รีวิวญี่ปุ่น :: 5 Days Exploring Saga Japan Itinerary 🇯🇵

แต่ละมื้อ แต่ละเดย์… มันก็มีแต่ความคิดถึงญี่ปุ่น อยากไปเที่ยว อยากไปกิน อยากไปฟินกับทุก ๆ อย่าง แน่นอนพอมันอดไม่ได้โร้ดทริปแสนชิลในคิวชูครั้งนี้จึงเกิดขึ้นอีกครั้งที่ Saga อีกหนึ่งจังหวัดนอกสายตาแห่งภูมิภาค 𝐊𝐲𝐮𝐬𝐡𝐮 ที่อัดแน่นไปด้วยความเซอร์ไพรส์ ประหนึ่งตัวละครลับในอนิเมะเรื่องโปรดที่แอบซ่อนความยิ่งใหญ่เอาไว้หลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นวัดชินโต ป่าสนดำที่ใหญ่ที่สุด น้ำตกที่สวยที่สุด ออนเซ็นที่เก่าแก่และดีที่สุด ร้านอาหารใต้น้ำแห่งแรกของชาติหมู่บ้านเซรามิกลึกลับท่ามกลางขุนเขา ไปจนถึงนิทรรศ การงานไฟสุดอลังการดาวล้านดวง … บอกเลยว่านี่คือการเที่ยวแบบไม่แมส แต่อบอวลด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล เราจะได้สัมผัสที่สุดของญี่ปุ่นทุกอย่างที่กล่าวมาแบบไพรเวต ไร้ความวุ่นวาย ไวบ์ดีจนลืมเวลา ชนิดที่ว่ารู้ตัวอีกก็ผ่านไป 4 คืน 5 วัน 25 โลเคชัน แบบไวเกินเรื่อง

แพลนเที่ยว Saga 5 วัน 4 คืน

Day 1 :
01 Niji no Matsubara (ป่าสนดำนิจิโนะมัตสึบาระ)
02 Karatsu Burger (คาราสึ เบอร์เกอร์)
03 Kagamiyama Observation (จุดชมวิวยอดเขาคางามิ)
04 Karatsu Castle (ปราสาทคาราสึ)

Day 2 :
05 Yobuko Morning Market(ตลาดเช้าโยบุโกะ)
06 Moc-Coffee Yobuko
07 Underwater Fish Restaurant Manbou
08 Hado Cape (แหลมฮาโดะ)
09 Terraced Rice Fields of Hamanoura (นาขั้นบันไดฮามาโนะอุระ)
10 Mikaeri no Taki Falls (น้ำตกมิคาเอริ)

Day 3 :
11 Okawachiyama Village (หมู่บ้านโอคะวะจิยะมะ)
12 Tozan Jinja (ศาลเจ้าโทซัง)
13 Gallery Arita (แกลลอรีอะริตะ)
14 Takeo Onsen (ทะเคะโอะออนเซ็น)
15 Takeo Jinja (ศาลเจ้าทะเคะโอะ)
16 TeamLab Mifuneyama Rakuen
17 Siebold no yu (บ่อน้ำพุร้อนซีโบลด์ โนะ ยุ)

Day 4 :
18 Ureshino Town Onsen (เมืองอุเรชิโนะ ออนเซ็น)
19 Toyotamahime Shrine (ศาลเจ้าโทโยตะมะฮิเมะ)
20 Soan Yokocho
21 Hizen Hamashuku (ย่านฮิเซ็น ฮะมะชุกุ)
22 Yūtoku Inari Shrine (ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ)
23 Oouo Jinja (ศาลเจ้าโออุโอะ)

Day 5 :
24 Saga Castle (ปราสาทซากะ)
25 Kira Honten

Day 1

01 Niji no Matsubara (ป่าสนดำนิจิโนะมัตสึบาระ)

เริ่มต้นทริปซากะกับพิกัดสุดอันซีนที่มีเพียง 3 แห่งในญี่ปุ่น ‘Niji no Matsubara’ ป่าสนดำขนาดใหญ่ที่พบแค่ในชิซูโอกะ ฟูกูอิ และซากะแห่งนี้เท่านั้น ที่นี่เกิดจากความความตั้งใจของผู้ปกครองสมัย 400 ปีก่อน ที่อยากปลูกต้นสนเลียบชายหาดเพื่อกำบังกระแสน้ำ จนปัจจุบันมีเกือบล้านต้นแผ่ปกคลุมอาณาเขตกว้างถึง 4.5 กิโลเมตร แค่ขับเข้าเขตก็เริ่มตาตื่นไปกับความงดงามของสองข้างทาง ยิ่งพอได้ลงไปเดินเล่น ก็พบกับมุมถ่ายรูปอีกเพียบ กวาดตาไปตรงไหนก็เจอแต่ความเขียวสบายตา เห็นต้นไม้ตั้งเรียงเป็นตีปลึกแล้วมันฟินเกินจะบรรยายจริง ๆ เสน่ห์หน้าร้อนกำลังเริ่มต้นแล้วทุกคนนนนนน

02 Karatsu Burger (คาราสึ เบอร์เกอร์)

แน่นอนว่าสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนป่าสนแห่งนี้ คือการได้ลิ้มลองโลคอลเบอร์เกอร์ของร้าน ‘Karatsu Burger’ ฟู้ดทรัคชื่อดังที่เลือกมุมขายได้ปังเวอร์ อยู่ท่ามกลางต้นสนสูงใหญ่ แม้แดดจะแรงแค่ไหนก็ดูเย็นตาไปซะหมด ที่นี่เปิดมานานกว่า 50 ปี การันตีความเด็ดด้วยสูตรสไตล์โฮมเมดที่สืบทอดต่อ ๆ กันมา เราลองสั่งเมนูยอดฮิต Special Burger โปะเครื่องมาแน่น ๆ ทั้งเนื้อสับหมักปรุงรสหอม ๆ ไข่ แฮม ชีส ผักพร้อมซอสสูตรซิกเนเจอร์หวาน ๆ เค็ม ๆ ที่มีความกลมกล่อม กินร้อน ๆ พร้อมเครื่องดื่มเย็น ๆ แล้วลงตัวสุด ๆ แถมราคาไม่แพงด้วย

03 Kagamiyama Observation (จุดชมวิวยอดเขาคางามิ)

ย้ายตัวจากการชมป่าสนดำในระยะประชิด ขึ้นมาชมภาพรวมในมุมสูงแบบเต็มตากันบ้างที่ ‘Kagamiyama Observation’ จุดชมวิวแกรนด์ ๆ ที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 284 เมตร เผยวิวเมืองซากะที่รอบด้านถูกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติกว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าจะเป็นสวนสน อ่าวคาราสึ ภูเขา ทะเลทอดยาวไปจนถึงเมืองนากาซากิที่เห็นเป็นเงาลาง ๆ ได้เลยทีเดียว บรรยากาศรอบ ๆ บนนี้จะเป็นเหมือนสวนสาธารณะที่มีทั้งบ่อปลาคาร์ป ม้านั่ง และลานกว้างน่าปูเสื่อปิกนิก ในช่วงใบไม้ผลิที่นี่ยังเป็นจุดยอดนิยมในการชมดอกซากุระอายุหลายพันปีอีกด้วย

นอกจากบรรยากาศแสนชิล ก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองภูเขาแห่งนี้เช่นกัน ‘Kagamiyama Shrine’ ศาลเจ้าบนยอดเขาที่มีประตูโทริอิหินตั้งอย่างสง่าผ่าเผย ด้านในยังมีประตูอินาริสีแดงให้เราเดินลอด ผู้คนส่วนใหญ่มักมาขอพรเรื่องความรักที่นี่ หลักฐานคือป้ายหินรูปหัวใจที่ตั้งอยู่ด้านหน้าศาล เชื่อว่าหากคู่รักเอามือไปแปะคู่กันก็จะทำให้ได้อยู่ครองรักกันไปตลอดกาล.. ใครมาเป็นคู่เกียมปักหมุดไว้ได้เลย

04 Karatsu Castle (ปราสาทคาราสึ)

ช่วงเย็นขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเมืองคาราสึแห่งซากะให้มากขึ้นที่ ‘Karatsu Castle’ ปราสาทริมทะเลที่รวบรวมเรื่องราวในอดีตไว้แทบทั้งหมด ยืนหยัดอยู่คู่เมืองคาราสึมานานถึง 422 ปี ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 ปี โดยเทราซาวะ ฮิโรทะกะ เจ้าเมืองคนแรก มีการออกแบบโครงสร้างที่ดูโอ่อ่าอลังการ ที่นี่เคยถูกทำลายจนต้องสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 1966 แน่นอนว่าการทำใหม่ของญี่ปุ่นนั้นยึดตามโครงเดิมไว้เป๊ะ! แถมบรรยากาศรอบ ๆ ก็ร่มรื่นไปด้วยสวนที่มีต้นไม้ใหญ่ ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็ถือเป็นจุดชมซากุระอีกแห่งที่สวยสุด ๆ ไปเลย

ภายในปราสาทมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นจะมีทั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์ ประวัติของปราสาท จัดแสดงเครื่องใช้โบราณที่ค้นพบเล่าถึงเอกลักษณ์ของเมืองได้อย่างดี มีร้านขายของที่ระลึกให้พอได้ซื้อกรุบกริบ จุดพีคที่สุดอยู่ที่ชั้นบน เป็นจุดชมวิวรอบปราสาท ให้เราเห็นวิวซากะในหลาย ๆ มุม ทั้งกระจุกบ้านเรือนตะมุตะมิเล็ก ๆ น่ารัก วิวตึกใหญ่สร้างขนาบแม่น้ำอันคดโค้ง พื้นที่อ่าวที่มีสะพานเชื่อมแต่ละดินแดนเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เป็นวิวที่ผสานความเก่าแก่ ความทันสมัย และธรรมชาติเอาไว้ได้อย่างลงตัว มีเสน่ห์มาก ๆ

ถ้าอยากหามุมเลิศ ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศยามเย็น แนะนำให้ลองเดินข้าม Jonai Bridge สะพานทรงคลาสสิกมาอีกฝั่ง ซึ่งพอมองย้อนสะพานจะพบกับภาพปราสาทบนยอดเขาพร้อมฟ้าสีส้มชมพูหวานหยาดเยิ้มจนไม่อาจละสายตา หากเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเชื่อมไปยังทางเดินคอนกรีตริมน้ำ ที่สร้างไว้ให้ผู้คนได้พักผ่อนหย่อนใจ ที่สามารถเดินออกไปชมวิวเวิ้งทะเลอันกว้างใหญ่ได้อีกด้วย

Day 2 

05 Yobuko Morning Market(ตลาดเช้าโยบุโกะ)

เช้านี้เรามาดูของโลคอล ตามรอย ‘Stay ซากะ.. ฉันจะคิดถึงเธอ’ ซีรีส์เรื่องโปรดที่ทำให้เราอยากมาซากะกันสักหน่อยที่ ‘Yobuko Morning Market’ 1 ใน 3 ตลาดเช้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีมาตั้งแต่สมัยไทโช หรือราว ๆ ร้อยปีก่อน ที่นี่ยังคงเป็นตลาดสดแท้ ๆ ตลาดเช้าจริง ๆ ตั้งแต่รุ่งสางลุง ๆ ป้า ๆ ก็จะเริ่มนำของทะเลมาวางขายกันเต็มโต๊ะ บ้างก็แบผัก ผลไม้ไว้ในลังตั้งบนพื้น พร้อมทั้งอาหารแปรรูปให้เราได้ซื้อเป็นของฝาก ปกติจะคึกคักมากในช่วงสุดสัปดาห์ แต่รีบมาหน่อยนะเพราะราว 11 โมงเขาก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว 

ตลอดความยาว 200 เมตร เราจะได้กลิ่นย่างหอม ๆ ของอาหารทะเลไม่หยุดหย่อน ทุกร้านงัดเอาวัตถุดิบที่ดีที่สุด สวยที่สุด ออกมาปิ้งโชว์เรียกน้ำลายแบบไม่มีใครยอมใคร ทั้งหอย ปลาหมึก ชนิดที่ว่าสุ่มกินร้านไหนก็เจอแต่รสชาติชวนฟิน มันมีความหวาน เด้งอร่อยแบบธรรมชาติ พร้อมกลิ่นทะเลที่ฟุ้งมาในทุกคำ บางร้านทำข้าวเกรียบปลาหมึกแผ่นโต บางร้านขายหอยเม่นที่แกะให้กินกันสด ๆ บางร้านขายเมนูเด็ดที่หากินที่อื่นไม่ได้อย่าง ขนมจีบหมึกลูกโตสีเหลือง ที่อัดแน่นมาด้วยเนื้อหมึกเน้น ๆ แบบเต็มคำ ส่วนเมนูที่ห้ามพลาดเลยคือ ‘ซาชิมิหมึกอิคิซุคุริ’ ของดีประจำจังหวัด เรียกว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของนักกินก็ไม่เกินจริง

06 Moc-Coffee Yobuko

อิ่มท้องแล้วแต่ยังรู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง.. นั่นก็คือคาเฟอีนปัจจัย 5 ของชีวิต โชคดีที่เดิน ๆ อยู่ก็เตะตาเข้ากับร้าน ‘Moc-Coffee Yobuko’ คาเฟ่ที่ฮอปเปอร์ตัวพ่ออย่างเราต้องยอมจำนน ชอบตั้งแต่หน้าร้านที่ปรับโครงบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นให้โดดเด่นกว่าใครด้วยการใช้สีขาว ด้านหน้าทำเป็นกระจกช่องเล็ก ๆ พร้อมป้ายร้านมินิมอลเป็นมุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ภายในแมตช์เฟอร์นิเจอร์แบบง่าย ๆ ได้ลงตัวสุด ๆ โดยเครื่องดื่มของร้านจะใช้เมล็ดคั่วเอง ซึ่งจะมีรสอ่อนแต่คาเฟอีนแน่น กินคู่กับคุกกี้หวาน ๆ แล้วสร้างความสดชื่นยามเช้าได้ดีไม่หยอกเลย

07 “ซาชิมิหมึกอิคิซุคุริที่ร้าน Underwater Fish Restaurant Manbou

สำหรับพิกัดร้านที่เราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ มาลิ้มลองของขึ้นชื่อประจำถิ่นคือ ‘Underwater Fish Restaurant Manbou’ ร้านอาหารใต้ทะเลแห่งแรกของญี่ปุ่น กับห้องที่มีช่องกระจกรอบด้าน ให้เรามองเห็นน้องปลากำลังแหวกว่าย ประหนึ่งเราได้ด่ำดิ่งไปกินใต้ทะเลจริง ๆ โดยเขาจะมีห้องหลายแบบให้เลือกทั้งแบบพื้นต่างระดับจัดวางเบาะนั่งสไตล์ญี่ปุ่น ห้องสไตล์ฝรั่ง ห้องโต๊ะเก้าอี้แบบทั่วไป หรือจะนั่งแบบเสื่อทาทามิเทควิวเหนือผิวน้ำก็มีไว้บริการเช่นกัน 

เมนูของร้านมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ทุกความชอบ ไม่ว่าจะข้าวด้งหน้าปลาดิบ เทมปุระ อาหารเซตก็เลิศ แน่นอนว่าเราต้องเลือกสั่งซิกเนเจอร์ชุดใหญ่ราคา 6,600 เยน มีทั้งข้าว ปลาดิบ เครื่องเคียงมากมาย และพระเอกของมื้ออย่าง ‘ซาชิมิหมึกอิคิซุคุริ’ ปลาหมึกตัวใหญ่สีใสที่ถูกหั่นเป็นเส้น ๆ รสชาติหวาน เท็กซ์เจอร์กรุบแบบธรรมชาติ อร่อยจนไม่ต้องจิ้มอะไรเลย และเกี๊ยวปลาหมึกที่ใช้เนื้อปลาหมึกล้วน ๆ ทำให้มีสัมผัสที่หนึบหนับ รสชาติหวาน กินกับซอสพอนสึที่มีความเปรี้ยว ๆ มาแซมแล้วคือเดอะเบสต์ อร่อยจนต้องยกนิ้วให้ ใด ๆ คือกราบคนที่แพลนจะตามไปเที่ยวซากะแวะไปโดนด้วยนะ ขอร้อง!!!!

08 Hado Cape (แหลมฮาโดะ)

ไหน ๆ ก็เริ่มต้นกันด้วยซีฟู้ด พิกัดต่อมาเราก็มาเทควิวคลีน ๆ ให้ชื่นใจกันสักหน่อยที่ ‘Hado Cape’ แหลมที่ยื่นออกสู่ทะเล Genkai หนึ่งในฉากที่แฟนซีรีย์เรื่อง ‘STAY ซากะ..ฉันจะคิดถึงเธอ’ ต้องคุ้นตา ด้วยชื่อแหลมที่พ้องเสียงกับคำว่าหัวใจ (Heart สำเนียงญี่ปุ่น) จึงถูกยกให้เป็นสถานที่แห่งรัก มีการสร้างประติมากรรมปูนปั้นรูปหัวใจสีขาว ตรงพื้นจัดวางเปลือกหอยสีพาสเทลหวาน ๆ จนกลายเป็นมุมเช็กอินยอดฮิตของคู่รัก ใกล้ ๆ กันยังมีป้าย The northwest end ‘Hado Cape’ หน้าตาคลาสสิกให้ร่วมเฟรมด้วย โดยช่วงเวลาที่คนจะมาเยอะที่สุดคือตอนพระอาทิตย์ตกดิน เขาว่าโรแมนติดสุด ๆ เลยล่ะ

อีกไฮไลต์ของแหลมนี้คือ ‘Genkai Underwater Observatory Tower’ หอสังเกตการณ์ใต้ทะเล โดยมีปล่องขาวสูงพุ่งออกมาเหนือน้ำสูงถึง 20 เมตร มีทางเดินยาว 86 เมตรเชื่อมต่อกับชายฝั่ง ในนี้เราจะได้ดำดิ่งลงสู่ท้องน้ำลึกถึง 7 เมตร มีกระจกทรงกลม 24 บานล้อมรอบให้เราเห็นทัศนียภาพใต้น้ำได้อย่างชัดเจน บริเวณนี้จะมีกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นไหลรวมกัน ทำให้มีปลาเขตร้อนสีสันสวยงามอาศัยอยู่ พร้อมทั้งยังเป็นสถานอนุบาลปลา สาหร่ายหายาก และสัตว์ทะเลอีกหลากหลายสายพันธุ์อย่างต่ำ 30 ชนิด ว่ายแลนดอมมาให้เราดูไม่ซ้ำ รับรองว่าเพลินตาเพลินใจจนไม่อยากออกไปไหนเลยทีเดียว

ก่อนจะมูฟออนไปพิกัดถัดไป ขอเอาใจ สายกิน!!!!! เพิ่มเติมด้วย Turban Shell (Sazae) Grill Stalls แหล่งรวมร้านอาหารทะเลปิ้งย่างที่ตั้งวางขายเป็นแถวยาว มีบรรดาคุณป้ายืนปิ้งเรียกแขกด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เราลองสั่งของท้องถิ่นอันโด่งดังอย่างหอยซาซาเอะมาลอง บอกเลยว่าจึ้ง.. เนื้อมีความหวานฉ่ำ เท็กซ์เจอร์กรุบ ๆ หนุบ ๆ มีซอสสูตรเด็ดของร้านราดมาให้ช่วยเพิ่มความครบรสยิ่งขึ้น ราคาดีสมมงร้านโลคอล ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงนิยมมาที่นี่เพื่อทำกิจกรรมช่วงวันหยุดกัน มันมีครบทุกอย่างจริง ๆ

09 Terraced Rice Fields of Hamanoura (นาขั้นบันไดฮามาโนะอุระ)

ขับรถออกจากแหลมฮาโดะเพียง 15 นาที เราก็ได้เปลี่ยนวิวทะเลกว้าง ๆ เป็นนาขั้นบันไดสุดอันซีนแล้วที่ ‘Terraced Rice Fields of Hamanoura’ แม้นาลักษณะนี้จะเห็นได้ทั่วไปในคิวชู แต่จุดนี้เราจะเห็นนาข้าวที่ไล่เรียงจากที่สูงลดหลั่นลงมาเรื่อย ๆ เป็นแนวยาวทอดมาจากมหาสมุทร เกิดเป็นภาพจิตรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ใช้สีครามของท้องฟ้า น้ำเงินจากน้ำทะเล ตัดสีเขียวของทุ่งนาได้อย่างลงตัว เพื่อให้สมมง ‘Holy place for lovers’ เขามีกระดิ่งรูปหัวใจตั้งไว้ให้คู่รักมาสั่นกระดิ่งด้วยกัน ออ ในบางฤดูยังมีการจัด light up ยามค่ำคืนให้ชมอีกด้วยนะ ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูเผื่อเพื่อน ๆ ไปตรงอีเว้นท์เจ๋ง ๆ

10 Mikaeri no Taki Falls (น้ำตกมิคาเอริ)

1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น ‘Mikaeri no Taki Falls’ ถือเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของคิวชู ด้วยความสูงกว่า 20 เมตร ไหลบ่าลงสู่เบื้องล่างส่งเสียงคำรามดังกึกก้องทว่าเต็มไปด้วยความสดชื่น เดินเข้าไปใกล้ ๆ เราจะสัมผัสถึงละอองน้ำเย็น ๆ ฟุ้งปะทะตัวและใบหน้า เห็นความใสบริสุทธิ์ของแอ่งน้ำ รอบข้างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้ที่มีมากกว่า 40,000 ต้น จาก 50 สายพันธุ์  ทำให้เราได้สูดอากาศสดชื่นได้ฉ่ำปอดสุด ๆ 

ความโชคดีคือช่วงที่เรามาตรงกับต้นหน้าร้อน (เดือนมิถุนายน) ซึ่งเป็นอีกช่วงที่สวยที่สุดของที่นี่ เพราะผืนป่าที่โอบอุ้นน้ำตกแห่งนี้จะถูกแต่งแต้มสีสันเพิ่มเติมด้วยดอกไฮเดรนเยียที่พร้อมใจกันบานสะพรั่ง ชูช่อสีฟ้า ชมพู ม่วง ตัดกับความเขียวชอุ่มได้อย่างเด่นชัด เป็นการเติมเต็มภาพน้ำตกมิคาเอริให้ดูต้องตาต้องใจ ส่งเสียงเรียกคนเข้ามาชมได้ไม่ขาดสาย แต่หากเพื่อน ๆ มาในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย. เขาจะมีการประดับไฟให้ชมตอนกลางคืนด้วย และแน่นอนว่าในทุกฤดูเราก็จะเห็นความสวยที่ไม่ซ้ำกัน สามารถแพลนมาเที่ยวใหม่ได้เรื่อย ๆ เลย

Day 3

11 Okawachiyama Village (หมู่บ้านโอคะวะจิยะมะ)

เช้านี้เราขอพาทุกคนเข้าไปยังใจกลางหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของ ‘Okawachiyama Village’ หมู่บ้านในตำนาน ต้นกำเนิดเซรามิกของซากะที่อยู่มานานกว่า 400 ปี ด้วยดินของที่นี่มีสภาพที่เหมาะสมแก่การผลิต บวกกับได้ช่างฝีมือชาวเกาหลีมาคอยให้คำแนะนำ จึงกลายเป็นแหล่งผลิตเซรามิกลายครามที่มีคุณภาพสูง และถือเป็นของล้ำค่าอย่างหนึ่งมาตั้งแต่ยุคสมัยที่ตระกูลนาเบะชิทะปกครองเมืองซากะ ซึ่งตระกูลนี้ได้เข้ามามีบทบาทในแง่ของผู้ควบคุมการผลิต สร้างหมู่บ้าน และคุ้มครองอย่างดี จนขึ้นชื่อว่าเป็น ‘หมู่บ้านลับแห่งเตาเผา’ จวบจนปัจจุบัน แค่ประวัติก็ทำเอาตื่นตาตื่นใจ เดี๋ยวไปดูข้างในกันว่ามีอะไรให้สำรวจบ้าง 

ด้วยความที่ขนาดของหมู่บ้านค่อนข้างเล็ก ตอนแรกคิดว่าคงใช้เวลาเดินชมไม่นานนัก แต่ความจริงในนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดให้เราได้หยุดมองแทบทุกซอกซอย โดยมุมที่พลาดไม่ได้จะอยู่บริเสณสะพานที่มีภาพเซรามิกลายครามติดอยู่ ถือเป็นจุดเช็กอินยอดฮิตให้เราได้เทควิว พร้อมดื่มด่ำกับภาพอาคารโบราณที่มีภูเขาสีเขียวฉุ่มฉ่ำสูงตระหง่านเป็นฉากหลังสวย ๆ ในระหว่างเที่ยวชมหากสังเกตดี ๆ จะเห็นบ้านแทบทุกหลังมีปล่องเตาเผาสีส้มเอกลักษณ์อันโดดเด่นของหมู่บ้าน นอกจากบรรยากาศที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลแล้ว เรายังจะได้เห็นภาพศิลปะบนเซรามิก สินค้าเซรามิกให้เลือกช้อปละลานตา ตลอดจนเครื่องปั้นวางโชว์ไม่ขาดสาย บอกเลยว่าใครที่รักงานคราฟต์รับรองจะต้องหลงรักที่นี่อย่างแน่นอน

12 Tozan Jinja (ศาลเจ้าโทซัง)

ออกจากหมู่บ้านเซรามิกกลางหุบเขา ก็ขอมาเพลิดเพลินกับงานเซรามิกเพิ่มติมต่อที่ Arita เมืองแสนเลอค่าที่มี ‘Tozan Jinja’ รอต้อนรับเราด้วยเสาโทริอิที่ทำจากเซรามิกลายครามขนาดใหญ่ มีรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา สร้างความน่าเกรงขาม ทำให้ศาลเจ้าดูขลังขึ้นหลายเท่าตัว ที่นี่สร้างมานานถึง 366 ปี เพื่ออุทิศให้แก่ช่างปั้นชาวเกาหลี Yi-sam Pyeong บุคคลสำคัญผู้ให้คำแนะนำเรื่องเซรามิกลายครามแก่พื้นที่นี้นั่นเอง

นอกจากเสาโทริอิเซรามิก รอบ ๆ ศาลเจ้าจะเต็มไปด้วยงานประติมากรรมกลางแจ้งที่ทำจากเซรามิกด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็ฯงานปั้นรูปสัตว์เทพมงคล กระถางยักษ์ เสาไฟญี่ปุ่นโบราณ ภาพเพนต์ แต่ละลายมีฝีพู่กันที่อ่อนช้อย เป็นการใช้สีเดียวที่ไล่ความเข้มอ่อนได้อย่างมีชีวิตจนละสายตาไม่ได้เลย ใด ๆ ที่ชอบแบบม๊าก แบบสุด คือตัวศาลเจ้าอยู่บนเนินเขาทำให้เราเห็นวิวหมู่บ้านถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มอย่างถนัดตา แล้วยิ่งมาเจอหมอกลอยละล่องบาง ๆ ผนวกกับความสงบแบบนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอนิเมะสุด ๆ มันดีมากจริง ๆ

13 Gallery Arita (แกลลอรีอะริตะ)

ได้เวลาของนักช็อปกันแล้ว ณ ‘Gallery Arita’ สถานที่ที่นอกจากจะจัดแสดงงานเซรามิกที่รวมไว้มากถึง 2,500 ชิ้นแล้ว ยังเป็นคาเฟ่ให้เราได้นั่งดื่มชากาแฟท่ามกลางงานศิลปะด้วย ผลงานจะมีความร่วมสมัยอยู่มาก อย่างบางแก้วหน้าตาดูโบราณ แต่พอสังเกตลวดลายกลายเป็นน้องคิตตี้ บ้างเป็นรูปกราฟฟิกสุดมินิมอล มีงานคาแรกเตอร์น่ารัก ๆ เป็นถ้วยใส่น้ำจิ้ม ที่วางตะเกียบ มองอะไรก็น่าสอยไปหมด ถือเป็นร้านที่เหมาะสมกับวัยรุ่นอย่างเราจริง ๆ

นอกจากชากาแฟที่เราบอกไปตอนแรก ที่นี่เขามีเมนูอาหารขายเป็นเซตด้วย เราเลือกชุด ‘ไก่ทอดเกลืออาริโดริ’ ที่เขาใช้แป้งข้าวเจ้าในการทอดทำให้ข้างนอกมีความกรอบละมุนนุ่มจุยซ์ข้างใน โดยไก่อาริตะถือเป็นหนึ่งในเนื้อไก่ที่มีคุณภาพท่ีสุด กินพร้อมเครื่องเคียงที่ล้วนเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นก็ยิ่งชูรสชาติให้กันและกันได้อย่างดี อีกเมนูยอดฮิตของร้านที่อยากแนะนำไว้เป็นตัวเลือกเพิ่มเติมก็คือ สตูว์เนื้ออิมาริ เนื้อระดับรางวัลที่เคี่ยวในซอสสูตรพิเศษ ด้านเครื่องดื่มเขาก็มีกิมมิกไม่เหมือนใคร คือเราสามารถเลือกแก้วที่ชอบ ซึ่งวางตกแต่งอยู่รอบร้านเกินกว่า 1,000 ใบ มาใส่เครื่องดื่มเมนูโปรดได้เองด้วย ของเราเลือกลายดอกไม้สีน้ำเงินมาใสกาแฟไว้กินคู่กับขนมรสหวานอ่อน ๆ กลิ่นหอม ๆ ฟินลงตัวเพลินอย่าบอกใครเชียว

14 Takeo Onsen (ทะเคะโอะออนเซ็น)

ออกเดินทางกันอย่างต่อเนื่อง มายังเมือง ‘Takeo Onsen’ เช็กอินกับออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น กับตัวเลขสุดตะลึง 1,300 ปี สัญลักษณ์คือ Romon ประตูที่มีรูปทรงเป็นอาคาร 2 ชั้นสีขาวแดงโดดเด่น สร้างขึ้นเมื่อ 73 ปีก่อน ออกแบบโดย Kingo Tatsuno สถาปนิกผู้ออกแบบสถานีโตเกียว ที่เขาตั้งใจร้อยเรื่องราว 2 สถานที่นี้เข้าด้วยกัน โดยการวาดภาพสัตว์ประจำนักษัตร 4 ตัวไว้บนเพดานชั้นบน ซึ่งเป็นตัวที่หายไปจากสถานีโตเกียวที่เขาวาดไว้เพียง 8 ตัวเท่านั้น และด้วยความที่ออนเซ็นของที่นี่จะมีความเป็นด่างสูงจึงดีต่อผิวทั้งเรื่องความเปล่งปลั่ง การหมุนเวียนของเลือด เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมานั่นเอง 

15 Takeo Jinja (ศาลเจ้าทะเคะโอะ)

มาถึงนี่ก็ต้องขอไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาฤกษ์เอาชัยสักนิดที่ ‘Takeo Jinja’ ศาลเจ้าพันปี ที่มีความแตกต่างจากศาลเจ้าชินโตทั่วไปเรื่องการใช้สี ที่ปกติจะเป็นสีแดงแรงฤทธิ์แต่ที่นี่กลับขาวสะอาดสบายตา ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียวแสนอุดมสมบูรณ์ โดยสีนี้เปรียบเสมือนสีของนกกระยาง สัตว์ผู้ส่งสาส์นแก่เทพประจำศาลเจ้านั่นเอง แล้วเครื่องรางของที่นี่น่ารักมาก นอกจากแมวกวักที่เรียกโชคลาภแล้วยังมี ‘Amabie’ สัตว์ในตำนานมีหน้าเหมือนนกมีหางเป็นครีบปลา 3 ครีบ เชื่อว่าให้โชคด้านการเก็บเกี่ยวและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ข้างในตัวน้องจะเป็นคำทำนาย ฟีลลิงเสี่ยงเซียมซีด้วย 

ยังไม่หมด!! ไฮไลต์ของที่นี่ยังมีต้นการบูรอายุ 3,000 ปี สูง 27 เมตร แผ่รากเป็นพื้นที่กว้างถึง 26 เมตร ตรงกลางมีโพรงขนาดใหญ่ด้านในเป็นศาลเจ้าที่จะเปิดให้เราเข้าไปขอพรใกล้ ๆ เพียงปีละ 1 ครั้ง และด้วยความที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของญี่ปุ่น การบูรต้นนี้จึงถูกตั้งให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติประจำเมืองทาเคโอะ ส่วนอีกจุดที่อยากให้แวะก่อนกลับจะอยู่บริเวณหน้าศาล จะมีต้นไม้ใหญ่ที่ยืนเคียงคู่กัน ถูกเชื่อมโยงด้วยเชือกทำพิธี บ่งบอกถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าด้านความรัก ให้เหล่าคนมีความรัก คนมีคู่มาขอพรให้สมหวัง ครองรักกันไปอย่างยาวนานนั่นเอง

16 TeamLab Mifuneyama Rakuen

อิ่มกับธรรมชาติ ไหว้พระกันอย่างสบายใจ ก็ได้เวลามาเติมพลังจินตนาการต่อที่ ‘TeamLab Mifuneyama Rakuen’ งานไฟสุดคูลในซากะ ที่มาในธีม A Forest Where Gods Live เชื่อมโยงความงามของธรรมชาติหลายพันปีเข้ากับการแสดงแสง สี เสียงอันแสนงดงาม บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 500,000 ตารางเมตร จัดแสดงทั้งงานอินดอร์และเอาต์ดอร์ รวมไปถึงสวนที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ แต่น่าเสียดายตอนช่วงเรามาเขายังเปิดไม่เต็มพื้นที่ เลยเก็บได้แค่ 2 จุดไฮไลต์สุดจึ้งมาฝาก จุดแรกคือ ‘Megaliths in the Bath House Ruins’ งานไฟในโรงอาบน้ำร้างท่ามกลางธรรมชาติอายุสามพันปี แหล่งสะสมเรื่องราวผ่านซากปรักหักพัง มีแท่งไฟที่บ่งบอกถึงความเชื่องช้าของกาลเวลา

ส่วนอีกจุดเป็น ’Forest and Spiral of Resonating Lamps – One Stroke’ โคมไฟอันละลานตาที่เปลี่ยนสีไปตามผู้ที่มาเยี่ยมเยือน พอเรายืนใกล้โคมไฟ หลอดไฟจะสว่างและมีแสงกระจายไปยังโคมไฟอีกสองที่ที่อยู่ใกล้กัน เกิดเป็นแสงเงาที่สาดไปยังโคมรอบข้าง ยิ่งเดินยิ่งเพลิน มองไม่เบื่อเลย ถ้าใครสนใจอยากสัมผัสความจึ้งปังก็กดไปอ่านดูได้ที่ https://www.teamlab.art/th/e/mifuneyamarakuen/#information

17 Siebold no yu (บ่อน้ำพุร้อนซีโบลด์ โนะ ยุ)

ปิดท้ายวันที่สามด้วยการพาตัวเองมานอนแช่ออนเซ็น ยืดเส้นที่เริ่มตึงจากการเดินเยอะสักกรุบที่เมือง Ureshino กับ ‘Siebold no yu’ สถานที่แช่น้ำสาธารณะ ก่อตั้งโดยแพทย์ชาวเยอรมันที่มาญี่ปุ่นพร้อมชาวดัตช์ Von Siebold เป็นคนแรกที่ทำการวิจัยน้ำพุร้อนของที่นี่ จึงได้ตั้งชื่ออาคารล้อไปกับชื่อของเขาด้วยนั่นเอง โรงแช่น้ำแห่งนี้เคยปิดตัวลงเมื่อ 28 ปีก่อน หลังจากนั้นอีก 14 ปีก็ได้เปิดให้บริการอีกครั้ง โดยน้ำที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการบำรุงผิวให้สวยเยาว์วัย และดีที่สุดติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ตัวอาคารนั้นเป็นการออกแบบสไตล์โกธิค ความสูง 2 ชั้น ภายในดูคลาสสิกใช้สีขาว ตัดสีฟ้าเทอร์คอยส์ พื้นไม้ขัดเงา วางเฟอร์นิเจอร์ รูปภาพวินเทจน่ารักน่าหยิกประหนึ่งบ้านตุ๊กตา แล้วยังมีมาสคอต ‘Yuttsura-kun’ น้องไอน้ำนุ่มฟูที่โผล่พ้นออกมาจากถังไม้ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มรอทักทายผู้มาเยือน ภายในมีล็อกเกอร์เก็บของ แบ่งห้องออนเซ็นสำหรับชายหญิง มีบ่อรวมสำหรับครอบครัว หากต้องการบ่อส่วนตัวก็สามารถเหมาได้เช่นกัน ออ และด้านหน้าเขายังมีบ่อแช่เท้าที่เปิดให้บริการฟรี 24 ชม. อีกด้วยนะ

Day 4

18 Ureshino Town Onsen (เมืองอุเรชิโนะ ออนเซ็น)

เมื่อวานกว่าจะมาถึงก็เย็นค่ำ เช้านี้เราเลยขอตื่นแต่เช้า แล้วออกมาเดินทอดน่องชิล ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้เห็น ‘Ureshino Town Onsen’ อันแสนสงบอย่างอิ่มเอม เรื่องราวของที่นี่มีมานานกว่า 1,300 ปี แถมยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แนบเนียนไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ภาพที่เห็นจากที่นี่มีทั้งบ้านเรือนทรงญี่ปุ่น ทรงยุโรปที่มีแบ็กกราวนด์เป็นภูเขาสูงใหญ่ฟีลลิงบ้านตากอากาศ มีแม่น้ำชิโอตะไหลตัดผ่าน ขนาบด้วยต้นซากุระที่ปลูกไว้หมายให้เป็นจุดชมวิวยามใบไม้ผลิที่งดงาม บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย และเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก ซึ่งของขึ้นชื่อเขาจะเป็นชามัตจะพรีเมียม ถ้วยชามกระจุกกระจิก และที่พลาดไม่ได้คือ เซมเบ้เนื้อย่างซากะ ที่จะมีกลิ่นเนื้อหอม ๆ รสชาติกลมกล่อมเคล้ามากับแป้งกรุบกรอบ

สำหรับใครที่ไม่ถนัดเปลื้องผ้าลงบ่อ เราแนะนำว่าแช่เท้าก็ฟินได้ ซึ่งภายในเมืองเขาก็มีบริการบ่อแช่หลัก ๆ อยู่ 3 จุด นอกจาก Siebold’s Footbath ที่เราไปมาเมื่อวานแล้ว วันนี้เรามาที่ Yushuku Hiroba เป็นศาลาเปิดโล่งมีบ่อแช่เท้าทรงสี่เหลี่ยนผืนผ้า พื้นด้านล่างเป็นหินกลมพอลงน้ำหนักจะรู้สึกเหมือนได้นวดที่ส้นเท้า ข้าง ๆ กันเป็นที่นั่งอบไอน้ำเท้าสำหรับ 7 คน แนะนำให้อบไว้ประมาณ 10-15 นาทีจะฟินมาก ส่วนบ่อสุดท้ายคือ Yuttsura hiroba ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งจะมีทั้งที่แช่เท้า แช่มือ และห้องน้ำไว้บริการ

19 Toyotamahime Shrine (ศาลเจ้าโทโยตะมะฮิเมะ)

พาแวะเช็คอินอีกแลนด์มาร์กประจำเมือง ‘Toyotamahime Shrine’ ศาลเจ้าแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยเซ็นโงกุ กว่า 500 ปีก่อน ผ่านการถูกทำลายจากสงคราม มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง จนถูกย้ายมาตั้งอยู่ที่นี่เมื่อ 142 ปีก่อน ภายในยังคงมีสิ่งก่อสร้างดั้งเดิมสมัยเอโดะให้เราได้เยี่ยมชม และยังมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาด้วยว่า เมื่อครั้งอดีตมีสาวงามนามว่า โทโยตามะ ฮิเมะ เทพธิดามังกรที่มีผิวขาวราวหิมะ มีผู้ติดตามรับใช้เป็นปลาดุกชื่อ นามะซุซามะ ต่อมาได้เกิดโรคผิวหนังระบาดในหมู่บ้าน นามะซุซามะจึงช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการให้ผู้ป่วยสัมผัสตัวก็จะทำให้สุขภาพดีและผิวหนังกลับไปสวยงามอีกครั้ง จึงเป็นที่มาของการไหว้ขอพรเรื่องผิวพรรณของที่นี่นั่นเอง

จุดขอพรจะอยู่บริเวณที่ล้างมือ โดยน้ำในบ่อมาจากน้ำพุร้อน Ureshino วิธีการขอพรนั้นไม่ต่างจากที่อื่น ๆ เพียงโค้งคำนับ 2 ครั้ง ตบมือ 2 ครั้ง จากนั้นตักน้ำที่กระบวยแล้วไปราดที่รูปปั้นเซรามิกปลาดุกขาวอันเป็นตัวแทนของนามะซุซามะ จากนั้นก็ลูบรูปปั้นสักนิดสักหน่อย ขอพรในใจให้มีผิวพรรณกระจ่างใส สุขภาพดีเหมือนกระเบื้องเคลือบ เท่านี้เป็นอันจบพิธี 

20 Soan Yokocho

หากท้องยังไม่อิ่มอย่าเพิ่งเดินทางออกจากเมืองนี้!! เพราะเขามีของเด็ดอยู่ที่ ‘Soan Yokocho’ ร้านอาหารอายุกว่า 67 ปีที่มีของดีซ่อนอยู่มากมาย ตัวร้านตั้งอย่างโดดเด่นอยู่มุมถนน มีป้ายร้านสีขาวสี่เหลี่ยมจตุรัสดูเรโทรติดอยู่ตรงกลาง ข้างในร้านมีการตกแต่งแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม มีทั้งโซนที่นั่งแบบเสื่อทาทามิ และโต๊ะเก้าอี้ธรรมดา แต่ละโต๊ะมีฉากไม้กั้นมอบความเป็นส่วนตัว หากมาช่วงวันหยุดแนะนำให้กะเวลาดี ๆ เพราะเขาเป็นร้านยอดฮิตของคนญี่ปุ่นเองด้วย อาจจะต้องต่อแถวยาวหน่อย แต่ถ้ามาในวันธรรมดารีบมาตั้งแต่ร้านเปิดแบบเราก็จะชิล ๆ แบบนี้เลย 

ทีเด็ดของร้านคือเมนูเต้าหู้สดทำเองต้มในน้ำแร่จากน้ำพุร้อน Ureshino มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ยูโดฟุ (湯豆腐) เสิร์ฟมาเป็นเซ็ตแบบนี้เลย ในหม้อดินชามโตนี้คือซุปเต้าหู้หน้าตาขาวสะอาด ด้วยความเป็นด่างของน้ำพุร้อนทำให้เต้าหู้นั้นนุ่มละมุนละลายในปาก มาพร้อมซุปสูตรพิเศษเนื้อนม ๆ ที่มีความหวานกลมกล่อม วิธีกินให้อร่อยจะต้องใส่เครื่องปรุง อาทิ ต้นหอม ปลาโนบิโตะขูดฝอย ซอสน้ำมันงาลงไปด้วย จะได้ความอูมามิ เพิ่มอรรถรสในการกินมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนกินจะมีพนักงานมาให้คำแนะนำด้วย

21 Hizen Hamashuku (ย่านฮิเซ็น ฮะมะชุกุ)

มาเช็กอินกันต่อกับย่านลับ ๆ ที่น้อยคนจะรู้จัก ‘Hizen Hamashuku’ ย่านเมืองเก่าสมัยเอโดะ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายขึ้นชื่อในเรื่องการผลิตสาเกจนได้สมญานามเป็น ‘ถนนแห่งโรงกลั่นเหล้า’ มีโรงผลิตหลักอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ Fukuchiyo Shuzo, Mitsutake Shuzo, Minematsu Shuzo ตลอดระยะทาง 600 เมตร เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่อันสมบูรณ์ สมกับที่เป็นเขตอนุรักษ์อาคารที่สำคัญของประเทศ บางแห่งยังคงใช้ผลิตสาเก ซีอิ๊วอยู่ บางแห่งได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่พัก ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งบรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบ เหมาะใส่ชุดกิโมโนมาดื่มด่ำและถ่ายรูปสุด ๆ 

22 Yūtoku Inari Shrine (ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ)

ศาลเจ้าที่ประกาศศักดาความปังของซากะ ‘Yūtoku Inari Shrine’ 1 ใน 3 ศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นเมื่อ 336 ปีก่อน ศาลเจ้านิกายชินโตที่สร้างออกมาเป็นสีแดงแบบถูกต้อง ใช้เป็นศาลเจ้าประจำตระกูลนาเบะชิมะ ผู้ปกครองเมืองซากะ เชื่อว่ามี Inari Okami เทพผู้คุ้มครองเมืองด้านการเพาะปลูกให้งอกงาม ค้าขายเจริญรุ่งเรืองสถิตอยู่ พร้อมศาลสุนัขจิ้งจอก ผู้เป็นบริวารของเทพองค์นี้ มาทำหน้าที่เป็นผู้รับ-ส่งสาส์นที่เราขอพรนั่นเอง แถมยังมีประตูโทริอิสีแดงตั้งเรียงไปตามทางขึ้นเขา จนถึงตัวศาลเจ้าด้านบนที่เป็นจุดชมวิวให้เราเห็นความงดงามของธรรมชาติ คละเคล้ากับเมืองคาชิมะ พร้อมทะเลอะริอะเกะในเวลาเดียวกัน

จะว่าไป มอง ๆ แล้วโครงสร้างของวัดนี้ก็มีความคล้ายวัดน้ำใสอันโด่งดังแห่งเกียวโตอยู่บ้าง แตกต่างกันตรงที่ความเงียบสงบ ถ่ายรูปแล้วไม่โดนกันซีน แถมทุกจุดยังได้รับการดูแลอย่างดี จนแทบจะเหมือนใหม่ตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ และสำหรับสายมูเขายังมีเทพเจ้าอีกหลายองค์ให้เราได้ขอพร ไม่ว่าจะเป็น Uganomitama-no-okami ให้พรเรื่องที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้า ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน, Omiyanome-no-okami เทพธิดาที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะ งานฝีมือ และมอบความสุขสงบ, Sarutahiko-no-okami เทพผู้ให้พรด้านการเดินทางปลอดภัย เป็นศาลเจ้าที่วิวจึ้ง ถ่ายรูปสวย แล้วยังมูฉ่ำอีก ครบจริง ๆ

ออกจากศาลเจ้าแล้วก็อย่าลืมเดินมาที่ถนนคนเดิน Yutoku Monzen Shopping Street กับความยาว 400 เมตร ที่ขนาบข้างด้วยร้านค้ากว่า 30 ร้าน ขายทั้งของที่ระลึก ของกินเล่น และอาหาร ของขึ้นชื่อประจำย่านคือขนมโบราณ Inari Yogan ขนมที่ทำจากถั่วแดงอัดเป็นแท่ง เวลากินจะต้องใช้ด้ายตัดเป็นแว่น ๆ, Yutoku Senbei ข้าวเกรียบญี่ปุ่นที่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นข้าว, Yuzu Gosho พริกไทยยูซุ ใด ๆ สายของหวานต้องห้ามพลาดที่จะลองซอฟต์เสิร์ฟหน้า Ohako-mochi ไอศกรีมรสนมนัว ๆ กินคู่กับวาราบิโมจิ โรยด้วยผงคินาโกะ หอมกลิ่นน้ำตาลคั่วฟุ้ง ๆ พร้อมความหวานละมุนเป็นเอกลักษณ์ รวมตัวกันเป็นความสดชื่นที่ไม่เหมือนใครเลย

23 Oouo Jinja (ศาลเจ้าโออุโอะ)

ทิ้งท้ายวันนี้กับอีกสิ่งปลูกสร้างโบราณที่สร้างความเอ๊ะให้เรา ‘Oouo Jinja’ ศาลเจ้าชินโตขนาดเล็กที่มีอายุมากกว่า 300 ปีมาแล้ว ว่ากันว่าแต่ก่อนมีปลัดอำเภอที่ชอบกดขี่ผู้คนในหมู่บ้าน ทำให้เกิดความไม่พอใจ ครั้งถูกเชิญไปงานเลี้ยงสังสรรค์บนโขดหินกลางทะเล เขาได้ดื่มจนเมามาย และถูกชาวบ้านทิ้งไว้บนนั้น จนน้ำเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเขารู้สึกตัวก็นึกเสียใจในสิ่งที่ตนได้เคยทำลงไป พร้อมขอความช่วยเหลือ ขณะนั้นก็มีปลาตัวใหญ่ โผล่ขึ้นมาช่วยและพาเขากลับสู่ชายฝั่ง หลังจากนั้นเขาก็กลับตัวเป็นคนดี และได้สร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมา พร้อมประตูโทริอิสีแดง 3 ประตูตั้งเรียงอยู่กลางทะเล ซึ่งเป็นทิศของโขดหินแห่งนั้นนั่นเอง ปัจจุบันเชื่อกันว่ายังคงมีเทพเจ้าปลาที่คอยช่วยเหลือชาวประมง และผู้ประสบภัยทางทะเลในพื้นที่แห่งนี้ และในเดือนสิงหาคมของทุกปียังมีงานเทศกาลโคมไฟยุกิโนะ ที่ประดับโคมไฟมากขึ้น 500 โคม จะต้องเป็นวิวยามค่ำคืนที่แกรนด์มากแน่ ๆ 

Day 5

24 Saga Castle (ปราสาทซากะ)

เช้าวันสุดท้ายเราเริ่มออกตัวกันสาย ๆ มายังพิกัดแรกในตัวเมืองซากะ ‘Saga Castle’ ปราสาทประจำเมืองที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีฐานเป็นหิน ไม่ใช่อาคารสูงที่มีจุดชมวิว แต่กลับมีความยิ่งใหญ่ในแนวราบ ด้วยตัวอาคารที่ทำจากไม้ทั้งหลัง ถือเป็นหนึ่งในปราสาทไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นช่วงปลายเอโดะ ราว 400 กว่าปีก่อน เคยถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่ให้คล้ายเดิมที่สุด ไฮไลต์คือทางเดินปูเสื่อทาทามิยาว 45 เมตร และโถงขนาด 320 เสื่อ ด้วยความที่อดีตเมืองนี้เป็นทางผ่านจากเมืองท่านางาซากิสู่กรุงเอโดะ (โตเกียว) ทำให้ที่นี่มีของเก็บสะสมล้ำยุคล้ำสมัยจากชาติตะวันตกอยู่หลายอย่าง อาทิ ปืนใหญ่ เครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งเขาได้เอามาจัดวางให้เราได้ชมด้วย

ชมภายในเสร็จเราก็ออกมาเดินสวนสาธารณะรอบ ๆ ที่มอบความร่มรื่นชื่นตาได้ไม้แพ้ที่ไหน จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงด้านหน้าทางเข้าปราสาท รูปปั้น Bronze Statue of Naomasa Nabeshima (鍋島直正公銅像) หนึ่งในนักปราชญ์ทั้งเจ็ดแห่งซากะ ผู้ที่มาปฏิรูปด้านการเงินของตระกูล และก่อตั้งโรงงานผลิตปืนใหญ่ขึ้น มีการพัฒนาจนสามารถผลิตปืนใหญ่แบบตะวันตกได้สำเร็จแห่งเดียวในญี่ปุ่น พร้อมกับเครื่องยนต์ไอน้ำ เรือกลไฟ ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญทางการเมืองมากมาย จนถึงยุคฟื้นฟูเมจิ ท่านยังได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีคนแรกของสำนักงานอาณานิคมฮอกไกโดอีกด้วย

25 Kira Honten

มื้อที่สุขที่สุด!! คือมื้อที่เราได้กินเนื้อซากะ!! หากพลาดมิชชั่นนี้ไปจะเหมือนกับว่าเรามาไม่ถึงเลยทีเดียว เราเลือกมานั่งที่ ‘Kira Honten’ ร้านในเมือง ดูแลโดย JA Group Saga บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเนื้อเป็นพิเศษ วัตถุดิบต่าง ๆ ก็จะใช้ของท้องถิ่นเพื่อความสดใหม่อยู่เสมอ ร้านนั้นตกแต่งเหมือนร้านปิ้งย่างทั่วไป มีที่นั่งแบบโต๊ะเก้าอี้ และเสื่อทาทามิ หรือจะนั่งตรงเคาน์เตอร์ชมลีลาการทำอาหารของเชฟก็ได้เช่นกัน 

ความสาแก่ใจในมื้อนี้เรายกให้กับความพรีเมียมของเนื้อ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในวากิวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น มีระดับให้เลือกคือ A4 ขึ้นไป (สูงสุด 5) และมีลายของไขมันอยู่ที่ระดับ 7 ขึ้นไป (สูงสุด 12) ยิ่งระดับสูงความนุ่มจุยซ์ละลายในปากก็ยิ่งมาก แต่ที่แน่ ๆ คือลายมันที่เหมือนหินอ่อนบนเนื้อสีแดงนั้น ยิ่งจ้องมันยิ่งยั่วยวนสุด ๆ พอนำลงเตาก็เกิดเสียงฉ่า!! พร้อมควันสีขาวที่หอบเอากลิ่นเนื้อพวยพุ่งกระแทกจมูกแบบไม่ทันตั้งตัว เพียงสูดกลิ่นก็ทำท้องร้องโครกอย่างบ้าคลั่ง กัดไปก็เจอความนุ่มกลมกล่อมของเนื้อที่อร่อยสมคำร่ำลือ ดีงามจนแทบไม่ต้องจิ้มอะไรเพิ่ม โอ้พระเจ้าช่วย!!! เป็นการจบทริปที่ฟินม๊ากกกกก

เวลา 5 วันผ่านไปไวเหมือนโกหกกับการขับรถท่องเที่ยวทั่ว ซากะ เราขอยกให้เป็นอีกจังหวัดแห่งคิวชูที่มีทรัพยากรธรรมชาติอันครบครัน กลิ่นอายประวัติศาสตร์ที่เฟื่องฟู ร้านอาหาร ร้านขนมธีมดีรสชาติเด็ด เช็กอินสป็อตสุดยูนีคที่ไม่เคยเจอที่ไหน ถือเป็นแหล่งรวมอันซีนของญี่ปุ่นที่รับรองว่าถ้าตามรอยมาจะต้องหลงรักคิวชูเพิ่มอีกร้อยเท่าอย่างแน่นอน