หากเอ่ยถึงสถานที่ที่ 99.99% ของคนเคยไปโตเกียวไปแล้ว และอีก 99.99% ของคนที่กำลังจะไปโตเกียวครั้งแรกแพลนไป ก็คงจะหนีไม่พ้นย่านที่เปล่งเสียงพยางค์แรกออกมาก็ร้องอ๋อกันแล้ว ‘Asakusa’ ย่านเมืองเก่าที่อัดแน่นไปด้วยสีสัน อันมีพระเอกเป็นวัดเซ็นโซจิ หรือที่เรียกกันว่าวัดโคมแดงที่คนทั่วโลกแห่แหนกันมาถ่ายรูปคู่แทบจะตลอดเวลา นอกจากนี้ยังถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโตเกียวอีกแห่ง เพราะตามซอกซอยเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารสตรีทฟู้ด ร้านขายเบนโตะราคาถูก หากเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งเห็นวิถีชีวิตเรียล ๆ ของคนเมือง แบบที่จะทำให้เราหลงรักเมืองหลวงแห่งนี้อีกร้อยเท่า ด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่แปลกที่ย่านนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์กยืนหนึ่งของโตเกียวจนกลายเป็นภาพจำมาอย่างยาวนาน
Sensoji Temple วัดเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ที่เริ่มสร้างตั้งแต่พันปีก่อน ถูกสร้างใหม่เมื่อปี 1648 และมีการสร้างใหม่เยอะถึง 20 ครั้ง กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ จุดสังเกตหลักคือโคมแดงยักษ์ที่หน้าประตูคามินาริมง ที่มีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม เริ่มติดตั้งครั้งแรกตั้งแต่ปี 1971 และจะเปลี่ยนทุก ๆ 10 ปี โดยไม้ที่ใช้จะต้องเป็นไม้ไผ่จากเกียวโตเท่านั้น ส่วนกระดาษต้องทำจากต้นโคโซ 100% ประดิษฐ์จากช่างฝีมือญี่ปุ่นล้วน บริเวณใต้ฐานของโคมจะมีรูปแกะสลักของมังกร ตามความเชื่อว่ามังกรคือเทพเรียกเมฆเรียกฝน เพื่อคอยปกป้องวัดจากอัคคีภัยนั่นเอง
นอกจากถ่ายรูปเช็กอินคู่กับโคมแดงยักษ์ประกาศให้ทุกคนรู้ผ่านโซเชียลว่ามาถึงโตเกียวแล้ว คนก็นิยมมาขอพรพร้อมกวักควันธูปจากกระถางที่ตั้งอยู่ตรงกลางวัดเข้าตัว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต พบเจอแต่ความโชคดีมีชัย ปราศจากโรคภัย
หลังจากที่ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์กว่าพันปี เราก็เดินออกมาจับจ่ายกันที่ Nakamise Shopping Street ถนนคนเดินหน้าวัดยาว 200 เมตร เรียงรายไปด้วยร้านค้าเกือบร้อยร้านค้า ด้านนักท่องเที่ยวก็เยอะไม่แพ้กัน ต้องเดินเบียดแบบไหล่ชนไหล่เลยทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ อาทิ หน้ากาก รูปภาพ ผ้าเช็ดหน้า พัด ปิ่นปักผม พวงกุญแจ หรือจะลองชิมขนมพื้นเมือง ก็สามารถหาได้ที่ถนนนี้เช่นกัน
สำหรับคนที่ไม่อยากนั่งรีเสิร์ชว่าต้องกินอะไร เราก็มีลายแทงความอุโม่ย่านนี้มาฝาก เริ่มจากด้วย Asakusa Kokonoe คือร้านที่เราต้องมาแวะเช็คอินทุกครั้งที่มาย่านนี้ เพราะเห็นว่าคนต่อแถวกันเยอะ เลยอยากไปร่วมต่อด้วยแบบอุปทานหมู่ คิดว่ามันต้องอร่อยแน่ ๆ ร้านนี้ขายขนมที่ชื่อว่า “อะเกะมันจู” เรียกเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ซาลาเปาทอด นั่นเอง ซาลาเปาทอดไส้ต่าง ๆ ที่ทอดกันแบบสด ๆ ขายกันแบบคล่องมือ ทำให้เราได้ซาลาเปาทอดร้อน ๆ มาอยู่บนมือเสมอ ด้วยความสดใหม่ ไส้ร้อน ๆ แป้งกรอบ ๆ ที่เพิ่งทำเสร็จ ทำให้ขนมชิ้นนี้อร่อยมาก อร่อยจนเรายอมนั่งรถไฟมากินทุกครั้งที่มาโตเกียวอะ
พิกัดแซ่บต่อมา ‘Asakusa Unana’ ร้านข้าวปั้นหน้าปลาไหลที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลและแถวยาวชนิดที่ว่าหากมาตรงช่วงพีค ๆ ต้องรับบัตรคิวกันเลยทีเดียว ซึ่งภายใต้ร้านสี่เหลี่ยมขนาดเล็กนี้เราจะได้กลิ่นหอมฟุ้งจากการทำอาหารของพ่อครัวที่สามารถมองเห็นได้อย่างถนัดตา โดยหลังจากออเดอร์ทางร้านก็จะนำปลาไหลย่างมาโปะลงบนโอนิกิริราดด้วยซอสรสหวานย่างหอม ๆ สุกกำลังดี ก่อนจะโรยพริกซันโชเล็กน้อย ที่พอได้ลองก็ต้องบอกเลยว่าเข้ากันสุด ๆ ไปเลย ยกให้เป็นอีกเมนูที่ยืนรอแล้วคุ้มค่า ราคาสมเหตุสมผล
Asakusa Menchi (浅草メンチ) อีกร้านที่จะต้องติดอยู่ในรายชื่อร้านแนะนำของย่านอาซาคุสะจากหลาย ๆ เว็บ นิตยสาร ตลอดจนรายการทีวี กับเมนูของทอดที่มีชื่อว่า Menchi-Katsu โดยเขาจะนำเนื้อหมูโควซะ จากจังหวัดคานากะ มาสับแล้วชุบเกล็ดขนมปังทอด ซึ่งทอดได้จึ้งจิตจึ้งใจม๊ากแก๊ มีความกรอบนอกนุ่มใน เนื้อฉ่ำ หอมอร่อย มีมันแทรกนิด ๆ ได้ทั้งรสหวานและเค็มแบบพอดีมาก ยกให้เป็นของกินเล่นที่ควรค่าแก่การไปโดน
หากอยากจัดหนักแนะนำให้มาต่อแถวที่ Daikokuya Tempura : ไดโคคุยะ ร้านเทมปุระ 100 ปีแห่งโตเกียว!! อันนี้เป็นสมญานามที่ใคร ๆ ก็รู้กันสำหรับร้านนี้ ซึ่งเขาจะเปิดร้านตอน 11 โมง เราแนะนำให้มาต่อแถวตั้งแต่ 10 โมงครึ่งจะดีมาก เพราะหลังจากร้านเปิดต้องรอนานกว่าเดิมแน่นอน เมนูแสนดีงามของร้านนี้คงหนีไม่พ้นเทมปุระนั่นแหละ การใช้วัตถุดิบที่คัดอย่างดี กุ้งสด ๆ ตัวแน่น ๆ ขนาดเท่ากันแทบทุกตัว กับการทอดด้วยแป้ง และน้ำมันอย่างชำนาญ ราดกับซอสเข้มข้นนัว ๆ ของทางร้าน บนข้าวสวยเม็ดอูมร้อน ๆ เคียงกับผักดองแก้เลี่ยน ที่เราแทบไม่ได้แตะ เพราะอาหารในจานมันลงตัวจนเผลออีกทีก็แทบเลียจานแล้ว อร่อยมากเธอเอ้ย..
ส่วนสายคาเฟ่ฮอปปิ้ง ทางเราขอผายมือเข้าสู่ร้านสัญชาตินอร์เวย์สาขาสองในโตเกียวนามว่า “Fuglen Asakusa” โดยสาขานี้จะมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าและมีที่นั่งมากกว่าเมื่อเทียบกับร้านแรกในโทมิกายะ การตกแต่งทั้งสองชั้นยังคงเน้นสไตล์มินิมอลแบบสแกนดิเนเวียในช่วงทศวรรษที่ 50 และ 60 อย่างไรก็ตามเมนูจะแตกต่างจากสาขาโทมิกายะเล็กน้อย นอกจากเมนูกาแฟทั่วไปแล้ว เขายังมีเมนูอาหารอย่างวาฟเฟิล Fuglen ที่มีให้เลือกท็อปปิ้งให้เลือกตามความชอบไม่ว่าจะเป็นแซลมอนรมควัน ครีมชีส ไข่คน ไส้กรอก และผักโขมผัด และยังให้บริการค็อกเทลอีกมากมายเพื่อให้ได้เพลิดเพลินตลอดทั้งคืนด้วย ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 9.00 น. – 20.00 น.
ถ้าเพื่อน ๆ อยากเดินเล่นสถานที่ในร่มที่ให้มีกลิ่นอายบรรยากาศยุคโชวะเพลิน ๆ เราแนะนำให้มาแวะมาที่ Asakusa Nishisando ถนนสายช้อปปิ้งที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยพื้นไม้ในปี 2014 ตกแต่งด้วยฉากจาก “มัตสึริ” (เทศกาล) ของญี่ปุ่น โดยตลอยระยะ 150 เมตร ของถนนเส้นนี้จะเต็มไปด้วยร้านรวงให้เดินดูกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะร้านอาหาร คาเฟ่ ตลอดจนร้านค้าที่เชี่ยวชาญด้านเสื้อผ้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม รวมถึงชุดกิโมโนสำหรับผู้ชายและผู้หญิง เสื้อผ้าที่สวมใส่ในงานเทศกาล เครื่องแต่งกายบนเวที และเครื่องประดับ
ที่เราหยิบยกมานี้เป็นแค่น้ำจิ้ม ถ้าให้พูดถึงย่านนี้แบบยาว ๆ ใช้เวลาสามวันก็คงยังไม่หมด เดินไปทางไหนก็เจอร้านโลคอลยิบ ๆ ย่อย ๆ ที่น่าสนใจ ยิ่งตอนกลางคืนไวบ์ของที่นี่จะเปลี่ยนไปถนัดตา ไม่ว่าจะเป็นไฟแดงจากวัด ไฟส้มจากร้านอาหาร และไฟนีออนจากตึกสูงที่อยู่รอบด้าน ความจอแจของผู้คนที่ค่อย ๆ บางตา ปรับบรรยากาศให้ดูเหงาขึ้น แต่สวยไม่แพ้ตอนกลางวัน กลายเป็นย่านที่เราสามารถเทคไทม์ยาว ๆ แบบไม่รู้เบื่อเลยล่ะ