SANTORINI : One Of The Most Beautiful Island

ภาพตึกสีขาวทรงแปลกตาที่เรียงรายลดหลั่นกันอยู่ริมหน้าผาสูงตระหง่าน ภาพเหล่านักท่องเที่ยวแต่งตัวสีสันสดใสสวมหมวกปีกกว้างใบโต ภาพหาดทรายสีแดงและสีดำที่ชวนให้ปูผ้านอนอาบแดดแบบงง ๆ ทุกภาพล้วนยั่วใจเหล่านักเดินทางทั่วโลกให้อยากลองมาสัมผัสเกาะซานโตรินี ดรีมเดสติเนชั่นส์ของเหล่าคู่รัก หนึ่งในเกาะสวยงามที่สุดในโลกที่ถูกโอบกอดด้วยน้ำทะเลสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ได้อย่างลงตัว บอกเลยว่า 12 โลเคชั่นกับเวลา 3 วัน 2 คืน ที่เราจะเล่าต่อไปนี้ต้องทำให้หัวใจแกเต้นแรง และตกหลุมรักเกาะอันโด่งดังแห่งประเทศกรีซแบบเราได้ไม่ยากแน่นอน …

ซานโตรินี เป็นเกาะท่องเที่ยวสุดฮอตระดับโลกที่อยู่บนทะเลอีเจียนของประเทศกรีซ เป็นเกาะที่คู่รักหลายคู่ใฝ่ฝัน รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกล้วนอยากมาเยือนให้เห็นด้วยตา มาสัมผัสให้รู้สึกกันด้วยใจ และมาเพื่อพิสูจน์ว่าดินแดนของเราเหล่าทวยเทพจะงดงามมากแค่ไหน และนอกจากบ้านสีขาวหลังคาโดมฟ้าริมผาที่เห็นผ่านโปสการ์ดท่องเที่ยวกันจนคุ้นตาแล้ว ถ้าลองไปสืบค้นหาประวัติที่ไปที่มาของเกาะสุดฮอตแห่งนี้ทุกคนจะต้องร้อง อู้หู กับความไม่ธรรมดา เพราะกว่าจะมาเป็นเกาะที่สวยงามอย่างที่เห็นกันทุกวันแห่งนี้ ภูเขาไฟนางต้องยอมพลีชีพโดยการระเบิดตัวเองปะทุลาวาสีส้มมาเผลาผลาญ ขัดเกลาเกาะแห่งนี้ให้ได้สัดส่วน ซึ่งผลจากการระเบิดในครั้งนั้นเลยส่งผลทำให้เกาะแห่งนี้มีลักษณะเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว และมีภูมิทัศน์ที่สวยงามอย่างเช่นทุกวันนี้

สำหรับการเดินทางไปยุโรปก็ไม่ได้ยากถึงขั้นไปเที่ยวเองไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนเดินไปสแตปม์บัตรผ่านแดนเข้าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการเตรียมตัวที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราควรศึกษาทั้งเรื่องเงิน วีซ่า การเดินทาง สภาพอากาศ รวมถึงเรื่องหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของเค้าไว้บ้างจะได้หยิบของฝากสุดเลอค่ามาฝากคนที่บ้านถูก และเพื่อไม่ให้ไปยืนงงในดงฝรั่งที่ต่างบ้านต่างเมืองมาเตรียมตัวเตรียมความพร้อมไปพร้อมๆ กับเรากันเถิด

การเดินทาง : ปัจจุบันยังไม่มีสายการบินเจ้าไหนบินตรงจากไทยไปยังซานโตรินี เพราะฉะนั้นเบื้องต้นแกต้องหาตั๋วโปร กรุงเทพฯ – เอเธนส์ ให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยมาดูตั๋วบินจากเอเธนส์ไปซานโตรินี ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายสายการบิน แถมราคาก็ไม่ได้สูงเว่อร์ กินประหยัดสักสองสามสัปดาห์เราเชื่อว่าทุกคนสามารถจับต้องได้ ยิ่งถ้าจองแต่เนิ่นๆ รับรองว่าได้ราคาถูกแน่นอน แต่ทริปนี้เราค่อนข้างเจ็บตัวเพราะจองกระชั้นชิดไปนิด เอเธนส์ – ซานโตรินี เลยเสียค่าเสียหายไปคนละประมาณ 12,000 บาท

เงิน : เกาะซานโตรินีตั้งอยู่บนทะเลของกรีซและกรีซคือประเทศในยุโรปดังนั้นเงินย่อมใช้สกุลยูโรมิใช่บาท ดังนั้นก่อนเดินทางควรแลกเงินไปเสียแต่เนิ่นๆ เพราะสำหรับเราการแลกเงินไปก่อนก็เพื่อเหตุผลสำคัญคือ เราสามารถแบ่งเงินเป็นกองๆ ไว้สำหรับไว้กิน ไว้ช้อป ไว้สำรอง แยกๆ กระเป๋ากันไว้ เพื่อให้คำนวนค่าใช้จ่ายในทริปได้ง่าย รวมถึงกันเวลาที่เงินหายจะได้ไม่หายไปทั้งก้อนอีกด้วย พูดถึงการแลกเงิน ตอนนี้ธนาคารกสิกรไทยเค้ามีโปรโมชั่นน่าสนใจ คือ ใช้บัตรเครดิตรูดแลกเงิน แบบไม่มีค่าธรรมเนียม และยังผ่อน 0% ได้นาน 4 เดือน แถมได้เรทราคาโอเคด้วยนะ ดูรวมๆ แล้วเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการแลกเงินที่ดีงามมากเว่อร์ แบบว่าได้เงินไปเที่ยวเป็นก้อนโดยไม่ต้องไปแตะเงินเก็บที่นอนกินดอกเบี้ยอยู่ในธนาคารเลยอ่ะแก หากสนใจตามไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่ นาจา

หากจะเทียบเรทราคาระหว่างการแลกเงินที่ KBank และ Non-Bank เอาจริงการแลก Non-Bank มันก็ได้เรทสูงกว่าแหละ แต่ส่วนต่างก็ไม่ได้เยอะมากเว่อร์ เบ็ดเสร็จแล้วก็น่าจะร้อยกว่าบาท แต่ถ้าแลกกับการสามารถผ่อนจ่าย 0% นาน 4 เดือน ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมาก แถมสถานที่แลกเงินก็หาง่ายเพราะบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทยสามารถรูดแลกเงินได้ที่บูธแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และธนาคารกสิกรไทยทุกสาขาที่ร่วมรายการ และไม่ว่าจะเงินสกุลไหนเค้าก็รับแลกหมดนะแก ต่อไปนี้ไปเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง อเมริกา แคนนาดา รัสเซีย ใครถือบัตรเครดิตกสิกรอย่าลืมโปรดีๆ แบบนี้นะ เพราะเค้าจัดในช่วง มี.ค. – 30 มิ.ย. 61 นี้เท่าน๊าน

วีซ่า : ต่อให้มีเงินเต็มกระบุง จองตั๋วเครื่องบินซะดิบดี แต่ไม่มีสิ่งๆ นี้ที่เรียกว่าวีซ่าก็เข้าประเทศไม่ได้นะเหวย สำหรับวีซ่าของกรีซนั้น แกต้องไปทำการขอวีซ่าเชงเก้นที่สถานฑูตกรีซไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสามเดือน โดยการไปสถาณฑูตแกก็สามารถไปได้เลยไม่ต้องนัดหมายใดๆ ยกเว้นวันหยุดก็อย่าไปจะเก้อได้ พร้อมทั้งเอาเอกสารและปริ้นแบบฟอร์มตาม ลิ้งค์นี้ ไปยื่นที่ถานฑูต ณ ตึก Standard Chartered  ชั้น 23 ได้ตั้งแต่เวลา 9.30 น. การขอก็รวดเร็วง่ายได้ มีสัมภาษ์ณเล็กน้อยแต่พองาม ส่วนใครแพลนจะไปเที่ยวหลายประเทศอยู่แล้วยื่นขอวีซ่าเชงเก้นกับสถานฑูตไหนก็ได้เด้อตามที่สะดวกเลย

001 Fira

เมื่อทราบข้อมูลการเตรียมตัวเบื้องต้นกันแล้ว เราก็มาเริ่มกันที่โลเคชั่นแรกบนเกาะแห่งความฝันแห่งนี้ Fira แหล่งชุมชนขนาดใหญ่ที่สุดของเกาะซานโตรินี ที่นี่ประกอบไปด้วยบ้านเรือน โบสถ์ โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงร้านขายของฝากที่เรียงรายเบียดเสียดกันแน่นอยู่บนเนินผาสูงติดริมทะเล ความสวยงามและพร้อมสรรในหลายๆ สิ่งของที่นี่นี่เองที่ทำให้ที่นี่มีคืออลังการของมวลมหาประชานักท่องเที่ยวมาเดินเล่น กินลมชิววิว ทานอาหาร ซื้อของฝากกันอย่างคึกคักจนแน่นขนัดมากว่าโซนอื่นๆ ของซานโตรินี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแดดร่มลมตกนกบินกลับรัง

และจากการเดินเก็บภาพรวมถึงการเดินชิวซอกแซกตามซอกซอย ทำให้เราพบว่า Fira เป็นแหล่งรวมงานศิลปะ งานอาร์ทที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ภาพวาด เครื่องปั้นต่างต่าง ซึ่งใครชอบเสพงานแนวนี้การมาเดินที่นี่คงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ส่วนขาช้อปทั้งหลายที่มุ่งเน้นหาเสื้อผ้าชิคชิค แนวใส่เล่นเกร๋เกร๋ริมทะเลในช่วงซัมเมอร์ ของฝากกระจุกกระจิก ที่ Fira ก็มีหลายร้านให้เลือกเยอะเช่นกัน

เยอะพอพอกับร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ร้านอาหาร เราขอยกให้กับคาเฟ่ชิคชิคคูลๆ ซึ่งแต่ล่ะคาเฟ่ต่างจัดหนักจัดเต็มในการตกแต่งร้านให้ออกมาดูคูลดูแพงที่สุดสมเป็นเมืองเทพสร้าง ทว่าร้านคาเฟ่ที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป ส่วนมากจะเป็นคาเฟ่ที่อยู่บนเนินผา เพราะวิวของแต่ละร้านคงไม่ต้องบรรยาย ไหนจะเรือลำน้อยที่ล่องลอยในนาวา ไหนจะสีน้ำครามและยอดคลื่นของทะเล ไหนจะลมที่ผัดโชยอ่อน ไหนจะเครื่องดื่มสุดโปรดตรงหน้า ทุกอย่างล้วนเชิญชวนให้นั่งชิวมองวิวที่สวยแบบไกลจนสุดสายตา

002 Enigma Cafe’

หลังจากร้อนเหงื่อโชกจากการเดินพินิจพิจาณาร้านคาเฟ่เป็นสิบๆ ร้านอยู่นานมากโข เราก็มาจบที่ร้าน Enigma Cafe’ ร้านที่ชื่อโหด แต่หัวใจอยู่โหมดฟรุ้งฟริงเป็นแน่ เพราะโทนสีขาวปนฟ้าอ่อนๆ กับบรยากาศริมผาที่มีลมพัดโชยมาคอยขับไล่ความร้อนแรงของเกาะ รวมถึงความเป็นส่วนตัวที่พาเราหลีกหลี้หนีความชุลมุนของ Fira มาได้ ทำให้เรามีเวลานั่งเซลฟี่ อัพรูปสวยๆ ลงโซเชี่ยลได้แบบสบายๆ ก่อนหันกลับมาจิบน้ำผลไม้คู่เมืองร้อนอย่างน้ำเสาวรส และน้ำส้ม ที่ช่วยเสริมสร้างฟีลทะเลให้ได้อีกมาก พร้อมเอนหลังแอบดูสาวๆ หนุ่มๆ นักเดินทางแววตาชวนฝันกำลังหัวเราะร่ากับเรื่องราวที่เราฟังไม่ออก แต่แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเราก็แอบอมยิ้มตาม และกลืนพุดดิ้งเสาวรสที่เปรี้ยวอมหวานลงสู่กระเพาะของเรา

003 Oia

ดื่มด่ำกับวิวอันสวยงามกันที่ Fira เสร็จเราไม่รอช้าขับรถมุ่งหน้าสู่หมู่บ้าน Oia หมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะซานโตรินี ซึ่งเชื่อว่าเมื่อทุกคนไปเห็นจะต้องร้องอ๋อแบบเราแน่นอน เพราะเกือบทุกมุมที่สวยงามบนโปสการ์ดซานโตรินี โบรชัวร์ หรือเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนหยิบภาพถ่ายโปรโมทมาจากหมู่บ้านแห่งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ขาวหลังคาโดมฟ้า กังหัน บ้านเรือนร้านค้าต่างๆ ที่มาในโทนสีขาวตั้งอยู่สลับซับซ้อนลดหลั่นกันอยู่บนหน้าผา เหมือนหนึ่งผลงานศิลปะที่ศิลปินจงใจจับวางสิ่งต่างๆ ได้อย่างลงตัว และขับท้องฟ้าให้ดูงดงาม ขับสายน้ำในทะเลให้ดูสดใสขึ้นไปอีกได้อย่างปราณีตจริงๆ

ถ้าไม่นับวิวพระอาทิตย์ตกที่ดีงาม ร้านค้าต่างต่างที่หมู่บ้าน Oia จะไม่ได้ต่างจาก Fira มากนัก ที่นี่มีทุกทุกอย่างไม่ว่าจะร้านขายของฝาก ของที่ระลึกกระจุ๋มกระจิ๋ม ร้านขายเสื้อผ้า คาเฟ่ รวมถึงร้านอาหารที่มีให้เลือกนั่งเยอะแยะมากมาย เราชอบที่ของแต่ละชิ้น เสื้อผ้าแต่ละตัว ร้านอาหารแต่ละร้านมันมีความโดดเด่น แต่กต่างกันอย่างลงตัว และส่งเสริมกันได้อย่างดีเหมือนส้มตำที่มีผงชูรส ทุกอย่างจึงมีความนัว ความละมุน ความแซ่บที่ชวนให้หลงไหล ถ่ายรูปกันแบบช๊อตต่อช๊อตจนกล้องไม่มีเวลาได้พักผ่อน

สายน้ำย่อมคู่กับขอบฟ้า และขอบฟ้าย่อมคู่กับสุริยา ยามเย็นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ผู้คนเดินช้าลงเพราะต่างสะดุดกับความงามที่ธรรมชาติช่างบรรจงสร้าง เสียงชัตเตอร์ดังอยู่รอบตัวเราเพราะภาพตรงหน้ามันงามเกินจะปล่อยให้ผ่านเลยไป บ้านเรือนสีขาวมีแสงสีส้มกำลังสาดส่อง เนื้อตัวของนักท่องเที่ยวก็โดนลามเลียด้วยแสงอาทิตย์ ผืนน้ำกำลังรอคอยการกลับไปหาของพระอาทิตย์ ความสุขหาได้ง่ายเพียงแค่เราเข้าใกล้ธรรมชาติ

004 Neptune Restaurant

หลังจากการใช้พลังงานมหาศาลฝ่าฝูงชนเพื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินที่ฟินที่สุด ก็ได้เวลาของมื้อค่ำที่เราตั้งตารอ ซึ่งจริงๆ เราแอบหิวตั้งนานแล้วแหละ คือถ้ามายุโรปช่วงฤดูร้อน หลายๆ คนคงรู้กันดีว่าพระอาทิตย์จะตกช้ากว่าปกติ(มาก) แล้ววันนี้มันตกตั้งสองทุ่มครึ่งแหน่ะแกร๊ ไอ้ตอนถ่ายรูปก็ไม่หิวหรอกนะ แต่พอหยุดถ่ายนี่สิไส้จะข๊าดดดดด และหลังจากเดินไปเดินมาหาร้านอยู่พักนึงพวกเราก็มาลงเอยกันที่ Neptune Restaurant ร้านอาหารเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น ตั้งแต่ปี 1956 ร้านนี้จะมีทั้งโซนชั้นล่างที่ดูเป็นถ้ำสีขาว ชวนอบอุ่นเหมือนนั่งบ้านเพื่อนและชั้นบนที่เปิดโล่งรับลมแสนสบายพร้อมกับวิวยามค่ำ แต่เราแนะนำให้นั่งชั้นบนดีกว่าเพราะใครจะไปรู้ว่าพวกเราดันโชคดีได้เจอแจ็คพอต นั่งทานอาหารกันอยู่ดีๆ ก็มีพลุดังตู้มต้ามมาให้ดู โอ้ยย ปลื้มปริ่ม!

มาในส่วนของอาหารก็ดีงามไม่แพ้วิวเลยแหละ ไม่ว่าจะเป็นปลากระพงย่างเนื้อหวานที่เสิร์ฟมากับข้าวผัดเนยหอมๆ ยิ่งกินยิ่งเพลิน บีบมะนาวนิดก็จะสดชื่นไม่เลี่ยน หรือสปาเก็ตตี้ซีฟู้ดที่เส้นกรุบเด้งสไตล์ฝรั่ง รสนัวกินคู่กับของทะเลสดๆ ทั้งหอยและกุ้งสุดหวานฉ่ำก็เลิศ จากตอนแรกที่สั่งมาแค่คนละอย่างคิดว่าจะกินไม่หมดเพราะจานใหญ่มาก แต่พอกินไปกินมาดีงามจนต้องสั่งเพิ่มอีกเฉยเลยจ้าาาา คืนนี้เลยไม่เน้นเรื่องหุ่นไปก่อนละกันเนอะ

005 Mama’s House

หลังจากกินอิ่มนอนอุ่น ตื่นมาเราก็หิวอีกแล้ว มื้อแรกวันนี้เราเลือกไปทานกันที่ Mama’s House ร้านตั้งอยู่ในแหล่งรวมร้านอาหารและคาเฟ่ของเกาะซานโตรินี นั่นก็คือเมือง Fira นั่นเอง ร้านทรงกล่องเล็กๆ สีครีมอ่อน ภายในจัดวางโต๊ะเก้าอี้แบบร้านอาหารทั่วไป เอาจริงๆ ร้านนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นที่ลักษณะภายนอกมากนัก แต่ชื่อเสียงของที่นี่มาจากการบริการที่สนน่ารัก อบอุ่น เอาใจใส่ลูกค้าเหมือนว่าพวกเค้ากลับบ้านมาทานข้าวกับครอบครัว และรสชาติอาหารโดยเฉพาะ จริงๆ ร้านนี้เค้าดังเรื่องอาหารเช้าที่สุด แต่.. พวกเราดันนอนหลับเพลินไปหน่อย วันนี้เลยตื่นเที่ยงไปเลยจ้า! แต่ก็ไม่ถือว่าพลาดนะ เพราะมื้อเที่ยงเค้าก็ดีงามไม่แพ้กันเลยล่ะ

พวกเราสั่งหนวดหมึกยักษ์ย่างเส้นอวบยาวเฟื้อยสีน้ำตาลเข้มที่ตอนแรกเราปรามาสคิดว่ามันต้องเหนียวแน่นอน แต่ไม่เลย มันสด เด้ง กรุบกรอบ หวาน และหอมกลิ่นย่าง อร่อยเกินคาด หมดจานแรก! มาต่อกันอีกจานแบบตาวาวกับหอยแมลงภู่อบซอส ซึ่งก็ไม่รู้ว่าซอสอะไรรู้แต่ว่ามันช่วยดึงรสชาติของหอยแมลงภู่ให้ออกมาได้อย่างฉุ่มช่ำเต็มคำ ส่วนเมนูที่ขาดไม่ได้ในทุกๆ มื้อก็คือ ปลากระพงย่างเนื้อขาวขนาดกำลังน่ากิน ส่วนความสดนั้นก็มาตราฐานดีเหมือนจานอื่นๆ เราแค่บีบเลมอนแค่นั่นเอง แล้วบุ๊งงง รสชาติก็ดีขึ้นอีกสามเท่าจ้า สำหรับใครที่ติดรสชาติไทยๆ อย่างเรา อย่าลืมพกน้ำพริกมาเที่ยวด้วยล่ะ เพราะอาหารอร่อยก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันขาดความแซ่บ! นี่พอได้โรยน้ำพริกลงบนทุกจาน เกาะซานโตรินีก็กลายเป็นสวรรค์ของจริงเลยแกเอ๊ย

006 Porto Carra Cafe’

จบคาวก็ต้องตามด้วยของหวานล้างปาก ระหว่างเดินย่อยมื้อเที่ยงใน Fira เราก็มาเจอร้าน Porto Carra Café’ เป็นคาเฟ่แนวเฮลตี้ ริมผาที่ตกแต่งได้สุดชิคเก๋ โดยเฉพาะหลังคาที่ทำเป็นช่องๆ ให้แสงลอดผ่านลงมาที่ร้าน ภาพที่ได้ออกมาจึงดูสวยเท่ควรค่าแก่การลงรูปเช็คอินใน IG ที่สุด ชื่นชมรอบร้านจนเค้าสงสัยว่าจะมากินหรือยืนเฉยๆ ก็ได้เวลาเดินไปที่ริมผา แต่ไม่ได้โดด แล้วหย่อนก้นนุ่มๆ ลงนั่งกินบรรยากาศฟ้าสีครามสดใส ก็อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นเป็นคาเฟ่แนวเฮลตี้ เค้าเลยเน้นผลไม้สด และกรีกโยเกิร์ต มากรีกก็ต้องชิมกรีกโยเกิร์ตจากต้นตำหรับสิเนอะ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง เราเลือกสั่งสารพัดเมนูของหวานไม่ว่าจะเป็นเบอเกอร์นูเทลลา โยเกิร์ตกรีซผสมผลไม้สด น้ำสตรอเบอร์รีโซดา มานั่งกินเล่นๆ ล้างปากเสริมน้ำตาลในเลือดให้อดีนารีนสูบฉีดสร้างความสุขแบบสมบูรณ์แบบ

007 Excavations of Akrotiri

ห่างจาก Fira ประมาณ 15 นาที เราก็มาอยู่กันที่ Excavations of Akrotiri ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ซากวัตถุโบราณที่ภายในอาคารค่อนข้างจะสูงโปร่ง หลังคาใส มีแสงสวยๆ ลอดผ่านทำให้เกิดมุมน่าถ่ายรูป และเผยให้เห็นวัตถุโบราณลวดลายแปลกตาสีน้ำตาลอ่อนที่ฝังอยู่ในทราย เราสามารถเดินชม แวะอ่านประวัติความเป็นมาตามจุดที่ที่เค้าจัดไว้ให้ สำหรับคนที่ไม่สายประวัติศาสตร์แนะนำให้ไปต่อป้ายหน้าได้เลย เพราะค่าเข้าที่นี่ค่อนข้างแพงสำหรับคนที่ไม่ใช่สายของโบราณจริงๆ อ่ะนะ ส่วนสายประวัติศาสตร์สายของโบราณพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงจ้า

008 Red Beach

Red Beach เป็นอีกหนึ่งหาดที่ฟินและไม่ควรพลาดที่จะแวะมาแชะภาพเช็คอินอวดเพื่อนๆ ด้วยน้ำสีมรกตที่ใสจนมองเห็นหินที่อยู่ด้านใต้ ทรายสีแดงที่แสนแปลกตา อดีตแหล่งขุดเจาะโบราณสถานทำให้หน้าผาแห่งนี้ดูแต่งต่างจากทุกๆ หาดที่เราเคยไป ท้องฟ้าสีฟ้าสะอาดใสไร้เมฆยิ่งทำให้ที่นี่ร้องแรง แต่ก็ยังร้อนแรงน้อยกว่าฝรั่งริมหาดที่แซ่บกว่าพริกกะเหรี่ยงสิบเม็ด ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ใครหลายๆ คนติดตา ติดใจ แต่สำหรับใครที่แสนจะกลัวแดดเราบอกได้เลยว่าที่นี่จะทำให้แกเหมือนเป็นไก่ย่างห้าดาวในตู้อบที่ไม่มีทางหลีกหนีหลบร้อนไปตรงไหนได้ แต่ถ้าแกคือสายสาวแทนแบบพี่พลอย ที่นี่ก็จะเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์สำหรับแกแน่ๆ

009 Black Sandy Beach

หาดทรายสีดำที่เกิดขึ้นจากภูเขาไฟแห่งนี้ไล่ยาวมาตั้งแต่เมืองคามารี (Kamari) จนถึงเปอริซ่า (Perrissa) เป็นอีกหนึ่งหาดของเกาะซานโตรินี่ที่นักท่องเที่ยวมักจะมานั่งเล่นตากลม อาบแดด ชมวิวทรายสีดำที่ถูกโอบล้อมด้วยน้ำทะเลใสๆ สีฟ้าคราม และท้องฟ้าอันสดใส มีแสงแดดอันทรงพลังสร้างความอบอุ่นและเบิร์นผิวของเราให้แดงจนลอก มันเป็นทั้งความร้อนแรงและความสวยงามที่ชวนให้เราต้องรีบกระโจนลงทะเลไม่ก็หนีเข้าร่มหลบร้อนในร้านอาหารและร้านคาเฟ่ริมหาดสุดชิคของที่นี่

010 Tranquilo Bar

แน่นอนว่าเราเลือกกระโจนหนีร้อนเข้าสู่ร้านคาเฟ่สุดชิคดีกว่า และร้านที่เราเลือกคือร้าน Tranquilo Bar บาร์สีสันฉูดฉาดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดีจนเราและลูกค้าอีกหลายคนต้องต่อคิวยืนรอเพื่อให้ได้เข้าไปใช้บริการ และความแถวยาวนี่แหล่ะคือเครื่องการันตีความแซ่บ!!! หลังจากยืนรออยู่พักใหญ่ในที่สุดพวกเราก็ได้ที่นั่งเรียบร้อย จาการกวาดสายตาอย่างละเอียดจากเมนูแรกยันเมนูสุดท้ายก็พบว่าร้านนี้ขายพวกอาหารคลีน เน้นเมนูที่ทำจากผักเป็นหลัก แต่ก็แอบงงตรงที่ขายเครื่องดื่มแบบที่มีแอลกอฮอล์ผสมด้วย

เราสั่งข้าวผัดไก่ซึ่งถือเป็นเมนูเดียวที่ปลอดผักเหมาะกับเราที่มีเชื้อสายทีเร๊กเป็นที่สุด ในขณะที่เพื่อนอีกสองคนสั่งซีซ่าสลัดมาทานเล่นด้วยกัน ส่วนเครื่องดื่มพวกเราสั่งเมนูคลีนๆ อย่างน้ำผลไม้ปั่นมาทานกันคนละแก้ว เมื่ออาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ เราก็เริ่มลงมือลองชิมทีละอย่าง ข้าวผัดไก่มีความคล้ายคลึงรสชาติบ้านเรามากยิ่งพอได้น้ำพริกที่พกติดตัวมากินแกล้มถึงกับกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะเผลอกินพริกทั้งเม็ดเข้าไป ผิด!!! เพราะรสชาติดีต่อใจกินแล้วทำให้คิดถึงบ้านมากๆ ต่างหาก ส่วนซีซ่าสลัด คือ 100 คะแนนเต็ม ย่อเข่ารับมงไปเลย มันเป็นสลัดจานแรกที่เรากินแล้วหยุดไม่ได้ รสชาติดีน้ำสลัดอร่อย อาหารคลีนพอได้กินคู่กับน้ำผลไม้เย็นๆ เราเข้าใจเลยว่าทำไมคนถึงนั่งกันเต็มร้าน

หลังจากกินอิ่มและเฝ้ารอให้พระอาทิตย์ตกที่หาดทรายดำก่อนจะมารู้ตัวว่าเรานี้หนาคือแม่สายบัวรอเก้อแท้ๆ ก็เพราะหาดดำเนี่ยเขามาดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่พระอาทิตย์ตกนาจา!!! เด๋อด๋าแต่ว่ายังน่ารักไปอี๊กกกก ยามค่ำคืนเราเลยได้แต่นั่งหน้าเจื่อนและกลับไปนอนแบบคนอกหัก

011 Volcano Blue

ตื่นมาทานอาหารเช้าอันสดใสปลุกไฟในตัวขึ้นมาใหม่ที่ร้าน Volcano Blue ร้านอาหารทะเลริมผาที่เราเสิร์ชเจอจากรีวิวของฝรั่งนางหนึ่งที่เคลมว่าถ้ามาซานโตรินีก็ต้องมาร้านนี้ให้ได้ เชื่อคนยากอย่างเราก็ต้องขอมาพิสูจน์อีกละว่า หอยจะใหญ่ ปลาจะหวานอย่างเสียงลือหรือไม่ และเมนูของร้านอาหารที่เกาะแห่งนี้จะไม่ต่างกันมากนัก เมนูก็จะคล้ายคล้ายกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เห็นเราสั่งเมนูสปาเก็ตตี้ ปลากระพงย่าง หมึกทอด ซึ่งมันก็จะเหมือนเดิมหน่อยๆ สำหรับรสชาติของอาหารร้านนี้ยอมรับเลยว่ามันสด หวาน และดีตามที่นางฝรั่งคนนั้นกล่าวในรีวิวจริง ถือว่าเป็นมื้อปิดทริปที่ฟินนาเล่มากๆ ยิ่งบวกกับวิวที่ดีงามสองล้านบาทยิ่งทำให้อาหารของที่นี่อร่อยทั้งพุงอร่อยทั้งสายตาไปอี๊ก

012 Santo Wines Winery

ถ้าลองสังเกตดีๆ จะพบว่าสองข้างทางบางช่วงของถนนบนเกาะซานโตรินีจะมีไร่องุ่นที่มีความพิเศษและต่างจากที่อื่นตรงที่เขาจะม้วนเถาองุ่นพันเป็นวงๆ และปลูกอยู่ติดกับพื้น เพราะเค้าไม่ต้องการให้เถาองุ่นไต่ขึ้นสูงมาบดบังวิวสองข้างทางนั่นเอง ซึ่งองุ่นต่างๆ เหล่านี้จะถูกส่งมายังแลนมาร์คสุดท้ายก่อนโบกมือลานั่นก็คือ Santo Wines Winery ที่นี่แหละคือแหล่งแปรรูปผลองุ่นให้มาเป็นไวน์ชั้นเลิศของเกาะ เราก้าวเข้าสู่ภายในอาคารสีขาวสะอาดที่ตั้งอยู่บนเนินผา เลือกจับจองที่นั่งในโซนด้านนอก โซนที่สามารถนั่งชมวิวทะเล ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกแห่งของเกาะซานโตรินี เพื่อให้ทริปนี้จบสวยงามราวกับนิยายที่โปรยคำท้ายว่า to be continued

ส่วนด้านในที่มีโต๊ะอาหารจำนวนมากไว้รองรับขาดื่มทั้งหลายที่อยากจะมาลองชิมไวน์ซานโตรินี สำหรับกิมมิคการขายไวน์จะแตกต่างจากที่อื่น ซึ่งร้านอาหารทั่วไปถ้าจะสั่งไวน์ก็แค่เลือกขวด จากนั้นพนักงานก็เทเสิร์ฟเป็นแก้วๆ ไป แต่ที่นี่นางไม่ทำแบบนั้น นางขายเป็นเซ็ทให้ทดลองชิม มีตั้งแต่เซ็ท 8 แก้ว ยัน 26 แก้ว พอพวกเราเลือกเซ็ทได้ปุ๊บพนักงานก็ยกมาเสิร์ฟปั๊บพร้อมกับบอกเล่าประวัตินิดหน่อยให้ฟังก่อนจะบอกว่าให้เริ่มชิมจากแก้วไหนแล้วไปจบที่แก้วไหน ฟังแรกๆ ก็งงอยู่แล้วพอแก้วหลังๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งงงไปกันใหญ่ แต่ยิ่งดื่มก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความอร่อย หอม เข้มข้นที่เพิ่มขึ้นมาในแต่ละแก้วอยู่นะ นับว่าเป็นสถานที่ๆ ควรมานั่งจิบไวน์เป็นที่สุด

ที่พัก : ในส่วนของที่พักแล้วแต่มุมมองเลยว่าอยากพักแพงหรือถูก ส่วนเราเลยเลือกที่จะพักห้องพักราคาถูกแต่มีเงินเหลือไว้ใช้จ่าย ไว้กิน ไว้เหมาของฝากกลับมาให้เพื่อน พ่อแม่ แฟน รวมถึงป้าข้างบ้านที่ชอบมาถามแม่เราอยู่นั่นว่าลูกชายทำไมเที่ยวบ่อยจัง ที่พักที่เราเลือกก็คือ Villa Pavlina ราคาอยู่ที่ หารกันแล้วตกคนล่ะ 1,700 บาท (นอนกันสามคน) ไม่ต้องตบหน้า ไม่ต้องหยิกตัวเอง แกไม่ได้ฝันราคานี้จริงๆ มันพักได้และคนทั่วไปก็มาพักกัน มันอาจจะไม่ได้อยู่ในโลเคชั่นที่ดีงามจับใจแต่มันก็ไม่ได้ยากที่จะออกไปเที่ยว

การเดินทางบนเกาะ : หัวข้อที่เราอยากแนะนำแกเป็นเรื่องสุดท้าย การเดินทางพวกเราเลือกเช่ารถขับกันเอง โดยเช่าจากสนามบินได้เลย ไม่ต้องใช้ใบขับขี่สากล ใบขับขี่ไทยนี่แหล่ะยื่นไปเค้าก็รับ ส่วนเหตุผลที่เลือกขับเองก็เพราะมันสะดวกกว่าการใช้รถสาธาระที่แม้จะมีไว้บริการและราคาไม่แพง แต่เราก็เที่ยวแบบอยากแวะถ่ายรูปไหนก็แวะ  อยากแวะนานแค่ไหนก็ได้ไม่ต้องดูตารางรถ แต่คนขับต้องมีสกิลหน่อยนะ เพราะทางบนเกาะเล็ก ค่อนข้างคดเคี้ยว และลาดชัน ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงทางบนเกาะช้างตามที่เราบอกไป แต่หนักกว่าตรงที่คนก็ขับรถกันแบบโผ่งผางไม่มีระเบียบเท่าไหร่ ขับขี่อะไร เดินทางแบบไหนก็มีเรื่องต้องระวังเสมอนะแก เพราะนี่ไม่ใช่บ้านเรา ฉะนั้นก่อนเดินทางอย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ

และนี่คือการท่องเที่ยวเกาะซานโตรินีหนึ่งในเกาะที่เรายกให้ว่าสวยที่สุดนับตั้งแต่เดินทาง แม้ว่ามันจะไม่ได้เพอร์เฟกเหมือนเมืองของเหล่าเทพเจ้ากรีซตามแบบหนังที่เราดูๆ กัน แต่ที่นี่ก็ได้มอบความสุขให้เราเหมือนเทพประทานพร ความงามจากธรรมชาติที่ช่วยมอบสดใสให้เรา ความอิ่มหนำอันแสนอร่อยและเบิกบาน ไม่มีที่ไหนในโลกที่ดีจนไม่มีที่ติและทุกการเดินทางก็ไม่ใช่จะราบรื่นเสมอไป เรามักจะพบเรื่องเซอร์ไพรสๆ ที่ทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่เสมอ ดังนั้นการเดินทางจึงสำคัญตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง การเตรียมตัว เตรียมเงิน เตรียมใจจะช่วยให้ปัญหาเกิดน้อยลงได้ และระหว่างการเดินทางลองทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วมีความสุขกับสิ่งตรงหน้าให้เต็มที่ เอ้า เดินทางกันเถอะ