นี่คือแผ่นดินใหญ่ที่ไม่เคยนึกถึงและคาดไม่ถึง ทริปนี้เราจะพาพวกแกลัดเลาะเจาะเวลาหาจิ๋นซี เดินชมกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนมังกรภายใต้อารยธรรมใหม่ที่จีนได้สร้างขึ้น แล้วแกจะได้รู้ว่าภายใต้กรงเล็บมังกรปี 2023 ช่างมีเรื่องราวที่แตกต่างกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วจนเหมือนกับหน้าใหม่ในรายการ take me out ที่ใหม่ซะจนเรียกได้ว่าไม่เหลือเค้าเดิมเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นก่อนเริ่มเราขอให้แกสลัดภาพเมืองจีนที่เคยได้ยินมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเดินทางลำบาก ห้องน้ำดีๆ คงหายาก คาเฟ่ชิคๆ และความศรีวิไลก็คงมีน้อยนิดให้สิ้นซาก แล้วมาเตรียมตัวออกเดินทางเที่ยวท่องสอดส่องจีนแบบ Exclusive ไปพร้อมๆ กับเราที่เมืองซีอาน เมืองที่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเก่าหรือสิ่งใหม่ สิ่งสร้างหรือสวรรค์บันดาล ความแตกต่างและไม่เหมือนใครนี้เองที่ทำให้ซีอานกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสไตล์หยินหยางที่ลงตัวแบบสุดขั้นจนหาที่เที่ยวอื่นมาเทียบชั้นได้ไม่ง่ายแน่ๆ
ภาพเมืองจีนของคนอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้แต่สำหรับเราก่อนหน้านี้ถ้าใครชวนไปจีนเราจะตอบแบบสุภาพๆ ไปว่า ไม่ว่างจริงๆ เพราะว่ามีทริปอื่น ก็เพราะภาพจีนในหัวเราแต่ก่อนนั้นมันไม่ค่อยน่าเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ทำใจเป็นกลางและลองหาข้อมูลของเมืองจีนอย่างคร่าวๆ ก็ทำให้เราเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ แม้จะแอบกังวลใจอยู่นิดๆ ก็ตาม และเหตุผลที่ทริปนี้เราเลือกเมืองซีอานก็เพราะที่นี่คือรากเหง้าของจีนที่มีอารยธรรมโบราณเก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 3100 ปี ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงโบราณ สุสานโบราณ หรืออารยะธรรมโบราณ ที่ถูกความโมเดิร์นและความทันสมัยเข้าผสมผสาน ทั้งคาเฟ่สุดชิค ร้านค้าสุดชิว ไปจนถึงความสวยงามทางธรรมชาติที่แม้แต่ระดับ UNESCO ยังให้การยอมรับและขึ้นทะเบียนให้กับความสวยงามที่จีนได้มอบให้โลกใบนี้ อีกหนึ่งแหล่งข้อมูลที่จะทำให้การเที่ยวจีนไม่ใช่เรื่องยาก AirAsia China Easy Guide นี่คือแหล่งข้อมูลที่โคตรมีประโยชน์สำหรับการนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับทริปของตัวเอง หรือใครขี้เกียจแพลนยังสามารถเที่ยวตาม AirAsia China Easy Guide ได้ง่ายๆ แค่เข้าไปดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในมือถือหรือจะปริ้นท์มาเก็บไว้กับตัวก็เลิศแบบใช้งานได้จริง
Flight :
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงการสายการบินที่มีไฟลท์บินตรงไปจีนมากที่สุด ราคาจับต้องได้ แถมขยันปล่อยโปรดีๆ ออกมาให้เรากดตล๊อดตลอด คงหนีจะไม่พ้น แอร์เอเชีย สายการบินที่ทำให้เรื่องการเที่ยวต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แอร์เอเชียนางมีบินตรงจากดอนเมืองไปซีอานทุกวันวันละ 2 รอบ คือรอบเช้า และรอบที่เราบินซึ่งออกจากดอนเมือง 16:40 ถึงซีอาน 21:35 ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง เราแนะนำให้สั่งข้าวล่วงหน้าตั้งแต่ตอนจองตั๋วเลย เพราะนอกจากจะได้ราคาถูกกว่ากินในสนามบินเพียงมื้อละร้อยแล้ว อาหารบนเครื่องเค้าก็อร่อยไม่กะโหลกกะลานะแก และสำหรับใครที่ชอบสั่งอาหารอยู่แล้ว เราเชียร์ให้เลือกซื้อแพ็คเกจ Value Pack ไปด้วยเลย เพราะแกจะได้ทั้งอาหาร สิทธิ์เลือกที่นั่ง น้ำหนักกระเป๋า รวมไปถึงประกันในการเดินทางด้
Day1 — เจาะเวลาหาจิ๋นซี, เยี่ยมชมถนนวัฒนธรรม Shuyuanmen, ชมวิวสุดปังบน Bell Tower ก่อนปิดท้ายวันด้วยการตะลุยกินที่ Muslim Street
เที่ยววันแรกเราขอเริ่มต้นกับความสวยงานสุดอลังการระดับฮ่องเต้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่ถือว่าเป็นไฮไลท์คู่บ้านคู่เมืองที่ดึงดูดทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติให้มายังซีอานอย่างล้นหลาม นั่นก็คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ (Terracotta Warriors) มหาบุรุษผู้มีตำนานอันยิ่งใหญ่ตลอดชีวิตของท่าน แน่นอนว่าแม้ลมหายใจหมดไปแต่ความยิ่งใหญ่ก็เผยให้ชาวโลกได้เห็นจนมีการค้นพบสุสานโบราณของท่านโดยบังเอิญในปี 2517 และกลายมาเป็นมรดกโลกชิ้นสำคัญเพราะภายในสุสานของมหาบุรุษผู้นี้เต็มไปด้วยกองทัพ ทหารดินเผา ยุทโธปกรณ์ และวัตถุโบราณอีกกว่า 7,000 ชิ้น บนเนื้อที่ถึง 25,000 ตารางเมตร ถือเป็นสุสานใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ด้านในจะมีทั้งหมดสามโดม แต่ละโดมก็คือโซนแต่ละหลุมของสุสานโดยโดมแรกจะเป็นโดมที่ชวนอึ้ง ตะลึงงึนงัน อ้าปากค้างจนต้องยกนิ้วโป้งและกล่าวคำว่าเยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เพราะมันคือโซนสุสานทหารกว่า 2,000 คนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานคอยปกป้องสุสานของจักรพรรดิของพวกเขา หลังจากทึ่งในความอลังการ อยู่พักใหญ่ก็ต้องมายืนตาค้างอีกพักนึงเพราะเมื่อพิจารณาดีๆ แล้ว เราก็พบว่าตุ๊กตาทหารแต่ละตัวถูกปั้นให้มีรูปร่างหน้าตาและรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันออกไปจนเหมือนกับว่ากองทัพตรงหน้าไม่ใช่เพียงดินเผา ผู้ไร้ตัวตน แต่คือคนที่มีหัวใจ แต่แกร่งจนแข็งเป็นดินเผาไปเพราะความมุ่งมั่น บอกได้เลยว่าแกต้องไม่พลาดที่จะมาที่นี่ แล้วจะรู้ว่าเมืองจีนถ้าคิดจะทำอะไรแล้วก็สามารถเสกสรรขึ้นได้เหมือนใจนึก
ส่วนโดมที่สองคือโดมที่ได้ทำการสำรวจในระดับหนึ่งแล้วและยังมีการสำรวจต่อเนื่อง อยู่ด้วย โดยโดมมีรูปแบบปิดทึบกว่าโดมแรกเพราะเป็นการป้องกันไม่ให้วัตถุโบราณอันเป็นมรดกโลกเหล่านี้ต้องถูกทำร้ายจากสภาพแวดล้อมภายนอก ทำให้เราได้เห็นสีสันของเครื่องแต่งกายของเหล่าทหารดินเผาที่เป็นสีดั้งเดิมรวมถึงอาวุธและสิ่งของต่างๆภายในโดมนี้ ส่วนโดมที่สามเป็นโซนที่เข้าสู่ใจกลางหลุมศพมากที่สุดเพราะเป็นโซนที่เราจะได้พบกับจิ๋นซีฮ่องเต้และทหารคู่พระทัยระดับแม่ทัพนายกองอย่างใกล้ชิด ซึ่งเดินดูก็ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งมรดกโลกยังดูน้อยไปสำหรับที่นี่ด้วยซ้ำ เพราะผลงานระดับนี้ที่ถูกสร้างขึ้นบนโลกเมื่อหลาย 1,000 ปีก่อน มันควรถูกเรียกว่ามรดกจักรวาลน่าจะเหมาะกว่า
เราใช้เวลาครึ่งวันที่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ก่อนกลับเข้าเมืองมาเดินเที่ยวเล่นกันต่อบน ถนนสายวัฒนธรรม Shuyuanmen ที่นี่เราจะได้สัมผัสวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมในรูปแบบราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงอย่างใกล้ชิด ถนนสายวัฒนธรรมแห่งนี้นอกจากเดินเล่นชมความสวยงามแล้ว ยังมีภาพวาดจากศิลปินชื่อดังอยู่มากมาย หรือใครที่ชอบงานอาร์ตเค้าก็ยังมีภาพวาด และผลงานของศิลปินท้องถิ่นให้เลือกกันอีกด้วย อารมณ์แบบสรีตอาร์ทที่มีชีวิตประมาณนั้น
ด้วยความที่ที่นี่เป็นเมืองแบบโบราณมันจึงมีความคลาสสิคอยู่ในที ทำให้การกดชัตเตอร์แต่ละครั้งดูมีเสน่ห์และมีความสนุกสนานในภาพทุกๆ ใบ โดยเฉพาะร้านขายพู่กันจีน ทำให้นึกถึงฉากที่แฮร์รี่พอตเตอร์ยืนเลือกไม้กายสิทธิ์ตอนไปโรงเรียนครั้งแรก เพราะตั้งแต่เกิดมานี่ก็เป็นครั้งแรกที่ไม่ว่าจะมองซ้ายมองขวามองบนมองล่างทุกอณูล้วนเต็มไปด้วยพู่กันเยอะแยะมากมายทุกแบบทุกไซส์ตั้งแต่เล็กจิ๋วจนถึงใหญ่อลังการ แบบถ้าเจอที่ไทยเราคงหลงคิดว่าเป็นพู่กันสำหรับให้ช้างวาดรูปโชว์ไปแล้ว เลยได้แต่ยืนอึ้งจนลืมซื้อ 555 นอกจากร้านพู่กันแล้วในละแวกนี้ก็ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้เลือกอีกหลายร้าน เช่นของฝากสุดฮิตติดชาร์ตอย่างที่ติดตู้เย็น หรือของที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่อย่างตุ๊กตาทหารจำลองหลายไซส์หลายราคา หรือใครแอดวานซ์พอจะสื่อสารกับคนขายรู้เรื่องก็สามารถให้เขาเขียนชื่อและคำอวยพรลงในกระดาษเพื่อเก็บเป็นของที่ระลึกชิ้นเดียวในโลกก็ได้เช่นกัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปแบบตื่นตะลึงจนเลือดสูบฉีดตลอดเวลา รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้บอกลา เราจึงรีบเคลื่อนทัพไปยัง Bell Tower หอระฆังกลางเมืองที่สูงถึง 36 เมตร และมีอายุเก่าแก่กว่า 600 ปีที่สร้างขึ้นจากอิฐและไม้ โดยบรรจุระฆังของราชวงศ์ถังไว้ภายใน ที่นี่คืออดีตฐานบัญชาการในยามรบ และหอบอกเวลาในยามสงบ ก่อนจะกลายมาเป็นจุด ชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของเมืองในปัจจุบัน ที่นักท่องเที่ยวสามารถจ่ายเงิน 35 หยวนแล้วเข้าไปเดินสวยๆ ชมสถาปัตยกรรมโบราณอันวิจิตรปราณีต ระหว่างรอชมพระอาทิตย์ตกบนเมืองแห่งความแตกต่างแห่งนี้
เมื่อเราแหงนหน้าขึ้นฟ้าก็จะได้เห็นลวดลายสีน้ำเงินเขียวและแดงที่ถูกบรรจงแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามตั้งแต่โบราณ แต่เมื่อเรากดคางลงเล็กน้อยให้สายตาขนานกับหน้าต่างเบื้องหน้าก็จะเห็นตึกสูงระฟ้า บ้านเมืองในรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย และความเจริญ สลับกับตึกเก่าในบางช่วงบางตอน รวมถึงหอกลอง Drum Tower ที่เป็นอีกหนึ่งตึกโบราณที่ยังได้รับการอนุรักษ์และดูแลอย่างดี ทุกอย่างตรงหน้าล้วนผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนเหมือนเป็นภาพศิลปะที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นโดยศิลปินผู้มากความสามารถ เราทำได้เพียงแค่การกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกผลงานศิลปะเอาไว้ และยืนมองนิ่งๆ เพื่อบันทึกภาพที่กล้องถ่ายรูปไม่สามารถเก็บได้หมดไว้ในใจ และก่อนที่จะสิ้นแสงสุดท้ายของวันนี้เราก็ได้กล่าวขอโทษต่อแผ่นดินใหญ่อยู่ในใจเพียงคนเดียวที่เคยด่วนตัดสินและประเมินค่าความงามของที่นี่ไว้ต่ำเกินไป
แม้แสงอาทิตย์จะดับลงแต่ท้องฟ้าของเมืองซีอานก็ไม่ได้มืดมิด เพราะมันถูกส่องสว่างขึ้นอีกครั้งด้วยแสงไฟและความคึกคักบน Muslim Street ใช่แล้วที่นี่คือถนนมุสลิมในแผ่นดินจีนเพราะแต่เดิมที่นี่มีพ่อค้าและนักเรียนจากประเทศเปอร์เซียและอารบิกเดินทางมาเพื่อเรียนและทำธุรกิจที่นี่ จนเกิดติดใจตั้งรกรากจนกลายเป็นชุมชนมุสลิมในจีน ดังนั้นใครที่เป็นสายเนื้อ สายของหวาน จึงไม่ควรพลาดกับถนนสายนี้เป็นที่สุด เพราะที่นี่ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า Snack Street ที่จะทำให้กระเพาะของแกไม่มีเวลาพักผ่อนตลอดเส้นทาง
ตลอดเส้นทางยาวเกือบ 1 กิโลเมตรบนถนนแคบแคบนี้แน่นขนัดไปด้วยร้านรวง และอาหารมากมายให้แกได้เลือกกินเลือกช้อปกันจนตาลาย กระเพาะพังกันได้เลย เอาจริงๆ ที่นี่ก็ได้ฟิวของเยาวราชอยู่เหมือนกันแต่เป็นเยาวราชในแบบที่เหล่าอาตี๋อาหมวยขาวๆสวยๆ ตาฉันเดียวคลุมผ้าฮียาด และใส่หมวกแบบอิสลามยืนขายของรอต้อนรับแขกอยู่ ซึ่งในความมึนมึนงงงงนี้ก็ชวนให้เราตื่นเต้นเพลินตาดีอยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่ามีทั้งอาหารตาและอาหารท้องที่ดูน่าหม่ำตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาด จะนั่งกินเดินกินก็มีให้เลือกทั้งเนื้อแกะ เนื้อวัว ทั้งแบบเสียบไม้โรยเกลือ โรยพริกหม่าล่า ทั้งเบอร์เกอร์หมูสไตล์จีนสไตล์ฝรั่งก็มีให้เลือกจนลูกกะตาแทบแยกจากกันเพราะเลือกมองไม่ถูกและเลือกกินไม่ได้ ค่ำคืนนี้จึงจบแบบมีความสุขที่มาพร้อมกับความอิ่ม
Day2 — ออกนอกเมืองไปนั่งกระเช้าขึ้นเขาหัวซาน ดื่มด่ำกับธรรมชาติกรีนๆ เหนื่อยกับการชมวิวสุดอลังแบบไม่หมด ก่อนกลับมานั่งล้อมวงทานหมาล่าบุฟเฟ่ที่ร้าน Haidilao
หลังจากที่คืนแรกเราได้กักตุนพลังงานไว้แบบเหลือล้น เช้าวันที่สองจึงเหมาะที่จะออกแรงใช้พลังงานอย่างที่สุด เราออกนอกเมืองไปสัมผัสกับวิวสุดอลังการที่งานนี้ผู้สร้าง คือ พระเจ้า ณ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หัวซาน ( Huashan Mountain ) ที่จะทำให้แกเหนื่อยกับการชมวิวสุดตระกาลตาแบบไม่มีที่สิ้นสุด และถ่ายรูปกันแบบไม่จบไม่สิ้น ซึ่งการเดินทางไปยังภูเขาก็ค่อนข้างสะดวกสบายโดยเริ่มต้นให้นั่งรถไฟใต้ดินสายสีแดงไปจนสุดสายที่สถานนี Beikazhan (สุดสายสีแดง) แล้วเดินไปต่อรถไฟความเร็วสูงจากสถานี Xian North ไปลงยังสถานี HuaShan เมื่อไปถึงปลายทางก็สามารถเลือกได้ว่าจะเหมาแท็กซี่หรือนั่งรถเมย์สาย 1 แบบฟรีๆ จากสถานีไปยัง Tourist Center
บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์หัวซานแห่งนี้ มียอดเขาให้เราเดินชมวิวถึงห้ายอดเขา คือ East Peak (Facing Sun Peak), South Peak (Landing Wild Geese Peak), West Peak (Lotus Flower Peak), Middle Peak (Jade Maiden Peak) และ North Peak (Cloud Terrace Peak) โดยการขึ้นไปยังยอดเขาก็มีด้วยกันสองวิธี คือ การขึ้นกระเช้าสำหรับสายสบาย โดยตัวกระเช้าจะสามารถขึ้นไปยังยอด West Peak และ North Peak ได้เท่านั้น แต่สำหรับสายโหดเค้าก็มีเส้นทางให้เดินขึ้นไปบนยอด North Peak เช่นกัน และเมื่อขึ้นไปถึงแล้วแต่ละยอดจะสามารถเดินเชื่อมถึงกันหมดดังนั้นใครสายไหนก็เลือกได้ตามสะดวก
แต่เนื่องด้วยเราสะสมแต้มบุญไปไม่พอเลยทำให้วันนี้กระเช้าทางฝั่ง West Peak มีการปิดซ่อมบำรุง แปลว่าเราต้องขึ้นลงฝั่ง North Peak เพียงอย่างเดียว เราเลยตกลงกันว่านั่งกระเช้าขึ้นไปจากนั้นก็เดินชมวิวชิวๆ กันไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนแค่นั้น ขอให้กลับมาทันนั่งกระเช้าขาลงเป็นพอ และตั้งแต่ก้าวแรกจากจุดลงกระเช้าฝั่ง North Peak เราก็ได้ดื่มด่ำกับวิวสุดอลังการ เหมือนกับทุกๆ ย่างก้าวเราจะได้เห็นมุมที่มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป จนพวกเราลืมความเหนื่อยและลมหายใจหอบๆ ของตัวเองไปเสียสนิท บวกกับยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่พวกเราตั้งตารอคอยเพื่อสัมผัสทั้งความเสียวและความฟินในเวลาเดียวกันบน South Peak นั่นก็คือทางเดินริมผาหรือ Plank Walk ซึ่งเป็นการเดินตามชื่อของมันนั่นแหละ เพราะทุกคนที่จะเดินต้องผ่านไม้กระดานแผ่นเดียวนี้ให้ไปได้ และถ้าแกอยากรู้ว่าที่นี่สวยงามเพียงใดคำตอบก็มีเพียงแค่การมาเยือนที่นี่ด้วยตัวของตัวเองสักครั้งเท่านั้น
เหน็ดเหนื่อยเมื่อยขากันมาทั้งวัน เราจึงรีบพาตัวเองขึ้นรถไฟกลับเข้าเมืองแล้วตรงดิ่งไปที่ ร้านชาบูชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วซีอาน Haidilao Hot Pot ร้านชาบูที่จะดูแลกระเพาะของเราในมื้อนี้ ที่นี่มีน้ำซุปและเนื้อสัตว์ให้เราเลือกอย่างหลากหลายแต่ที่เราอยากให้ลอง คือน้ำซุปมะเขือเทศ น้ำซุปหม่าล่า เนื้อแพะ และเนื้อวัว เพราะมันอร่อยโดนใจคนไทยแบบเรามากเว่อร์ คือแบบใครบอกว่ามาจีนอาหารกิ
Day3 — นั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองลั่วหยาง (Luoyang) เพื่อชมชมพระพุทธรูปแกะสลักมากกว่า 100,000 องค์, ไหว้พระที่วัดกวนอู (Guanlin Temple) แล้วไปหาชิมเต้าหู้เหม็นที่ถนนอาหารลั่วหยาง
อีกหนึ่งเช้าที่เต็มไปด้วยความสดใส หลังจากอาบน้ำอาบท่าก็ได้เวลาไปเยือน 1 ใน 8 เมืองหลวงโบราณของจีน “ลั่วหยาง” เมืองต้นกำเนิดเส้นทางสายไหม ดินแดนทองคำที่ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นเมืองหลวงแห่งเทพเจ้า ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ และยิ่งใหญ่ ที่ 13 ราชวงศ์ของจีนเลือกเป็นเมืองหลวง ที่ที่แกจะได้รู้ว่าคำกล่าวของจีนที่บอกว่าความอดทนแม้แต่ภูเขาก็ยังย้ายได้นั้นมันเป็นยังไง
เช่นเดิมเรานั่งรถไฟความเร็วสูงจากสถานี Xian North ที่เราอยากให้จำขึ้นใจเลยว่าถ้าแกจะไปเที่ยวเมืองอื่นที่ไกลออกไปจากซีอานหลายร้อยกิโลเมตร พวกแกจะต้องมาเริ่มต้นจากสถานีนี้ทุกครั้ง และรอบนี้เรานั่งจากสถานี Xian North ไปลงยังสถานี Luoyang Longmen จากนั้นก็เรียกแท็กซี่จากหน้าสถานีไปที่ ถ้ำผาหลงเหมิน Longmen Grottoes (Luoyang) สำหรับค่าเข้าชมที่นี่จะอยู่ที่ 100 หยวน โดยหลังจากซื้อตั๋วเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว เราแนะนำให้จ่ายเพิ่มอีก 10 หยวน เพื่อแลกกับการนั่งรถกอล์ฟไปด้านในเพราะไม่งั้นจะใช้เวลาเยอะมากกว่าจะได้เห็นจุดหมายของเรา
จากจุดจอดรถกอล์ฟเราจะได้ลงเดินชิวๆ ริมแม่น้ำแม่น้ำอี้ ( Yi ) แม่น้ำที่ไหลผ่านหน้าผาสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยถ้ำเล็กถ้ำน้อยกว่า 2,000 ถ้ำ ที่มองไกลๆ มีลักษณะคล้ายรังผึ้ง ที่สำคัญภายในโพรงถ้ำเล็กๆ เหล่านี้ มีพระพุทธรูปแกะสลักประดิษฐานอยู่กว่าหนึ่งแสนรูป เจดีย์อีก 400 องค์ และศิลาจารึกคัมภีร์พระพุทธศานาอีก 3,600 ประโยค ซึ่งทั้งหมดที่แกกำลังเห็นอยู่นี้ถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 439 ในสมัยจักรพรรดิเซี่ยวเหวินตี้ ที่ค่อยๆ แกะสลักภูเขาแกรนิตแห่งนี้ตลอดระยะเวลา 400 กว่าปี ด้วยสองมือของมนุษย์ในยุคโบราณแบบเพียวๆ ด้วยประวัติที่ยาวนานและผลงานอันเกิดจากความพยายามจนกลายมาเป็นสถาปัตยกรรมชวนอึ้งนี้ เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่จะได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี ค.ศ 2000 เฮ้ยแก เราขอย้ำอีกสักครั้งได้ไหมว่ามัน เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ
สำหรับ ‘ถ้ำหลงเหมิน’ ชาวจีนเรียกว่า ‘อาราม’ ส่วนอารามที่สวยงามและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็จะเป็น อารามเฟิ่งเซียน (Fengxian Temple) ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนโตรกผาสูง 40 เมตร มีพระพุทธรูปองค์ประธานสูง 17.14 เมตร เป็นพระประธานที่ช่างแกะสลักแสดงฝีมือสลักหินราวกับรูปสลักนี้แสดงอารมณ์ได้ พระประธานองค์นี้พระนางบูเช็กเทียนสั่งให้ช่างแกะสลักสร้างขึ้น และถวายพระนามว่า พระโพธิสัตว์ไวโรจนะ (Vairocana Buddha) เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของถ้ำหลงเหมิน และถือเป็นงานแกะสลักชุดสุดท้ายของถ้ำประวัติศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งในมุมของเรามนุษย์ยุค 2018 เมื่อได้เห็นสิ่งสร้างตรงหน้าเราก็ยังนึกไม่ออกว่าควรจะหาคำไหนมาบรรยายให้พวกแกฟังดี เพราะมันน่าทึ่งเกินกว่าที่จะบอกเล่ากันด้วยคำพูด เราจึงอยากให้พวกแกได้มาเห็นและมายืนอึ้งเหมือนกับเราที่นี่มากกว่า
มาถึงเมืองจีนทั้งทีถ้าไม่แวะขอพรก็คงจะรู้สึกเหมือนมีอะไรติดค้างในใจ เราจึงเลือกไปขอพรกันที่ Guanlin Temple วัดที่เป็นสุสานของเทพเจ้ากวนอูแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามก๊ก ผู้ที่เรารู้จักผ่านตำราและชื่มชมนับถือมานาน ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสามก๊กเพื่อเป็นที่ฝังศรีษะท่านกวนอู โดยตลอดบริเวณสองข้างทางภายในศาลเจ้าจะมีป้ายหินแกะสลักเชิดชูเกียรติของท่านกวนอูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอยู่ตลอดเส้นทางและเมื่อเดินเข้าไปยังวิหาร ก็จะมีสิงโตหินจำนวน 104 ตัวเรียงรายอยู่ และบริเวณตำหนักใหญ่จะมีรูปปั้นท่านกวนอูไว้ให้ผู้คนได้สักการะ แต่หากเดินไปจนสุดทางก็จะพบกับสุสานที่ฝังศีรษะของท่านกวนอูซึ่งเป็นฐานรูปวงกลมที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 50 เมตรและสูง 5 เมตรตั้งอยู่
หลังจากขอพรให้โลกสงบสุข เราก็ใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ เพื่อเดินเก็บภาพในมุมต่างๆของวัดซึ่งบอกได้เลยว่าใครที่คิดว่าการเข้าวัดมันไม่ชิคเกร๋ ก็อยากจะขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะมันใช้กับวัดนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะความคลาสสิกเลยทำให้ที่นี่มีมุมฮิปสเตอร์ มุมเท่อยู่หลายมุม แค่แต่งตัวสุภาพให้สมกับสถานที่แล้วยืนทำหน้านิ่งหรือหันมองไปทางอื่นก็คูลอย่าบอกใครเลย จนต้องถามตัวเองว่านี่จีนแผ่นดินใหญ่หรือจีนแผ่นดินไหนทำไมมัน สวย ผิดคำครหาที่หลายหลายคนเคยใส่ร้ายป้ายสีมาได้มากขนาดนี้
รับแต้มบุญและเก็บรูปสำหรับลงไอจีจนพอใจเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เรารอคอยกันนั่นก็คือมื้อเย็นที่ ถนนอาหารลั่วหยาง (Luoyang West Street) แค่ได้ยินชื่อว่าเป็นถนนอาหารก็ไม่อยากไปไหน อยากเปลี่ยนใจมาเที่ยวที่นี่ทั้งวันแทนเลยจะได้ไหมเพราะมัน เหมาะแก่การเดินเล่น แวะชิมอาหารพื้นเมืองเติมพลังก่อนกลับซีอานมากๆ ด้วยสองข้างทางที่เนืองแน่นเบียดเสียดไปด้วยข้าวปลาอาหาร หมูเห็ดเป็ดไก่ จนอยากจะ กดสั่งกระเพาะเพิ่มจากลาซาด้าไว้สำรองซักสามสี่กระเพาะ
พอพูดถึงอาหารจีนหลายคนก็อาจจะทำหน้าบี้ปวดท้องขึ้นมากระทันหัน แต่จงจำไว้ว่าที่นี่คือเมืองจีนแผ่นดินใหม่ที่ไฉไลกว่าที่แกเคยคิดมากนัก แม้ว่าอาหารโดยมากจะไม่ได้รสแซ่บถึงทรวงแบบไทยสไตล์ แต่หมาล่าเจ้าพ่อลิ้นชาก็จะสามารถทำให้แกหยุดคิดถึงส้มตำปูปลาร้าไปได้หลายมื่อ แล้วแกจะได้รู้ว่าที่นี่เรื่องกินมันยาก…. ยากที่จะหยุดกินมากๆ และนี่คือรายนามอาหารที่เราอยากให้แกลอง ก็จะมีเต้าหู้เหม็นที่ถึงแม้จะเหม็นแต่พอได้ลองกลับชอบเฉยเลย ก๋วยเตี๋ยวจีนที่กินคู่กับแป้งนานแบบชาวแขกเป็นอีกหนึ่งเมนูความอร่อยที่แตกต่างอย่างลงตัวคนละครัวที่ตรงใจ และของหวานปิดท้ายที่เราเรียกชื่อไม่ถูกแต่มันจะเป็นขนมไส้ถั่ว ที่ห่อด้วยเส้นคล้ายๆ เส้นที่เป็นไส้ในโรตีสายไหม บอกเลยว่ากินแค่นี้ก็สามารถกลับไปนอนซีอานแบบหนังท้องตึงหนังตาย้อยกันฟินๆ ได้เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว้าวกับเมืองจีนโฉมใหม่มากที่สุดก็คือการคมนาคมระหว่างเมืองภายในประเทศไม่ว่าจะใกล้หรือไกลเราก็สามารถใช้เวลาเดินทางแบบวันเดย์ทริปได้ง่ายๆ ไม่ต้องค้างคืน ด้วยรถไฟความเร็วสูง 300km/hr ซึ่งมันเร็วมากจริงๆ อย่างที่ไปภูเขาหัวซานเมื่อวาน และลั่วหยางวันนี้ เราก็ไปด้วยรถไฟความเร็วสูงนี่แหละถึงสามารถกลับมาในเมืองเพื่อไปอีกเมืองในตอนเช้าได้แบบสบายๆ บอกเลยว่าพี่จีนเค้าพัฒนาไปไกลมากแล้วแก ไอ้ที่เคยคิดว่าจะต้องเดินทางข้ามเมืองแบบหลายวันหลายคืน นั่งเบียดเสียดกับอากงอาม่านั้นให้ลืมไปได้เลยจ้าาาา
สำหรับข้อควรรู้ในการจะนั่งรถไฟก็มีเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือการจะซื้อตั๋วทุกครั้งจะต้องใช้พาสปอร์ตดังนั้นควรพกมันติดตัวไปตลอดเวลา ซึ่งเอาจริงป่ะทุกครั้งที่แกเดินทางต่างประเทศแกควรจะพกพาสปอร์ตติดตัวอยู่แล้วเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะเอาไว้ยืนยันตัวแก ส่วนในเรื่องของที่นั่งก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องไปเปิดศึกแย่งชิงกับมนุษย์จีนมนุษย์ป้าที่ไหนเพราะบนตั๋วจะระบุชื่อและที่นั่งไว้อย่างชัดเจน ถ้ามีคนนั่งทับที่แกก็ให้แสดงบัตรโดยสารและบอกเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสวยๆ ก็เป็นอันจบเรื่อง และถ้าหากใครไปต้องเดินทางในช่วงเทศกาลหรือตรงกลับวันหยุดเสาร์เอาทิตย์ เราแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าเพราะคนจีนเค้าก็เดินทางท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน สุดท้ายเรื่องความสะอาดบนรถไฟนั้นต้องยกนิ้วให้เลย เพราะมันสะอาดมากไม่ต่างจากชิงคันเซ็นของญี่ปุ่นแถมยังมีห้องน้ำและรถเข็นขายของไว้บริการเรียกได้ว่าเพอร์เฟคเทรน!!!
Day4 — ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นซีอาน เข้าร้านหนังสือ นั่งคาเฟ่ แล้วแวะไปชมมัสยิสสุดแปลก ก่อนปิดทริปด้วยการปีนไปปั่นจักรยานบนกำแพงเมือง
วันสุดท้ายขอตื่นสายสุด ทำตัวเสมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อนแล้วเมื่อคืนมันลากไปแฮงเอ้าท์กลับตีสามตีสี่ วันนี้เราจะพาเที่ยวจีนแบบฮิปๆ ชิคๆ เอาให้ลืมภาพจำที่ว่าจีนมีแต่ที่
ถัดจากความเท่ห์ที่ห่างไกลตัวตนก็ได้เวลากลับไปหาสิ่งที่คิดถึงตั้งแต่ลืมตาตื่น ซึ่งก็คือร้านคาเฟ่ที่สวยๆ ในแหล่งที่เค้าว่ากันว่าวัยรุ่นมาหมกตัวอยู่กันบ้าง ซึ่งโซนนี้เราได้ไถ่ถามข้อมูลมาจากทางโรงแรม แล้วก็โบกเทกซี่จากร้านหนังสือเพื่อมาเริ่มต้นใช้ชีวิตสโลวไลฟ์แบบคูลๆ กันที่ร้านแรก Smooth Haba ร้านคาเฟ่แสนเก๋ที่ตั้งแต่เห็นประตูร้านก็ทำให้เราคิดว่าเรากำลังยืนอยู่ที่เกาหลีหรือญี่ปุ่นซะมากกว่า ด้านนอกที่ว่าดึงดูดแล้ว ด้านในก็เก๋ไม้แพ้กัน กับโทนขาวน้ำตาลของร้าน ที่ประดับด้วยเฟอร์นิเจอสีน้ำตาลอ่อนแซมด้วยต้นไม้สีเขียวเข้ม และกลิ่นหอมจากขนมอบใหม่ในตู้กระจกเล็กๆ ดูมินิมอลและอบอุ่นจนทำให้เราแทบจะลืมภาพจีนในแบบเดิมๆ ไปได้เลย
มาถึงขั้นตอนที่เราเป็นกังวลมากที่สุดในจีน นั่นคือการสั่งอาหาร แต่ก็ต้องเบาใจไปได้แบบสบายๆ เพราะพนักงานที่นี่พูดอังกฤษได้ แถมยังบริการดี มีความอินเตอร์ หลักจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาเลือกเครื่องดื่มและอาหาร เราขอเริ่มแบบเบาๆ ที่ร้านแรกด้วยอิตเลี่ยนโซดา กับเค้กที่มีรูปร่างเหมือนซาลาเปามาทานอีกหนึ่งชิ้น ไว้เป็นกับแกล้มระหว่างนั่งจิ้มมือถือ สไลด์หน้าจอเช็คฟีดข่าวต่างๆ ค่อยๆ ใช้ชีวิตแบบชิวๆ เม้าย์มอยหอยกาบกับเพื่อนๆ ที่มีใจรักในร้านคาเฟ่เหมือนกัน
ขยับร่างไปอีกหนึ่งบล๊อกเราก็ได้พบกับ Pingze Cafe’ ร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่เชิญชวนเราจากตัวหนังสือสีแดงที่ให้อารมณ์ทั้งความอินเตอร์และความเป็นจีน ร้านโทนขาวแดงแสนเก๋นี้เหมาะกับการสั่งเครื่องดื่มและเค้กมาเพื่อถ่ายรูปก่อนกินเป็นอย่างมาก เพราะโทนสีและความน่ารักน่ากินมันโดนใจสายคาเฟ่แบบเรามากๆ ที่สำคัญคือที่นี่ขายเครื่องดื่มหลากหลาย กาแฟรสชาติดี และเค้กก็อร่อยสมหน้าตาสุด
เดินถัดไปถัดมาเราก็ยังสามารถหาร้านคาเฟ่ชิคๆ ร้านอาหารเก๋ๆ ได้อีกหลายร้านจากโซนนี้ เพราะฉะนั้นใครสายคาเฟ่ไม่มีผิดหวังแน่นอน จะมานั่งเล่น เดินเล่น ถ่ายรูปเล่น หรือนั่งพักอ่านหนังสือ จิบชาไป ทำงานไป เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ได้ทั้งงาน ทั้งอาหาร ทั้งรูปถ่ายแบบที่แกจะต้องกลับมาบอกเพื่อนว่า แกต้องไป แกต้องไป เพราะจีนเค้าเปลี่ยนไปแล้วววว
เผลอแป๊บเดียวทริปจีนของเราก็เกือบจะจบแล้ว ตอนนี้เราเชื่อเหลือเกินว่าพวกแกคงมีเรื่องเซอร์ไพรส์ไม่มากก็น้อยจากรีวิวนี้ และเพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปเซอร์ไพรส์ต่อกันที่มัสยิดที่แปลกที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ฉีกกฏรูปร่าง หน้าตามัสยิดแบบแขกๆ ที่ควรจะเป็น เพราะนี่คือมัสยิดใจกลางเมืองซีอาน Grand Mosque Xi’an มัสยิดที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ที่สร้างโดยชาวเปอร์เซียและชาวอารบิกที่มาตั้งรกรากในเมืองจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เพื่อเป็นศาสนสถานไว้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา แต่เพื่อให้เกิดความกลมกลืนจึงสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน จึงเกิดเป็นการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์น่าเยี่ยมเยียนไปอีกแบบ
แม้จะต้องเสียเงินค่าเข้าเยี่ยมชมแต่เราว่ามันก็คุ้มค่าทุกหยวนนะ แม้ว่ามันจะดูเหมือนศาลเจ้ามากกว่าก็ตาม แต่จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่เราได้เห็นความผสมผสานของวัฒนธรรมที่ออกมาดูเลอค่าเข้าขากันได้ดีไม่มีสะดุดแบบนี้ แกควรมาที่นี่เพื่อดูให้เห็นกับตา
ท้ายสุดสุดท้ายเรามาปิดทริปกันที่ กำแพงเมืองซีอาน (Xi’an City Wall) กำแพงที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงที่ยังคงความสมบูรณ์มากที่สุดในจีน โดยกำแพงโบราณขนาดมหึมานี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสะสมเสบียงและเป็นกำแพงต้านข้าศึกให้กับเมือง ความสูงอยู่ที่ 12 เมตร ความกว้าง 12-14 เมตร ความหนา 15-18 เมตร และยาว 13.7 กม. มีป้อมปราการยื่นออกจากตัวกำแพงทุกๆ 120 เมตร รวมทั้งสิ้น 98 ป้อม โอ้โห!! ใหญ่จริงใหญ่จังใหญ่แบบไม่ต้องพิมพ์อธิบายเยอะเพราะเราเมื่อยนิ้ว 555 ด้วยทุกอย่างที่ร่ายยาวมากำแพงนี้จึงจัดว่าเป็นระบบป้องกันกองทัพโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย โดยในการเยี่ยมชมใครใคร่เดินก็เดินได้ หรือใครใคร่นั่งรถกอล์ฟก็ได้เช่นกัน ส่วนเราเลือกเช่าจักรยานปั่นเพราะมันชิวและคูลสุด
ด้วยความที่มันเป็นกำแพงสูงตระหง่าน ทำให้ในขณะที่เราปั่นจักรยานรับลมเย็นๆ ที่พัดมาตลอดเวลาบนกำแพงที่มีอายุราว 500 ปี ที่ขนาบข้างไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่ดูโมเดิร์นทันสมัย เสมือนเรากำลังยืนอยู่ในอดีตแต่มองเห็นอนาคตเลยแก มันเป็นภาพที่ยืนยันได้ชัดจริงๆ ว่าเมืองจีนได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างถูกพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดชนิดที่ว่าถ้าเราไม่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูให้เห็นกับตาก็คงติดอยู่กับทัศนะคติแบบเดิมๆ เราเลยอยากบอกแกว่าต่อไปนี้ใครชวนไปจีนอย่ารีบร้องยี๊ หันหน้าหนีและคิดจะไปที่อื่น เพราะเมืองจีนมีอีกหลายอย่างมากๆ ที่ประเทศอื่นไม่มี และไม่สามารถเทียบเท่าได้ สมแล้วที่เมืองจีนถูกเรียกว่าแดนมังกร และผู้คนในยุคปัจจุบันก็คือลูกหลานมังกรที่กำลังช่วยกันขับเคลื่อนและพาประเทศของตัวเองให้ทะยานขึ้นสู่ความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง
ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้ายอยากบอกกับพวกแกว่าทริปจีนจะคุ้มยิ่งขึ้นเมื่อแกเลือกทำวีซ่ากับทาง Seasons Holiday เพราะแค่แสดงตั๋วเครื่องบินที่เดินทางไป-กลับกับแอร์เอเชี
ทั้งหมดนี้ที่เราสาธยายและให้แกดูมันก็ยังไม่เท่ากับสิ่งที่เราเห็นจริงๆ หรอก ทางเดียวที่จะรู้คือแกต้องมาสัมผัสเองเท่านั้น บอกเลยว่าตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน เราเหนื่อยกับจีนมากๆ เหนื่อยกับความอลังการของจีน ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่ไปหมด มันทำให้หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะตลอดทริป เหนื่อยกับอาหารการกินที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย เหนื่อยกับการที่ต้องช็อคบ่อยๆ เพราะจีนที่เห็นมันดีมากๆ และไม่ได้เป็นจีนแบบที่เราเคยคิดไว้เลย เหนื่อยกับการต้องหาท่าสวยๆ มาโพสต์ให้ไม่ซ้ำ เที่ยวจีนครั้งนี้เราแทบไม่หลงเหลือความทรงจำแย่ๆ ที่เคยได้รู้ได้ยินมาเลย ในทางตรงข้ามกับมีแต่ความประทับใจ แถมยังมีอะไรที่เซอร์ไพรส์เกินคาดตล๊อดตลอด กลับจากจีนรอบนี้เราคงต้องมาปรับทัศนะคติกับเพื่อนและคนรอบข้างที่คอยถามไถ่ใฝ่รู้ว่าจีนมันแย่จริงๆ ใช่มั้ย จนเราต้องรีบทำรีวิวนี้ให้เสร็จอย่างไว พร้อมๆ ยื่นให้อ่านพร้อมกับโปรตั๋วแอร์เอเชียให้เพื่อนๆ ดูกับคำตอบที่ว่า ไปซะสิ จะได้รู้