นครปฐม : The Ultimate 2 Days Itinerary

เราว่าทุกคนมักจะคุ้นเคยกับการไปเที่ยวนครปฐมแบบวันเดย์ทริป ที่ออกเช้ากลับเย็น แวะเที่ยวไปแต่ละที่แบบให้ครบลิสต์ที่คิดไว้ โดยบางที่แทบไม่มีเวลาให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงหน้าก็ต้องเปลี่ยนที่อีกแล้ว เพราะฉะนั้น “นครปฐม” รอบนี้ขอเปลี่ยนแนวพาทุกคนไปชิลแบบออกสายๆ ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่เร่งไม่รีบ ไปทำตัวสบายๆ ค่อยๆ เก็บแต่ละที่และอินกับมันให้มากที่สุด โดยที่แรก เราจะพาไปเช็คอินถ่ายรูปในมิวเซียม ต่อด้วยล่องเรือชมวิถีชีวิต แล้วไปทำตัวชิคๆ ยามบ่ายทีคาเฟ่สุดคูล พอตกเย็นก็ไปนอนแคมปิ้งกินกุ้งเผาให้หนำใจ เช้าวันใหม่จะพาไปไหว้พระแบบหญิงไทย แล้วปิดท้ายก่อนกลับกรุงด้วยร้านอาหารวิวสวยจนต้องติดดาวก็เป็นอันจบทริป 2 วัน 1 คืน กับการไปเที่ยวนครปฐมแบบครบรส แถมเดี๋ยวนี้สะดวกสบายใช้จ่ายคล่องมากๆ แค่จ่ายผ่านแอป K PLUS หรือ บัตร PTT Blue Credit Card ดีในดีมันก็เป็นทำนองนี้แหละ ไม่ขอพูดเยอะเจ็บคอตามมาดูกันเลย

ก่อนออกเดินทางไปต่างจังหวัดทุกครั้ง เรามักจะแวะปั้มเพื่อตรวจเช็คสภาพรถ เช็คยาง เติมลม เติมน้ำมันให้พร้อม และไม่ลืมที่จะตุนเสบียง ไม่ว่าจะเป็นขนมนมเนย ไว้กินแก้หิวระหว่างทาง หรือก่อนไปเที่ยวลืมจ่ายค่าไฟ ก็แวะจ่ายบิลผ่าน K-Service ที่ร้านจิฟฟี่ก็ย่อมได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินสดกันเลย ความสะดวกสบายเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แค่ใช้จ่ายผ่านแอป K PLUS หรือจ่ายผ่านบัตร PTT Blue Credit Card ที่ PTT Station และในร้านดังที่ร่วมรายการไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่อเมซอน ร้านแด๊ดดี้โด ร้านแท็กซัสชิกเก้น ร้านฮั่วเซงฮงติ่มซำ ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ ฟิต ออโต้ที่เราชอบไปตรวจสภาพรถก่อนเดินทางด้วย

หลังจากเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว เราก็ขอไปหาของอร่อยในปั๊มเติมพลังให้ตัวเองบ้าง เราเลือกซื้อไก่เท็กซัสหนึ่งเซ็ท พร้อมคาปูชิโน่แก้วใหญ่หวานน้อยจากคาเฟ่อเมซอน มาเป็นเสบียงระหว่างทางในครั้งนี้ และการใช้จ่ายก็ง่ายแสนง่าย เพราะว่าเราสามารถปิ๊บจ่ายด้วย QR Code ผ่านแอป K PLUS ได้ง่ายสะดวกและรวดเร็วตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่นิยมอะไรง่ายๆ ไม่ต้องคิดเยอะแบบเราที่สุด

เมืองมายา หอภาพยนตร์

ออกจากเมืองกรุงได้ไม่นาน สายตาที่มองเห็นแต่ตึกสูงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นท้องนาและต้นไม้สลับมาบ้าง เราตั้งใจไปที่นี่เป็นที่แรก เพราะเป็นทางผ่านเข้าสู่นครปฐม เมืองมายาบนโลกของความจริงแห่งนี้ เป็นอีกที่ที่เหมือนพาเราย้อนวัยกลับไปเป็นวัยละอ่อน ยิ่งใครเป็นคอหนังไทยเก่าๆ ยิ่งต้องชอบมากแน่นอน เพราะที่นี่ได้รวบรวมประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของไทยและภาพยนตร์โลกเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายฟิล์ม หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน จึงทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นมาก เดินชมไปก็คิดดึงวัยเด็กไปและเผลอยิ้มออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว

ภายในเมืองมายาเราก็จะเห็นการจำลองสถานที่ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการถ่ายหนังเอาไว้ ทั้งสถานที่ดังในไทยและต่างประเทศ อย่างเช่น มงคลบริษัท เป็นโรงละครสมัยรัชกาลที่ 5 ของหม่อมเจ้าอลังการที่ถือว่าเป็นที่ฉายภาพยนตร์แห่งแรกในประเทศไทย นอกจากก็ยังมีประตูเมืองกรุงเทพ  สถานีรถไฟศินีมา ที่จำลองความเกี่ยวข้องของภาพยนตร์ไทยกับการรถไฟในอดีต มีขบวนรถไฟจอดเทียบชานชาลาให้เราแวะเข้าไปถ่ายรูปเช็คอินและดูนิทรรศการด้วย

ถัดจากโซนหนังไทย ขอพาก้าวเท้าข้ามประเทศมาดูประวัติศาสตร์ของหนังฝรั่งบ้าง มีการจำลองโรงแรมสคริบ ในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส รวมถึงโรงหนัง Nikelodeon โรงหนังแรกของโลกที่ถูกดัดแปลงมาจากห้องแถว โซนนี้เราชอบมาก เหมือนได้ไปเที่ยวเมืองนอกทั้งที่ไปแค่นอกเมือง  แล้วถ้าระหว่างเดินชม ใครเริ่มร้อนเหงื่อตกหยดติ๋งๆ ก็เลี้ยวเข้าคาเฟ่จิบโกโก้เย็นสักแก้วได้เลยในโซนนี้

คลองมหาสวัสดิ์ ชุมชนริมสายน้ำ

ตามสโลแกนเที่ยวแบบไม่เร่งรีบของเราในทริปนี้ ทำให้เราตัดสินใจไปล่องเรือชมวิถีชุมชนริมสายน้ำคลองมหาสวัสดิ์กันต่อ ถ้าใครอยากไปแต่กลัวหลงและไม่รู้ว่าจะไปเริ่มตรงไหน แนะนำให้เสิชพิกัดกูเกิ้ลแมพไปที่วัดสุวรรณารามเลย พอถึงวัดปุ๊บก็จะมีท่าน้ำให้เราติดต่อเรือหางยาวมารับ ส่วนจุดเด่นของที่นี่นอกจากจะนั่งเรือชมวิว ดูบ้านริมน้ำ ดูนก ดูปลา แล้ว ยังมีจุดแวะอีก 4 จุดให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปเที่ยวชมด้วย มีทั้งนาบัว สวนกล้วยไม้ ไร่นาสวนผสม และบ้านศาลาดิน พอลงเรือปุ๊บ ป้าศรีไกด์ท้องถิ่นของเราก็เริ่มเล่าประวัติเรื่องราวและข้อมูลเกี่ยวกับชุมชมนี้ให้เราฟัง คลองนี้ไม่ใช่คลองธรรมชาติ เป็นคลองที่รัชกาลที่ 4 ทรงให้ขุดเพื่อย่นระยะการเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ชาวบ้านในชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ทำอาชีพการเกษตรและสวนผลไม้ คลองนี้จึงเปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงชุมชนมานับหลายร้อยปีเลยทีเดียว

จุดแรกที่คนนิยมไป และเราก็ไปเช่นกัน คือ “นาบัว” ที่นี่เป็นบึงกว้างๆ ปลูกดอกบัวพันธุ์สัตตบุศย์ พันธุ์ที่คนนิยมซื้อไปบูชาพระ จะเป็นบัวตูมๆ ที่ยังไม่บาน ถ้าใครไปในช่วงเช้าก็จะได้มีโอกาสเก็บบัวด้วย จุดนี้เราจะเปลี่ยนจากเรือหางยาวมาเป็นเรือพายเพื่อเข้าไปชมบัวใกล้ๆ พายไปเรื่อยๆ สังเกตดีๆ ก็จะมีบัวคู่รัก อย่างดอกบัวคู่อยู่ เห็นแล้วก็อยากถอนหายใจดังๆสักสองที ขนาดบัวยังมีคู่ ส่วนตูยังไม่มีใคร 555 ถ้ามาในช่วงเดือนพฤษภาคมจะเป็นช่วงที่บัวสวยที่สุด ใบบัวปกคลุมทั่วจนแทบมองไม่เห็นผืนน้ำ

ชมนาบัวเสร็จ ก็มาต่อกันที่ “สวนกล้วยไม้” หลังจากเรือจอดปุ๊บก็ลงเดินต่ออีกประมาณ 200 เมตรเท่านั้นก็ถึง  แปลงปลูกกล้วยไม้ที่นี่สวย ดูรู้เลยว่าได้รับการดูแลอย่างดี มีหลากหลายสีสัน มีทั้งสีเหลือง ม่วง แดง ต่างเบ่งบานชูช่ออวดสีสันกันอย่างสวยงาม เจ้าของสวนออกมาต้อนรับและอธิบายวิธีการปลูก และดูแลรักษาและพันธุ์กล้วยไม้ให้ฟัง ใครฟังจนอิน ชมจนชอบ อยากจะซื้อกลับบ้านเป็นของฝากติดไม้ติดมือหรือไว้ปลูกในสวนเล็กๆ หลังบ้านก็ย่อมได้ ราคาไม่แรง แถมมีคุณภาพ

อีกจุดที่เราได้แวะชมคือ “สวนเกษตรผสมผสาน” เป็นสวนผลไม้ที่ปลูกผสมผสานกันหลายชนิด เช่นมะพร้าว มะม่วง ขนุน ส้มโอ ซึ่งล้วนเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนครปฐม ไฮไลท์อีกอย่างที่โคตรสนุกและตื่นเต้น คือการนั่งรถอีแต๊กเที่ยวชมสวน คุณลุงคนขับนี่ลีลาเด็ดมาก ขับๆ อยู่ก็กระโดดลงจากรถทั้งที่เรายังนั่งอยู่บนรถ ตอนแรกก็ตกใจแต่เพิ่งเข้าใจว่ามันเป็นวิธีการกลับรถในแบบฉบับของลุง เล่นเอาเสียวไปทั้งคันเลยจ้า

After the rain Coffee & Gallery

อีกหนึ่งร้านคาเฟ่น่ารักในจังหวัดนครปฐมที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง อยู่ไม่ไกลจากสถานที่ยอดฮิตอย่างตลาดน้ำดอนหวายและวัดไร่ขิงเลย แต่พอมาเจอความเขียวสดชื่นกับบรรยากาศท้องร่องสวนแล้ว เรากลับไม่รู้สึกถึงความจอแจวุ่นวาย มีแต่ความสงบและบรรยากาศน่ารัก ตัวร้านเป็นเรือนกระจกสีขาวขนาดเล็ก ตกแต่งเรียบง่าย สไตล์เอิร์ธโทน มีที่นั่งหลายมุมให้เลือก เราชอบธรรมชาติเลยเลือกที่นั่งด้านหลังร้านที่ติดท้องร่อง ดูคนพายเรือไป ดูดน้ำให้ชื่นใจไป ก็คงมีความสุขไม่น้อยสำหรับวันที่เร่งรีบแบบนี้

คาเฟ่นี้ไม่ได้มีแต่ขนมนมเนยเท่านั้น ถึงเวลามื้อกลางวันพอดี เราเลยสั่งอาหารง่ายๆ ที่เป็น signature ของทางร้านมาลอง เป็นข้าวผัดสามสหาย กับก๋วยเตี๋ยวอัญชัน ในส่วนของข้าวผัดนั้นก็อร่อยลงตัวกับปริมาณที่พอเหมาะกำลังอิ่ม แต่ก๋วยเตี๋ยวอัญชันนี่สิ เรียกได้ว่าเส้นนุ่มหอมกลิ่นอัญชัน ยิ่งได้จุ่มลงไปในน้ำจิ้มจิ้มแจ่วแล้ว มันเป็นอะไรที่ควรค่าแก่กระเพาะน้อยๆ นี่มาก นอกจากอาหารจานหนักแล้ว ของทานเล่น ขนมหวานก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฮันนี่โทสต์ก็ดี ปังลาวาก็เลิศ น้ำมะพร้าวอ่อนอัญชันก็อร่อย

Jardin de Chaisri

เนื่องจากเราเคยมีฝันว่าอยากมีบ้านที่มีศาลาริมน้ำไว้นอนอ่านนิยายสุดโปรด Jardin de Chaisri เลยเป็นหนึ่งในลิสต์ที่เที่ยวในทริปนี้ไปในทันที ถึงแม้ว่าชื่อร้านจะอ่านยากไปสักหน่อย แต่ก็ซ่อนความหมายเอาไว้ให้น่าค้นหา  ฌาร์ค-แดง แปลว่าสวน คำแปลรวมๆ ของร้านก็คือ สวนของนครชัยศรี แต่เอกลักษณ์ของร้านไม่ได้มีแค่สวนอย่างในชื่อเพียงอย่างเดียว การจัดร้านยังเน้นความเป็นไทย โดยตัวร้านเป็นบ้านทรงไทยโบราณตามแบบฉบับบ้านภาคกลาง ยกใต้ถุนสูง ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดให้เราได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ ถ้ามองไปนอกร้านก็จะมีบ่อน้ำและศาลาไม้ให้นั่งชิลล์ แน่นอนว่าเราไม่รอช้ารีบสั่งเครื่องดื่มและเค้กมะพร้าวทีเด็ดของร้าน แล้วเดินมุ่งหน้าไปศาลาทันที

Jumtla Campiness

แดดร่มลมเย็นพัดมา ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พักชิลล์ๆ ของเราในค่ำคืนนี้ ณ ปลายนาริมแม่น้ำลำพญา มีแคมป์ปิ้งเปิดใหม่ ที่เรียกตัวเองแคมป์แห่งความสุข ที่นี่เหมาะกับคนที่รักธรรมชาติ และต้องการเสพความสุขโดยการทำตัวสบายๆ ไม่เร่งรีบใดๆ เหมาะกับคนที่อยากนั่งฟังเสียงนก ชมวิวทุ่งนาเขียวๆ อยู่ง่ายกินง่ายไม่ติดหรูแต่ก็มีสิ่งอำนวนความสะดวกครบครัน เราเคยรู้จักชื่อของจัมทราแคมป์ปิเนสมาประมาณปีที่แล้วในช่วงฤดูหนาวที่เนินมะปราง แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปลองพัก ครั้งนี้มีโอกาสได้มาลองที่พักใหม่ในนครปฐม ก็หลงรักตั้งแต่การต้อนรับเลย ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเพียงชั่วโมงเดียวจากเมืองกรุง จะมีอะไรดีต่อใจได้ขนาดนี้

หลังจากประทับใจกับการต้อนรับไปหนึ่งดอกแล้ว ก็ยังคงประทับใจอย่างต่อเนื่องกับเต๊นท์ห้องพักของเรา รูดซิปเปิดเต๊นท์ไปปุ๊บ เราก็จะเห็นเตียงนอนสีขาวขนาดใหญ่ ดูนุ่มน่าสัมผัสจนอดไม่ได้ที่จะทึ้งตัวนอนยืดเส้นยืดสายสักแปบ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในห้องค่อนข้างครบครัน มีพัดลม มีแอร์ตัวเล็กที่จิ๋วแต่แจ๋ว ไฟฟ้าก็มีตลอด 24 ชั่วโมงไม่ต้องห่วง

มาพักที่นี่แล้วก็ไม่ต้องขับรถไปหามื้อเย็นที่ไหน เพราะเค้ามีเตรียมไว้เฉพาะแขกที่เข้าพัก รสชาติอาหารคือถูกปากเรามาก มีทั้งอาหารไทย น้ำพริกกะปิ ไก่ทอด ผัดผัก แกงส้ม กินไม่อิ่มก็เติมได้ไม่อั้น และความสเปเชี่ยลยังไม่หมด แขกทุกคนที่เข้าพักจะได้ทานกุ้งแม่น้ำเผาคนละตัว เนื้อกุ้งเด้งสู้ฟัน กับน้ำจิ้มซู้ดสุดแซ่บ ที่ใช้มะนาวออแกนิคจากสวนของที่นี่ เรารู้เลยว่าวัตถุดิบทุกอย่างที่เค้าเลือกมาทำอาหารเป็นวัตถุดิบชั้นดีจริงๆ การันตีได้จากการเติมข้าวเพิ่มแบบไม่ยั้งของเรา

ช่วงค่ำฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อากาศก็เย็นขึ้นทำให้เรารู้สึกสบายตัวเข้าไปอีก กินอิ่มแล้วเข้าเต้นท์ไปนอนพุงกางอ่านหนังสือสักเล่มทำให้คืนนี้เป็นอีกคืนที่มีความสุข

องค์พระปฐมเจดีย์

เอาใจสายบุญบ้างกับสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครปฐมที่ใครๆ ก็ต้องเคยมา คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากองค์พระปฐมเจเดีย์ หรือที่ชาวนครปฐมมักเรียกติดปากกันว่า องค์พระ เจดีย์องค์ใหญ่สีทองอร่ามมีลักษณะเป็นทรงระฆังคว่ำนี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งของไทย  ภายในองค์พระเจดีย์ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จึงเป็นที่เคารพสักการบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ใครๆก็หลั่งใหลเข้ามาไหว้กันไม่ขาดสาย หลังจากเรากราบไหว้เรียบร้อยก็เริ่มเดินรอบพระอารามชั้นนอกสามรอบ เพื่อตั้งจิตอธิษฐานขอให้พรที่ขอไว้นั้นเป็นจริง

Sky bar at Mida Dhavaravati Hotel

เรายังคงคอนเซ็ปของการมาเที่ยวครั้งนี้ไว้ว่า ไม่รีบ ไม่แน่น แต่เต็มอิ่มกับทุกนาทีที่ผ่านไปอย่างช้าๆ แต่มีคุณภาพ ปิดท้ายทริปแบบสวยๆ หวยเลยลงที่ sky bar ใจกลางเมืองนครปฐม กับวิว 360 องศาที่เห็นครั้งแรกก็ร้องว้าวตาโตเลยทีเดียว ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่เปิดบริการตั้งแต่ 6 โมงเย็นยาวไปยันตี 2 ใครสายดริ้ง สายเมาแบบกรุบกริบ ควรมามากแกเพราะมันลงตัวสุดๆ คิดดูสิลมพัดเย็นๆ บนยอดตึก มองไปตรงหน้าเห็นวิวองค์พระ  นั่งฟังเพลงชิลๆ คุยกับใครสักคน พร้อมคอกเทลสักแก้ว มันคงเป็นช่วงเวลาวิเศษที่สุดที่น่าเก็บไว้ในความทรงจำเลยล่ะ Sky bar แห่งนี้อยู่บน โรงแรมไมด้า ทวารวดี แกรนด์ นครปฐม ไม่จำเป็นต้องพักที่นี่ก็สามารถมาชิลล์ได้เหมือนกัน

รับแต้มบุญเติมพลังให้ชีวิตสดชื่นกันแล้ว ก็ถึงเวลาอำลานครปฐมขับรถกลับเข้าเมืองไปพร้อมรอยยิ้มของความสุข สำหรับใครที่มีวันว่างๆ ไม่อยากปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆเสียเปล่า แต่ไปไกลเกินก็ไม่สามารถ แนะนำให้มาเที่ยวนครปฐมแบบไม่เร่งรีบเหมือนเราในทริปนี้ดู เที่ยวง่ายเที่ยวใกล้ ไม่ต้องขับรถไกล ไม่ต้องพกเงินสดไปไหนให้หนักกระเป๋า เพราะแค่เราปิ๊บจ่ายด้วย QR Code ผ่าน K PLUS หรือรูดบัตร PTT Blue Credit Card ที่ PTT Station การใช้จ่ายทุกอย่างก็แสนจะสะดวกสบาย หายห่วงมากขึ้น อยากกินอะไรก็ปิ๊บจ่าย อยากเติมน้ำมันก็รูดปรื้ด แถมทุก 50 บาท หรือจ่ายบิลผ่าน K-Service 1 บิล ก็ได้รับทันที 1  สิทธิ์ ไว้ลุ้นเติมน้ำมันฟรีตลอดปี รางวัลละ 120,000 บาท รวม 40 รางวัล หรือลุ้น iPhone 8 รวม 120 รางวัล ได้ทุกสัปดาห์อีกด้วย เบ็ดเสร็จงานนี้ลุ้นรางวัลกว่า 8 ล้านเลยนะเออ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก ที่นี่

และระหว่างทางกลับบ้านที่แสนอบอุ่นนั้น เราก็ได้เรียนรู้อีกอย่างจากทริปนี้ว่า การท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องไปในที่ที่ใครบอกว่าดีที่สุด สวยที่สุด แพงที่สุด เอ็กซ์คลูซีฟที่สุด แค่เราอยู่กับธรรมชาติรอบตัว ซึบซับและใส่ใจกับสิ่งเล็กๆ ที่ผ่านเข้ามา ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย มันก็สามารถพาเราบรรลุเป้าหมายของการท่องเที่ยวได้แบบครบถ้วนแล้ว เราขอให้แกแกล้งลืม one day trip นครปฐมแบบที่เคยไปมาก่อนหน้านี้ แล้วลองมาดื่มด่ำเก็บลิสต์ที่เที่ยวน่าสนใจไปกับเราช้าๆ บ้าง ย้ำกันอีกทีว่า นครปฐมครบรสในครั้งนี้ มันดีงามเกินบรรยายหมดจริงๆ นะแก!!!!