หนทางหมื่นลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก คำกล่าวนี้สะท้อนความจริงอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะเมื่อเราออกเดินทางสู่จีนครั้งแรก เพราะตั้งแต่ก้าวแรกนั้น จีนได้กลายเป็นจุดหมายที่ตราตรึงใจเราเสมอ
เที่ยวจีนครั้งนี้ … เราจะพาทุกคนออกเดินทางไปบนเส้นทางสายไหม เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน กับแพลน 7 วัน จากเมือง Xi’an สู่ Dunhuang เพื่อชื่นชมความงามในทุกอณูของกำแพงเมืองโบราณ ฟังเสียงลมพัดผ่านประตูเมืองเก่าที่กระซิบบอกเรื่องราวจากยุครุ่งเรือง ชมกองทัพทหารดินเผา กองกำลังที่เฝ้ารักษาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้มากว่าพันปี ทึ่งกับภูเขาสายรุ้ง ผลงานอันวิจิตรของธรรมชาติที่ราวกับเทพธิดาเป็นผู้เนรมิต และอีกหลายสถานที่ไม่ว่าจะเป็นมรดกโลกหรือสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่มารวมตัวกันบนเส้นทางนี้อย่างกับของหาง่าย เตรียมอ้าปากค้างกับความย่ิงใหญ่แบบเกินจริง แบบทำถึง แบบทำเกิน เพราะทริปนี้ไม่ใช่แค่การเที่ยว แต่มันคือการไปสัมผัสหัวใจแห่งอดีตที่ยังเต้นอยู่จนถึงปัจจุบัน
สําหรับเส้นทางสายไหมเริ่มต้นจากไทยง่ายสุดก็ต้องบินตรงไปลงที่ซีอาน และแน่นอนว่าถ้าพูดถึงสายการบินที่มีไฟลท์บินตรงไปจีนมากที่สุด แถมมีปล่อยโปรดี ๆ ตลอด ๆ เชื่อว่าทุกคนจะต้องนึกถึง แอร์เอเชีย สำหรับรูทนี้แอร์เอเชียนางมีบินตรง FD588 จากดอนเมือง DMK เวลา 9:50 ถึงซีอาน XIY 14:35 ใช้เวลาบินแค่ 3 ชั่วโมงกว่า ๆ แต่เราก็ขอแนะนําให้สั่งข้าวล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ตอนจองตั๋วเลย เพราะนอกจากจะรสชาติดีแล้ว อาหารบนเครื่องก็ล้วนรังสรรค์อย่างตั้งใจ แถมมีเมนูใหม่ให้ได้ลิ้มลองใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ถ้าอยากคุ้มแบบเต็มแมกซ์เราเชียร์ให้เลือกซื้อแพ็คสุดคุ้มไปเลย เพราะจะได้ทั้งอาหาร สิทธิ์เลือกที่นั่ง นํ้าหนักกระเป๋า รวมไปถึงประกันการเดินทางด้วย เรียกได้ว่าครบครันคุ้มค่าแบบสุด ๆ
Day 1 : BKK – Xi’an
001 Grand Mosque Xi’an
สถานที่แรกที่เรามาถึงในทริปนี้ … บอกได้เลยว่าแปลกและแหวกแนวแบบถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาก็คงยากที่จะเชื่อ Grand Mosque Xi’an มรดกทางวัฒนธรรมที่หลงเหลือมาจากเส้นทางสายไหมแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความกว้างขวางของเส้นทางการค้าที่เคยรุ่งเรืองได้อย่างดีเยี่ยม เพราะนี้คือมัสยิดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศจีน มันถูกสร้างโดยชาวเปอร์เซีย ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง แต่กลับเลือกผสานผสมระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและอิสลาม แทนที่จะมีรูปแบบสไตล์อาหรับเพียงอย่างเดียว ตัวอาคารมีหน้าตาแบบจีน ส่วนลวดลายตกแต่งนั้นเป็นแบบอาหรับ เก๊งจีนทรงสูงสีแดงชาดที่มีตัวอักษรอาหรับนี้จึงตั้งตระหง่าน วิจิตรบรรจง ชวนงงและตกตะลึงอยู่เช่นนี้เอง
ที่นี่เราสามารถเข้าชมได้ทั้งแบบไม่เสียเงินซึ่งสามารถดูได้เพียงรอบนอก แต่หากจ่ายเงินเพิ่มเราก็จะสามรถชื่นชมสถาปัตยกรรมโบราณที่ถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1988 แห่งนี้ได้อย่างเต็มตา ด้านในประกอบด้วยลาน 5 แห่ง ศาลา และตัวมัสยิด เป็นสถานที่ที่เกือบจะคุ้นเคย แต่กลับแตกต่างเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพียงแค่ได้มองสำรวจจุดเล็กจุดน้อย จากจุดหนึ่งสู่อีกจุดหนึ่งก็ทำให้สัญชาตญาณนักสำรวจของเราตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
002 Xi’an City Wall (กำแพงเมืองซีอาน)
สายลมพัดผ่าน แสงอาทิตย์กำลังสาดส่อง นี่คงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเยี่ยมชม Xi’an City Wall กำแพงเมืองโบราณที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสะสมเสบียงและต้านทานข้าศึก มีอายุยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง เป็นกำแพงเมืองที่ยังคงความสมบูรณ์มากที่สุดในประเทศจีน โครงสร้างกำแพงเมืองมีความยาวประมาณ 13.7 กิโลเมตร สูง 12 เมตร และความกว้างประมาณ 12-14 เมตร ถูกก่อสร้างด้วยดินเหนียว หิน อิฐ และไม้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงทนทาน ตัวกำแพงประกอบด้วย 4 ประตูหลัก ได้แก่ประตูฉางเล่อ ประตูอันติง ประตูยองหนิง และประตูอันหยวน มีป้อมรวมทั้งสิ้น 48 ป้อม ที่นี่สามารถเข้าชมด้วยการเดินเท้า และการเช่าจักรยาน
ยาวใหญ่อลังการขนาดนี้ ชาวไทยสายเลือดนักเดิน(น้อย)อย่างเรา ต้องเลือกปั่นจักรยานอย่างแน่นอน ลมพัดโชยอ่อน ผู้คนขักไขว่ เสียงพูดคุยที่จอแจ เงาของกำแพงโบราณที่ถูกสาดส่องตกกระทบไปยังตึงรามบ้านช่องยุคปัจจุบัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เงาของอดีตทาบทับอยู่บนปัจจุบันและส่องทางสู่อนาคต วิวเมืองที่ผสานกันอย่างลงตัวนี้โอบล้อมจนทำให้เราจมลงสู่มนต์สะกดแห่งอดีตกาล
Day 2 : Xi’an – Mati Temple – Zangye City
003 Mati Temple
เช้าวันที่สอง … เรานั่งรถไฟความเร็วสูงจากซีอานเพื่อมาเริ่มโร้ดทริปจากเมืองจางเย่ไปยัง Mati Temple วัดหม่าถี ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ เราก็เดินทางมาถึงเชิงเขาหลิงซ่ง จากพื้นที่ของชนเผ่าอุยกูร์ ภาพของภูเขายักษ์ใหญ่กับวัดสีสดก็ตั้งอยู่ตรงหน้าเรา ความสดใสที่ชวนมองนี้ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เราเข้าไปดูใกล้ ๆ วัดแห่งนี้แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มก่อสร้างในสมัยใด แต่รูปแบบก็ชัดเจนว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมทิเบตอย่างแน่นอน จุดที่ทำให้ใคร ๆ ก็อยากมาเห็นด้วยตาของตัวเองก็คือถ้ำหินแกะสลักที่ถูกสร้างแนบกับหน้าผา ด้านในมีภาพวาดและพระพุทธรูปที่สวยงามผสานกลมกลืน ราวกับทั้งสองกำลังมีบทสนทนาอันเงียบงันมาอย่างเนิ่นนาน ไม่แปลกใจเลยที่มันถูกจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งในสามของถ้ำพุทธศิลป์แห่ง Hexi ของประเทศจีน
จุดไฮไลท์ที่ถ้าไม่ไปจะพลาดมากคือ Thousand Buddha Caves หรือถ้ำพระพุทธเจ้าหนึ่งพันพระองค์ ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปกว่า 1,000 พระองค์ แต่ละองค์ล้วนถูกแกะสลักอย่างปรานีตบรรจง และ North and South Mati Temple ที่ต่างประดับประดาด้วยศิลปะและการแกะสลักทางพุทธศาสนา สถานที่แห่งนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องยืนยันถึงพลังแห่งศรัทธา ที่สามารถเปลี่ยนผนังหินเย็นชาให้กลายเป็นงานศิลปะอันทรงคุณค่า
Day 3 : Zangye City – Zhangye Colorful Danxia – Jiayuguan City
004 Zhangye Danxia National Geopark
วันนี้เราขอเปิดทริปกันด้วยอีกหนึ่งมรดกโลกทางธรรมชาติที่พูดได้คำเดียวว่า ปัง!!! ที่นี่คือ Zhangye Danxia National Geopark อุทยานธรณีแห่งชาติจางเย่ตันเซี๋ย เป็นที่รู้จักในฐานะ “ภูเขาสายรุ้ง” ผลงานศิลปะที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตร ด้วยลวดลายหลากสีที่พาดผ่านชั้นหินของภูเขา เสมือนพู่กันยักษ์ได้แต่งแต้มผืนผ้าใบแห่งผืนดินในมณฑลกานซู่ โดยความงดงามเหล่านี้เกิดขึ้นจากการทับถมของแร่ธาตุตลอดหลายล้านปี ผสมผสานกับแรงลมและฝนที่ขัดเกลาให้เกิดรูปร่างและสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ จนครั้งแรกที่ได้เห็นเรายังนึกอยู่เลยว่ามันคือภาพจาก AI ถถถถ เอ็นดูความโลกแคบของตัวเองไปแป๊บนึงเลยทีเดียว
ความอลังการของที่นี่กินพื้นที่กว่า 322 สแควร์กิโลเมตร และด้วยความกว้างใหญ่นี้จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 เขตการท่องเที่ยว ได้แก่ Colorful Danxia ซึ่งเป็นจุดที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด และ Binggou Danxia Geopark ซึ่งตั้งอยู่บนทางเหนือของแม่น้ำลี้หยวน อันที่จริงเราก็อยากจะเที่ยวให้ครบทั้งสองเขต แต่ด้วยเวลาจำกัดเลยจิ้มไปที่ Colorful Danxia โดยการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูเขาสายรุ้งแห่งนี้ เราไม่สามารถนำรถส่วนตัวเข้าไปได้ แต่ก็ไม่ต้องกลัวเพราะเขามีรถท่องเที่ยวของอุทยาน ที่จะรับ-ส่ง อยู่ 4 จุดหลัก โดยเราสามารถเริ่มจากจุดไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ใกล้ประตูไหนมากที่สุด จากนั้นรถก็จะเวียนไปทุกจุดในอุทยาน และกลับมาส่งเราที่จุดเดิม
สำหรับ 4 จุดเที่ยวหลักภายใน Colorful Danxia จะแบ่งได้ตามนี้ คือ
01 Colorful Meeting Fairy Platform มีไฮไลท์เป็นพระสงฆ์กราบไหว้พระพุทธเจ้า และลิงที่กำลังชมทะเล
02 Colorful Sea of Clouds Platform จุดชมวิวนี้จะแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ สามารถชมวิวได้จากระดับฐาน และจุดชมวิวบนยอดเขาที่ต้องไต่บันไดถึง 666 ขั้น ถือเป็นจุดชมวิวแบบพานอราม่าของภูเขาสีรุ้ง ที่ถ้าใครไหวก็ไม่อยากให้ใครพลาด
03 Colorful Embroidered Platform จุดชมวิวบนสันเขาที่มีสีสันสลับสับเปลี่ยน ราวกับผ้าปักลาย
04 Colorful Clouds Platform จุดชมวิวที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามมากที่สุดเพราะตั้งอยู่บนสันเขาที่ทอดยาวจากตะวันออกไปสุดที่ฝั่งตะวันตก เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกดิน โดยมีภูเขา เจ็ดสีเป็นฉากหน้า
เที่ยวครบสี่จุดก็สามารถปิดฉากวันที่สามจนทำให้คนสงสัยว่านี่มันธรรมชาติจริง ๆ หรือเราหลุดมาอยู่ในภาพวาดกันแน่
Day 4 : Jiayuguan Great Wall – Xuanbi Great Wall – Son of Earth – Dunhuang City
005 Jiayuguan Great Wall
บน 7 คาบสมุทร 7 ทวีปอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่บรรจุผู้นับพันล้าน และเหล่าอัจฉริยะอีกนับไม่ถ้วน แต่โลกของเรากลับมีเพียง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และหนึ่งในนั้นก็คือพิกัดที่เราจะพาทุกคนมาเช็คอินในวันนี้ ณ จุดเริ่มต้นและจุดปลายสุดของ “กำแพงเมืองจีน” ปราการสำคัญของเส้นทางสายไหมในการนำเข้าและส่งออกสินค้า จนได้รับการขนานนามว่า The First and Greatest Pass under Heaven ที่นี่คือฝั่งตะวันตกที่ไม่ค่อยจะโด่งดังนักเมื่อเทียบกับกำแพงเมืองจีนฝั่งตะวันออก(ปักกิ่ง) มันถูกเรียกว่าด่านเจียยวี่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของป้อมปราการเจียยวี่กวน ในบริเวณแหล่งโบราณสถานเชิงวัฒนธรรมเจียยวี่กวน เมืองเจียยวี่กวน มณฑลกานซู่ ถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ.1372 สมัยราชวงศ์หมิง
สีเหลืองคล้ายทรายของกำแพงในด่านนี้ทำให้มันดูแตกต่างจากกำแพงฝั่งอื่น ๆ นั่นเพราะมันถูกหล่อหลอมมาจากอิฐที่ทำจากดินละเอียดสีเหลืองนวล ซึ่งหาได้ง่ายในแถบนี้ ทำให้มันดูกลมกลืนไปกับภูมิประเทศรอบด้านของทะเลทรายโกบี ความถ่อมตนที่ทำให้มันไม่ค่อยจะโดดเด่นนี้ กลับยิ่งทำให้มันชวนมองและน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
เราไม่แน่ใจนักว่าคนทั่วไปจะชอบกำแพงเมืองจีนมากแค่ไหน แต่สำหรับเราทุกครั้งที่ได้เห็นก็ราวกับถูกดูดให้จมลึกเพื่อดื่มด่ำกับความมหัศจรรย์ของมันที่แข็งแกร่งยาวนานต้านลม ฝน และศัตรู จนมาถึงวันที่มันเปิดกว้างเพื่อรอต้อนรับเหล่าอาคันตุกะจากทั่วโลก เส้นทางที่ทอดยาวพาดผ่านถึง 15 มณฑล ยิ่งคิดก็ยิ่งทึ่งกับความมหัศจรรย์นี้ เพราะแค่พื้นที่ของป้อมปราการเจียยวี่กวนก็มีขนาดกำแพงสูงกว่า 10.7 เมตร ยาวกว่า 640 เมตร ล้อมเป็นพื้นที่ขนาด 25,000 ตร.ม. ด้านในประกอบด้วยอาคารเก่าแก่ ลานแสดงศิลปะการต่อสู้ และศิลปะวัฒนธรรมจีน ส่วนพื้นที่ชั้นนอกกำแพง(ฝั่งใน) เป็นที่ตั้งของวัดกวนยู, โรงละครจีนโบราณ, พิพิธภัณฑ์กำแพงเมืองจีน, และสิ่งน่าสนใจอีกหลายจุด
เมืองโบราณแต่กิจกรรมทันสมัยอยู่นะแก เพราะมีน้องอูฐที่หน้าตาจิ้มลิ้มบ้าง กวน ๆ บ้าง นั่ง นอน เดิน เรียงรายพร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวสายชิคที่อยากมีรูปกิจกรรมเก๋ ๆ หรือใครอยากดูเท่ ๆ หน่อยเค้าก็มีกิจกรรมยิงธนูไว้คอยบริการ ส่วนใครสายชิลที่เน้นความสบายและน่ารักเราก็ขอผายมือไปทางรถรับ-ส่งประจำทางสีเหลืองทรายที่มีหูแหลม ๆ จมูกกลม ๆ ดวงตาเป็นประกายรับกับขนตางอลยาว และด้านหลังเป็นบั้นท้ายกลม ๆ กับหางและเท้าเล็ก ๆ ที่เลียนแบบมาจากน้องอูฐ นั่งไปอมยิ้มไป เพราะพี่จีนเค้าทำถึงจริง ๆ
เดินทางออกมาไกลขนาดนี้ใครจะคาดคิดว่าเราจะได้เจอกับร้านคาเฟ่เจ้าดังสุดชิคที่มีหลายสาขาทั่วประเทศอย่าง Pull-Tab coffee ตั้งอยู่ในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านกว้างขวาง โล่งโปร่ง สีสันเรียบง่ายดูกลมกลืนไปกับตึกโบร่ำโบราณ ไม่โดดเด่นจนดูขัดตา แต่ก็ไม่เรียบง่ายจนดูน่าเบื่อหน่าย หลอดนีออนที่เต็มไปด้วยตัวอักษรบนกำแพงด้านหลัง เส้นสายบนเพดาน กับท็อปหินอ่อนสีเทา กาแฟรสโปรดอย่างลาเต้และอเมริกาโน่เข้ม ๆ เข้ากันดีอย่างยิ่งกับเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Butter Toast เรียบง่าย หวานมัน กลมกล่อมอย่างลงตัว แค่นี้เราก็พร้อมเดินทางต่อแล้ว
006 Xuanbi Great Wall
มีคนเคยเปรียบเปรยว่ากำแพงเมืองจีนนั้นยิ่งใหญ่จนสามารถมองเห็นได้จากดาวอังคาร แม้จะไม่เป็นไปตามนั้น แต่มันก็ยิ่งใหญ่จนเราสามารถเที่ยวแล้วเที่ยวอีกได้แบบไม่ซ้ำ เพราะห่างออกมาอีกเพียง 20 นาที เราก็เดินทางมาถึง Xuanbi Great Wall กำแพงเมืองจีนส่วนเสวียนปี้ หรือที่รู้จักในชื่อ “กำแพงเมืองจีนแขวน” เมื่อยืนมองป้อมปราการนี้จากด้านล่าง ความรู้สึกแรกที่เข้ามาในหัวเราก็คืองดงามราวมังกรเลื้อยขึ้นสู่ฟากฟ้า สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่และความท้าทายของการป้องกันบ้านเมืองในอดีต หนึ่งในมรดกแห่งยุคหมิง ตั้งตระหง่านเหนือเนินเขาชันทำมุมประมาณ 45 องศา สร้างจากดินเหลืองและกรวดในท้องถิ่น ความยาวแต่เดิมคือ 1.5 กิโลเมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 700 เมตร แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน แต่เสน่ห์ของกำแพงก็ไม่ได้ด้อยลงไป
กำแพงเมืองจีนส่วนนี้ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเจียยี่กวนประมาณ 11 กิโลเมตร ท่ามกลางวิวของภูเขาและทะเลทราย ประจวบกับเราไปในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้สีเหลืองฟูฟ่อง ภูเขาสีเทาลูกโต กำแพงสีทรายและป้อมปราการอันแข็งแกร่ง ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนนุ่ม เป็นมุมกำแพงเมืองจีนที่แตกต่างไปจากภาพจำเดิม ๆ ที่เราเคยเห็นมาอย่างมาก
007 Son of Earth
อีกหนึ่งไฮไลท์กลางทะเลทรายโกบีอันกว้างใหญ่ในมณฑลกานซู มีประติมากรรมที่น่าทึ่งตั้งตระหง่านอยู่ Son of the Earth ผลงานศิลปะที่สะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่เรามีหน้าที่ ๆ จะปกป้องเธอ ในปี 2016 ศาสตราจารย์ตงซูปิง แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัว รังสรรค์ทารกน้อยที่ไม่น้อยนี้ให้มีความยาว 15 เมตร สูง 4.3 เมตร และกว้าง 9 เมตร โดยใช้ระบบ 3D สแกน กับการสลักแบบ 3D สร้างขึ้นเป็นส่วน ๆ แล้วจึงประกอบกันขึ้นมาจนมโหฬารขนาดนี้ มันจึงกลายมาเป็นจุดแวะพักที่ทั้งสวยงาม และคอยเตือนใจนักท่องเที่ยวที่โด่งดัง
นอกจากนี้ในภายหลังท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่และโดดเดี่ยวก็ได้มีทั้ง Gobi Ark, Emperor Hall และ wind whisperer ฯลฯ ที่ล้วนใหญ่โต โดดเด่น และสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติเพิ่มเข้ามา ทำให้บริเวณนี้ที่เคยเงียบเหงากลายเป็นจุดเช็คอินที่มีนักท่องเที่ยวต่างมุ่งหน้ามาพร้อมกันอย่างไม่ขาดสาย
Day 5 : Mogao Grottoes – Mingsha Mountain and Crescent Moon Spring
008 Mogao Grottoes
เช้าวันที่ 5 ณ ทะเลทรายตุนหวงอันไพศาลบนเส้นทางสายไหม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับโลก มี Mogao Grottoes หรือที่รู้จักในนามถ้ำม่อเกา กลุ่มถ้ำศิลปะพุทธศาสนาที่งดงามราวกับอัญมณีซ่อนตัวอยู่ในความเงียบสงบของผืนทรายตั้งตระหง่านอยู่ ถ้ำแห่งนี้ถือกําเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 เมื่อพระสงฆ์ผู้มีศรัทธาลึกซึ้งเริ่มต้นการแกะสลักถ้ำเข้าไปในหน้าผาหินทรายของเทือกเขาหมิงชา (Mingsha Mountains) ตั้งแต่นั้นมาสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมพุทธศิลปที่พัฒนาและเติบโตผ่านยุคสมัย จากถ้ำเล็ก ๆ เพียงไม่กี่แห่ง สู่การเป็นกลุ่มถ้ำที่ยิ่งใหญ่ซึ่งประกอบด้วยถ้ำกว่า 735 แห่ง โดยแต่ละถ้ำล้วนเต็มไปด้วยภาพเขียนฝาผนังและประติมากรรมที่แฝงด้วยความหมายทางศาสนาและวัฒนธรรม ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ราชวงศ์แต่ละพระองค์ทำการเชื้อเชิญจิตรกรที่มีชื่อเสียงในแต่ละยุคให้มารังสรรค์ต่อเติมความสวยงาม
ยามเมื่อก้าวเข้าสู่ถ้ำเหล่านี้ เราจะรู้สึกราวกับถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความงามที่ไร้กาลเวลา ภาพเขียนฝาผนังอันวิจิตรที่ปกคลุมพื้นที่กว่า 45,000 ตารางเมตร บอกเล่าเรื่องราวของพระพุทธเจ้า ตํานานจากพระไตรปิฎก และชีวิตประจำวันในยุคโบราณ ทุกเล้นสาย ทุกสีสันล้วนสะท้อนถึงฝีมืออันประณีตและจิตวิญญาณของช่างผู้ชำนาญ เสียดายส่วนใหญ่เขาจะห้ามถ่ายรูป เราเลยเอามาบอกต่อได้เพียงแค่ความรู้สึก เพราะฉะนั้นก็อยากให้เพื่อน ๆ ลองหาโอกาสไปดูด้วยตาเนื้อสักครั้ง แล้วจะรู้ว่ามันเว่อร์จริง ๆ
สิ่งที่ทำให้ที่นี่โดดเด่นยิ่งขึ้น คือการผสมผสานของศิลปะจากหลากหลายวัฒนธรรมที่หลั่งไหลมาพร้อมกับการค้าบนเส้นทางสายไหม ภาพเขียนบางภาพก็เผยให้เห็นรูปแบบการแต่งกายที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เปอร์เซีย และกรีก ขณะที่บางส่วนสะท้อนถึงสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของชาวจีนในยุคโบราณ ประติมากรรมที่แกะสลักด้วยดินเหนียวและปูนปลาสเตอร์หลากหลายขนาด ตั้งแต่รูปปั้นขนาดเล็กไปจนถึงพระพุทธรูปขนาดยักษ์ที่สูงถึง 30 เมตร ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรือง
009 Echoing-Sand Mountain (Mingsha Shan) and Crescent Lake
ถ้าหากทริปเส้นทางสายไหมคือซีรีย์หนึ่งเรื่อง ตอนนี้ก็คงจะเข้าสู่จุด ไคลแม็กซ์ก่อนจบ เพราะตอนนี้เราอยู่ที่ Echoing-Sand Mountain หรือที่รู้จักกันในชื่อ Mingsha Shan กลุ่มเนินทรายขนาดใหญ่ที่ทอดยาวกว่า 40 กิโลเมตร มีเนินทรายที่สูงที่สุดสูงถึง 250 เมตร โดยลักษณะของทรายจะละเอียดดุจผงแป้งและมีสีสันที่ชวนมองเป็นอย่างมาก สำหรับชื่อของภูเขาแห่งนี้มีความหมายว่า ภูเขาทรายร้องเพลง ซึ่งมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่ง เมื่อเม็ดทรายถูกลมพัดหรือเมื่อผู้คนเดินบนเนินทราย จะเกิดเสียงดังกังวานคล้ายเสียงดนตรีที่ล่องลอยไปในอากาศ เสียงเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ภูเขาทรายแห่งนี้โด่งดัง แต่ยังสร้างความพิศวงแก่ผู้มาเยือน
การเที่ยวที่นี่สามารถเลือกได้หลากหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นนั่งรถกอล์ฟ เดิน หรือแม้กระทั่งการจำลองวิธีเดินทางของเหล่าพ่อค้าเมื่อต้องผ่านมายังเส้นทางสายไหมอย่างการขี่อูฐ ดังนั้นใครมีเวลามากน้อย อยากมีประสบการณ์แตกต่างกันยังไงก็เลือกสรรกันได้ตามอัธยาศัย ส่วนตัวเราที่กลัวคนมาทักว่าเป็นเจ้าชายอาหรับเลยของเลือกเดินย่ำต๊อกมองฝูงอูฐที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง พร้อมรัวชัตเตอร์ชิล ๆ ก็พอแล้ว
เดินเรื่อยเปื่อยดื่มด่ำกับทะเลทรายในฤดูหนาว เราก็มาถึงไฮไลท์ของจุดไฮไลท์ภาพจำที่ทำให้เราอยากมาที่นี่มากที่สุดกับ Crescent Lake หรือในภาษาจีนเรียกว่า เย่ว์หยาเฉวียน โอเอซิสอันงดงามที่ตั้งอยู่ในใจกลางทะเลทรายโกบี ทะเลสาบแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อัญมณีแห่งทะเลทราย” รูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยวนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ มีขนาดยาวประมาณ 218 ม. กว้างประมาณ 54 ม. แม้จะถูกล้อมรอบด้วยเนินทรายสูงใหญ่ที่ดูเหมือนจะพร้อมกลืนกินทุกสิ่ง แต่ทะเลสาบแห่งนี้กลับยังคงอยู่โดยไม่เคยแห้งเหือด ในสมัยก่อนที่แห่งนี้จึงเป็นจุดพักสำคัญของกองคาราวานนักเดินทางบนเส้นทางสายไหม แน่นอนว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนทะเลสาบแห่งนี้ … ถ้าไม่ใช่ช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ก็ควรจะเป็นช่วงยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกเช่นเดียวกับเรา เพราะจะได้เห็นภาพเนินทรายสีน้ำตาลถูกย้อมเป็นสีส้มแดงเปล่งประกายระยิบระยับปิดทริปเส้นทางสายไหมจนแทบจะเห็นคำว่า Happy Ending กลางเนินทรายเลยทีเดียว
Day 6 : Dunhuang Silk Road Heritage City – Muslim Street – Xi’An
010 Dunhuang Silk Road Heritage City
เช้านี้ขอทิ้งท้ายเมืองตุนหวงกับพิกัดที่เอาใจสายถ่ายรูปโดยเฉพาะ Dunhuang Silk Road Heritage City เมืองมรดกเส้นทางสายไหม ที่รวบรวมเรื่องราววัฒนธรรมของจีนและทั่วโลกไว้ในที่เดียวบนเนื้อที่กว่า 6,000 เอเคอร์ เพื่อตอบสนองต่อแนวคิด “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” china, great wall film and television group จึงเนรมิตที่แห่งนี้ขึ้นมา เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่า “ให้เวลาชั้น 2 วัน แล้วฉันจะทำได้”
เมื่อก้าวเข้าสู่เมืองมรดกแห่งนี้ เราก็จะได้พบพระราชวังต้าหมิ่งอันงดงาม สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของราชวงศ์ถัง หอไท่เหอ ที่สะท้อนความวิจิตรบรรจงของศิลปกรรมจีน พระราชวังต้าหมิง พระราชวังดินฮากาฝูเจี้ยน อาคารแดงปฏิวัติชินไห่ ฯลฯ เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ก็ได้พบกับ วิหารพาร์เธนอน ที่ชวนให้เราเดินทางสู่ดินแดนกรีกโบราณ และโบสถ์เซนต์บาซิล เพชรเม็ดงามแห่งรัสเซีย ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่ด้านในยังเต็มไปด้วยร้านรวง ที่มีสินค้าหัตถกรรม เครื่องประดับ ผ้าไหม และของที่ระลึก ที่น่าสนใจอีกมากมาย
กลางใจของเมืองมรดกทางวัฒนธรรมมีภาพวาดและรูปสลักอันเลื่องลือของ พระโพธิสัตว์พันกร พระพุทธรูปองค์นี้เปรียบดั่งอัญมณีแห่งศิลปกรรมพุทธศาสนา สะท้อนจิตวิญญาณแห่งเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดด้วยท่วงท่าที่สงบมั่นคง พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน เมื่อแสงอาทิตย์อ่อน ๆ สะท้อนจากพื้นทะเลทรายฉาบลงบนองค์พระ เส้นสายเหล่านั้นก็คล้ายว่าจะมีชีวิต และเพราะที่นี่ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ทำให้มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอที่จะทำให้ทุกสิ่งที่ยกมาอลังการ ชวนว้าว สมชื่อพี่จีน ถ้าแค่นี้ยังไม่หนำใจ เขาก็ยังมี กิจกรรมอื่น ๆ ให้เราได้ร่วมสนุก ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า ยิงธนู พายเรือ รวมถึงกรงนกยูง และนกกระจอกเทศ ที่ถูกใจทั้งวัยรุ่นและเหล่าเด็กน้อย
011 Muslim Street
เรากลับจากเมืองตุนหวงด้วยการเลือกใช้สายการบินภายในประเทศ ถึงซีอานช่วงค่ำ ๆ ก็ตรงดิ่งไปยัง Muslim Street ถนนสายนี้ถือเป็นหัวใจของชุมชนมุสลิมในซีอานที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังครั้งเมื่อเส้นทางสายไหมยังรุ่งเรือง ร้านอาหารและแผงลอยกว่า 300 ร้าน บนระยะทางยาวเกือบ 1 กิโลเมตรเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่ขายของ แต่เป็นเวทีที่วัฒนธรรมอาหารอิสลามและจีนผสมผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับได้ก้าวผ่านประตูไปสู่โลกแห่งของอร่อย ที่ซึ่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศลอยฟุ้งในอากาศ เสียงหัวเราะของผู้คนผสานไปกับเสียงต้ม ผัด แกง ทอด แสงไฟจากร้านค้าเล็ก ๆ ที่เรียงรายก็ช่างเชื้อเชิญเย้ายวนกระเพาะอาหารของเราซะเหลือเกิน
งานนี้แม้ไม่มีเชลล์มาชวน แม่ช้อยไม่ได้มารำ แต่ทุกอย่างตรงหน้าก็ดูน่ากินไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นปิ้งย่างหมาล่า เนื้อแกะเนื้อวัว แฮมเบอร์เกอร์ หรือซุปแกะอุ่น ๆ ผักผลไม้ ขนมหวาน ตลอดจนเครื่องเทศ ผ้าไหม และของที่ระลึก ให้ความรู้สึกรวม ๆ เหมือนเรากำลังเดินเล่นอยู่ท่ามกลางวงดนตรีออเคสต้าที่ต่างคนต่างบรรเลงเครื่องดนตรีของตนอย่างสุดฝีมือ ฟังแยกก็น่าสนุก ฟังรวม ๆ ก็เร้าใจ และเมื่อเสียงบรรเลงโน๊ตสุดท้ายที่จบลงพร้อมกับพุดดิ้งนมหวานหอม ที่ละลายในปากเพียงชั่วพริบตา ค่ำคืนนี้ก็จบลงด้วยความสวยงามเกินบรรยาย
Day 7 : The Terracotta Army – BKK
012 The Terracotta Army
วันสุดท้ายก่อนกลับ ขอทิ้งท้ายไปที่ไฮไลท์คู่บ้านคู่เมืองที่ดึงดูดทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติให้มายังซีอานอย่างล้นหลาม นั่นก็คือ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ (Terracotta Warriors) สุสานใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้สื่อให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและความยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ และแรงศรัทธาในยุคของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้อย่างชัดเจน บนเนื้อที่ 25,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยรูปปั้นทหารกว่า 8000 นาย ม้า 520 ตัว รถม้า 130 คน และนักดนตรี เชื่อหรือไม่ว่ารูปปั้นแต่ละชิ้นล้วนมีลักษณะเฉพาะตัว รูปร่าง ลักษณะ ความสูง และใบหน้าไม่ซ้ำกันเลย ที่สำคัญนี่ยังเป็นเพียงการขุดพบเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะส่วนที่เหลือยังไม่สามารถขุดลงไปได้ เนื่องจากเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะรักษาสภาพของกองทหารให้อยู่ในสภาพเดิม
สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 221 ก่อนคริสตกาล หรือเมื่อ 2200 ปีที่แล้ว และถูกค้นพบในปี 1974 ด้วยความบังเอิญ การเยี่ยมชมด้านในจะแบ่งพื้นที่การขุดค้นออกเป็น 3 ส่วนหลัก ในโซนแรกนี้เป็นโซนที่มีหลุมขนาดใหญ่ที่สุด และมีทหารดินเผาเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบราวกับพวกเขากำลังยืนอารักขาจิ๋นซีฮ่องเต้ของพวกเขาให้เดินทางอย่างปลอดภัยในโลกหลังความตาย หรือก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังยืนคอยให้พระองค์กลับคืนจากความตายขึ้นมาก็เป็นได้ ซึ่งโซนนี้เป็นโซนที่ทำให้เราขนลุกได้มากที่สุดแล้วจริง ๆ เพราะทหารแต่ละตัวล้วนมีแววตารูปร่างที่แตกต่างกันไปจริง ๆ
ถัดมายังโซนที่ 2 ภายในโดมแห่งนี้จะเป็นการรวบรวมรูปปั้นรถม้า ม้า อาวุธ ทหารในอากับกิริยาที่แตกต่างกัน และของใช้อื่น ๆ โดยจะเป็นส่วนที่มีความปิดทึบมากกว่าโดมแรก เพื่อเป็นการป้องกันวัตถุโบราณอันเป็นมรดกโลกเหล่านี้ไม่ให้ถูกทำลายจากสภาพแวดล้อมภายนอก เราจึงยังคงเห็นสีสันบางส่วนที่อยู่บนตัวของทหารและข้าวของเหล่านี้ ส่วนโดมสุดท้ายจะเป็นโซนที่เข้าสู่ใจกลางหลุมศพมากที่สุด เพราะเป็นโซนที่เราจะได้พบกับจิ๋นซีฮงเต้ และเหล่าผู้บัญชาการกองทัพของพระองค์ เดินครบสามโซนก็ราวกับเราได้เดินผ่านพระราชวังตั้งแต่ชั้นนอกเข้าสู่พระราชวังชั้นในก็ไม่ปาน
และแล้วก็ต้องถึงเวลาโบกมือลากลับบ้าน แน่นอนจะเป็นสายการบินไหนไปได้นอกจาก AirAsia สายการบินที่บินกี่ครั้งก็คุ้ม เพราะบินตรง บริการดี แถมเรื่องเวลาก็ไม่มีดีเลย์ วันนี้กลับด้วยเที่ยวบิน FD588 : XIY 15.35 – DMK 18.50 แลนด์แบบ ตามเวลาเป๊ะ ไว้ใจได้ขนาดนี้ บินจีนอีกกี่ทีแอร์เอเชียก็ยืนหนึ่งในใจเราเสมอแน่นอน
เส้นทางสายไหมที่ถ้าไม่ได้เดินทางมาครั้งนี้ก็อาจจะสายไปไหมไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่แน่ ๆ ถ้าแกไม่มาเมืองซีอานสักครั้งคือแกพลาดมาก ๆ เพราะนี่คือเส้นทางที่รุ่งเรืองมาตั้งแต่ 2 พันปีก่อนจนมาถึงปัจจุบันนี้ จากปลายทางธรรมดาที่เราอยากลองมาสักครั้ง เมื่อมาแล้วกลับกลายเป็นปลายทางที่เราอยากจะมาอีกหลาย ๆ ครั้ง และอยากจะชวนให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตัวเอง มาสัมผัสกับความแปลกใหม่ สัมผัสกับศรัทธา สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ และสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของผู้คน อาหาร และสถานที่ ที่จะทำให้หัวใจของเต้นระส่ำเพราะความสุข มาเถอะไม่ผิดหวังแน่นอน