รีวิวญี่ปุ่น : TOKYO ITINERARY: How To Spend 5 KAWAII Days In Tokyo

ปลายปีใกล้เข้ามาทุกที อากาศที่ญี่ปุ่นก็เริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ทีนี้ก็ว้าวุ่นตามหาแพลนเที่ยวปัง ๆ กันแทบไม่ทันเลยละสิ? 

แต่ถ้าใครปักหมุดมา Tokyo ก็ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องแพลนเที่ยวอีกต่อไป เพราะวันนี้เราจะมาบรรเลงมหากาพย์โตเกียว 5 วัน กางแผนที่เมืองแสนวุ่นวายแต่ลงตัว ควานหาพิกัดโดน ๆ จนออกมาเป็นแพลนเที่ยวฉบับคนโคตรคิวท์ รับรองว่าลิสต์มาให้ครบตอบทุกโจทย์ทุกความต้องการ จัดเต็มโลเคชั่นที่ไปแล้วได้รูปสวย ๆ มาอัปโซเชียลฉ่ำ ๆ พร้อมทั้งอัปเดตที่เที่ยวสุดป็อป สวนสนุกสุดมันส์ เรื่องงานอาร์ตไม่มีขาด ของคาวหวานไม่มีพร่อง เรียงรายมาให้ตั้งแต่ของสตรีทฟู้ดห้ามพลาด จนไปถึงร้านติดดาวมิชลิน กลมกล่อมขนาดนี้ต้องปัดนิ้วเลื่อนดูแล้วลอกแพลนเลยป่ะ?

ถ้าอยากจะเริ่มทริปต่างประเทศแบบสบายขั้นสุด เรามาเริ่มทำความรู้จัก K Point ก่อนเลย น้องคือคะแนนสะสมของลูกค้า K Bank ที่เราสามารถเอาไปใช้จ่ายได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสแกนจ่าย QR, จ่ายบิลค่าน้ำ ค่าไฟ รวมไปถึงการเติมเงิน easy pass, e-Wallet ผ่าน KPLUS โดย 10 คะแนนมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท นอกจากนี้ยังเข้าไปซื้อสินค้า หรือแลกคูปองส่วนลดใน K+ market ได้อีกเยอะสะบัดเลย แต่ที่สายเที่ยวอย่างเราเลิฟสุดๆคือใช้ K Point 1,500 คะแนนแลกเข้าใช้บริการ K Point KLUB ที่สนามบินสุวรรณภูมิได้ ดูรายละเอียดของ K Point KLUB เพิ่มเติมได้ที่ https://kbank.co/3MkBtnk

‘K Point KLUB’ จุดนัดพบ นั่งพักผ่อนระหว่างรอไฟล์ทบินแสนสบายที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท วิธีการเข้าไปใช้บริการก็ง่ายมากแม่ ใช้ K Point 1,500 คะแนน แลก e coupon ใน K+ market พอกดใช้คูปองก็จะได้ QR สำหรับสแกนเข้า พร้อมสแกนรับกาแฟพรีเมียมอย่าง Nespresso ฟรี! ข้างในมีตู้กดขนมที่คัดพิเศษสำหรับที่นี่ มีมุมนั่งพักผ่อนหลากหลาย ทั้งสำหรับมาเป็นกลุ่มแก๊ง หรืมุม เก้าอี้แยกเน้นความไพรเวท บริการฟรี Wi-Fi ที่ชาร์จแบต เรียกว่านั่งจิบน้ำ กินขนมเพลินจน Gate เปิดได้เลย สำหรับคนที่ไม่ได้แลกเงินมา ตรงนี้เขามีตู้แลกเงินด้วยนะ แอบดูเรทมาให้ คือดีงามเฟร่อ ส่วนพิกัดของ K Point KLUB มีอยู่ 2 จุดในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่อาคารผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ ชั้น 4 ฝั่ง East ใกล้ Concourse A และฝั่ง West ใกล้ Concourse G ดูรายละเอียดของ K Point KLUB เพิ่มเติมได้ที่ https://kbank.co/3MkBtnk

นอกจากนี้เรายังถ่ายรูปเก๋ ๆ ได้ตั้งแต่เริ่มทริปกับ Interactive Wall จอภาพขนาดยักษ์ที่พาเราเช็กอินในแลนด์มาร์กทั่วโลก แถมยังเป็นที่ที่จะทำให้เราได้รับโปรโมชั่นพิเศษ!! เพียง Check-in ที่ K Point KLUB พร้อม Share ความประทับใจผ่าน Social media ไม่ว่าจะบินสายการบินไหน แลกคะแนน K Point 1,500 คะแนน/คน ก็รับสิทธิ์ 1 ฟรี 1 ได้เลยไม่จำกัด ตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 67 ยังไม่หมดแค่นั้น! เพื่อน ๆ ยังสามารถเข้าใช้บริการ K Point KLUB ด้วยคะแนนเพียง 188 คะแนน (จากปกติ 1,500 คะแนน) ในทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ และทุกวันที่ 8 – 9 ของทุกเดือน จํากัด 200 สิทธิ์/เดือน ดูรายละเอียดของ K Point KLUB เพิ่มเติมได้ที่ https://www.kasikornbank.com/th/personal/Digital-banking/kplus-kpoint/

Day 1

001 Kofuku-no-Manekineko Densh

เมื่อเท้าแตะถึงบ้านหลังที่สองปุ๊บ.. เราก็เริ่มต้นทริปด้วยการมาเช็กอินกับความน่ารักใจกลางกรุงโตเกียว ด้วยการนั่งรถรางสายโลคอล Tokyu Setagaya Line ที่วิ่งผ่าน 10 สถานี เริ่มต้นจาก Sangen-Jaya จนถึง Shimo-takaido รวมระยะทาง 5 กิโลเมตร แต่ไฮไลต์จะอยู่บนขบวนรถรางที่จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของเส้นทางนี้ ที่มีการปรับโฉมรถทรงคลาสสิกให้กลายเป็นน้องแมวกวักหน้าตาจิ้มลิ้ม ตั้งแต่ภายนอกสู่การตกแต่งภายใน ไม่ว่าจะเป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยรอยเท้าสีชมพู ห่วงจับรูปแมวกวัก ป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นแมวทั้งหมด เรียกว่าทาสแมวไม่ควรพลาดเลยล่ะ ออ อีกอย่างแต่ละสถานทีของเส้นทางนี้ เค้ามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจซ่อนให้เราค้นหาอยู่เยอะมาก

002 Gotokuji Temple

เรานั่งรถไฟแมวมาลงที่สถานี Miyanosaka โลเคชั่นต้นเรื่องของธีมแมวนั่นเอง กับวัด ‘Gotokuji Temple’ เป็นต้นกำเนิด manekineko หรือแมวกวัก ที่นี่สร้างมานานกว่า 543 ปี ด้วยสถาปัตยกรรมสมัยเอโดะ โดย Ii Naotaka ไดเมียวผู้เดินทางผ่านวัดนี้แล้วไปเจอแมวใช้มือกวักเรียกให้เข้าวัดไม่หยุด เมื่อเข้าไปก็เกิดพายุโหมกระหน่ำด้านนอกทันที กลายเป็นโชคดีที่มีแมวตัวนี้ช่วย เขาจึงปรับปรุงวัดและสร้างให้กลายเป็นวัดประจำตระกูล มีหลุมฝังศพของไดเมียวผู้นี้อยู่ด้วย และถือเป็นอีกสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติด้วยเช่นกัน

ไฮไลต์ของที่นี่ก็คงหนีไม่พ้นเหล่ารูปปั้นแมวกวักหลายร้อยตัวที่นั่งเรียงอยู่ริมข้างทาง ทุกตัวหน้าตาเหมือนกันแตกต่างกันที่ขนาด เป็นการนำมาวางเพื่อขอบคุณต่อเทพเจ้าจากผู้ที่สมหวังในเรื่องที่เคยขอพรนั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะมาขอเรื่องโชคลาภ การค้าขาย ดูจากจำนวนแล้วคนญี่ปุ่นก็มูไม่แพ้คนไทยเลยจริง ๆ แต่ที่ชอบคือของมูบ้านเขาถ่ายรูปออกมาแล้วมันน่ารักน่าอุ้มสุด

003 Shiro-Hige’s Cream Puff Factory

เติมความน่ารักของวันอีก 300% กับร้านที่มาโตเกียวทุกครั้งก็ต้องแวะไปแทบทุกครั้ง ‘Shiro-Hige’s Cream Puff Factory’ คาเฟ่ที่พร้อมละลายหัวใจเหล่าแฟนคลับ Studio Ghibli ต้วร้านแอบซ่อนอยู่ภายในอาคาร 2 ชั้น ห้อมล้อมไปด้วยแมกไม้แสนร่มรื่น ตั้งอยู่ในระหว่างย่าน Setagaya และ Shimo-Kitazawa ธีมหลักในการตกแต่งร้านคือ Totoro คาแรกเตอร์สุดฮอตประจำญี่ปุ่น มีทั้งตุ๊กตาตัวโต ตัวจิ๋วมาตั้งโชว์ รูปภาพติดฝาผนัง มองไปทางไหนก็จะเห็นน้องยืนฉีกยิ้มยียวนให้เราอยู่ทุกมุม โทนร้านใช้เขียว ครีม ขาว แซมกับงานไม้ทรงคลาสสิก ด้านล่างจะเป็นที่สำหรับ Take away ส่วนชั้นบนจะมีพื้นที่ให้นั่งกิน มีเมนูทั้งคาวหวาน.. เดี๋ยวเราไปดูกันว่าหน้าตามันจะคาวาอี้ขนาดไหน

แน่นอนว่าสิ่งที่เราสั่งมาล้วนเป็นซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาด ไม่ว่าจะเป็น ‘choux cream’ ปั้น ๆ อบ ๆ จนออกมาเป็น Totoro มีทั้งรสชาติเบสิกอย่าง Classic Cream, Chocolate และไส้ตามฤดูกาลที่จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ซึ่งช่วงนี้ปลายปีจะเป็น Kumamoto chestnuts, Strawberry jam and cream cheese แอบบอกนิดนึง.. หากกินที่ร้านสามารถสั่งได้ 1 ตัว/คนเท่านั้น แต่ถ้าห่อกลับบ้านก็สั่งได้จนกว่าน้องจะหมด นอกจากนี้ยังมีพวกคุกกี้ พุดดิ้งลาย Ponyo เค้กปอนด์ และสาขานี้ยังมีอาหารให้เลือก 4-5 อย่างด้วยนะ ใครหิวก็แวะมาฝากท้องได้เลย

004 Butter “Mass”ter Living Room バターマスター Living room

อีกคาเฟ่ขวัญใจวัยรุ่นสไตล์สตรีท แต่มีไวบ์ที่มอบความผ่อนคลาย เต็มไปด้วยภาพกราฟฟิกหน้าสัตว์ลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ติดอยู่ตามเคาน์เตอร์ เสื้อผ้า ของที่ระลึก นอกจากการดีไซน์จะกิ๊บเก๋มีเสน่ห์แล้ว ‘Butter “Mass”ter Living Room バターマスター Living room’ ยังเลือกใช้วัตถุดิบทำขนมได้โดนเด่นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นไข่ ที่ต้องใช้จากเมืองซากามิฮาระ พื้นที่ที่มีฟาร์มสัตว์ปีกเก่าแก่ คัดสรรเนยในประเทศที่ดีที่สุด ใช้น้ำผึ้งเกรดพรีเมียมของ Akitaya นำมาพัฒนาสูตรโดยเชฟผู้มีประสบการณ์ด้านขนมฝรั่งเศส จนกลายเป็นขนมรสชาติเลอค่า อย่างเมนูพุดดิ้งที่เราสั่งมานั้นยืนหนึ่งเรื่องความละมุน หอมกลิ่นไข่และคาราเมลแบบหาที่ติไม่ได้ เป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ทุกคนมาจะต้องสั่งคู่กับกาแฟที่จัดเสิร์ฟในแก้วแบบสุ่มลาย แต่การรันตีว่าทุกลายคือคาวาอีม๊ากกกกก

005 Shinjuku

ค่ำคืนแรกเรามาสัมผัสสีสัน ความมีชีวิตชีวาผ่านป้ายไฟอันเปี่ยมเสน่ห์แห่งกรุงโตเกียว ชมความซิวิไลซ์ของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลกันที่ ’Shinjuku’ ย่านช็อปปิงสตรีทที่มีคนเดินเข้าออกนับหมื่นต่อวัน ถ้าอยากได้ความโมเดิร์นหน่อย แนะนำให้ปักหมุดไปที่ Central Road ตรงจุดไคลแมกซ์ของถนนจะเป็นที่อยู่ของก็อตซิลายักษ์ โผล่พ้นดาดฟ้าของ Hotel Gracery Shinjuku แต่หากอยากได้ฟีลโลคอลก็มี Omoide Yokochō ตรอกในซอกหลืบที่แอบซ่อนร้านอิซากายะเด็ด ๆ แหล่งโอเอซิสหลังเลิกงานของเหล่า Salary man ใต้บรรยากาศแสนเรโทร ซึ่งหาได้ยากขึ้นทุกวันในปัจจุบัน นอกจากนี้ทุกอนูของย่านยังเต็มไปด้วยร้านอาหารหลายรูปแบบทั้งซูชิสายพาน ราเมง อาหารจานด่วนแสนธรรมดายันหรูหราหมาเห่าไว้สำหรับสายกินด้วยเช่นกัน

ส่วนใครที่ยังไม่ได้มาถ่ายรูปกับป้ายสุดล้ำตัวล่าสุด ‘Cross Shinjuku Vision’ เราบอกเลยว่าเอาท์มากกก!! เพราะจุดนี้เคยเป็นไวรัลที่ปังมาสักพัก แถมมีแคมเปญเจ๋ง ๆ เกิดขึ้นแล้วมากมาย บนป้ายไฟแบบสามมิติสูงกว่าสิบเมตร คมชัดระดับ 4K มีไอคอนิคเป็นแมวสามสี สวมปลอกคอที่เชือกถักสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม บนตัวมีลายส่วนหนึ่งเป็นรูปแผนที่เขตชินจูกุ น้องเป็นสามสีตัวผู้ ซึ่งเชื่อกันว่าหายากมากบนโลกแห่งความเป็นจริง เพราะอัตราการเกิดจะอยู่ที่ 1 ใน 3 หมื่นเลยทีเดียว ความน่ารักคือน้องจะเดินนวยนาดอยู่ในกรอบ เดี๋ยวลุก เดี๋ยวหาว เดี๋ยวนอน อยู่ดี ๆ ก็กระโดดพุ่งออกมาจากจอเป็นความน่ารักที่มองเพลินแบบที่ใครเห็นเป็นต้องยิ้มตาม

Day 2

006 Tsukiji Fish Market

สปอตเนเวอร์ดายที่มากี่ทีก็อดใจไม่แวะไม่ได้กับ ‘Tsukiji Fish Market’ ตลาดปลาที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเอโดะ หรือราว ๆ 366 ปีมาแล้ว โอเอ็มจี คือ นานเว่อร์ หลังเกิดแผ่นดินไหวอย่างหนักจึงมีการปรับภูมิทัศน์ของเมืองใหม่เมื่อ 88 ปีก่อน ซึ่งก็กลายมาเป็นตลาดในปัจจุบันนั่นเอง สำหรับเราคิดว่าที่นี่ก็ยังควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือน ด้วยความที่เปิดตั้งแต่เช้า เราจะเห็นเหล่าพ่อบ้าน แม่บ้าน เชฟจากร้านอาหารมาจับจ่ายซื้อของกันเยอะมาก เพราะราคาถือว่าดีงามกว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตเยอะ แถมสินค้ายังละลานตา แค่เดินมองท้องก็ร้องประท้วงอยากจะเริ่มมื้อเช้าเต็มทน

ของกินส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารสตรีทฟู้ด สำหรับของเด็ดที่รอบนี้ไปชิมมาแล้วอยากบอกต่อก็จะเป็น Tsukiji Sanokiya ร้านขนมปลามากุโระที่ทำจากแป้งข้าวญี่ปุ่น มีทั้งความกรอบและหนึบหนับในคราเดียว ภายในเป็นไส้ถั่วหวาน ๆ หรือจะลอง Yamachō ร้านไข่หวานเสียบไม้ที่เขาทำสด ๆ ให้เห็นบนกระทะเหล็กสี่เหลี่ยมแบบดั้งเดิม กินตอนร้อน ๆ แล้วฟินสุด ๆ ส่วนชิ้นที่เราชอบที่สุดคือ Tsukiji Croquette 築地コロッケ ร้านขายของว่างชุบแป้งทอด ภายในอัดแน่นไปด้วยเนื้อหมู ไก่ ปลา ฯลฯ พร้อมท็อปปิงให้เลือก เช่น หน้าทะเลที่โบกมาทั้งหอย-ปลาหมึก-กุ้ง หน้ากิมจิ และที่เราเลือก ไข่ปลาสไปซี่ เป็นชิ้นที่มีทั้งความนัว ความกรอบ ความฉ่ำในคำเดียว เอาจริงอยากให้ไปเดินเรื่อย ๆ ดู มันมีอะไรหลายอย่างกวักมือยั่ว ๆ รอสายกินอยู่

007 Unitora Nakadori うに虎 中通り店

หลังจากที่จัด Appetizer ไปเรียบร้อย ก็ได้เวลาของอาหารจานหลัก โดยปักหมุดไปยุด ณ ร้านที่แถวยาวล้นทะลุมาถนนใจกลางตลาดอย่าง ‘Unitora Nakadori うに虎 中通り店’ ร้านขายข้าวหน้าปลาดิบฉ่ำ ๆ ที่เซฟจะค่อย ๆ บรรจงรังสรรค์เสิร์ฟจานต่อจานตามออเดอร์ ความสดคืออยู่ในระดับกลิ่นทะเลยังเคลืออยู่ทุกอณูของวัตถุดิบ ร้านนี้คือมาซ้ำหลายครั้งมาก … รอบนี้เลยขอไม่เน้นเนื้อปลาแต่จัดเต็มไปที่ไข่!! กับเมนู Kanade โบกมาทั้งอูนิ ไข่ปลาแซลมอน เนื้อทูน่าบด ท็อปด้วยไข่ดิบเพิ่มความนัว พอเหยาะโชยุนิดป้ายวาซาบิลงไปหน่อยก็คือครบ มันฟินม๊ากกกกกกก ก่อนกลับต้องโค้งคำนับงาม ๆ พร้อมกล่าว อาริกาโตะ โกไซมัส ขอบคุณเซฟสุดเสียงไป 1 ที

008 Chūka Soba Ginza Hachigo 銀座 八五

สำหรับสายกินเส้นอยากซดซุปร้อน ๆ เราก็มีอีกหนึ่งออปชั่นแสนดี การันตีความปังด้วย 1 กาวมิชลิน กับร้าน ‘Chūka Soba Ginza Hachigo’ ร้านราเมงในย่านฮิกาชิกินซ่า กับที่นั่งเพียง 6 ที่ และมีเมนูขายเพียงสิ่งเดียว เป็นราเมงแบบใหม่ที่ทวิสต์ความฝรั่งเศสเข้ามาด้วย จากปกติที่จะใช้ซุปกระดูกหมู ปลาโอ แต่ร้านนี้เขาใช้ไก่นาโกยะโคชิน เป็ด หอย มะเขือเทศแห้ง เห็ดหอมแห้ง สาหร่ายคอมบุ ต้นหอมญี่ปุ่น และไชเท้า เติมรสเค็มกลมกล่อมด้วยเกลือทะเล และเกลือ Guérande จากฝรั่งเศส แม้หน้าตาจะดูใสมีมันอ่อน ๆ สะท้อนระยิบระยับ แต่รสชาตินั้นเข้มข้นล้ำลึก แตกต่างจากซุปร้านอื่น ๆ อย่างชัดเจน กินคู่กับหมูชาชูนุ่ม ๆ หน่อไม้ดองกรุบกรอบ และไข่ราเมงที่มีรสกลมกล่อมไปถึงไข่แดงแล้ว ถือเป็นถ้วยเดอะเบสต์ของโตเกียวจริง ๆ กราบทุกคน!!! ไปกินเถอะ

009 Odaiba Beach

ผ่านครึ่งค่อนวันไปกับการกิน กิน กิน และก็กิน ช่วงบ่ายแก่ ๆ วันนี้เราเลือกมาพักผ่อนหย่อนใจในพิกัดที่เหมาะกับนักปิกนิกตัวยง ‘Odaiba Beach’ บนเกาะโอไดบะผืนแผ่นดินที่เกิดจากการใช้ขยะมาถมทะเลตั้งแต่ปี 1990 พัฒนาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเกาะแห่งความบันเทิง อันแน่นเต็มไปด้วยธีมพาร์ก ห้างสรรพสินค้า มิวเซียม จุดถ่ายรูปมากมาย และหนึ่งในนั้นคือชายหาดยาว 800 เมตร ที่มีทรายขาวละเอียดให้เราได้ถอดรองเท้าเดินย่ำสัมผัสความนุ่มนวลพร้อมไอทะเลแปซิฟิกเย็น ๆ ทอดมองไปจะเห็น Rainbow Bridge ยาวกว่า 1 กิโลเมตร รูปปั้นจำลองของเทพีเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่แบบถ่ายรูปออกมาแล้วหลอกตาเหมือนไปเช็กอินอยู่ที่นิวยอร์ก

ถ้าถามถึงความงาม.. เราว่าที่นี่สวยทุกช่วงเวลาเลยล่ะ ตอนกลางวันของช่วงปลายปีจะเป็นลมเย็น ๆ กับแดดอุ่น ๆ ท้องฟ้าเปิดโล่งเป็นสีสันสดใส ส่วนตอนพระอาทิตย์ตกก็จะได้ไวบ์โรแมนติก จากการทอแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่ฉาบไปทั่วท้องฟ้า ผิวน้ำ และผืนทราย แปลเปลี่ยนเป็นวานิลลาสกาย แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเฉดสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนดำมืดสนิท จากนั้นดาวบนดินก็จะเริ่มฉายแสง ทั้งบนสะพาน ตามตึกและท้องถนน ส่องแสงระยิบระยับ เป็นวิวที่เลอค่า ควรค่าที่จะเป็นหนึ่งในโลเคชั่นในแพลนเที่ยวโตเกียวของทุกคนจริง ๆ

010 teamLab Planets TOKYO

เรามาปิดท้ายวันที่สองของทริปกันแบบฟิน ๆ ที่ ‘teamLab Planets TOKYO’ แค่ชื่อก็รู้แล้วว่านี่คือตัวบิดาตัวมารดาแห่งงานไฟ สำหรับงานนี้เราต้องใช้ทุกโสตประสาทในการร่วมชมอย่างเต็มที่ เพราะคอนเซปต์เขาเน้นให้เราชมงานศิลปะที่ต้องเน้นความใกล้ชิด ทั้งมองผ่านตา ฟังจากหู และสัมผัสด้วยร่างกาย โดยทุกคนจะต้องเข้าชมด้วยเท้าเปล่า!! เพื่อเข้าสู่โลกศิลปะไร้พรมแดน ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของโลกเลยก็ว่าได้

ภายในจะแบ่งออกเป็นโซน ๆ เริ่มที่ ‘Garden Area’ ไฮไลต์อยู่ที่ห้องที่มีเหล่าดอกกล้วยไม้กว่า 13,000 ดอกลอยห้อยอยู่ในห้องกระจก จนกลายเป็นอาณาจักรดอกไม้ทอดยาวไม่รู้จบ ส่วนโซน ‘Water Area’ ที่เราจะต้องเดินลงไปในน้ำ มีกลุ่มควันลอยบนผิวน้ำพร้อมฉายไฟรูปปลาคาร์ปหลากสีว่ายเวียนไปมา ให้ความรู้สึกสงบที่แสนแปลกใหม่ ถัดมาคือ The Infinite Crystal Universe จักรวาลแห่งคริสตัลระยับตา ที่เป็นเหมือนไอคอนของงานไปแล้ว ก่อนจะมาที่โซน ‘Public Area’ ชมงาน Universe of Fire ตื่นตากับเปลวไฟที่ตกลงมาจากฟ้า ซึ่งสามารถชมกราฟฟิกล้ำ ๆ เพิ่มเติมได้อีก เมื่อส่องผ่านแอปพลิเคชัน Distributed Fire บนมือถือ

Day 3

011 Tokyo DisneySea

ตามธรรมเนียม มาเมืองที่มีธีมพาร์กเราก็ต้องมาปล่อยตัวปล่อยใจกันสักกรุบ เมื่อคืนเลยรีบนอนเต็มอิ่มเพื่อมาสนุกสุดเหวี่ยงแบบไร้ขีดจำกัดกันใน ‘Tokyo Disney Sea’ โลกใต้ทะเลของดิสนีย์หนึ่งเดียวในโลก มีทะเลสาบขนาดใหญ่ แบ่งโซนให้เราได้ลัดเลาะถึง 7 โซน คือ Mediterranean Harbor, American Waterfront, Port Discovery, Lost River Delta, Arabian Coast, Mermaid Lagoon, Mysterious Island เต็มไปด้วยจุดถ่ายรูป ร้านค้า ร้านอาหาร และเครื่องเล่นที่เหมาะสำหรับเด็กจนถึงผู้ใหญ่ เพิ่มเติมคือความสวยงามในแบบที่ฝั่งดิสนีย์แลนด์ให้ไม่ได้ แม้ไม่มีปราสาทเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่เขาก็มีปราสาทภูเขาไฟบนเกาะลึกลับให้เข้าไปผจญภัยเช่นกัน ถือเป็นอีกมิติของดิสนีย์แลนด์ที่หาไม่ได้ที่ไหนเลย

ธีมแลนด์ No.1 ที่เราชอบที่สุดคือ ‘Toy Story Mania!’ ที่อยู่ในโซน American Waterfront ต้อนรับเราด้วยวูดดี้พระเอกสุดหล่อหน้าใหญ่เท่าตึก อ้าปากรอเราเข้าไปสำรวจดินแดนของเล่น เป็นอีกจุดถ่ายรูปที่ใคร ๆ จะต้องมีไว้อัปลงสตอรี่ ด้านในตกแต่งให้เหมือนอาณาจักรของเหล่า Toy Story ที่เราจะตัวเล็กจิ๋วเท่ากับตัวละคร จากนั้นก็ใส่แว่นสามมิติ นั่งรถที่จะพาเราไปตามมุมต่าง ๆ ตื่นเต้นไปกับด่านเกมส์ให้เราได้ร่วมสนุก ทั้งยิงปืน โยนห่วง เรียกเสียงกรี๊ดเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ จนได้ยินไปถึงข้างนอกเลย

ส่วนเครื่องเล่นสำหรับเรา ๆ ที่ทำหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขอยกให้ ‘Tower of Terror’ ที่อยู่ในโซน American Waterfront เช่นเดียวกัน ตัวนี้ได้แรงบันดาลใจมากจาก The Twilight Zone ของร็อด เซอร์ลิง (Rod Serling’s) นอกจากเรื่องราวจะหลอนแล้ว เขายังจำลองให้เราติดอยู่ในลิฟต์ตัวโต ที่พุ่งสู่ด้านบนด้วยความเร็ว จากนั้นก็ได้เวลาชมความขนหัวลุกของชั้นต่าง ๆ ซึ่ง decorate ของเขาสวยสมจริง ฟีลลิ่งโรงแรมผีสิงสุด ๆ ก่อนไปถึงจุดไคลแมกซ์ชั้นบนสุด ที่เป็นเพนเฮาส์ของนายแฮริสัน จากนั้นลิฟต์ของเราก็จะสั่นเหมือนโดนผีแกล้ง แล้วดิ่งลงเบื้องล่างแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย บอกเลยว่าม้าม ไตแทบจะขึ้นไปกรองอยู่บนหัว มันเสียวไส้มาก แต่สนุกจริง กรี๊ดกันเสียงหลงทั้งลิฟต์เลยแกก..

อ๊ะ ๆ .. อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดคือการซื้อขนมนมเนยหน้าตาน่าฟัดฟีลสตรีทฟู้ดมาเดินกินแบบจอย ๆ เอาไปถ่ายรูปกับมุมนั้นมุมนี้สุดจะคิวท์ เพราะหน้าตาน้อง ๆ คือครีเอทมาเพื่อคนรักตัวการ์ตูนดิสนีย์ที่แท้ทรู ส่วนรสชาตินั้นอร่อยฟินสไตล์นิปปอนแทบทุกอย่าง และแต่ละโซนก็จะขายไม่เหมือนกันด้วยนะ ฉะนั้นเกียมเงินกันไว้ดี ๆ แล้วไปตามล่าน้อน ๆ กัน

แน่นอนว่าอีกเสน่ห์ที่ทำให้ที่นี่มีชีวิตชีวาตลอดทั้งวันคือโชว์ต่าง ๆ ที่แวะเวียนมาเซอร์ไพรส์ผู้มาเยือนไม่หยุดหย่อนทั้ง Disney Character Greeting ประจำตามจุดของตัวเอง ซึ่งเขาจะมีเวลาบอกในเว็บไซต์ และป้ายด้านหน้าเลยว่าตัวละครตัวโปรดของเราจะมาเมื่อไหร่ ฉะนั้นก็กะเวลากันดี ๆ ด้วยนะ ส่วนโชว์ที่สำคัญสุด ยกให้เป็นขบวนพาเหรดที่ยิ่งเป็นช่วงปลายปีก็ยิ่งมีการตกแต่งแบบพิเศษ ๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาโลวีน คริสต์มาส ฉลองปีใหม่ ยามค่ำคืนเขามีการแสดง Believe! Sea of Dreams ขบวนพาเหรดบนน้ำพร้อมแสงสีเสียง และ Sky Full of Colors งานพลุอลังการสำหรับฉลอง 40 ปี  Theme song ของดิสนีย์ เอาแบบม่วนกันหนัก ๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเลยทีเดียว 

สิ่งที่น่าสนใจยังมีอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นหอดูดาวสุดแกรนด์ เครื่องเล่นอินเดียน่าโจนแสนหรรษา นั่งเรือกอนโดลาลัดเลาะไปตามคลองชมดินแดนดิสนีย์ฝั่งทะเล เดินไปเซย์ไฮกับนีโม่ หรือจะไปโคฟเป็นเอเรียลในเมืองใต้บาดาลก็สวยงามไม่แพ้กัน เราขอสปอยทุกคนไว้แค่นี้ เดี๋ยวมาแล้วไม่เซอร์ไพรซ์กัน แต่บอกก่อนเลยว่า หนึ่งเดียวของโลกนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน

Day 4

012 ASAKUSA

เช้าวันนี้ขอเริ่มต้นในย่านที่เปล่งเสียงพยางค์แรกออกมาก็ร้องอ๋อกันแล้ว เพราะนี่ถือเป็นแลนด์มาร์กยืนหนึ่งของโตเกียวที่ใครมาครั้งแรกจะต้องมี ‘Asakusa’ อยู่ในแพลนทั้งนั้น ย่านเมืองเก่าที่อัดแน่นไปด้วยสีสัน มีวัดเซ็นโซจิเป็นพระเอก หรือที่เรียกกันว่าวัดโคมแดงที่คนทั่วโลกแห่แหนกันมาถ่ายรูปคู่แทบจะตลอดเวลา พร้อมกวักควันธูปจากกระถางที่ตั้งอยู่ตรงกลางวัดเข้าตัว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต พบเจอแต่ความโชคดีมีชัย ปราศจากโรคภัย นอกจากนี้ยังถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโตเกียวอีกแห่ง เพราะตามซอกซอยเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารสตรีทฟู้ด ร้านขายเบนโตะราคาถูก ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งเห็นวิถีชีวิตเรียล ๆ ของคนเมือง แบบที่จะทำให้เราหลงรักเมืองนี้อีกร้อยเท่า

Sensoji Temple วัดเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ที่เริ่มสร้างตั้งแต่พันปีก่อน ถูกสร้างใหม่เมื่อปี 1648 และมีการสร้างใหม่เยอะถึง 20 ครั้ง กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ จุดสังเกตหลักคือโคมแดงยักษ์ที่หน้าประตูคามินาริมง ที่มีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม เริ่มติดตั้งครั้งแรกตั้งแต่ปี 1971 และจะเปลี่ยนทุก ๆ 10 ปี โดยไม้ที่ใช้จะต้องเป็นไม้ไผ่จากเกียวโตเท่านั้น ส่วนกระดาษต้องทำจากต้นโคโซ 100% ประดิษฐ์จากช่างฝีมือญี่ปุ่นล้วน บริเวณใต้ฐานของโคมจะมีรูปแกะสลักของมังกร ตามความเชื่อว่ามังกรคือเทพเรียกเมฆเรียกฝน เพื่อคอยปกป้องวัดจากอัคคีภัยนั่นเอง

หลังจากที่ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์กว่าพันปี เราก็เดินออกมาจับจ่ายกันที่ Nakamise Shopping Street ถนนคนเดินหน้าวัดยาว 200 เมตร เรียงรายไปด้วยร้านค้าเกือบร้อยร้านค้า ด้านนักท่องเที่ยวก็เยอะไม่แพ้กัน ต้องเดินเบียดแบบไหล่ชนไหล่เลยทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ อาทิ หน้ากาก รูปภาพ ผ้าเช็ดหน้า พัด ปิ่นปักผม พวงกุญแจ หรือจะลองชิมขนมพื้นเมือง ก็สามารถหาได้ที่ถนนนี้เช่นกัน

สำหรับคนที่ไม่อยากนั่งรีเสิร์ชว่าต้องกินอะไร เราก็มีลายแทงความอุโม่ย่านนี้มาฝากกันถึง 3 ร้าน เริ่มด้วยเมนูทอดจาก ’Menchi’ เนื้อสับชุบเกล็ดขนมปังทอด ซึ่งเขาจะทอดได้กรอบนอกนุ่มใน เนื้อวัวหอมฉ่ำมีมันแทรกนิด ๆ เป็นของกินเล่นที่แถวยาวตลอดทั้งวัน ต่อมา ‘Asakusa Unana’ ข้าวปั้นหน้าปลาไหลที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียล ของขึ้นชื่อของย่าน ยืนหนึ่งเรื่องความสดไร้คาว ย่างมาพร้อมซอสหวานละมุน พอกินกับข้าวสวยร้อน ๆ จะได้ความนวลเนียนเข้ากันสุด ๆ ร้านสุดท้าย ‘Daikokuya Tempura’ ร้านเทมปุระอายุมากกว่า 100 ปี เปิดมาตั้งแต่ยุคเมจิ เน้นใช้ของคุณภาพดีสมราคา โดยแป้งของที่ร้านสีจะออกเข้ม ราดด้วยซีอิ๊วรสเด็ด กลมเข้ากันแบบอูมามิ ถูกอกถูกใจเราสุด ๆ 

ที่เราหยิบยกมานี้เป็นแค่น้ำจิ้ม ถ้าให้พูดถึงย่านนี้แบบยาว ๆ ใช้เวลาสามวันก็คงยังไม่หมด เดินไปทางไหนก็เจอร้านโลคอลยิบ ๆ ย่อย ๆ ที่น่าสนใจ ยิ่งตอนกลางคืนไวบ์ของที่นี่จะเปลี่ยนไปถนัดตา ไม่ว่าจะเป็นไฟแดงจากวัด ไฟส้มจากร้านอาหาร และไฟนีออนจากตึกสูงที่อยู่รอบด้าน ความจอแจของผู้คนที่ค่อย ๆ บางตา ปรับบรรยากาศให้ดูเหงาขึ้น แต่สวยไม่แพ้ตอนกลางวัน กลายเป็นย่านที่เราสามารถเทคไทม์ยาว ๆ แบบไม่รู้เบื่อเลยล่ะ 

013 Yogashi Lemon Pie 洋菓子レモンパイ✅

คาเฟ่ในบ้านน้อยทรงคิวท์ที่เหมือนหลุดออกมาจากอนิเมะ ‘Yogashi Lemon Pie’ โดดเด่นด้วยหลังคาสีเหลืองเลมอน มีกระจกทรงคลาสสิกติดอยู่ด้านข้าง ส่วนประตูทางเข้าอยู่ตรงกลาง ภายในเน้นความโฮมมี่ดั่งคาด กับเหล่าเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งที่ทำด้วยไม้ พร้อมส่งต่อความอร่อยด้วยเมนูสไตล์ตะวันตก ที่เน้นวัตถุดิบจากเลมอน ทีเด็ดคือเค้กพายเลมอน ด้านล่างเป็นพายอบกรอบหอมเนย ปาดชั้นครีมเลมอนเข้มข้นหวานเปรี้ยวชื่นใจ ก่อนท็อปด้วยครีมเนื้อนุ่มฟู เป็นชิ้นที่ควรค่าแก่การมาโนที่สุด

014 Sunshine Aquarium サンシャイン水族館 ✅

ช่วงบ่าย ๆ เราขอพาทุกคนเข้าสู่โลกใต้น้ำที่ ‘Sunshine Aquarium’ อะควาเลียมกลางเมือง บนชั้น 60 ของห้าง Suncity ย่าน Ikebukuro สำหรับคนที่ไม่อยากออกนอกเมือง แต่อยากได้รูปใต้น้ำสวย ๆ เราว่าที่นี่ค่อนข้างตอบโจทย์เลย โดยเขาจะแบ่งออกเป็น 3 โซน ชั้นแรกจะเป็น Ocean Journey อลังการไปด้วยฝูงปลามากกว่า 37,000 ตัว 750 สายพันธุ์ ชมปะการัง ตู้แมงกะพรุนที่โชว์ทั้งแสงสีเสียง เดินขึ้นมาอีกชั้นจะเจอ Waterfront Journey  เหล่าสัตว์น้ำที่อยู่ตามแม่น้ำ ทะเลสาบ ชายฝั่งทะเล เป็นการไล่ลำดับให้เด็ก ๆ ได้เห็นความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำได้เข้าใจง่ายมาก ๆ 

และไฮไลต์ที่ทำให้เราตัดสินใจปักหมุดมา อยู่ที่โซน Sky Journey ชมสิงโตทะเลว่ายน้ำในสระ บางจังหวะน้อง ๆ ก็จะว่ายโฉบโชว์ตัวผ่าน Sunshine Aqua Ring ท่อใส ๆ ยาวเป็นรูปครึ่งวงกลม มีแบ็คกราวน์เป็นตึกสูงระฟ้า และท้องฟ้าสีสดใส ถือเป็นภาพหายากและเป็นมุมมหาชนที่ใคร ๆ ต่างมาถ่ายรูปกัน หรือจะมาดู Penguins in the Sky เหล่าเพนกวินแหวกว่ายอยู่บนบ่อกระจก ที่เราจะอยู่ด้านล่าง มองเห็นเหมือนน้องว่ายอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งเขาจะปล่อยออกมาเป็นเวลา ตรงกับช่วงให้อาหารน้อง ๆ ใครจะมาดูก็เช็กเวลากันดี ๆ ล่ะ

015 Kisaburō Nōjō 喜三郎農場 

ร้านที่เปิดโลกการกินไข่ดิบที่ว้าวสุด ตราตรึงสุด อร่อยจึ้งแบบเอาไม่ลง ณ ร้าน ‘Kisaburō Nōjō’ ที่ได้ออกทีวี ลงนิตยสารญี่ปุ่นเยอะมาก พร้อมเหล่าบล็อกเกอร์ชาวนิปปอนมาทำคอนเทนต์กันไม่หยุด ความพิเศษของร้านคือเมนู ‘Tamago Kake Gohan’ ข้าวหน้าไข่ดิบ อาหารพื้นเมืองที่คนญี่ปุ่นกินกันเป็นประจำ โดยร้านจะมีไข่ให้เลือกถึง 8 ชนิด แต่ละฟองจะมีที่มา คุณประโยชน์ และสีสันแตกต่างกัน ร้านเปิด 2 รอบ เป็นช่วงเที่ยง และช่วงเย็น ออกจากอควาเรียมก็ถือโอกาศมาฝากท้องมื้อค่ำก่อนกลับโรงแรมซะเลย

เราเลือกกินเป็นคอร์สบุฟเฟ่ต์ไข่ โดยเขาจะจัดชุดข้าวสวยร้อน ๆ เม็ดอ้วน สลัด ซุป ครื่องเคียง พร้อมซอสที่เราเลือกสำหรับกินกับไข่มาให้ พร้อมถ้วยเปล่าสำหรับแยกไข่ขาวและไข่แดง เราสามารถเดินไปเลือกไข่ได้แบบไม่อั้น โดยเขาจะแยกตะกร้าน้อง ๆ พร้อมบอกที่มา-รายละเอียดของไข่แต่ละชนิด จากนั้นก็นำมาทำการแยกไข่ แล้วโปะลงบนข้าว เหยาะซอสเพิ่มความเค็ม ๆ หอม ๆ แล้วคลุกทุกอย่างเข้าด้วยกัน พอกินกับข้าวสวยร้อน ๆ แล้วมันสด มัน นัว ไร้กลิ่นคาว ยิ่งกินสลับกับซุปยิ่งคล่องคอ ใครยังไม่เคยกินต้องลองสักครั้งในชีวิตแล้ว! 

Day 5

016 Snoopy Museum Tokyo

สำหรับวันสุดท้ายเราจะเน้นความชิล ด้วยการออกจากที่พักสาย ๆ มาหาน้องหมาน่ารักในตำนาน ณ ’Snoopy Museum Tokyo’ ที่อยู่ภายในอาคารสีขาวสะอาดตา พร้อมงานอาร์ตสไตล์ Peanuts ที่ตะโกนมาแต่ไกล ส่งเสียงบอกว่าเราได้มาถึงแล้ว ซึ่งความน่ารักนี้เขาถอดแบบมาจาก Schulz Museum รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แซมความมินิมอล มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ สไตล์นิปปอนเข้าไปให้เข้ากับวัฒนธรรม และจริตของชาวเอเชียอย่างเรา ๆ แต่ขอบอกไว้นิดนึงว่า เขาจะเปิดให้เข้าเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ 10:00 – 18:00 น. ทยอยปล่อย 12 รอบ/วัน แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้า เพราะราคาจะอยู่ที่ 1,800 เยน แต่ถ้ามาซื้อหน้างานราคา 2,000 เยนนะทุกคน

แวบแรกที่ประตูเปิดออก ก็แทบร้องกรี๊ดเป็นเสียงสองเลยทีเดียวกับเหล่า Decoration ที่เต็มไปด้วย Snoopy เราเริ่มสำรวจด้วยการกดลิฟต์ขึ้นไปชมที่ชั้น 3 ก่อน จุดแรกเป็นห้องฉายโปรเจ็คเตอร์บนผืนผ้าใบสีขาว มีคาแรกเตอร์จาก Peanuts ออกมาวิ่งซนรอบตัวเราเต็มไปหมด เป็นการเริ่มต้นด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มจากเด็ก ๆ และแฟนคลับ เมื่อเดินออกมาจากห้องนั้นก็จะเจอกับโซนที่เล่าประวัติความเป็นมา ด้วยลายเส้น การลงสีอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้งานดูไม่น่าเบื่อ เหมือนได้อ่านการ์ตูนไปเรื่อย ๆ เมื่อลงมาถึงชั้น 2 ใจก็เริ่มสั่น กับ Snoopy ตัวโตนอนขี้เกียจอยู่กลางห้อง พร้อมกับอีกหลาย ๆ ตัวที่ทำท่ายียวนน่าฟัดน่าหยิก น่าเข้าไปถ่ายรูปร่วมเฟรม เดินทะลุมาอีกก็เป็นห้องหนังสือ ประดับภาพวาดให้มองได้เพลิน ๆ และชั้นสุดท้ายคือจุดละลายทรัพย์ฉบับที่มีหมื่นหมดหมื่น กับร้านขายของที่ระลึก ข้าง ๆ มีคาเฟ่ เสิร์ฟอาหารขนมหน้าตาน่ารัก ไม่ได้มาดูงาน แต่แค่มาแวะกินก็ถือว่าคุ้มแล้ว 

017 J-COOK

มาเติมคาเฟอีนช่วงบ่าย ๆ กันต่อที่ J-COOK ร้านอยู่ไม่ไกลนักจากย่าน Omotesando สามารถเดินมาราว ๆ 10 นาที หรือจะนั่งรถไฟมาที่ Gaiemmae Station แล้วเดินต่อมาก็ได้ ไวบ์ของร้านจะมีความยูนีคขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของตึกที่อยู่อาศัย บรรยากาศเงียบสงบ การตกแต่งที่ดูเก่าทว่าให้ความรู้สึกอบอุ่นเข้าถึงง่าย จัดเสิร์ฟอาหาร-ของหวานสไตล์ยุโรป สิ่งที่ทำให้เราลิสต์ร้านนี้ใส่แพลนคือ marzipan ขนมปั้นแบบตะวันตก ที่ร้านปั้นเป็นรูปหมาบิดขี้เกียจ!! 10 คะแนนสำหรับความครีเอท และอีก 100 คะแนนสำหรับรสชาติ หอมหวานไปด้วยอัลมอนด์-น้ำตาล พอเอามาโปะบนหน้าไอศกรีมเพิ่มความหวานเย็น กินคู่กับกาแฟร้อนแล้ว มันเมดมายเดย์สุด ๆ พร้อมลุยต่อรัว ๆ 

018 Shibuya

มาเดินเริงใจกันต่อกับ ’Shibuya’ ย่านที่เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว.. มีทุกสิ่งอย่างให้ช็อปปิงก่อนกลับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ยา ของแบรนด์เนม สตรีทแฟชั่น เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ ร้านอาหาร ของกินริมทางสุดป็อป พบเจอความคึกคักทุกซอกซอย และสำหรับสายถ่ายรูปต้องไม่พลาดที่จะตามหาไอคอนประจำถิ่น รูปปั้นหมาฮาจิโกะผู้ซื่อสัตย์ รวมไปถึงตึกชิบูย่า 109 ที่ใคร ๆ ก็ต้องไปยืนร่วมเฟรม และสำหรับมุมสูงจึ้ง ๆ ภาพ landscape ปัง ๆ เราแนะนำให้ขึ้น Shibuya Sky ดาดฟ้าสำหรับเทควิวที่เต็มไปด้วยตึกสูงกว้างไกลสุดสายตา เป็นภาพจบทริปเมืองที่สมมงโตเกียวสุด ๆ 

019 Soba House Konjiki-Hototogisu SOBA HOUSE 金色不如帰 新宿御苑本店

ก่อนจากเมืองนี้เราขอลาให้สมชื่อสายกินสักหน่อย กับร้านที่ถูกประดับด้วยดาวมิชลิน ‘Soba House Konjiki-Hototogisu SOBA HOUSE’ อยู่ใกล้ ๆ กับย่านชิบูย่า ตัวร้านโดดเด่นด้วยกำแพงไม้สีอ่อนดูเรียบง่าย พร้อมช่องหน้าต่างให้เราเห็นเคาน์เตอร์บาร์ทำราเมงพร้อมที่นั่งสำหรับลูกค้าไม่กี่ที่ เราสั่งเป็น Shio Soba ทีเด็ดของร้านคือซุปที่มีมิติ แค่แรกสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความละเอียดอ่อน แม้สีจะใสแต่เข้มข้นไปด้วยรสชาติของหมู หอยฮามากุนิ ปลากระพงแดง มีความกลมกล่อมจากเกลือธรรมชาติจากสองแหล่ง พร้อมกลิ่นหอม ๆ ของซอสเห็ดพอร์ชินี และน้ำมันทรัฟเฟิล เป็นจานที่มีความซับซ้อนทั้งรสและกลิ่น น่าค้นหาจนหยุดกินไม่ได้เลยทีเดียว 

เราเชื่อว่าการเริ่มต้นทริปที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง มันทำให้เราฟีลกู้ดได้ตั้งแต่แรกแบบไม่สะดุด เหมือนกับครั้งนี้ที่เราเลือกใช้บริการ K Point KLUB ตั้งแต่การรอเครื่องขามาญี่ปุ่น มันเป็นเหมือนคอมฟอร์ตโซนที่ให้เราได้นั่งพักผ่อน ลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แถมคุ้มสุด ๆ ด้วยการแลกพอยต์เพียง 1,500 คะแนน ยิ่งถ้ากดในวัน K Point Day (ทุกวันที่ 8-9 ของทุกเดือน) ก็ใช้เพียง 188 คะแนนเท่านั้น ใช้ตอนนี้ยังได้สิทธิพิเศษอีกมากมาย ไม่เชื่อลองกดเข้าไปดูได้เลยที่ https://www.kasikornbank.com/th/personal/Digital-banking/kplus-kpoint/

จบแล้วกับชีวิตในมหานครโตเกียว เมืองหลวงอันล้ำสมัยของญี่ปุ่น แต่แอบซ่อนไปด้วยสถานที่ที่ให้เราได้พักตาพักใจอย่างเต็มอิ่ม ได้เห็นความชิลของคนเมือง ได้กินอาหารสุดพิถีพิถันที่คุณภาพคุ้มราคา ได้ปรนเปรอตัวเองด้วยงานอาร์ต เล่นซนในดินแดนแห่งความฝัน ชมสัตว์ทะเลที่ชอบ จะมากี่รอบ ญี่ปุ่นก็ถือเป็นเมืองยืนหนึ่งในใจเราจริง ๆ ยิ่งตอนนี้ค่าเงินกำลังดี รีบตามมาเที่ยวกันเยอะ ๆ นะ