ตื่นจากฝันล้านรอบก็คงไม่ฟินเท่ากับการได้เที่ยวในเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าเป็น อัญมณีสุดแสนโรแมนติกของยุโรป
ใช่แล้ว… เที่ยวยุโรปครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปยลความเป็นที่สุดระดับเวิร์ดคลาสกับแลนด์มาร์กมากมายของ Germany-Austria บนเส้นทาง Jewels of Romantic Europe เราเริ่มต้นด้วยการดื่มด่ำความร่ำรวยทางทางอารยธรรมและความอู่ฟูของกษัตริย์แต่ละยุคสมัยในเมือง Munich ต่อด้วยนั่งกระเช้าชมความงดงามของธรรมชาติช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูบนยอดเขา Zugspitze จากนั้นข้ามประเทศมาเติมความฟินที่ Innsbruck เมืองสีลูกกวาดชวนฝันอัดแน่นด้วยเสน่ห์จากประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ ก่อนไปเคลิบเคลิ้มต่อด้วยสุนทรียะที่เมือง Salzburg บ้านเกิดของโมสาร์ท ผู้ฟาดทั้งโลกให้ตื่นตะลึงจากเสียงดนตรีอันแสนลึกซึ้ง แล้วกลับมาปิดทริปแบบคอมพลีทใน Ingolstadt เมืองสุดไฮเทคที่เป็นเลิศด้านเทคโนโลยี และยืนหนึ่งกับแหล่งชอปปิ้ง นอกจากอัดแน่นไปด้วยที่เที่ยวประสุดประทับใจแล้ว เรายังได้พักผ่อนฉ่ำ ๆ ในโรงแรมติดดาวไม่ซ้ำวัน ทานอาหารในร้านโลคอลสตอรี่แน่นยันมิชลิน ตลอดเวลาทั้ง 5 วัน แถมรอบนี้คุ้มค่า คุ้มเวลา เพราะเราบินตรงมากับ Lufthansa ด้วยเครื่อง A380 เครื่องบินที่ได้ชื่อว่าลำใหญ่ที่สุดในโลกที่เขาได้นำกลับมาให้บริการในเส้นทาง BKK-MUC อีกครั้ง
ขาไปเราบินชิล ๆ กับสายการ Lufthansa สายการบินประจำชาติเยอรมนี เจ้าบ้านผู้ต้อนรับเราอย่างอบอุ่นตั้งแต่ขึ้นเครื่อง ด้วยไฟล์ท LH773 ที่กลับบินตรงจาก Bangkok-Munich ในรอบ 3 ปี ใช้เวลาราว ๆ 12 ชั่วโมง กับเครื่องบินรุ่น A380 ลำใหญ่ลำโต บินขึ้นลงนุ่มสบาย และด้วยความที่เรานั่ง Business Class ก็ยิ่งฟินกว่าใครด้วยที่นั่งกว้างยืดขาสะดวก ปรับนอนได้ฟิน ๆ พร้อมบริการแสนประทับใจ เริ่มตั้งแต่ก้าวเท้าเหยีบบเครื่องเค้าก็เสิร์ฟไม่หยุด ทั้งน้ำ ทั้งขนม แบบไม่อั้น แถมมีเมนูอาหารให้เลือกประหนึ่งภัตตาคารบนฟากฟ้า กินอิ่มหลับสบายสมมง ออ ไม่ใช่แต่ BC นะ ทุกคลาสเค้าดูแลแบบ Full Service บินกันยาว ๆ แบบไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยเครื่อง
Day 1 – Munich, Germany
เริ่มต้น City tour สำหรับเช้าวันแรกนี้ ก็ขอนั่งสบาย ๆ แบบไม่ต้องมองแมปให้งง เดินหลงให้เสียเวลา ด้วยการใช้รถตู้เช่าทรงคลาสสิกสุดคิวท์ ที่มีการดัดแปลงเปิดหลังคากว้าง ติดกระจกด้านบนเพิ่ม ให้เราเทควิวเมืองได้อย่างถนัดตา โดยเขามีบริการพาเที่ยวแบบ 1 วันเต็ม ราคาก็จะอยู่ที่ 97 ยูโร/คน หรือจัดเป็นกรุป 3-5 คน อยู่ที่ 107 ยูโร/คน ถ้าอยากเที่ยวมิวนิคด้วยมุมมองแบบใหม่แบบไม่ซ้ำใครก็กดดูรายละเอียดได้เลยที่ www.muenchner-bulli-tours.de/home/ รับรองรูปปัง inbox แตกกระเจิงแน่นอน
001 Siegestor
โลเคชั่นแรกที่เหมาะสมแก่ถ่ายรูปเช็กอินเมื่อมาเยือนเยอรมัน ถิ่นอินทรีเหล็กก็คือ ‘Siegestor’ ประตูชัยที่ตั้งอยู่บนถนน Ludwigstrasse ใจกลาง Munich เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ที่อับอวลไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และประตูชัยแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น มีลักษณะจะคล้ายกับที่ฝรั่งเศส ทั้งความยิ่งใหญ่และงานสลักแสนงดงาม ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารที่เสียสละในสงครามนโปเลียน ตั้งตระหว่านอยู่ตรงนี้มายาวนานกว่า 173 ปีแล้ว
002 Eisbach welle
เอาใจสายส่อง เอ้ย.. สายไลฟ์สไตล์กันบ้างที่ลำธาร ‘Eisbach’ หรือเรียกกันว่า River Surfing สวรรค์ของนักโต้คลื่นกลางเมือง ที่มีคลื่นแรง ๆ ให้โต้โดยไม่จำเป็นต้องไปถึงทะเล พิกัดลับที่คนเยอรมันบางคนยังไม่รู้จักเพราะเพิ่งได้รับความนิยมไม่นานมานี้เอง ลักษณะลำธารเป็นคลองที่ขุดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ มีลำน้ำใสสะอาดไหลผ่าน เป็นความยาวกว่า 2 กิโลเมตร แม้ช่วงที่โต้ได้นั้นจะไม่ยาวมาก แต่ก็มีนักกีฬาหัวทอง ตาฟ้า มาโต้คลื่นท้าอากาศหนาวโชว์ความเท่กันเพียบ! บอกเลยว่ามองเพลินสุด ๆ
003 Hofbräuhaus München
จากนั้นก็มาจัดมื้อหนักกันที่ ‘Hofbräuhaus München’ โรงเบียร์เก่าแก่ ยืนหยัดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนเป็นไอคอนของเมือง และเป็นต้นแบบของโรงเบียร์หลายที่ทั่วโลก โดดเด่นด้วยการตกแต่งแสนคลาสสิก สไตล์เยอรมันแท้ ๆ ทั้งพื้นกระเบื้องเปี่ยมมนต์ขลัง โครงอาคารภายในที่โค้งเว้า มีงานจิตรกรรมตกแต่งอย่างอ่อนช้อยสวยงาม โดยอาหารจานเด่นคือขาหมูเยอรมัน และไส้กรอกรสเข้มข้น ชนิดที่กินแกล้มกับเบียร์ได้อย่างพอดิบพอดี
004 Der Pschorr
หากอยากได้บรรยากาศที่เน้นความชิล มีประเภทอาหารที่แตกต่างออกไป ‘Der Pschorr’ อาจเป็นคำตอบที่ใช่ที่ควร เพราะร้านนี้เปิดมานานกว่า 18 ปีแล้ว ภายในอาคารทรงคลาสสิก เป็นโถงเพดานสูงแต่มีการปรับตกแต่งให้โมเดิร์น เรียบหรูแต่เข้าถึงง่าย จัดเสิร์ฟเมนูอาหารสไตล์ Bavarian ทั้งแบบดั้งเดิมและผสมผสาน ตั้งใจคัดวัตถุดิบจากท้องถิ่นหายาก เช่น ชีส ของทะเลจากชาวประมง ทำให้มีกลิ่นและรสเป็นเอกลักษณ์ เน้นใช้ทุกส่วนของวัตถุดิบอย่างคุ้มค่าที่สุด พอได้ลิ้มลองก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าวัฒนธรรมการกินของเยอรมันนั้นน่าค้นหามากกว่าที่คิด
005 Nymphenburg Palace
ปิดท้ายวันแรกเรามาเดินทอดน่องที่ ‘Nymphenburg Palace’ พระราชวังอันยิ่งใหญ่ของผู้ปกครองแคว้น Bavaria ที่ตั้งใจสร้างเป็นพระราชวังฤดูร้อนแก่พระราชโอรส Maximilian II Emanuel เมื่อราว ๆ 359 ปีก่อน ก่อนถูกปรับเปลี่ยนในช่วงศตวรรษที่ 18 ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Baroque พร้อมการตกแต่งภายในอันวิจิตร อัดแน่นไปด้วยของสะสมอันน่าตะลึงพรึงเพริดอีกมากมาย ในนี้มีสปอตท่องเที่ยวเยอะขนาดที่สามารถเดินถ่ายรูปเล่นได้นานเป็นวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่ประหนึ่งอุทยาน พิพิธภัณฑ์รถม้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวย ห้องบรรทม ห้องสะสมผลงานศิลปะทุกยุคสมัย รวมแล้วก็มีห้องหับที่เปิดให้ชมมากกว่า 20 ห้องเลยทีเดียว
006 Bayerischer Hof
ขอโคฟเป็นคุณตระกูลใหญ่สักคืนกับโรงแรมอันหรูหรา ‘Bayerischer Hof’ โรงแรมอายุกว่า 182 ปี ที่ยังคงความงดงามเหนือกาลเวลาเอาไว้ ประหนึ่งแวมไพน์ที่ไม่มีวันแก่เฒ่า ซ้ำยังเพิ่มความสะดวกสบาย พร้อมความโอ่อ่ากับห้องนอนที่มีมากถึง 337 ห้อง รวมห้องสูทดีไซน์สุด elegant กว่า 74 ห้อง มีห้องอาหาร 5 ห้อง จัดเสิร์ฟอาหารระดับดาวมิชลิน บาร์กินดื่ม 6 แห่งและสปาที่ตั้งอยู่บนสวนสวยชั้นดาดฟ้า และจุดสนใจสำหรับเด็กยุค 90 อย่างเรา คือจุดรูปปั้นที่ระลึกถึง Michael Jackson ราชาเพลงป๊อป ทีตั้งอยู่หน้าโรงแรม ซึ่งยังคงมีคนคิดถึงและนำดอกไม้มาวางให้จนถึงทุกวันนี้
แต่ถ้าใครมีเวลาก็อยู่ใช้ Facilities ในโรงแรมยาว ๆ ได้เลย อย่างตรงสระน้ำที่ตั้งอยู่บริเวณดาดฟ้าของโรงแรม ถือเป็นอีกจุดไฮไลต์ที่เราจะได้ชมวิวเมือง นอนเล่นอ่านหนังสือ ในอากาศอุ่นกำลังดี เพราะเป็นแบบอินดอร์ครอบกระจก และยังมี ROOF GARDEN TERRACE LOUNGE ห้องอาหารยามเช้า กับบรรยากาศแสน calm เน้นความโปร่งแสง มีการออกแบบเสา-เพดานที่โค้งเว้า สลับงานไม้ชวนสบายตสบายใจ
Day 2 – Munich, Germany
007 Zugspitze
ตื่นแต่เช้าเพื่อออกตามล่าหิมะแรกที่เราจะเจอในหน้าหนาวปีนี้ที่ ‘Zugspitze’ สูดอากาศให้ฉ่ำปอดกับพื้นที่ที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ มีภูเขาน้ำแข็งเป็นไอคอน ซึ่งยอดเขาที่เห็นนี้ถือว่าสูงที่สุดในเยอรมัน และสูงสุดในเทือกเขาแอลป์ ที่ความสูง 2,962 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาเล่นสกีในฤดูหนาวกัน รวมถึงสามารถชมวิวที่มองเห็นยอดเขาของทั้ง 4 ประเทศได้ นั่นคือ เยอรมัน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี บอกเลยว่ามามองด้วยตาเนื้อในช่วงเปลี่ยนผ่านจากใบไม้เปลี่ยนสีเป็นฤดูหนาวแล้วอลังการกว่าภาพถ่ายสุด ๆ สวยจับใจมาก
เมื่อเรามาถึงจุดสิ้นสุดของกระเช้า สิ่งที่เราพบเจอคือความขาวโพลนของหิมะ เรียกว่าหนาวหน้าชาตั้งแต่ประตูเปิด แต่ก็แอบฟินในใจเพราะนานน๊านจะได้พบเจอหิมะฉ่ำ ๆ แบบนี้สักที ถ้าหากใครมาช่วงหน้าร้อนก็จะมีวิวให้ชม และทางปีนสู่ยอดเขาสุด extreme ให้ขึ้น แต่ถ้ามาหน้าหนาวก็มาเล่นสกีกันโลด รับรองว่ามันส์ หรือจะเข้าไปนั่งแช่ฮีตเตอร์จิบโกโก้อุ่น ๆ ในคาเฟ่ก็ได้ไม่ว่ากัน
008 Klosterbräu Restaurant
อิ่มตากับวิวสวย ๆ กันไปแล้วก็ได้เวลามาเติมความอิ่มให้ร่างกายที่ร้าน ‘Klosterbräu Restaurant’ ร้านอาหารในบ้านสไตล์บาวาเรีย ที่ออกแบบด้วยงานไม้แสนสบายตา ที่มีทั้งความโคซี่ผสานความหรูหราอย่างกลมกลืน พร้อมวิวธรรมชาติจากภายนอก จัดเสิร์ฟอาหารที่ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่นคัดจากฟาร์ม แต่ถ้าอยากได้เมนูที่คุ้นเคยเขาก็ขึ้นชื่อเรื่องเบอร์เกอร์ ที่สามารถกินแกล้มเบียร์ได้อย่างดี
009 Ettal Abbey
อาคารหลังใหญ่สไตล์ Baroque ที่อยู่เบื้องหน้านี้ คือ Ettal Abbey สำนักสงฆ์ของนักบุญเบเนดิกต์ที่อยู่คู่ Bavaria มานานกว่า 700 ปี เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี 1330 ใช้เวลาสร้างราว ๆ 40 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ห้องสมุด และโรงเรียนชื่อดัง ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพแก่ชาวบ้าน เป็นที่ที่ทำให้ความเป็นอยู่ของผู้คนระแวกนี้ดีขึ้นจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
สิ่งที่เราโฟกัสเป็นพิเศษคือห้องสมุดที่มีความยาวถึง 70 เมตร แบ่งออกเป็น 3 ส่วน อัดแน่นไปด้วยหนังสือกว่า 200,000 เล่ม รวมถึงต้นฉบับอันล้ำค่า เอกสารโบราณอายุหลายร้อยปี เพลิดเพลินไปกับการมองของตกแต่ง ที่เต็มไปด้วยงานจิตรกรรมของ Bartolomeo Altomonte งานประติมากรรมจาก Josef Anton Stammel ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงมากในยุคสมัยนั้น
010 Ettaler Klosterdestillerie
หนึ่งในโอทอปประจำประเทศที่โด่งดังไปทั่วโลกไม่ได้มีเพียงไส้กรอก รองเท้าแบรนด์ดัง วิตามินเม็ดฟู่เท่านั้น แต่เบียร์เยอรมันก็ถือเป็นสุดยอดไอเท็มที่สืบทอดกันมานานกว่าพันปี สปอตนี้เราพาทุกคนมาเยือนเป็นอีกแหล่งผลิตอันเก่าแก่ ‘Ettaler Kloster Destillerie’ ที่ปัจจุบันยังคงทำหน้าที่ผลิตเบียร์ชั้นดี พร้อมเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เราได้เยี่ยมชมวิธีการทำดั้งเดิม ที่บ่มเบียร์นานกว่า 6 เดือนในถังไม้โอ็ต ชมห้องทดลองให้ได้เทสต์ต่าง ๆ ตอบโจทย์ทุกความชอบ พร้อมภูมิปัญญาว้าว ๆ ที่บริกรคอยอธิบายให้ฟังอย่างสนุกสนาน
011 Tiroler Abende
ขึ้นรถพักสายตาไปหนึ่งตื่น ก็พบว่าตอนนี้เราข้ามมาอยู่กันที่เมือง Innsbruck ประเทศออสเตรียเป็นที่เรียบร้อย จุดแรกที่แวะก่อนเลยก็คือ ‘Tiroler Abende’ ร้านอาหารพื้นเมือง ที่เขาตั้งใจทำโชว์สุดคลาสสิกให้เราได้ชม เป็นการแสดงบนเวทีเล็ก ๆ ที่รวมฮิตวิถีชีวิต วัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่ ผ่านทั้งการแต่งกาย บทเพลง ให้ผู้มาเยือนต่างชาติ ต่างภาษาได้เข้าใจแบบรวบตึงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ไฮไลต์สำหรับโชว์นี้คือ yodelling การตะโกนเรียกกันในฟาร์มภูเขา, โชว์ folk dance ที่มีจังหวะการใช้ shoe-slapping กระทบเกิดเสียงกับพื้นเวที ซึ่งเหล่าคณะผู้แสดง ได้สืบทอดโชว์มานานกว่า 56 ปีแล้ว และยิ่งหาชมได้ยากขึ้นทุกวัน สิ่งที่เราอินสุด ๆ กับที่นี่คืออาหารท้องถิ่น รสชาติเข้มข้นไปด้วยชีส แป้ง และเนย แหล่งเชื้อเพลิงเติมความอบอุ่น พอเคล้ากับการแสดงแล้ว ก็ถือเป็นมื้อที่พรีเซนต์ความเป็นออสเตรียได้อย่างดี
012 Adler hotel innsbruck
โรงแรมที่เหมาะกับคาแรกเตอร์สาวชิกหนุ่มคูลอย่างเราที่สุดยกให้ ‘Adler hotel innsbruck’ โรงแรมที่มีตึกสูงที่สุดในเมือง Innsbruck ด้วยความสูง 12 ชั้น หากได้นอนชั้นบน ๆ ก็จะสามารถเทควิวเมืองได้แบบฟิน ๆ โดยไม่มีอาคารใดกั้น การออกแบบภายในนั้นความโมเดิร์นเรียบหรู พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ wi-fi มินิบาร์ ไดร์เป่าผม โทรทัศน์ ที่สำคัญอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Innsbruck Hbf แค่เอื้อมเท่านั้น
Day 3 – Innsbruck, Austria
ขอแจ้งไว้ตรงนี้เลยว่าเมืองที่เรายืนอยู่เป็นสถานที่ที่เราชอบที่สุด วิวปังที่สุด เหมือนฝันที่สุด!! ‘Innsbruck’ เมืองหลวงของเทือกเขาแอลป์ ในพื้นที่ออสเตรเลีย ที่มีคาแรกเตอร์แสนน่ารักท่ามกลางภูผาแห่งหิมะอลังการ เป็นเมืองที่โดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมสไตล์ Baroque มีมาตั้งแต่ศตรรษที่ 17 ผ่านการแย่งชิงดินแดนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังสามารถฟื้นฟูจนสวยงามดั่งเช่นทุกวันนี้
013 City Center Innsbruck
เช้านี้เราขอดื่มด่ำไปกับการเดินชมบ้านเมืองแบบ city tour สักกรุบ ซึ่งหลังจากที่เดินลัดเลาะผ่านสิ่งปลูกสร้างทรงคลาสสิกก็จะพบตัวอาคารสีสันสดใสตั้งเรียงอยู่ริมแม่น้ำอิน โดยมีเทือกเขาแอลป์เป็นฉากหลัง ภาพชวนฝันอันชินตาที่เรามักเห็นตามโปสการ์ดและหนังสือท่องเที่ยว เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองก็ไม่ผิด พอมาเห็นด้วยตาแล้วรู้สึกน่ารักน่าหยิกสมกับคำว่า ‘เมืองสีลูกกวาด’ สมญานามที่ผู้คนมอบให้แก่เมืองนี้จริง ๆ
014 Golden Roof
ยิ่งเดินลัดเลาะตามซอกซอยชมอาคารบ้านเรือนก็ยิ่งหลงเสน่ห์ และสิ่งที่มาเติมมนต์ขลังจนทำเรายืนเพิ่งมองอยู่สองนานก็คือ ‘Golden Roof’ หลังคาทองคำที่ยื่นโผล่พ้นตึกใหญ่ออกมา เป็นศิลปะผสมผสานระหว่าง Gothic และ Baroque อายุกว่า 500 ปี ใช้กระเบื้องทองคำจำนวน 2,738 แผ่นในการสร้าง ยามแสงตกกระทบก็ส่องประกายอร่ามสะท้อนตามาแต่ไกล ที่นี่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิ Friedrich ที่ 4 ใช้เพื่อเป็นจุดทอดพระเนตรงานเทศกาลต่าง ๆ ที่มักจัดขึ้นตรงจัสตุรัสด้านหน้า บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของราชวงศ์ในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
015 Ambras Palace
และอีกที่ที่สร้างเสียงฮือฮาจากปากเราได้แบบไม่ขาดห้วง ‘Ambras Palace’ ปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเทือกเขาหิมะ ฉายแววความสวยงามด้วยศิลปะการออกแบบสไตล์ Renaissance สร้างในช่วงศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมงานศิลปะอันเลอค่า ทั้งข้าวของเครื่องใช้ หลักฐานความเป็นอยู่ของกษัตริย์ในยุคก่อน ที่หาชมยากยิ่ง อาทิ ห้องอาบน้ำของ Archduke Ferdinand II ผู้สร้างปราสาท งานศิลปะของศิลปินผู้มีชื่อเสียงสมัยนั้น งานภาพวาดมากกว่า 200 ชิ้น ฯลฯ บอกเลยว่าทั้งสายมิวเซียมฮอป สายเที่ยวประวัติศาสตร์จะต้องชอบแน่นอน
016 Swarovski Crystal World and Shop
ได้เวลาของนักชอปตัวยงผู้หลงใหลในงานคริสตัสระดับโลก ณ ‘Swarovski Crystal World and Shop’ หรือ Swarovski Kristallwelten ตั้งอยู่ภายในอาคารที่เน้นการจัดวางแบบโล่งสบาย บนพื้นที่กว้างขวาง แบ่งสัดส่วนเป็นทั้งพื้นที่นิทรรศการงานศิลปะทั้งอินดอร์ เอาท์ดอร์ ร้านอาหาร พร้อมร้านค้าขายสินค้าทุกชนิดของ Swarovski มายั่วเหล่าสาวกให้ใจเต้นระส่ำเพราะความอยากได้ บอกเลยว่าจุดนี้ต้องกอดบัตรเครดิตไว้ให้แน่น ๆ แล้ว
ก่อนที่เราจะเข้าไปขอพาทุกคนเดินดูรอบ ๆ ก่อน เพราะจะมีสักกี่แบรนด์ที่มีมิวเซียมของตัวเองท่ามกลางเทือกเขายักษ์ใหญ่แห่งยุโรปเป็นแบรกกราวน์ มีลานหญ้ากว้างขวางให้แต่งแต้มจินตนาการได้ดั่งใจ สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือบริเวณน้ำตกรูปหน้าคน ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ถ้าใครมาแล้วไม่มีรูปอยู่ในกล้องก็เหมือนยังมาไม่ถึง นอกจากนี้เขาก็ยังมีร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ไว้คอยบริการแบบครบครัน
ครบกว่านั้นคือการได้มาเดินย่อยมื้อกลางวันในนิทรรศการสุดระยิบระยับ ที่ทางแบรนด์เขาตระเตรียมไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนให้รู้จักคำว่าสวยตาแตก ด้วยการจัดวางคริสตัสกว่า 800,000 ชิ้น ขึ้นฟอร์มเล่นแสงสีอย่างงดงาม แซมด้วยเครื่องประดับแสนเลอค่า เป็นงานเจียระไนที่สวยบริสุทธิ์ดั่งเพชร บางตัวเรือนคือมาสเตอร์พีช ที่เหล่าทาสรักเครื่องประดับเห็นแล้วจะต้องตื่นตะลึง
017 Sternbräu
ตกเย็นเราโยกตัวย้ายมาที่เมือง ‘Salzburg’ เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของออสเตรีย อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน ซึ่งร้านอาหารที่เรามาเช็กอินก็มีความเป็นมาที่ยาวนานไม่แพ้ใคร ‘Sternbräu’ จากโรงเบียร์ขนาดเล็กที่มีประวัติแรกเริ่มตั้งแต่ศตรรษที่ 16 จัดเสิร์ฟอาหารออสเตรียแบบดั้งเดิมที่สืบทอดมาอย่างยานาน แก่แขกผู้มาเยือน เช่น Fiakergulasch, Krenfleisch หรือเมนูซิกเนเจอร์ที่มีการปรับอาหารชั้นสูงให้เข้ากับยุคสมัย ในราคาสมเหตุสมผลอย่าง Salzburger Nockerl ด้านรสชาติก็ไม่เค็มเลี่ยน ถูกจิตถูกใจชาวไทยหน้าตี๋อย่างเราอยู่มากทีเดียว
018 Sheraton Grand Salzburg
ที่หลับนอนที่เหมาะแก่การพักร่างจากการเดินทางข้ามเมือง ณ นาทีนี้เรายกให้ ‘Sheraton Grand Salzburg’ โรงแรมมาตรฐานโลกระดับ 5 ดาว ที่นอกจากความหรูหราแล้วเรายังได้การบริการที่ดีงาม และการตกแต่งแสนเลอค่า สไตล์ Timeless Luxury แอบซ่อนกลิ่นอายยุโรปแสนคลาสซี่เข้ามาด้วย แค่บรรยากาศจากล็อบบี้เดินขึ้นมาที่ห้องก็ทำเราฟินจนนอนหลับฝันดีแล้ว
Day 4 – Salzburg, Austria
อย่างที่บอกไปว่าเมือง ‘Salzburg’ ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของออสเตรีย ครบครันทุกความสะดวกสบาย แต่ยังคงสงบสุขประหนึ่งเมืองตากอากาศ ไม่แปลกใจเลยที่จะเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ในตำนานอย่าง The Sound of Music ออกฉายเมื่อปี 1965 และยังเป็นบ้านเกิดของโมสาร์ท นักแต่งเพลงชื่อก้องโลกที่ใครต่างต้องเคยได้ยินชื่อนี้มาแล้ว เรียกว่าเป็นเมืองแห่งเสียงเพลง ที่ทุกโลเคชั่นพาเราเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงดนตรี และธรรมชาติอย่างแท้จริง
019 Mirabell Gardens
จุดเช็กอินแรกของวันเรามากันที่ ‘Mirabell Gardens’ สวนสวยที่ตั้งอยู่หน้าพระราชวัง Mirabell ที่ทำเราสตั๊นตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น กับสวนที่ตกแต่งสไตล์ Baroque กลมกลืนกับพระราชวัง โดยแมกไม้รอบข้างกำลังผลัดใบเป็นสีเหลือง ส้ม ดูสวยงามน่าค้นหา จากตรงนี้เราจะเห็นปราสาท Hohensalzburg และป้อมปราการ Festung Hohensalzburg ที่มีอายุหลายร้อยปี ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาได้อย่างถนัดตา เป็นอีกมุมมาสเตอร์พีชที่เราได้จากออสเตรีย
020 Staatsbrücke
หากอยากเห็นออสเตรียในมุมที่มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นลองมากันที่ ‘Staatsbrücke’ หรือ Love Locks Bridge Salzburg สะพานสแตนเลสที่ทำหน้าเชื่อมระหว่าง Rudolfskai-Altes Rathaus และ the Platzl-Linzergasse ของ 2 ฝั่งของแม่น้ำ Salzach เข้าด้วยกัน ที่นี่มีการสร้างใหม่มากกว่า 10 ครั้ง นับตั้งแต่มีบันทึกเกี่ยวกับสะพานในปี 1090 เนื่องจากปัญหาอุทกภัย ไฟไหม้ และความเสื่อมโทรม โดยสะพานเวอร์ชั่นล่าสุดเปิดใช้งานตอนปี 1948 จากที่เคยใช้เป็นเพียงเส้นทางสัญจร ปัจจุบันกลายเป็นสะพานกุญแจรัก เกิดกิมมิกน่ารัก ๆ ให้เหล่าคนมีคู่มาคล้องกุญแจบริเวณรั้วสะพาน บรรยากาศจึงอบอวลไปด้วยความโรแมนติก รอบข้างก็ดูสะอาด สงบ ปลอดภัย ทำให้เรารู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงมาก ๆ
021 Mozart’s Birthplace
มาถึงสถานที่ที่แฟนคลับเพลงบรรเลงของโมสาร์ทจะต้องร้องกรี๊ด ‘Mozart’s Birthplace’ บ้านเกิดของศิลปินผู้ตีแผ่ดนตรีบรรเลงให้กึกก้องไปทั่วโลก ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารสีเหลืองสดใสเลขที่ 9 บนถนน Getreidegasse นี้แหละ คือบ้านของ Wolfgang Amadeus Mozart ที่เกิดเมื่อปี 1756 ใช้ชีวิตอยู่บนชั้น 3 พร้อมพ่อแม่และน้องสาว นานกว่า 26 ปี ก่อนย้ายไปอยู่ ‘Mozart Residence’ ที่จัตุรัส Makartplatz ปัจจุบันจากที่เคยเป็นอพาร์ทเมนต์ก็ถูกปรับเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างที่เห็นนั่นเอง
ตลาดเก่าแก่ใจกลาง Alter Markt จัสตุรัสแห่งประวัติศาสตร์ ที่อยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นสถานที่ค้าขายบรรดาวัตถุดิบที่มีค่าดั่งทอง อาทิ นม สมุนไพร ผัก ฯลฯ สมัยนั้นละแวกนี้จะเต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่ สถานบันเทิง เป็นที่จัดงานเทศกาลประจำปี และมีตลาดประจำสัปดาห์เกิดไม่ขาดช่วง เมื่อเวลาผ่านไปบ้านเรือนได้ถูกปรับให้เป็นอาคารสมัยใหม่ อัดแน่นไปด้วยร้านค้าขายของที่ระลึก คาเฟ่ และร้านแบรนด์ดังของออสเตรียมากมาย
023 Fortress Hohensalzburg
จากที่เห็นวิวไกล ๆ ตรงมุมสวนเมื่อเช้า บ่ายนี้เรามุ่งตรงสู่ ‘Fortress Hohensalzburg’ ที่ยกตัวขึ้นสูงตามเนวเขา เป็นอีกป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 11 ของยุโรป เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1077 โดย Archbishop Gebhard หลังถูกบังคับลี้ภัยในปี 1085 แต่ก็ยังมีผู้สานเจตนารมย์ จนแล้วเสร็จในปี 1500 และยังคงสวยสมบูรณ์ดั่งเช่นปัจจุบัน บนนี้เราสามารถชมวิวเมืองได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว
024 Saltmine Berchtesgaden
ครึ่งวันหลังเรามากันที่ ‘Saltmine Berchtesgaden’ เหมืองเกลือภูเขา หลักฐานแสดงความยืนหนึ่งในวงการอุตสาหกรรมของเยอรมัน ที่ขุดเจาะเพื่อหา white gold อันล้ำค่า มานานกว่า 506 ปี และเพิ่งเปิดให้ผู้คนได้เยี่ยมชมครั้งแรกเมื่อปี 2007 ที่นี่เราจะได้นั่งรถไฟทรงน่ารักไปสำรวจโลกแห่งเกลือเหนือพื้นดี เห็นการใช้เทคโนโลยีอันชาญฉลาดที่ไม่น่าเชื่อว่าคนสมัยก่อนจะทำได้ ตอนแรกคิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่บอกเลยว่าทำเราตื่นเต้นตลอดการทัวร์เลยทีเดียว
025 Das Achental (ES:SEN)
สำหรับมื้ออาหารสุดพิเศษวันนี้เราจะได้ไปกินกันแบบจุก ๆ ที่ ‘Das Achental (ES:SEN)’ ร้านอาหารสุดลักซ์ชู ที่มีหัวหน้าเชฟ ‘Epid Sigl’ เจ้าของรางวัล Chef of the Year 2023 ของเยอรมัน มาคอยรังสรรค์เมนูแสนวิเศษให้เราได้ลิ้มลอง ใช้ทุกทักษะ ความพิถีพิถัน สอดแทรกความเป็นท้องถิ่นของภูมิภาค Chiemgau (ตอนบนของบาวาเรีย) รับรองว่ารสชาติสมมงรางวัลเชฟระดับมิชลินไกด์ 2 ดาวแน่นอน
นอกจากห้องอาหารติดดาวแล้ว .. ที่นี่ยังเป็นอีกหมุดหมายของเหล่านักตีกอล์ฟตัวพ่อตัวแม่ที่อยากมาหวดวงแขงท่ามกลางธรรมชาติ แถมการตกแต่งสนามก็สวยงามสมบูรณ์แบบ พร้อมหลุมที่มากถึง 18 จุดให้ได้พิชิต ตีกอล์ฟเสร็ตก็มาว่ายน้ำแช่ตัวคลายกล้ามเนื้อชิล ๆ ก่อนเอนตัวลงนอนบนที่นอนอุ่นสบาย ถือเป็นอีกรีสอร์ตที่ดีงามแบบครบวงจรจริง ๆ
026 Maritim Hotel Ingolstadt
ด้วยกิจกรรมที่หนักหน่วงในวันนี้ที่พักใจของเราก็ค่อนข้างจะแกรนด์ไม่แพ้คืนไหน ๆ ‘Maritim Hotel Ingolstadt’ โรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ และสถานที่ท่องเที่ยวระแวกเมืองเก่าของ Ingolstadt การตกแต่งจะน้นความโมเดิร์น แตกต่างกันไปในแต่ละส่วน หากได้พักที่นี่ทุกคนจะได้รับการดูแลดุจญาติมิตร จากเหล่าพนักงานที่ถูกเทรนมาอย่างดี สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แทบครบจบไม่ต้องขออะไรเพิ่ม เตียงใหญ่นุ่มสบายฉบับที่หัวถึงหมอนแล้วเราหลับปุ๋ยจนถึงเช้า แถมยังเป็น Pet friendly อีกด้วยนะ
Day 5 – Ingolstadt, Germany
027 Audi forum ingolstadt
เช้าวันสุดท้ายเรามาชมความก้าวกระโดดด้านนวัตกรรม อุตสาหากรรมของประเทศเยอรมันกันอีกสักครั้งที่ ‘Audi forum ingolstadt’ พิพิธภัณฑ์ Audi แบรนด์รถที่อยู่คู่เยอรมันมานานกว่า 120 ปี ภายในอาคารทรงกลมสูง 3 ชั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยกระจกดูล้ำสมัย ที่นี่เราจะได้ย้อนเวลากลับไปชมวิวัฒนาการของการผลิตรถยนต์ ประวัติของแบรนด์ จัดแสดงโชว์ตั้งแต่รถคันแรกจนถึงปัจจุบัน โดยแยกสัดส่วนนิทรรศการไว้อย่างดี ทำพรีเซนต์ออกมาให้เข้าใจง่าย พร้อมโซนของที่ระลึกให้เหล่าแฟนคลับได้ซื้อไว้เก็บสะสม
028 Ingolstadt Village
ด้วยความที่เมืองนี้อยู่ไม่ไกลจาก Munich สิ่งที่ไม่ควรพลาดก่อนบินกลับไทย คือการเผื่อเวลาไว้มาชอปที่ ‘Ingolstadt Village’ คอมมูนิตี้แบบเอาท์ดอร์ ตกแต่งอย่างหรูหราอัดแน่นไปด้วยร้านค้ามากกว่า 100 แบรนด์ดัง ตั้งแต่สินค้าแฟชั่น แบรนด์เนมคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุด รองเท้าในฝัน เครื่องประดับเลอค่า ที่เราสามารถชอปปิงแบบปลอดภาษี หากใครไม่ใช่สายชอปก็สามารถหาคาเฟ่ ร้านอาหารนั่งกินได้เพลิน ๆ หรือจะเดินถ่ายรูปก็มีมุมสวย ๆ ให้เลือกเยอะเช่นกัน เดินทางง่ายดายด้วยรถส่วนตัว หรือจองรถบัสรับส่งระหว่าง Munich – Ingolstadt Village แบบไปกลับราคาอยู่ที่ 10 ยูโรเท่านั้น
029 Munich Airport
ชอปจนฉ่ำก็ได้เวลามานั่งพักรอเครื่องกันที่ ‘Munich Airport’ หนึ่งในสนามบินที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เน้นใช้กระจกรอบด้าน ซึ่งเป็นการติดตั้งให้มีระบบหมุนเวียนอากาศที่เข้ากับภูมิอากาศของเมือง ถ่ายเทได้ดีในทุกฤดูโดยไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ มีแผงโซล่าเซลเอาไว้ผลิตไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบการจัดการที่รวดเร็จ เช็กอิน โหลดกระเป๋า ด่านตรวจคือ flow มาก แถมไวป์ของสนามบินยังคล้ายห้างอีกต่างหาก เต็มไปด้วยร้านค้า สามารถมาชอปแบบ last minute ที่นี่ได้เช่นกัน
สำหรับคนที่บิน Business Class กับสายการบิน Lufthansa เขาจะมีเลาน์ให้เราเข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่องแบบชิล ๆ มีโซนให้เลือกนั่งที่หลากหลาย เน้นความเป็นส่วนตัว มีให้นั่งทั้งแบบมาคู่ มาเดี่ยว กลุ่มเพื่อน ครอบครัว มีเก้าอี้ทั้งแบบเคาน์เตอร์บาร์ โซฟา เบาะยาวไว้เอนกาย พร้อมบาร์อาหารเครื่องดื่มสุดหรูให้เรากินอย่างอิ่มหนำ หรือถ้าอยากขึ้นเครื่องไปแบบเฟรซก็ใช้บริการห้องอาบน้ำในเลาน์จได้เช่นกัน
ตอนจะบินกลับแอบใจหายนิด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนเพิ่งบินถึงเมื่อวาน แล้วทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นแค่ฝันไป.. ใน 5 วันเราสามารถพบเจออะไรตั้งมากมายในเยอรมัน และออสเตรีย โดดข้ามเมืองไปมาแต่สามารถร้อยเรียงเป็นเรื่องราวได้อย่างน่าประหลาด ตั้งแต่ความโบร่ำโบราณ ประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติสุดตระการตา เห็นแหล่งที่มาของดีระดับโลก ก่อนจะจบที่ความอัจฉริยะด้านวิวัฒนาการของคนที่นี่ บอกเลยว่ามันเกินคำว่าเต็มอิ่มไปมาก.. ใครอยากไปที่ไหนก็ลองจับยัดเข้าแพลนกันได้เลย