าไปชมวิวไปหามุมพักผ่อนหย่อนใจและมุมถ่ายรูปที่เกิดจากความงามของธรรมชาติล้วนๆ ทำให้คนบ้านอิฐเมืองปูนอย่างเรารู้สึกอยากงดใช้หลอด ปฏิเสธถุงพลาสติก และหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติได้อย่างมาก เรียกได้ว่าการเดินทางในครั้งนี้นอกจากจะสนุกตื่นเต้นแล้วยังทำให้เรารู้และใส่ใจในธรรมชาติมากขึ้นด้วย

ลงจากหลังม้าก็มาต่อกันที่อีกหนึ่งแลนด์มาร์คต้องห้ามพลาดที่ใครผ่านไปผ่านมาแถวแม่จันก็ต้องแวะพัก ที่นี่ก็คือ ไร่ชาฉุยฟง ไร่ชาที่ตั้งอยู่บนความสูงกว่า 1200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล พื้นที่ปลูกชาชั้นดีขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่กลางภูเขาสลับซับซ้อน ทำให้วิวของที่นี่เป็นจุดดึงดูดใจของนักเดินทางที่ต้องแวะมาเยี่ยมชม ถ่ายรูปเท่ๆ อัพโซเชียล

นอกจากมุมถ่ายรูปสุดเท่ท่ามกลางธรรมชาติของไร่ชาและผืนป่าสีเขียวกับท้องฟ้าที่สดใสแล้ว ที่นี่ยังมีทั้งคาเฟ่และร้านของฝากให้แกได้นั่งพักเหนื่อยหลังจากเดินแอคท่าถ่ายรูปอีกด้วย แน่นอนว่าเมนูส่วนใหญ่ล้วนมีส่วนผสมของใบชา การได้นั่งดื่มชาเขียวหวานน้อยเพิ่มวิปครีมคู่กับโรลเค้กชาเขียว ที่หอมกรุ่น นุ่มนวล ไปพร้อมพร้อมกับวิวภูเขาทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังได้ต่อชีวิตขึ้นอีกหนึ่งปี ก่อนกลับอย่าลืมซื้อชาดีๆ ที่มีทั้งชาเขียว ชาขาว และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากชา ในร้านของฝากที่อยู่ติดกับคาเฟ่ ติดไม้ติดมือกลับมาเป็นของฝากด้วยล่ะ

จากอำเภอแม่จันเรามุ่งหน้าเข้าสู่ที่พักคืนที่สองในตัวเมืองเชียงราย โดยระหว่างทางก็แวะไปเช็คอินกับคาเฟ่สุตฮิต แต่ถ้ามาก็จะได้มุมชิคไม่ซ้ำใคร Melt in your Mouth ร้านกาแฟสไตล์ยุโรป ริมน้ำกกที่ซ่อนตัวอยู่ในมวลแมกไม้ พร้อมเสิร์ฟทั้งอาหารคาวหวาน กาแฟหอมกรุ่น น้ำผลไม้ปั่น และเค้กต่างๆ ที่ล้วนทำมาจากวัตถุดิบคุณภาพสูง ที่แกสามารถชมวิวไป ชิมเค้กไป และแชะภาพไปด้วยได้ในที่เดียว เพราะมันเป็นที่ที่อาหารอร่อย วิวดี มุมถ่ายภาพเลิศ ตั้งแต่ทางเข้ายันสวนริมน้ำ จะแวะยืนถ่ายรูปนิ่งๆ หมุนตัวให้ดูคล้ายอลิสในวันเดอร์แลนด์ หรือนั่งถือแก้วชาลุคคุณหนูออกมาดื่มชายามบ่าย จะถ่ายตรงไหนก็ออกมาสวยแบบไม่เสียดายชัตเตอร์จริงๆ

หิ้วท้องกลับมายังที่พักของเราในคืนนี้ที่ ฮักกกโฮมสเตย์ ที่พักเล็กๆ ริมน้ำกกในบรรยากาศสบายๆ สไตล์ล้านนาที่มีทั้งโซนที่พักที่ให้ฟีลของการมานอนบ้านเพื่อน ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ทำกิจกรรมง่ายๆ โซนร้านกาแฟที่ผสานความเป็นล้านนาและความเท่ของไม้ไผ่สีเข้ม และโซนกางเต๊นท์ที่จะเปิดให้บริการเฉพาะหน้าหนาว เพื่อเพิ่มความฟินที่ริมน้ำกก

อีกหนึ่งความประทับใจของที่พักในวันนี้คือเค้าจะแถมชุดสเต๊กชุดเล็กที่มีหมู ผัก ขนมปังและน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บให้เรามาปิ้ง ย่างกับเตาถ่านกันเองเป็นมื้อเย็น กินไปคุยไปเพลินๆ จนลืมไปว่าอ้วนอยู่จะมากินเยอะแบบนี๊ม๊ายด๊ายยยยย เป็นกิจกรรมง่ายๆ แต่สร้างความเรื่องราวกับการเดินทางได้ดี ให้ถ่ายรูปอัพเฟสบอกเล่าความประทับใจก่อนนอนได้แบบเท่ๆ เก๋ๆ

 

เช้าวันสุดท้ายกับเสียงเรือที่แล่นอยู่บนแม่น้ำกก เราตื่นขึ้นมานั่งฟินกับอากาศที่เย็นสบาย นั่งมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ รับฟังเสียงจากธรรมชาติรอบตัวอย่างเย็นใจ โอ้โห บรรยายกาศหนังรักโรแมนติกมาก พี่เจ้าของคงเห็นเราทำหน้าเคลิ้มฝัน เลยบอกว่าบางช่วงที่อากาศเย็นๆ หรือฝนตกบริเวณผืนน้ำที่เราเห็นจะหมอกมีบางๆ ลอยหยอกเหย้ากับผืนน้ำด้วย เรานี่ยิ่งเคลิ้มหนักไปกันใหญ่ ก่อนจะสะดุ้งตื่นรอบสองแล้วไปกินอาหารเช้าง่ายๆ อย่างข้าวต้มหมูร้อนๆ หอมๆ จิบกาแฟสักหนึ่งแก้ว เพื่อเป็นพลังงานในยามเช้า

และถ้าเราจองมาพักที่นี่ นอกจากห้องพัก สเต๊ก อาหารเช้าแล้ว เรายังได้ตั๋วฟรีไปขี่ช้างที่ ปางช้างบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร แบบฟรีๆ กับเงินที่เสียไปแค่เพียงคนล่ะ 700 บาท เท่านั้น นับว่าเป็นราคาแบบนางงามมิตรภาพมากน่ายกย่อง บ้านกระเหรี่ยงรวมมิตรคือหมู่บ้านของชาวกระเหรี่ยงที่อยู่กันแบบรวมมิตรทั้งชาวกระเหรี่ยง ชาวเผ่าอาข่า ชาวม้ง ชาวไทลื้อ ชาวลาหู่ อยู่ร่วมกัน และได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้การท่องเที่ยวจากองค์กรเอกชน ในการนำช้างมาเป็นพาหนะนำเที่ยวหมู่บ้านชาวเขา เพื่อมอบประสบการณ์ในการสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ได้ผ่านการรับชมการแสดงทางวัฒนธรรม การซื้อของฝากจากชาวบ้าน การนั่งช้างสำรวจวิถีชีวิต เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก แต่คนไทยอาจจะยังไม่ค่อยรู้มากนัก สำหรับใครที่กลัวว่าช้าวจะดุรึเปล่าขอบอกว่าไม่เลยทุกเชือกน่ารักมาก เดินเรียงแถวในเส้นทางอย่างเป็นระเบียบ บางเชือกเพิ่งมีลูกอ่อนก็จะมีลูกช้างเดินตามบางช่วงด้วย น่ารักมากกกกก

โดยปกติเส้นทางการนั่งชมช้างที่รวมในราคาที่พักคือเริ่มตั้งแต่บริเวณรอบหมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรและลงแม่น้ำกก แต่ว่าช่วงที่เราไปนั้นระดับน้ำในแม่น้ำค่อนข้างสูง แต้มบุญหมด ก็เลยได้แค่เดินชมวิวภูเขาพอกรุบกริบ แต่เราก็ฟินและโอเคมากเลยนะ เพราะภูเขาหุบเขาที่เราได้มองมันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และความเขียวชอุ่มอันเต็มไปด้วยกลิ่นดินที่สดชื่น ก็ทำให้เราคุ้มในคุ้มมากแล้ว ธรรมชาติมันก็แบบนี้เนอะเราควบคุมอะไรไม่ได้แต่เค้าก็ไม่เคยเอาเปรียบเรา สำหรับใครที่อยากจะมาแนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะไม่ร้อนและถ้าโชคเข้าข้างแกก็จะได้ชมแม่น้ำกกแบบมีทะเลหมอกล้อมรอบตัวเลยจร้าาาา และหากไม่ได้เข้าพักที่บ้านฮักกกโฮมสเตย์จะต้องเปย์ค่าบริการที่ครึ่งชั่วโมง 200 บาท/เชือก/2 ท่าน

ออกจากป่ามาสู่เมืองเราแวะที่ หลานติ๋มคาเฟ่ คาเฟ่ริมถนน ที่ภายนอกดูคล้ายๆ บ้านคนทั่วไปนั่นล่ะ แต่โดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ดูโปร่งสบาย อบอุ่น น่านั่งด้วยสีขาวของผนังและสีน้ำตาลอ่อนของไม้ ด้านในจะมีบาร์ชงกาแฟกับบาริสตาน่ารักๆ ยืนรอบริการและให้ข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟแบบต่างๆ ของร้าน เมนูก็ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งชา กาแฟ น้ำหวานอื่นๆ รวมถึงของหวานด้วย สั่งเสร็จก็หมุนตัวเล็กน้อย หันไปถ่ายรูปทางซ้าย ทางขวา ด้านหน้า ด้านบนกันสักหน่อย เพราะร้านนี้เรียบง่ายแต่มุมถ่ายรูปเยอะจริงๆ

ถ่ายรูปเสร็จก็มานั่งไขว้ห้างจิ้มมือถือเล่นไวไฟฟรี รอลาเต้ร้อนหวานน้อยมาเสิร์ฟแบบเก๋ๆ แล้วนั่งจิบไปเรื่อยๆ ในบรรยากาศหอมกรุ่นกาแฟ เป็นการพักกายจากกิจกรรมกลางแจ้งและแดดที่แผดเผาในช่วงกลางวันได้เป็นอย่างดีเลยจ้าา

ออกจากหนึ่งคาเฟ่แล้วไปต่อกันอีกหนึ่งคาเฟ่แต่คนละสไตล์ที่ เรียวกังคาเฟ่ คาเฟ่ที่เหมือนยกโรงเตี๊ยมแบบญี่ปุ่นมาไว้ในไทย จนแกอาจจะต้องหันหลังกลับไปมองทางเดินอีกรอบว่าไม่ได้ข้ามทวิภพมาอีกประเทศนึงจริงๆ ใช่มั้ย เพราะมันเหมือนม๊ากกกกก ทั้งตัวโครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ถ้วยชามต่างๆ ในส่วนเครื่องดื่มก็มีให้เลือกตาแตก แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาก็ต้องเป็นฮอกไกโดฮาเซลนัท และชาเขียวมัชชะร้อนที่เจ้มจ้นได้ใจ ส่วนเมนูของเคียงที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็คือขนมปังชาเชียวไส้ถั่วแดงที่ทางร้านทำเองมอันนี้บอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าแกต้องลอง จะกินเดี่ยวก็เข้มข้น จะกินคู่ชาและเครื่องดื่มอื่นๆ ก็เข้ากันดี๊ดี

อร่อยเต็มท้องกับขนมและเครื่องดื่มก็ได้เวลาออกเดินไปถ่ายรูปกับตัวการ์ตูนญี่ปุ่นสุดรักสุดหวงในดวงใจ อย่างโดโรม่อนหินที่ยืนกางแขนกางขา บอกได้ทันทีว่ามาจากตอนโลกเวทมนตร์ที่โดเรม่อนและโนบิตะถูกสาปให้กลายเป็นหิน(ตัวจริงป่ะล้า) และโตโตโร่ที่จะยืนถือร่มพุงกลมตัวเขียวอยู่ริมถนนเหมือนในฉากภาพยนตร์อนิเมชั่นของนางเลยจร้า (ตามไปดูกันได้ที่ My Neighbor Totoro) แค่สองมุมนี้ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ร้านนี้เจ๋งอ่ะ ดีมาก โคตรเท่ โดนใจวัยรุ่นน่ารักแบบเรามาก

ปิดทริปกันแบบอาร์ตๆ ในฐานะสายบุญที่ วัดร่องขุ่น ศาสนสถานที่สีขาวที่ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่อยากจำลองเมืองสวรรค์ให้มาอยู่บนโลกมนุษย์ โดยสวรรค์สีขาวโพลนนี้ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สามสิ่งที่อาจารย์รักและเทิดทูน บรรจงสร้างสรรตั้งแต่ทางเข้าที่เป็นสะพานข้ามอเวจี ตัวอุโบสถ บรรยากาศที่ล้อมรอบอุโบสถ ไปจนถึงห้องสุขา

ที่นี่ทำให้ทุกย่างก้าวในวัดเราต่างสัมผัสได้ถึงทุกความตั้งใจและใส่ใจของอาจารย์ที่สะท้อนออกมาจากสถานที่แห่งนี้ ทุกรายละเอียดทุกงานศิลป์ไม่ได้มีแค่จินตนาการอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวกับความหมายที่ต้องการจะสื่อถึงผู้มาเยือนให้เตือนสติคิดสร้างสรรค์หมั่นเพียรทำดี

สามวันหนึ่งคืนผ่านไปแบบชื่นฉ่ำใจเหมือนสายฝนเดือนเมษา อิ่มเอมเหมือนอยู่ร้านบุฟเฟ่ สดชื่นชวนฝันเหมือนบ้านขนมหวาน เท่ทุกท่าทางเหมือนไอรอนแมน แสนประทับใจเหมือนไดอารี่เล่มโปรด แล้วเชียงรายก็ติดโผเส้นทางที่เราหลงรักไปแบบง่ายๆ และเป็นเสมือนกุญแจเปิดใจนำทางให้เราอยากลองเที่ยวจังหวัดอื่นๆ อีกหลายจังหวัดที่ถูกมองข้าม เพราะเราเชื่อว่ายังมีสถานที่อีกหลายแห่งของประเทศไทย ที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ ผ่านอาหารประจำถิ่น ผ่านวิวทิวทัศน์ที่รายล้อม ผ่านศิลปะ วัฒนธรรมประจำเมือง เหมือนอย่างที่เราได้รับจากเชียงรายอย่างแน่นอน ปะ ออกไปตกหลุมรักประเทศไทยกัน