ณ สัทธา อุทยานไทย จังหวัดราชบุรี

รีวิวนี้เราขอเสนอธีมการเดินทางสไตล์ วันเดียวก็เที่ยวได้ง่ายๆ แบบใกล้กรุง ถ้ามีเวลาแค่วันเดียวแต่ใจมันอยากเที่ยวแบบชิวๆ เราแนะนำว่าราชบุรีเมืองรองต้องห้ามพลาดคือคำตอบที่ดี และวันนี้เรามีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่สุดแสนไฉไลที่จะทำให้การเดินทางของแกครั้งนี้ทั้งได้รับความสุขและรับความรู้กลับมาอีกด้วย ณ สัทธา อุทยานไทย ที่เที่ยวเปิดใหม่ที่ไม่ว่าใครก็เที่ยวได้ แต่เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งด่วนปิดโพสเพราะมัวแต่นึกถึงภาพพิพิธภัณฑ์แบบเดิมๆ เพราะที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่จะเล่าขานเรื่องราวต่างๆแบบทันสมัย จนแกสามารถใช้เวลาที่นี่ได้ทั้งวันแบบไม่มีเบื่อ จะมีดีและน่าสนใจขนาดไหนเปิดใจไว้แล้วตามเรามา

เดิมที ณ สัทธา อุทยานไทย คือที่เที่ยวที่หลายคนเคยรู้จักในชื่อ “อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม” แต่ด้วยแนวคิดที่อยากให้นักเดินทางได้พบกับความสุขเรียบง่าย และได้รับความรู้ที่มีสีสัน เค้าจึงได้ผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัย และธรรมชาติอันร่มรื่นไว้ด้วยกันบนพื้นที่ 42 ไร่ เพื่อดึงดูดนักเดินทางรุ่นใหม่ให้ลองมาสนใจเรื่องราวความเป็นมาของประเทศเราในหลายๆมิติ แบบไม่น่าเบื่อแถมยังสนุกจากการที่เราได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมในเรื่องราวอีกด้วย

หลังจากปักหมุดมายัง เลขที่ 41/1 หมู่ 3 ถ.เพชรเกษม-ดำเนินสะดวก ตำบลวังเย็น อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี เราก็มาถึงที่หมายในเวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ และพบกับลานหน้าทางเข้าที่มีตัวอักษรคำว่าไทยแบบอลังการคอยต้อนรับ คือพอเห็นก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่แล้ว เดินมาสักครู่เราก็มาถึงจุดจำหน่ายตั๋ว ก็ซื้อบัตรเพื่อเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 200 เด็ก 100 ซึ่งตอนแรกก็แอบรู้สึกว่าแพงไปรึเปล่า จะคุ้มมั้ย แต่แกพอเข้าไปเรื่อยๆ แกจะรู้เลยว่ามันคุ้มค่าเข้ามากจริงๆ หลังจากจ่ายค่าตั๋วเรียบร้อย เจ้าหน้าที่เค้าก็จะแนะนำให้เราโหลดแอปพลิเคชัน “ณ สัทธา / NASATTA” (สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฎิบัติการ IOS และ Android) ผ่านสัญญาณ Wi-Fi ที่ลงทะเบียนเข้าใช้ได้ฟรีๆ ด้วยการเสียบบัตรประชาชนเข้าไปในเครื่อง เพื่อขอพาสเวิค เอ้ออออ ไฮเทคตั้งแต่หน้าประตูไปอี๊ก

พอโหลดแอปพลิเคชันเรียบร้อย เปิดขึ้นมาแกก็จะเจอกับน้องปิติมาสคอตที่มีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากดอกกัลปพฤกษ์ โดยน้องเนี่ยก็ไม่ได้โหลดมาเพื่อให้ดูน่ารักๆ อย่างเดียว แต่น้องยังจะช่วยเราสนุกไปกับการ์ตูนสั้น วีดีโอคลิป ภาพยนตร์สั้น ภาพจำลองเสมือนจริง ตลอดจนสื่อผสมอื่นๆ เช่น Projector Mapping แบบ 270 องศา และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเยี่ยมชม แค่ด่านแรกก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วอ่ะ ซึ่งที่นี่เค้ามีถึง 8 โซนหลักด้วยกัน เดี๋ยวเราจะพาไปดูจนครบทุกโซนจะได้รู้ว่าข้างในจะน่าตื่นเต้นเหมือนข้างนอกมั้ย

กายพร้อม แอปพร้อม ก่อนเข้าก็เช็คเสื้อผ้าหน้าผมกันสักหน่อย ถ้ายังรู้สึกว่าชิคไม่พอ น่ารักไม่พอ ที่นี่เค้าก็มีบริการให้เช่าชุดไทยไว้เดินใส่แบบสวยๆกันที่ราคา 200-450 บาทอีกด้วย หรือใครอยากจะใส่มาเองเค้าก็ไม่ได้ว่าไรนะ หลังจากเตรียมความพร้อมจนเครื่องร้อน ก็ออกเดินชมได้ซึ่งเราก็จะพบกับโซนห้องไทยสัทธา เป็นห้องแสดงภาพที่รวบรวม แนวคิด และประวัติความเป็นมาของ ณ สัทธา อุทยานไทย แบบพอกรุบกริบจะได้เห็นภาพกว้างๆ ของที่นี่ว่าจะเป็นแนวไหน

ออกจากโซนประวัติเส้นทางก็จะพาเรามายังโซนแรกในทันใด ซึ่งก็คือโซน มหาราชกษัตรา เป็นจุดจัดแสดงประติมากรรมพระรูปหล่อ 3 บูรพมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราช ไทย ได้แก่ พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสิน และพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางสวนที่ชวนร่มรื่น

ถัดมาคือ โซนที่ 2 ณ สัทธานุสรณ์ เป็นอาคารจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสของบุคคลสำคัญผู้เป็นต้นแบบ กว่า 14 ท่าน เช่น สมเด็จย่า, สมเด็จมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม, และคุณสืบ นาคะเสถียรเป็นต้น ซึ่งตรงนี้เราสามารถใช้แอปที่เราโหลดมาเพื่อดูข้อมูลของแต่ละท่านเพิ่มเติม และร่วมกิจกรรมสนุกๆ ได้อีกด้วย คือโซนนี้ตอนแรกเราก็คิดว่ามันธรรมดานะ แต่พอได้อ่านข้อมูลต่างๆ ได้เห็นโต๊ะทำงานจำลอง ข้าวของจำลองต่างๆ คือมันให้ความรู้สึกคนละเรื่องกับการนั่งอ่านตำราเลยอ่ะ มันทำให้เราได้เห็นภาพตาม และจดจำเรื่องราวที่พวกท่านทำได้ชัดเจนมากขึ้นมากๆ นี่สินะที่เค้าบอกว่าการเรียนที่ดีมันต้องเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม

โซน 3 คือ ณ สัทธาปฎิมา จัดแสดงประติมากรรมพระพุทธรูป 3 สมัย ขนาดเท่าองค์จริงมาตั้งจำลองในบริเวณนี้ด้วย และโซนนี้จะมีวิหารสมัยสุโขทัยที่เล่าเรื่องราวโดยใช้เทคนิค Mapping เกี่ยวกับการเดินทางของพระพุทธศาสนาสู่ประเทศไทยในสมัยอาณาจักรสุโขทัย ผ่านแสง สี เสียง บนผนังโบสถ์และองค์พระพุทธรูป ที่ทำให้เราว้าวอยู่เหมือนกันนะกับคำว่าพิพิธภัณฑ์แล้วทำได้ยิ่งใหญ่เหมือนจริงได้ขนาดนี้อ่ะ

ราวกับอยู่ในเรื่องทวิภพที่ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวเราก็หลุดไปอีกโลกหนึ่ง จากสุโขทัยเราก็ย้อนมายังถ้ำกลางป่า ที่โซน 4 ถ้ำพุทธชาดกจำลอง ที่นำเสนอเรื่องราวขององคุลีมาล มหาโจรผู้กลับใจเข้าสู่ธรรมะ อีกหนึ่งไฮไลท์ของทีนี่ที่จะมีการแสดงเป็นรอบๆ เกี่ยวกับการกลับใจขององคุลีมาลด้วยการใช้แสง สี เสียงภายในถ้ำจองลอง ซึ่งตอนแรกเราก็นึกว่าจะไม่อินเท่าไหร่ แต่ด้วยบรรยากาศที่ถูกบิ้วตั้งแต่เดินเข้าถ้ำ แล้วมาเจอกับแสง สี ต่างๆ ก็ทำให้เรารู้สึกและสนใจในเรื่องราวที่เราไม่เคยคิดจะสนใจ จนได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้นด้วยเลย

โซนที่ 5 คือ 5 อริยสัทธา โซนจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสส์ของพระอริยสงฆ์ หลายๆท่านจากทั้งสี่ภาค ซึ่งเราก็ต้องขึ้นไปนมัสการบนกุฏิจึงจะได้เห็นรูปจำลองซึ่งเหมือนจริงจนแอบขนลุก เพราะทั้งแววตา ท่าทาง ริ้วรอย เสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ทุกอย่างมันเหมือนจริงจนเราต้องยกมือไหว้เลย แถมยังอยากจะยกมือไหว้คนที่ปั้นอีกด้วยซ้ำว่าฝีมือต้องเทพขนาดไหนถึงทำรูปปั้นออกมาได้เหมือนขนาดนี้

โซนที่ 6 สัทธาถิ่นเรือนไทย โซนบ้านไทย 4 ภาค จำลองวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยแบบเสมือนจริง ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เดินเล่นย้อนยุคแบบครบทั้งสี่ภาค ไม่ว่าจะข้าวของ เครื่องใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างคือเหมือนมาก เหมือนกับดีดเรือนไทยแท้ๆแล้วมาตั้งไว้เลยจริงๆอ่ะแก ยิ่งถ้าแต่งชุดไทยนี่คงอยากลงไปนั่งตำหมาก หรือหยิบหม้อชามรามไหแล้วมาอาหารต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองกันเลยทีเดียว

โซนที่ 7 เปลี่ยนบรรยากาศจากจำลองมาเป็นของจริงกันบ้างที่ ลานภิรมย์ เป็นลานกลางแจ้งที่ไม่ว่าใครก็ต้องชอบและรู้สึกสดชื่นขึ้นมากๆ เพราะตรงนี้เป็นส่วนแสดงต้นบอนไซจากทั่วสารทิศในหลายๆ ขนาด หลายๆ รูปร่าง ให้เราได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเราชอบมากกกก เพราะมันสดชื่น และถ่ายรูปออกมาเหมือนเดินอยู่ในสวนหลังบ้านของตัวเอง แต่ดูหรูหรา ฟู่ฟ่ากว่ามากๆ

 

และแล้วก็มาถึงโซนที่ 8 โซนสุดท้าย ลานอวโลสัทธา เป็นลานจัดแสดงพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลา จำลองจากศิลปะของราชวงศ์ซ้อง ประเทศจีน ซึ่งเป็นองค์สีดำ รูปร่างหน้าตาสวย ดูงดงามและเมตตามาก ซึ่งถ้าเราไม่ได้มาที่นี่เราก็คงไม่มีทางได้รู้จริงๆแหล่ะว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลานั้นมีอยู่ในโลก และแม้ว่าการไม่รู้เรื่องนี้จะไม่ได้ทำให้เราเสียหายอะไร แต่การได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าการเดินทางมันให้อะไรเราได้มากกว่าความสุขอีกนะ

เดินกันทั้งวี่ทั้งวันก็ไม่ต้องกลัวหน้ามือตาลายเพราะขาดน้ำขาดอาหารนาจา เพราะที่นี่เค้ามีร้านชา กาแฟ น้ำสมุนไพร และร้านอาหาร ในบรรยากาศน้ำตก และร่มไม้คอยให้บริการตลอดทั้งเส้นทาง รวมถึงห้องน้ำห้องท่าก็มีหลายจุดด้วยกัน เรียกได้ว่ามีครบจบในที่เดียว เที่ยวแบบอิ่มท้อง อิ่มตา และอิ่มสมองกันไปเล้ยยยย

 

ท้ายสุดและสุดท้ายก่อนโบกมือลากลับบ้านพร้อมความรู้ใหม่ๆ แต่ไอ้ครั้นจะกลับไปแบบมือเปล่ามันก็จะยังไง ยังไงอยู่ เพราะหน้าทางออกคือจุดขายของฝาก ของที่ระลึก จะฝากเพื่อน ฝากพ่อแม่ ก็มีให้เลือกหลากหลาย เพราะแต่ละอย่างล้วนเป็นของดีของดังของราชบุรี ราคาก็กรุบกริบพอซื้อไหวไม่ถึงกับต้องอดข้าวอดน้ำมาซื้อ ที่น่ารักคือเค้ามีของฝากที่เป็นหน้าน้องปิติ เช่น พวงกุนแจ น้ำหอมปรับอากาศ ฯลฯ เพราะไหนๆ น้องก็พาเราเที่ยวมาทั้งวันความผูกพันย่อมบังเกิดจนอยากจะพากลับบ้าน เราเลยอดใจไม่ไหวจัดน้ำหอมน้องปิติมา 1 แผ่นไว้ดมให้หายคิดถึง 555

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เราใช้เวลามากกว่าที่คิดซะอีกในพิพิธภัณฑ์ที่ตอนแรกเราคิดแค่ว่าลองดูหน่อยแล้วกัน และตลอดเส้นทางของการลองดูหน่อยบนเนื้อที่42ไร่ คือความดีงามที่เราอยากให้พวกแกได้มาลองดูหน่อยเหมือนกับเรา แล้วแกจะได้รู้ว่าตำราที่มีชีวิต จะทำให้การเดินทางของแกโลดแล่นแบบไม่มีสิ้นสุดและไม่เบื่อหน่ายจริงๆ ถ้าการอ่านหนังสือคือการเดินทางรอบโลกเพียงฝ่ามือเดียว ที่นี่ก็คงเป็นหนังสือเรียนสามมิติที่ใหญ่โต และทันสมัยจนอยากจะให้ประเทศของเราทำหนังสือยักษ์แบบนี้ออกมาอีกหลายๆเล่มเลย เพราะมันทำให้การเที่ยวของเราในวันนี้เป็นการเที่ยวที่ได้ทั้งความสุขและความรู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้กลับมาจนอดใจไม่ไหวต้องมาบอกต่อพวกแกนี่ล่ะ