19 เช็คลิสต์ที่กินที่เที่ยว ที่จะมาสร้างซัมเมอร์ไวป์ให้ One Week in London ของทุกคนน่าจดจำ
ทริปนี้เราอยากชวนทุกคนมาเปลี่ยนซัมเมอร์แสนระอุให้กลายเป็นฤดูร้อนสุดละมุน ด้วยการแต่งตัวสบาย ๆ คล้องกล้อง สะพายถุงผ้า แล้วออกไปเดินชิล ๆ ช้า ๆ ในมหานคร ลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษที่เพียบพร้อมตอบโจทย์การเที่ยวพักผ่อนทุกรูปแบบ เพื่อสัมผัสสีสันแห่งความสดใสผ่านเหล่าบรรดาแลนด์มาร์กขึ้นชื่อระดับโลกที่แต่งแต้มด้วยสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิก หาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ผ่านอาร์ตแกลอรี่และมิวเซียมที่ซ่อนความโมเดิร์นไว้ภายในอย่างลงตัว ตลอดจนอิ่มเอิมความอร่อยผ่านคาเฟ่และร้านอาหารอย่างมีเรื่องราว
001 Big Ben
ใส่ชุดคุมโทนเท่ ๆ แล้วเดินทอดน่องมากันที่พิกัดแรก สัญลักษญ์แห่งมหานครลอนดอนและสหราชอาณาจักร ‘Big Ben’ หอนาฬิกาที่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ สรรสร้างด้วยศิลปะแบบวิกตอเรียนโกธิคยืนอย่างสง่าผ่าเผยทำหน้าที่บอกเวลามานานกว่า 165 ปีแล้ว ถือเป็นหอนาฬิกา 4 หน้าปัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โด่งดังขนาดที่เราจะเห็นภาพของเขาในทุกสื่อทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ โฆษณา ภาพยนตร์ จนรู้สึกว่าต้องมายลด้วยตาตัวเองสักครั้ง บอกตรง ๆ ว่าสวยถ่ายรูปขึ้น สมมงกับตำแหน่งมรดกโลกแบบไร้ข้อกังขา
ขึ้นชื่อว่าเป็นแลนด์มาร์กแน่นอนว่าเราสามาราถมองหอนาฬิกานี้ได้จากหลากหลายมุม เป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครต่างหลงใหล ส่วนมุมที่ตราตรึงใจเราจนถึงวันนี้อยู่ที่บริเวณช่องทางเดินใต้สะพาน Westminster Bridge ฝั่งตรงข้าม ชักภาพออกมาจะได้รูปที่เป็นกรอบประตูทรงสวยมี Big Ben อยู่ตรงกลางพอดี แต่ถ้าอยากได้ภาพที่มีชีวิตชีวา เห็นผู้คน รถบัสแดง ดูสดใสขึ้นหน่อยลองไปเดินแถว Parliament Square Garden จะได้มุมมองน่ารัก ๆ ที่เราก็ชื่นชอบไม่แพ้กัน หรือถ้ายังไม่โดนใจเพื่อน ๆ ก็ลองเดินรอบ ๆ แล้วหามุมของตัวเองได้เลย เชื่อว่าจะต้องครีเอตมุมซิกเนเจอร์ของตัวเองได้อย่างสนุกสนานแน่นอน
002 London Eye
อีกหนึ่งความที่สุดอันเป็นความภาคภูมิใจของชาวอังกฤษ ‘London Eye’ ชิงช้าสวรรค์ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ด้วยตำแหน่งชิงช้าสูงที่สุดในโลก ก่อนสละมงให้ the Star of Nanchang ของประเทศจีนไปเมื่อปี 2006 แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเรามาเห็นด้วยตาเนื้อ ความงามก็ยังเป็นที่ประจักษ์ ทั้งโลเคชันที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สวนโดยรอบก็ส่งเสริมให้ชิงช้าสวรรค์ดูเป็นพระเอกสุดหล่อประจำย่าน แถมตอนกลางคืนยังมีการส่องไฟอย่างงดงามให้เราได้เชยชมอีกด้วย
003 Tower Bridge (Potters Fields Park)
ไปกันต่อกับอีกหนึ่งไอคอนประจำเมือง ‘Tower Bridge’ สะพานผู้ทำหน้าที่เป็นเส้นทางข้ามแม่น้ำเทมส์มานานกว่า 130 ปี มองย้อนไปในสมัยนั้น เมื่อดูจากสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียนโกธิคและโครงสร้าง ก็เรียกว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ของยุคเลยก็ว่าได้ เพราะสะพานนี้เป็นสะพานเปิด-ปิดได้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมยังใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน ภายในอาคารเขาได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้ พร้อมกับจุดชมวิวแม่น้ำเทมส์มุมสูง ขนาบข้างด้วยเมืองที่ผสมผสานอาคารผู้ดีเก่าแก่และสิ่งปลูกสร้างโมเดิร์นไว้อย่างลงตัว
เมื่อได้ชื่อว่าเป็นแลนด์มาร์ก ความดีงามต้องไม่ได้อยู่แค่ตัวสะพานเพียงอย่างเดียว แต่การที่ได้เดินไปรอบ ๆ เพื่อชม Tower Bridge จากมุมมองต่าง ๆ ก็เป็นอีกอย่างที่คุ้มค่าสุด ๆ นักชี้เป้าอย่างเราจึงไม่พลาดที่จะหาพิกัดคูล ๆ มานำเสนอ จุดนั้นคือ Potters Fields Park สวนสาธารณะริมแม่น้ำที่อยู่ข้าง ๆ กันนั่นเอง ที่นี่เป็นเหมือนแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง ที่มอบทั้งความสงบระหว่างวัน และบรรยากาศแสนคึกคักในยามเย็นจนไปถึงช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มักจะมีอีเวนต์สนุก ๆ มาสร้างสีสันอยู่เสมอ ๆ
004 Shad Thames
อีกสปอตที่เป็นภาพติดตาจากภาพยนต์ Bridget Jones’ Diary หนังรักโรเแมนติกของชาว Gen Y กับฉากสวีตของพระนางบริเวณ ‘Shad Thames’ ถนนแห่งประวัติศาสตร์ของเมือง ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับ Tower Bridge เป็นถนนเล็ก ๆ ที่ขนาบข้างด้วยอดีตคลังสินค้าออกแบบทรง industrial buildings ครอบคลุมด้วยอิฐสีน้ำตาลคุมโทน ระหว่างอาคารมีสะพานเหล็กพาดผ่านสร้างมิติให้ดูน่ามอง ภายในตึกอันเคร่งขรึมมีร้านคาเฟ่ให้เราได้แวะ สลับกับออกมาถ่ายรูปได้แบบสบาย ๆ ตั้งแต่เที่ยงยันบ่าย แนะนำว่าแสงเย็นที่พาดผ่านช่องตึกจะได้มู้ดที่ดูเหงาแบบอบอุ่น เท่สุด ๆ ใครเป็นสายถ่ายภาพเตรียมเคลียร์เม็มการ์ดไว้ได้เลย
005 St. Paul’s Cathedral
ไม่ว่าจะเป็นคนเที่ยวไลฟ์สไตล์ไหนอีกสปอตที่เราไม่อยากให้พลาดคือ ‘St. Paul’s Cathedral’ วิหารใหญ่ประจำเมืองที่เป็นจุดหมายของคนทั่วโลก หากย้อนดูประวัติจริง ๆ แล้ววิหารแห่งนี้มีมานานถึง 1,420 ปี ก่อนจะปรับปรุงออกแบบใหม่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เน้นการผสมผสานศิลปะ Neoclassical, Gothic และ Baroque เข้าด้วยกัน กลายเป็นความยิ่งใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แถมยังอยู่รอดปลอดภัยจากการทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะที่อาคารโดยรอบนั้นถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง สำหรับใครที่อยากเก็บภาพจากมุมต่าง ๆ ของวิหารให้จึ้งให้ปัง เราแนะนำให้ไปตรงบริเวณ Millennium Bridge กับตรงห้าง One New Change หรือจะเป็นตรงบริเวณสวนรอบ ๆ ที่เขียวสดชื่นและถูกแต่งแต้มด้วยสีสันจากดอกไม้ก็เลอค่าไม่แพ้กัน
ภายนอกว่ายิ่งใหญ่แล้ว พอเดินเข้ามาข้างในก็แทบเกือบลืมหายใจ ด้วยมนต์สะกดของงานปั้นแกะสลักที่ทำออกมาอย่างประณีต ภายในโถงวิหารอันโอ่อ่า ขนาดที่ภาพถ่ายสามารถแสดงความสวยงามของที่แห่งนี้ได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แม้ในนี้จะเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่เราเชื่อว่าในใจทุกคนที่มาเยือนจะต้องรำพึงรำพัน ตะโกนโหวกเหวกไปด้วยคำชม จากงานศิลปะยุคโบราณ งานฝาผนังลงลักปิดทองที่สวยงามข้ามกาลเวลา โคมไฟสีส้มส่องสว่างเป็นทิวแถว หินอ่อนรูปทรงต่าง ๆ บอกเลยว่ากวาดตาไปตรงไหนก็ฟิน
006 Natural History Museum
เชื่อมความฟินอย่างต่อเนื่องด้วยการมาเช็กอินที่ ‘Natural History Museum’ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติแห่งกรุงลอนดอน ที่คอยจัดแสดงงานสะสมเก่าแก่มานานถึง 143 ปี อยู่ในอาคารที่ตั้งใจออกแบบให้เป็นวิหารสไตล์ Romanesque ที่แปลกตาที่สุดในอังกฤษ แม้จะดูเหมือนโบสถ์แต่รายละเอียดที่แอบซ่อนนั้นได้แรงบันดาลใจมากจากธรรมชาติล้วน ๆ ไม่ว่าจะลายสลักยอดเสา ขอบผนังที่จะเป็นรูปสัตว์ ใบไม้ โถงเพดานสูงที่สร้างเป็นแนวยาว มีภาพวาดเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ปิดทองจำนวน 162 แผ่น พร้อมหน้าต่างรอบด้านทำหน้าที่สาดแสงมายังภายในที่มีโครงกระดูกไดโนเสาร์ยักษ์ใหญ่พันธุ์ที่จัดอยู่ในประเภท Diplodocus carnegii นามว่า ‘Dippy’ รอทักทายผู้คนที่มาเยือน
ทุกอณูของอาสนวิหารแห่งธรรมชาตินี้อัดแน่นไปด้วยของสะสมจนต้องใช้เวลาเดินทัวร์เองอย่างต่ำ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว สามารถแบ่งออกเป็น 4 โซนใหญ่ ๆ ตั้งแต่ Red Zone เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลก มนุษย์ ภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้น ต่อมาเป็น Green Zone จะเกี่ยวกับสัตว์ มีทั้งนก แมลง สัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แร่ต่าง ๆ ส่วน Blue Zone จะบอกเล่าโลกดึกดำบรรพ์ และ Orange Zone มี Darwin Centre นิทรรศการของชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน บุคคลสำคัญด้านธรรมชาติวิทยา พร้อมทั้งร้านอาหารคาเฟ่ให้แวะเติมพลังระหว่างเดินชมพิพิธภัณฑ์ด้วย
007 Tate Britain
จบการดูงานเรื่องประวัติศาสตร์โลกก็มาเอาใจสายอาร์ตกันบ้างที่ ‘Tate Britain’ หอศิลป์ที่รวบรวมงานศิลปะสไตล์อังกฤษตลอดระยะเวลา 500 ปีที่ผ่านมา ด้วยความที่เปิดมานานถึง 127 ปี โครงสร้างของที่นี่จึงเป็นรูปแบบ neo-classicism ซึ่งนิยมใช้สมัยศตวรรษที่ 19 ต่อมามีการปรับรูปแบบภายใน บูรณะใหม่ให้ดูเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และไฮไลต์อยู่ที่ THE ROTUNDA บันไดวนหินขัด ถือเป็น Photogenic spot ที่สาย Cityscape ต่างหลงใหล บวกกับพื้นที่ที่ค่อนข้างใหญ่ มีความสงบมากกว่ามิวเซียมอื่น ๆ หลายเท่า ยิ่งทำให้เราเดินชมทุกซอกมุมได้เพลินสุด ๆ
ด้านการจัดแสดงผลงานเขาก็มีทั้งนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน ซึ่งคอลเลกชันเด่น ๆ ที่เขาเอามาจัดแสดงก็ทำคนรักงานศิลปะอย่างเราใจสั่นได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะห้อง HISTORIC AND EARLY MODERN BRITISH ART เก็บรักษางานศิลปะเก่าแก่ เป็นเรื่องราวของสงคราม การปฏิวัติ การต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้หญิง แบ่งย่อยได้อีก 16 ห้อง ที่เด่น ๆ จะมีห้อง BEAUTY AS PROTEST ที่มีภาพวาด Ophelia ของ Sir John Everett Millais ห้อง ART FOR THE CROWD กับภาพอันแสนละมุน Carnation, Lily, Lily, Rose ของ John Singer Sargent และห้อง IN OPEN AIR ห้องนี้เราชอบแทบทุกผลงาน เพราะเป็นคอนเซปต์เน้นผู้คนกับธรรมชาติ ชีวิตชนบท มันดูคลีนสบายตาสุด ๆ
เราเดินชมเรียงมาเป็นเหมือนลำดับเวลา เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของศิลปะแต่ละยุคสมัยของอังกฤษ ห้องต่อมาที่เราเจอเป็น MODERN AND CONTEMPORARY BRITISH ART รวบรวมผลงานที่ดีที่สุดของศิลปินชาวอังกฤษตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งศิลปินในสมัยนั้นมีบทบาทด้านการแสดงความคิดเห็นผ่านผลงานมาก เรียกว่าเป็นการระเบิดแนวคิดที่แตกต่าง แตกแขนงผลงานไปได้หลายรูปแบบ แบ่งออกได้ถึง 14 ห้อง มีทั้งงานรูปแบบนามธรรม แสดงอารมณ์ผ่านลายเส้น การใช้สี สัญลักษณ์ต่าง ๆ งานด้าน CONSTRUCTION จุดเริ่มต้นพัฒนาศิลปะด้านสถาปัตฯ แบบ modern design งานวาดสีสันฉูดฉาดที่มีความร่วมสมัยไปจนถึงงานภาพถ่าย งานปั้น หล่อสำริด ใครอยากเสพอาร์ตแบบฉ่ำ ๆ แนะนำให้เตรียมเวลาไว้หนึ่งวันถ้วนได้เลย เพราะสิ่งที่ได้มาเป็นอะไรที่โคตรคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป เลิฟที่นี่สุด ๆ
008 Tate Modern
พิกัดต่อมาบอกเลยว่าจึ้งใจเอาให้โฮ่งแบบไม่มีใครเกิน ‘Tate Modern’ พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่มีความโมเดิร์นสมชื่อ รวบรวมงานศิลปะร่วมสมัยและสมัยใหม่ที่มีคอนเซปต์ชวนตาแตกเอาไว้มากมายกว่า 70,000 ชิ้น แต่เดิมเป็นเพียงแกลลอรีเล็ก ๆ จนเมื่อ 30 ปีก่อนได้โยกย้ายมาอยู่ในอดีตโรงไฟฟ้า ‘Bankside Power Station’ แม้อาคารจะมีอายุมากถึง 80 ปี แต่มีโครงสร้างที่น่าทึ่งด้วยรูปทรงตัว T คว่ำ โถงกลางสูงถึง 32 เมตร ยาว 152 เมตร ขนาบไปกับแม่น้ำเทมส์ เหมาะแก่จากจัดวางงานอาร์ตตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ ซึ่งเราจะพาไปชมข้างในกันว่ามันอลังการสมคำอวยขนาดไหน
ที่นี่แบ่งชั้นจัดงานได้มากถึง 10 ชั้น แนะนำให้เตรียมรองเท้าดี ๆ ซัปพอร์ตเท้าเลิศ ๆ เอาไว้ได้เลย แต่ละชั้นจะแบ่งอาร์ตเป็นแต่ละประเภท บางห้องเป็นผลงานของศิลปินอันโด่งดังแห่งยุค ที่จะจัดหมุนเวียนกันไป เช่น Yayoi Kasuma, Yoko Ono, Philip Guston, Florent Stosskopf เป็นต้น ทั้งยังมีมุมพักผ่อนให้เราได้พักสายตาก่อนลุยต่อ หรือจะไปนั่งหาแรงบันดาลใจในร้านหนังสือ ร้านกาแฟก็มีให้เลือกเช่นกัน สำหรับคนที่รักในการชมวิวขอเชิญขึ้นไปชั้นบนเพื่ออิ่มเอมไปกับภาพวิวเมืองลอนดอนได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย
009 The British Museum
อีกที่ที่ควรค่าแก่การสละเวลาให้อย่างน้อยครึ่งวัน ‘The British Museum’ พิพิธภัณฑ์ที่มีความสำคัญระดับโลกในเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ เริ่มจากการรวบรวมของสะสมของ Sir Hans Sloane ที่ได้มอบแก่พระเจ้าจอร์จที่ 2 ให้เป็นสมบัติของชาติ พระองค์จึงเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นเมื่อ 270 กว่าปีก่อน แต่อาคารนี้สร้างขึ้นหลังจากนั้น ด้วยการออกแบบสไตล์ Greek Revival ภายนอกเราจะเห็นทรงเสา หน้าจั่ว อาคารที่มีความกรีกอย่างชัดเจน ส่วนด้านในมีการปรับเปลี่ยนให้ดูทันสมัยด้วยโดมกระจกที่โค้งไปตามโครงเหล็ก สร้างแสงเงากระทบบนพื้นเพิ่มมู้ดเก๋ ๆ ให้สายคอนเทนต์อย่างเราถ่ายรูปกันแบบฉ่ำ ๆ
การจัดแสดงผลงานเขาได้จัดเป็นโซน ๆ ไม่ต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ แต่ความตระการตาคือสิ่งของที่นำมาจัดวางนั้นเป็นของหายากและโบราณอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นโซนอียิปต์ กับบรรดามัมมี่แมวที่เป็นเครื่องบูชายันแก่เทพเจ้า และสัตว์เลี้ยงที่ถูกบรรจุลงในสุสานเดียวกันกับเจ้าของ จารึกภาษาอียิปต์โบราณ ส่วนโซนกรีกที่จะเน้นงานปั้น งานสลักหินกรีกยุคคลาสสิก ซึ่งเมื่อเขาลองวิจัยด้วยการฉายรังสีแล้ว รูปปั้นเหล่านี้เต็มไปด้วยสีสันแตกต่างจากที่เห็นกับปัจจุบันมาก และโซนเอเชียที่เราคุ้นเคย แต่สำหรับต่างชาติก็เรียกว่าน่าตื่นตะลึง กับรูปปั้นพระพุทธรูปยุคแรกของโลก ที่สามารถเชื่อมโยงกับรูปสลักของกรีกโบราณอยู่ด้วย หากเป็นสายประวัติศาสตร์เราว่าที่นี่คือแหล่งบันเทิงเริงใจชั้นดีสำหรับร้อยเรียงเรื่องราวผ่านหลักฐานเหล่านี้ได้เลย
010 The Courtauld Gallery
เป็นเมืองยืนหนึ่งด้านศิลปะของแท้จริง ๆ เพราะเรายังมีมิวเซียมอีกหนึ่งแห่งห้ามพลาดมานำเสนอ ‘The Courtauld Gallery’ หอบหิ้วประวัติที่น่าสนใจผ่านกาลเวลามานานกว่า 90 ปี กับงานอาร์ตในยุคสมัยที่เราชอบมากที่สุด นั่นคืองานสไตล์ impressionism art และ post impressionism เก็บรวบรวมภาพสีน้ำมันมากถึง 530 ภาพ พร้อมภาพวาด 26,000 รูป และยังเป็นวิทยาลัยอิสระของมหาวิทยาลัยลอนดอน ที่ทำการวิจัยประวัติศาสตร์ศิลปะ อนุรักษ์ และดูแล ซึ่งยังคงมีศิลปะแบบ Renaissance, Baroque, modern periods ผสมปนเปกันอยู่ด้วย ด้าน architect นั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะนอกจากความคลาสสิกแล้วภายในยังมีความสมมาตร ใช้สีอย่างถูกต้องแบบที่ Perfectionist อย่างเราเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนงานอาร์ตที่ส่งเสียงเรียกให้เรามาที่นี่คือภาพจริงของ ‘Self-Portrait with Bandaged Ear’ by Vincent van Gogh ที่วาดขึ้นเมื่อ 135 ปีก่อน ถือเป็นภาพแห่งความเศร้าในชีวิต แวน โก๊ะ ภายหลังมิตรภาพระหว่างเขากับโกแกงสิ้นสุดลง, ภาพ A Bar at the Folies-Bergère by Édouard Manet ศิลปินอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน, Adam and Eve by Lucas Cranach the Elder, The Card Players by Paul Cézanne และ Young Woman Powdering Herself by Georges Seurat ทั้งหมดนี้เป็น 5 ภาพไฮไลต์ที่เราอยากดูสักครั้งในชีวิต แต่เอาเข้าจริงภาพอื่น ๆ ก็ล้วนมายลไม่แพ้กันเลย นอกจากนี้เขายังจัดนิทรรศการหมุนเวียนมีระยะเวลา 2-4 เดือน จากศิลปินที่ถูกคัดสรรอย่างดี ให้เราได้เห็นผลงานจึ้ง ๆ กันเพิ่มเติมอีกด้วย
011 The National Gallery
ทิ้งท้ายการฮอปปิงมิวเซียมกันที่ ‘The National Gallery’ หอศิลป์แห่งชาติที่อยู่บริเวณ Trafalgar Square ก่อตั้งมานานถึง 200 ปีแล้ว เริ่มจากที่รัฐบาลซื้องานสะสมจาก John Julius Angerstein นายธนาคารชาวรัสเซียที่อพยพมา จำนวน 38 ภาพ แน่นอนว่ามีผลงานของศิลปินแห่งยุคอยู่ในนั้นด้วย และยังคงจัดแสดงมาจนถึงปัจจุบันนี้ แม้โครงสร้างอาคารจะออกโทนคลาสสิกคล้ายกับที่อื่น ๆ แต่ภายในนั้นจะสร้างมู้ดหรูหราขึ้นด้วยกระเบื้องโมเสกแต่งแต้มสีสันบนพื้น เสาหินอ่อนสีน้ำตาลแดงตัดกับผนังฟ้า บางห้องเป็นผนังแดงดูเย้ายวนคู่กับโดมโปร่งแสงที่มีงานสลักทองปิดอยู่ แค่เดินดูการตกแต่งยังไม่เริ่มชมผลงานที่จัดแสดงก็เพลินสุด ๆ แล้ว
ที่นี่มีงานศิลปะจัดแสดงอยู่ถึง 2,600 ภาพ หลายชิ้นเป็นงานคอลเลกชันใหญ่ที่สุดในโลกทั้งจากยุค renaissance ของอิตาลี impressionism ของฝรั่งเศส จากผลงานของศิลปินชื่อก้องโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Claude Monet, Rachel Ruysch, Berthe Morisot, Vincent van Gogh, Leonardo da Vinci ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เราชอบทั้งนั้น เพราะอาร์ตในสมัยของพวกเขาจะเป็นงานคาบเกี่ยวการใช้เทคนิคเก่าแก่ ผสมกับรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ใส่อารมณ์ จินตนาการ และอุดมการณ์ของตัวเองเข้าไปมากกว่าความเป็นจริง หนึ่งในงานที่เราชอบที่สุดและไม่ลังเลที่จะปักหมุดมาที่นี่คือ Sunflower ของแวนโก๊ะ มองกี่ทีก็รักการใช้เฉดสีร้อนแรงที่ตัดกันอย่างมีชีวิตชีวาของผู้ชายคนนี้จริง ๆ
012 Stonehenge
พิกัดนี้ขอผละตัวออกจากเมืองแล้วมาสร้างเดย์ทริปฉ่ำ ๆ กับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง ‘Stonehenge’ กองหินปริศนาที่ตั้งล้อมเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง กลางผืนหญ้า Salisbury อันกว้างใหญ่ ความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ที่อายุที่เชื่อกันว่ามีมาแล้วหลายพันปี และความน่าฉงนที่สร้างความสงสัยแก่นักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก คือก้อนหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักราว ๆ 30 ตัน คนในสมัยก่อนที่ยังไม่มีเครื่องทุ่นแรง เขาสามารถยกแท่นหินเหล่านี้มาวางซ้อนกันได้อย่างไร พอมาเห็นกับตาก็พบเจอความใหญ่ยักษ์ของก้อนหินที่ถูกวางอย่างมีนัยยะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์
นอกจากนี้เขายังมีพิพิธภัณฑ์ที่เป็นคลังข้อมูลของ Stonehenge พร้อมแบบจำลองบ้านคนยุคหินให้เราได้ชม ความน่ารักของซัมเมอร์ที่อังกฤษนั้นเรายกให้เรื่องสีสันจากธรรมชาติ พอเที่ยวในเมืองเยอะ ๆ แล้วได้มาพักสายตาที่นี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน เมื่อได้เห็นบรรดาต้นหญ้าสีเขียวปกคลุมทั้งลาน มีดอกไม้ ดอกหญ้าบานเป็นหย่อม ๆ เห็นผู้คนมานั่งเล่น นอนเทคไทม์แบบไม่รีบร้อน จนเราต้องขอนั่งชิลชมนกชมไม้อีกสักพักก่อนกลับเข้าเมือง แถมการเดินทางจากลอนดอนก็ง่ายสุด ๆ แค่นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Salisbury แล้วต่อรถ Shuttle Bus ก็ถึงเลย
013 Borough Market (Monmouth Coffee Company)
จบพาทเที่ยวมาต่อเรื่องกินกันหน่อย เริ่มจาก ‘Borough Market’ ตลาดที่เรียกว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของชาวลอนดอนมานานกว่า 700 ปี และมีประวัติมาราว ๆ พันปีแล้ว เป็นแหล่งรวมวัตถุดิบชั้นเลิศในการทำอาหาร นอกจากความหลากหลายแล้วเขายังควบคุมคุณภาพไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เรียกว่าอยากกินอาหารแนวไหนของอังกฤษ ที่นี่มีหมด ตั้งแต่อาหารทะเล อาหารท้องถิ่นหากินยาก เบอร์เกอร์เนื้อแปลก ๆ โฮมเมดเบเกอรี เคบับ อาหารอินเดีย ข้าวผัดสเปน ทาโก้เม็กซิกัน ถ้ามีเวลาว่าจะลองเดินหาส้มตำสักหน่อย เชื่อว่าจะต้องมีร้านอาหารไทยแอบซ่อนอยู่แน่ ๆ
เดินกินจุบกินจิบไปสักพัก เราก็ได้กลิ่นหอมของกาแฟเลยต้องเดินตามกลิ่นนั้นจนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน ‘Monmouth Coffee Company’ ตัวมัมที่มาบุกเบิกวัฒธรรมการดื่มกาแฟให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นในช่วงสิบกว่าปีมานี้ ด้วยการนำเข้าเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกทั่วโลก มาคั่วเองสร้างความเป็นสเปเชียลตี ชงได้ทั้งแบบ Drip และผ่าน Espresso Machine พร้อมกับขนมอบสดใหม่ที่เหมาะกินคู่กับกาแฟเป็นที่สุด แอบบอกนิดนึงว่าที่ร้านไม่มีแก้วขายแบบ Take away ถ้าไม่เอาแก้วมาเองก็ลองหามุมสงบนั่งจิบกาแฟที่ร้านดูนะ
014 Host Café
พิกัดนี้ขอยืดอกผายมือพร้อมภูมิใจนำเสนอ ‘Host Café’ คาเฟ่ในโบสถ์ St Mary Aldermary ที่มีอายุราว ๆ 900 ปี ถูกสร้างเป็นแบบ Gothic อย่างสมบูรณ์ ด้านในมีแท่นบังลังก์พร้อมไม้กางเขน และที่นั่งทำพิธีอย่างถูกต้อง ความโอ่อ่า วิจิตรของงานปั้นแกะสลักสวยงามไม้แพ้ที่ไหน แต่ที่ไม่เหมือนใครคือด้านข้างมีร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ซึ่งขายในคอนเซปต์ไม่แสวงหาผลกำไร อยากเปิดพื้นที่ให้แก่ผู้คนได้ใช้อย่างอิสระ แถมยังเป็น Pet Friendly ด้วยนะ เรื่องความเงียบสงบเราให้คะแนนเต็มสิบไม่หัก แทบไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วเจรจา เสียงเด็กวิ่งวนให้รำคาญใจ ทุกคนอยู่ในความสงบ เคารพสถานที่สุด ๆ น่านั่งอ่านหนังสือยาว ๆ เลย
015 Regency Cafe
เมื่อพูดถึงร้านอาหารเช้าในลอนดอน เรายกให้ ‘Regency Cafe’ เป็นตัวเลือกเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัว ด้วยฟีลลิงของร้านที่ให้เราได้รับกลิ่นอายของลอนดอนในวันวาน สะดุดตาด้วยหน้าร้านสีดำจากกระเบื้องแผ่นเล็ก ๆ ตัดขอบหน้าต่างประตูด้วยสีขาวดูมินิมอล แต่เมื่อเดินมาด้านในกลับกลายเป็นร้านสีเหลือง พื้นสีแดงจัดวางเฟอร์นิเจอร์ รูปภาพที่แสนจะวินเทจอบอุ่น ยิ่งมีฝรั่งหัวทองตาฟ้า แต่งตัวพร้อมออกไปทำงานยิ่งให้ฟีลโลคอลขั้นสุด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะร้านนี้ถือเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานถึง 78 ปีแล้ว เดี๋ยวมาดูหน้าตาอาหารว่าจะเซอร์ไพรส์ขนาดไหน
เมื่อได้รับอาหารที่สั่ง สิ่งแรกที่นึกถึงคือซีรีส์ฝรั่งที่เคยดูตอนเด็ก ๆ แค่นั่งมอง คำว่ารสมือแม่ก็ผุดขึ้นมาในหัว ชื่อเมนูนี้คือ ‘Set Breakfast deal’ เป็นจานยอดฮิตที่เบสิกที่สุด ประกอบด้วยไข่ดาว เบคอน ไส้กรอก ถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ ขนมปังและกาแฟ เป็นมื้อง่าย ๆ ที่ดูสบายท้อง หรือถ้าใครอยากเพิ่มไข่ เห็ด มันฝรั่งทอด ก็สามารถแอดเพิ่มได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีอาหารประเภทอื่น ๆ อย่าง แซนด์วิช เบอร์เกอร์ พาสต้า พาย สลัด ให้เลือกละลานตาไปหมด ไอเลิฟสุด ๆ
016 The Mayfair Chippy
ร้านนี้ขออุทิศให้แก่คนรัก Fish and chip ที่เรียกว่าเป็นตัวจบของเมนูทอดสุด ๆ ‘The Mayfair Chippy’ การันตีความอร่อยด้วยรางวัลมากมายที่ติดประดับยศอยู่หน้าร้าน เมนู must try!! คงหนีไม่พ้น Mayfair Classic พระเอกหลักของจานคือปลาค็อดชุบแป้งทอดสีเหลืองน่าลิ้มลอง เคียงมากับมันฝรั่งทอดและซอส 3 รสให้เราเลือกจิ้มตามชอบ ทั้ง Tartar, Mushy Peas Gravy, Curry Sauce ซึ่งความดีงามอยู่ที่เนื้อปลาที่มีความสดฉ่ำ แป้งมีความกรอบอมมันนิด ๆ จิ้มซอสสลับกันไปแล้วช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างดี ยิ่งซัมเมอร์แบบนี้โต๊ะที่น่าจับจองสุดคงเป็นมุมหน้าร้าน เพราะบรรยากาศสดใสสไตล์ลอนดอน ผู้คนที่ดู Lively มันฟีลกู๊ดมาก ๆ
017 The Monocle Cafe
ดินแดนสนธยาของเหล่าหนอนหนังสือที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ‘The Monocle Cafe’ ร้านคาเฟ่ของนิตยสาร Monocle ที่มีการจัดดิสเพลย์ร้านแสนเก๋เหมือนหลุดออกมาจากแมกกาซีนจริง ๆ กับหน้าร้านสีขาวครีม ผ้าใบลายทางยื่นออกมามอบร่มเงาแก่โต๊ะเล็ก ๆ 2 ชุดที่วางอยู่ พร้อมกลิ่นกาแฟที่ฟุ้งกระจายจนอาการอยากกาแฟเริ่มตื่นตัว เดินเข้าไปเราจะเจอมุมขายหนังสือวางเรียงสีอย่างน่ารัก อีกฝั่งเป็นเคาน์เตอร์บาร์รับออร์เดอร์และทำกาแฟยาวไปเกินครึ่งร้าน พร้อมชั้นวางเบเกอรีจาก Fabrique ร้านชื่อดังจาก Stockholm ประเทศ Sweden ถือเป็นคาเฟ่ไวบ์ดี กาแฟเลิศ ขนมอร่อย เอาไปเลย 10 10 10!!
018 Gelupo
ปิดท้ายโหมดกินกันแบบชุ่มฉ่ำกับเมนูที่เหมาะกับซัมเมอร์ซัมใจใน ‘Gelupo’ ร้านไอศกรีมชื่อดัง ณ ย่านโซโห เดินหาไปเรื่อย ๆ ถึงกับชะงักเมื่อเหลือบมาเห็นความสดใสของหน้าร้าน ที่ยื่นออกมาจากอาคารอิฐแดงแสนเคร่งขรึม ตัดอารมณ์ด้วยการทาเสาเป็นสีน้ำเงิน ติดตั้งประตูสีฟ้า พร้อมหลังคาสีสายรุ้งโทนพาสเทล แค่มอง ความหวานก็แทบจะขึ้นตา พอเดินเข้าร้านก็ได้กลิ่นไอศกรีมหวานจนขึ้นใจ โดยร้านนี้เขาจะโดดเด่นเรื่องไอศกรีมที่มีความหลากหลาย แบ่งออกเป็นแบบผสมนมและเชอร์เบต เน้นใช้วัตถุดิบพรีเมียม หากเป็นรสผลไม้ก็จะใช้ผลไม้แท้ ๆ แบบไม่บันยะบันยัง พร้อมเท็กซ์เจอร์ที่มีเนื้อของส่วนผสมหลักให้เคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน เหมาะกับอากาศสบาย ๆ ของอังกฤษช่วงฤดูร้อนนี้เสียจริง
019 Piccadilly Circus & Oxford St. & Regent St.
แล้วก็ถึงเวลาของหนุ่มสาวน่องเหล็ก ที่รักการชอปปิงแบบไม่คิดชีวิต กับ ‘Piccadilly Circus & Oxford St. & Regent St.’ ถนนสายหลักที่เกิดมาเพื่อค้าขายโดยเฉพาะ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Piccadilly Circus ออกมาจะเจอวงเวียนรูปปั้นกามเทพอยู่กลางจัตุรัส มีถนนหลายสายกระจายเป็นแฉกที่ทุกเส้นเรียงรายไปด้วยร้านค้ามากมาย ไฮไลต์อยู่ที่ถนน Oxford และถนน Regent ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหรา เต็มไปด้วยร้านขายของแบรนด์เนม รวมทุกประเภทสินค้าทั้งแฟชั่น ของฝาก เครื่องใช้ในบ้าน ของอิเล็กทรอนิกส์ แต่ถ้าไม่ใช้สายชอปจะเดินถ่ายรูป Snap บรรยากาศก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะสถาปัตยกรรมรอบ ๆ นั้นคลาสสิกสง่างาม ตกแต่ง Facade ให้ซับซ้อนอ่อนช้อย แต่ดูแข็งแรงในคราเดียว กวาดกล้องไปตรงไหนก็ได้รูปสวย ๆ กลับมาแน่นอน
หากเป้าหมายของเพื่อน ๆ คือการได้มาลอนดอนสักครั้งในชีวิต เราคิดว่าการมาช่วงซัมเมอร์แบบนี้ถือเป็นช้อยส์ที่โอเคมาก ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนแต่อากาศก็ยังสบาย ๆ สำหรับคนไทย เพิ่มเติมคือท้องฟ้าที่สดใสไร้ความหม่นหมอง ต้นไม้ใบหญ้าพร้อมใจกันเจริญเติบโต ดอกไม้เบ่งบานอย่างงดงาม เห็นความเป็นธรรมชาติของผู้คนออกมานั่งเล่นปิกนิกอาบแดดระหว่างวันกันอย่างสบายใจ เป็นมู้ดดี ๆ ที่ทำให้เราอยากตื่นเช้าออกไปเดินเล่นในทุก ๆ วันจริง ๆ ไม่เชื่อก็ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสิ go go