รีวิวญี่ปุ่น :: 4 Days Trip to Snowland “Yamagata” 🇯🇵

แจกแพลนเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวท่ามกลางหิมะโปรยปรายชวนฝันรอบนี้ เราขอพาทุกคนไปเดินย่ำบนหิมะให้ฉ่ำใจกับมินิไกด์ “4 Day Trip To Snowland” ณ จังหวัด Yamagata และเมืองใกล้เคียงแบบจัดเต็ม เพราะทริปนี้เราได้บรรจงคัดสรรไฮไลท์เด็ดจากหลากหลายเมืองที่ครบรสกลมกล่อม ร้อยเรียงออกมาเป็นรูทเที่ยวให้ได้ตามแล้วปังโคตร ตั้งแต่ลานเล่นสกีที่เต็มไปด้วยเหล่าปีศาจหิมะนับร้อย หมู่บ้านออนเซ็นกับจุดถ่ายรูปปังดังระดับเวิลด์คลาส ไหนจะวัดพันปี ปราสาทพันเรื่องราวให้เราดื่มด่ำ ตลอดจนร้านกาแฟธีมดีขวัญใจชาวญี่ปุ่น อาหาร 400 ปี ติดดีกรีมิชลินไกด์ และไม่พลาดที่จะพาเพื่อน ๆ ไปเซย์ไฮกับสัตว์ตะเล็กตะน้อยทั้งใต้ทะเลและบนหิมะอันหนาวเหน็บ บอกเลยว่าเป็นทริปม่วน ๆ ที่เหล่าประชากรเมืองร้อนจะอินและฟินสุด ๆ ไปเลย

เที่ยวญี่ปุ่นแบบคุ้มค่าที่สุด ก็ต้องเดินทางไปพร้อมกับ PLANET SCB บัตรคู่ใจนักเดินทางที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย แถมให้เรทแลกเงินเทียบเท่ากับร้านแลกเงินชั้นนำ แต่สะดวกกว่าตรงที่สามารถแลกผ่าน SCB EASY App ตอนไหนก็ได้ ได้มากถึง 13 สกุลเงินยอดนิยม สมัครวันนี้!!! เขามีโปรแสนคุ้มมากมายสำหรับสายเดินทาง แต่ที่โดนใจเราสุด ๆ ต้องเป็น รับฟรี e-Coupon ส่วนลด 50% ค่าบริการห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge รวมถึง รับฟรี! บัตรเข้าใช้บริการห้องรับรองที่สนามบินทั่วโลก กับ DragonPass
เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร PLANET SCB ด้วยสกุลเงินต่างประเทศ เทียบเท่าเงินบาทตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป/รอบระยะเวลาส่งเสริมการขาย ดีงามขนาดนี้ไม่มีไม่ได้แล้วนะ

หนึ่งในความดีงามตั้งแต่ก่อนเริ่มเดินทางที่ PLANET SCB มอบให้ก็คือ e-Coupon ส่วนลด 50% สำหรับลูกค้าใหม่ และ 30% สำหรับลูกค้าปัจจุบัน สำหรับนำไปใช้บริการใน Miracle Lounge งานนี้ใครบินชั้นประหยัด … ก่อนขึ้นเครื่องก็สามารถไปนั่งผ่อนคลายในมุมส่วนตัว ฟินกับของกินอร่อย  ๆ พร้อมเครื่องดื่มแบบจัดหนักจัดเต็มได้เลยก่อนวันที่  31 มกราคม 2567 นะ

Day 1

001 Kamo Aquarium

จากนาริตะแลนดิ้งสู่สนามบินยามากาตะ เราก็รีบไปทำเรื่องเช่ารถอย่างไว เพื่อไปใช้เวลายาว ๆ ในโลกใต้น้ำที่ ‘Kamo Aquarium’ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่โดดเด่นเรื่องแมงกะพรุน ถือเป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีจำนวนสายพันธุ์แมงกะพรุนเยอะติดอันดับโลก จนชาวญี่ปุ่นเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘クラゲドリーム館’ (พิพิธภัณฑ์แมงกะพรุนในฝัน) ที่นี่เปิดมานานถึง 90 กว่าปี ย้ายมาตั้งตำแหน่งปัจจุบันเมื่อช่วงปี 1961 โดยอาคารสีขาวสะอาดตา ริมทะเล ที่มองมุมไหนก็ชวนผ่อนคลายสบายตาแห่งนี้ พอเข้าไปภายในก็เผยให้เห็นโลกอีกใบ มาช่วยเติมเต็มประสบการณ์โลกใต้น้ำที่เต็มไปด้วยความนุ่มนิ่มน่าฟัดของน้องแมงกะพรุน

โซนที่เราตั้งใจมุ่งตรงมาคือ Kuranetarium การจัดแสดงที่ทำให้เราจมดิ่งสู่โลกอันมืดมิด พร้อมไฟที่ฉายผ่านตัวแมงกะพรุนโปร่งแสง ประกอบกับเสียงเพลง เสียงฟองอากาศ ให้เหมือนได้อยู่ใต้ทะเลจริง ๆ โดยน้องจะอยู่ในตู้กระจกทรงกลมขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตร ถือเป็นตู้จัดแสดงแมงกะพรุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บันทึกโดยกินเนสส์บุ๊ก

สำหรับใครที่ชื่นชอบแมงกระพรุนจะต้องเพลิดเพลินและใช้เวลาได้ไม่รู้เบื่ออย่างแน่นอน เพราะที่นี่เขามีแมงกะพรุนมากกว่า 60 สายพันธุ์ จำนวนราว ๆ 10,000 ตัว พร้อมคำอธิบายเจาะลึกการเจริญเติบโต การหาอาหารของน้อง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีตู้จัดแสดงปลาน้ำจืด-น้ำเค็มในยามากาตะ โซนสระแมวน้ำและสิงโตทะเลให้เราเห็นความแตกต่างของทั้งสองสายพันธุ์ และชมความน่ารักไปพร้อม ๆ กัน 

พอเต็มอิ่มกับโลกใต้ทะเล เราก็มาฝากท้องกันที่ห้องอาหารภายในอควาเลียม ‘Okimizuki 魚匠ダイニング 沖海月’ ร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย รายล้อมด้วยกระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นวิวทะเลได้แบบไม่มีอะไรกั้น โดยร้านเน้นเสิร์ฟอาหารทะเลสด ๆ ที่จับได้ในทะเลโชไน ไฮไลต์คือเขาเชี่ยวชาญเรื่องปลาปักเป้าเสือมาก เราก็เลยจัดเป็นชุดซาชิมิ เสิร์ฟมาแบบอลังการ พอกินปุ๊ปก็เข้าใจเลยว่าทำไมกลายเป็นเมนูพิเศษของเมืองยามากาตะ เนื้อเขามีความนุ่มหยุ่นเด้งสู้ลิ้น พร้อมความหวานกลมกล่อมแตกต่างจากปลาเนื้อขาวทั่วไป ถือเป็นอีกจานที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง

จากนั้นมาหาของหวานล้างปากกันต่อกับซอฟต์เสิร์ฟ หอมกลิ่นนมนัว ๆ โรยมาพร้อมเนื้อแมงกะพรุนหั่นชิ้นเล็ก ๆ สัมผัสจะมีความนุ่ม เคี้ยวกรุบกรอบ โดยมีรสชาติไอศกรีมให้เลือก 3 แบบด้วยกันคือ นม ช็อกโกแลต และแบบมิกซ์ ส่วนใครที่มองหาของฝากผายมือไปร้านด้านข้างที่เต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกแบบฉบับญี่ปุ่น เพิ่มเติมคือเขาเปลี่ยนแมงกะพรุนที่ดูไร้อารมณ์ ให้กลายเป็นคาแรกเตอร์การ์ตูนแสนน่ารัก เห็นแบบนี้แล้วใครจะอดใจไหว?

002 Shonai Bus Terminal and Shopping Center

ก่อนยิงยาวกลับเข้ามาพักในตัวเมือง เราถือโอกาสมาเลือกของฝากเพิ่มเติมกันที่ ‘Shonai Bus Terminal and Shopping Center’ จุดพักรถระหว่างเข้าเมืองยามากาตะ ที่เป็นเหมือนศูนย์จำหน่ายสินค้าแห่งใหญ่ที่สุดในพื้นที่โชไน อันสัญลักษณ์อันโดดเด่นเป็นหอคอย Hinomiyagura ส่วนของช็อปปิงก็มีตั้งแต่ของพื้นเมือง ของแห้ง ของสด ผัก ผลไม้ วัตถุดิบทำอาหาร ขนม รวมไปถึงเมนูที่รวมของเด็ดยามากาตะเอาไว้ ที่สำคัญสามารถทำ Tax Free ได้ด้วย 

อีกเหตุผลที่เราชอบบัตร PLANET SCB คือไม่ต้องพกเงินสดให้เป็นกังวล แถมสะดวกต่อการรูดช้อป แตะจ่าย ในราคาที่ถูกกว่าใครเขา เพราะล็อกเรทดี ๆ ไว้ล่วงหน้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถกดเงินผ่านตู้ ATM ที่มีสัญลักษณ์ Visa ในต่างประเทศได้สูงสุด 100,000 บาท/วัน หรือช้อปออนไลน์ที่รับบัตร VISA ได้สูงสุด 500,000 บาท/วัน ทั่วโลก ไม่ชาร์จ 2.5% อีกต่างหาก หากบัตรหายก็สามารถอายัตผ่านแอปพลิเคชั่นได้ ดีงามคุ้มค่าทุกกุลเงินขนาดนี้ ไม่มีไม่ได้แล้วนะ

Day 2

003 Ginzan Onsen

มาถึงสปอตในฝันของใครหลายคน อีกหนึ่งหมู่บ้านที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่นกับ ‘Ginzan Onsen’ หมู่บ้านโบราณที่มีมานานกว่าห้าร้อยปี จากที่เคยเป็นเหมืองแร่ขุดเงินอันเจริญรุ่งเรือง อุดมไปด้วยบ่อน้ำร้อนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ จึงได้พัฒนากลายเป็นหมู่บ้านออนเซ็นแสนวิเศษที่ติด 1 ใน 5 สถานที่แช่ออนเซ็นในฤดูหนาวที่ทางการญี่ปุ่นขอแนะนำ แน่นอนว่าสรรพคุณของการแช่น้ำร้อนของที่นี่ก็มีมากมายไม่แพ้ใคร เริ่มตั้งแต่การไหลเวียนเลือดที่คล่องขึ้นทำให้ผิวมีความอมชมพู เลือดฝาด ยิ่งแช่บ่อยก็จะยิ่งดูอ่อนเยาว์ กำมะถันยังช่วยลดอาการผื่นคัน โรคผิวหนัง รอยพกช้ำให้หายเร็วขึ้นได้ด้วย ยิ่งแช่ยิ่งดี ไม่เชื่อลองดูความผิวฉ่ำโกลว์ของคนที่นี่ได้เลย สายสุขภาพ สายบิวตี้ไม่ควรพลาดแล้วแบบนี้ 

ว่าด้วยเรื่องรูปลักษณ์ของเมือง จะเป็นสถาปัตยกรรมที่เห็นบ่อย ๆ ในสมัยเอโดะ แต่พิเศษกว่าตรงที่แต่ละอาคารจะมีขนาดใหญ่ สูงถึง 3-4 ชั้นตามสไตล์เรียวกังโบราณ ด้านหลังเป็นป่าที่สโลปขึ้นไปตามเนินเขา มีแม่น้ำเล็ก ๆ ไหลผ่านกลางหมู่บ้าน แม้จะจอแจไปด้วยผู้คน แต่กลับรู้สึกเงียบสงบ พอมีหิมะตกโปรยปราย ทั้งเมืองเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน เราแทบเกือบลืมหายใจ เพราะมันสวยจนร่างกายโฟกัสทุกอย่างไปที่ดวงตา หวังกอบเก็บความทรงจำครั้งนี้ให้นานที่สุด ใครแพลนมา แนะนำให้จองที่พักตั้งแต่เนิ่น ๆ นะ เพราะไฮซีซั่นเขาคือหน้าหนาว บางโรงแรมจองเต็มแบบข้ามปีเลยทีเดียว

ดูท่าหิมะเริ่มหนัก เราเลยรีบเดินเบี่ยงหาที่กำบัง จนมาเจอร้านอาหารหน้าตาเคร่งขรึม แต่ภายในแค่มองด้วยตาเนื้อยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่นี่คือ ‘Izu no Hana 伊豆の華’ ร้านที่มีอายุกว่า 70 ปี จากที่เคยอยู่ตรงทางเข้า ก็เขยิบเข้ามาอยู่ภายในหมู่บ้าน โดยอาคารนี้ที่มีอายุมากกว่า 140 ปีแล้ว จัดเสิร์ฟทั้งอาหารและเครื่องดื่ม แนะนำว่าให้ขึ้นมาจับจองที่นั่งบนชั้น 2 บริเวณริมหน้าต่าง เพื่อจะได้ชมวิวเมืองเก่าแบบสวยสับ ช่วยเพิ่มความอร่อยให้มื้อเที่ยงของเราได้หลายร้อยเท่าเลย 

เมนูที่เราเลือกสั่งคงหนีไม่พ้นซิกเนเจอร์อย่าง Agenasu Oroshisoba โซบะร้อน ทาบทับด้วยมะเขือม่วงทอด ของดีจังหวัดยามากาตะ เมื่อผสมไชท้าวขูดละเอียด คนให้เป็นเนื้อเดียวกับซุปและโซบะ มันได้ความข้นขึ้น รสชาติเค็มกลมกล่อม กินคู่กับมะเขือเนื้อแน่นรสหวาน แล้วกลายเป็นความอร่อยที่แสนเรียบง่าย แต่ตราตรึงแบบไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

ก่อนที่เราจะจากเมืองนี้ไป เราขอทิ้งท้ายด้วยการนั่งจิบกาแฟอุ่น ๆ ที่ ‘Sake Sabo Kurie (Sake Teahouse Clie) 酒茶房 クリエ’ ร้านกาแฟ 2 ชั้นขนาดเล็ก กับอุณภูมิที่อบอุ่น อบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมละมุน คอนทราสต์จากภายนอก ที่อุณภูมิแทบจะติดลบจนปลายจมูกเราชาไปหมด การตกแต่งร้านเต็มไปด้วยงานไม้ ทั้งประตูทางเข้า เคาน์เตอร์บาร์ ชุดเก้าอี้ทรงคลาสสิก พอมองลอดไปนอกหน้าต่างที่ชั้นสอง ก็แอบรู้สึกว่าร้านนี้หลงยุคมาเล็กน้อย  แต่กลับไม่อยากลุกออกไปไหนเลย

นั่งอาลัยอาวรณ์อยู่สักพัก ก็ได้ออเดอร์ที่สั่งไป.. สิ่งที่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้มากที่สุด เราคิดว่าเป็นโกโก้ร้อนแบบไม่หวาน โบกทับมาด้วยมาร์ชเมลโล่ออกหวานนิด ๆ กินคู่กันแล้วเป็นรสชาติบาลานซ์ ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ข้าง ๆ กันคือพุดดิ้งเนื้อนุ่มหนึบ รสหวานปลายออกขมเล็กน้อย กินสลับกันแล้วมันจะนัวเข้ากันดีไปหมด อ่อ.. ที่เราเลือกร้านนี้เพราะเป็นร้านที่ชาวญี่ปุ่นชอบมาเช็กอินและรีวิวลงบล็อกกันเยอะมาก

สำหรับการเที่ยวในหมู่บ้านนี้สามารถทำได้ทั้งเดย์ทริปและค้างคืน ซึ่งร้อยทั้งร้อยบอกว่าการได้นอนเรียวกังที่นี่ถือเป็นเรื่องที่ฟินสุด สวยที่สุด เพราะนอกจากจะได้แช่น้ำร้อนท่ามกลางหิมะแล้ว ยามค่ำคืนทั้งเมืองจะเปิดไฟสีส้มสว่างไสว แต้มไปทั่วตัวตึก เปล่งแสงออร่าทะลุเกร็ดหิมะขาวโพลน.. เท่านี้ก็คงคิดภาพออกแล้วใช่มั้ยล่ะ.. ว่ามันจะสวยขนาดไหน และที่เราเคยมาช่วงใบไม้ร่วง ที่นี่ก็สวยไม่แพ้กัน เพราะผืนป่าด้านหนังนั้นจะเต็มไปด้วยสีเหลือง แดง เขียว ไล่โทนไปเรื่อย ๆ ตัดกับความเคร่งขรึมของหมู่บ้านได้อย่างละเมียดละไม เป็นชิ้นงานมาสเตอร์พีซของธรรมชาติ ที่คอยเติมความประทับใจให้ผู้พบเห็นเป็นประจำทุกปี

Day 3

004 Zao Ropeway Zao Sanroku Station

เช้าวันสุดท้ายในจังหวัดยามากาตะ เราเริ่มต้นด้วยการไปเซย์ไฮกับปีศาจหิมะที่ Zao Sanroku ที่เราจะต้องนั่งกระเช้าจาก Zao Sanroku Station ไปยังจุดชมวิวและลานเล่นสกี ซึ่งมีอยู่ 2 จุดคือชั้นแรก Juhyo Kogen Station อยู่บนความสูง 1,331 เมตรใช้เวลาเพียง 7 นาที ส่วนชั้นที่ 2 Jizo Sancho Station จะอยู่ที่ 1,661 เมตร ใช้เวลา 10 นาที ขณะที่กระเช้าเคลื่อนตัว บอกเลยว่าหัวใจของเรานี่ถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ จากวิวหิมะธรรมดาที่เห็นจนชินตาตลอดลอดทริป พอสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยสีขาว ก็เริ่มมีหน้าตาที่แปลกไป กวาดสายตาไปอีกด้านจะเห็นเส้นทางเล่นสกีสุดเอ็กซ์ตรีม ที่นักสกีมาประชันความเร็วกันอย่างสนุกสนาน เป็นวิวชิล ๆ ที่มีหลากอารมณ์ มองได้ไม่เบื่อเลยจริง ๆ 

เราเลือกขึ้นมาที่ Jizo Sancho Station สิ่งแรกที่พบตอนออกจากกระเช้าคือความหนาวที่ทวีขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับด้านล่าง เราเลยเข้าไปในอาคารเพื่อตั้งหลัก รองท้องด้วยอาหารอุ่น ๆ ก่อนหนึ่งกรุบ จากนั้นก็เริ่มตามหาไฮไลต์ โดยจุดแรกคือ Zao Jizoson เป็นพระพุทธรูปสูงกว่า 2.34 เมตร อายุ 248 ปี ทำจากหินใช้เวลาสร้างนานกว่า 37 ปี เป็นที่ยึดเหนี่ยวเพื่อขอพรให้สมปรารถนา ปัดเป่าภัยพิบัติ และอุบัติเหตุนั่นเอง ซึ่งในหน้าหนาวหิมะจะหนามาก ทำให้เราเห็นแค่เศียรของพระและตู้รับบริจาค เท่านั้นยังไม่พอ เดินออกจากสถานีมาหน่อย เราจะเจอกับระฆังแห่งความโชคดีอยู่ เป็นจุดที่สายมูตามหารักแท้ต้องมาตี เพราะเชื่อกันว่านี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของคู่รักนั่นเอง

แน่นอนว่าจุดไฮไลต์ที่เราตั้งใจฝ่าลมหนาว ท้าไอแดดขึ้นมาบนยอดเขา ก็คือประติมากรรมสุดมหัศจรรย์จากธรรมชาติ ’Snow Monsters’ เหล่าต้นไม้ที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยหิมะ รูปทรงตะปุ่มตะป่ำตั้งแต่โคนจรดยอด กลายเป็นปีศาจรูปร่างสูงใหญ่ยืนแน่นิ่งอยู่ทั่วภูเขา บางจุดมีป้ายชื่อติดไว้ด้วย โดยปีศาจเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นแค่ช่วงปลายธันวาคม – ต้นกุมภาพันธ์ ที่อุณหภูมิลดต่ำสุดเท่านั้น ฉะนั้นถึงใครไม่ได้มาเล่นสกี แต่แค่มาถ่ายรูปตรงนี้ เราว่าก็คุ้มค่ามากแล้ว 

005 Rissyakuji Temple (Yamadera)

หากจะต้องอำลาเมืองยามากาตะ เราขอจากไปแบบผู้มีบุญ หน้าอิ่มเอมไปด้วยรัศมีเรืองรอง ใช่แล้ว!!! เรากำลังจะพาทุกคนไปไหว้พระที่ Yamadera Temple วัดที่ต้องใช้กำลังกายและใจอย่างสาหัส เพราะต้องเดินบันไดขึ้นเขาไปหลายพันขั้นทีเดียว ยิ่งช่วงหน้าหนาวอาจจะต้องระมัดระวัง เนื่องจากบางจุดจะมีความลื่นมาก แต่ถึงแม้การเที่ยวเมืองหิมะจะมาพร้อมกับความเสี่ยงเราก็อุ่นใจด้วยประกันการเดินทางฟรี!!! สูงสุด 10 วัน สิทธิพิเศษที่ทาง PLANET SCB มอบให้ ภายใต้เงื่อนไข … เอกสิทธิ์สำหรับผู้ถือบัตร VISA คุ้มครองอุบัติเหตุสูงสุด 2,000,000 บาท พร้อมดูแลช่วยเหลือ 24 ชม. ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินยามเดินทางทั่วโลกอีกด้วย แค่นี้ก็พร้อมขึ้นไปชมทัศนียภาพที่จะทำให้ทุกคนตาค้างไปด้วยความงดงามอันน่าตื่นตะลึงแล้ว

โดยทั่วไปที่นี่จะเรียกได้ 2 ชื่อคือ Yamedera และ Houjusan Risshaku-ji Temple มีอายุยาวนานกว่า 1,000 ปี สมัยการปกครองของจักรพรรดิเซวะ ที่ท่านได้ส่งพระสงฆ์ Jikaku Daishi ไปยังชายแดนของโทโฮคุ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัด เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีนักกวีชื่อดังอย่าง มัตสึโอะ บาโช มาพรรณาถึงความสวยงาม จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายของผู้คนทั่วทั้งญี่ปุ่น และทั่วโลกในเวลาต่อมา ไม่เพียงแค่ความสวยของสิ่งปลูกสร้าง แต่ไวป์รอบด้านระหว่างเดินนั้นดีงามขั้นสุด ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อายุนับพันปี โอบล้อมเราไปตลอดทาง แม้จะมีหิมะปกคลุมแต่ก็กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก และถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นวัด แต่ก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่วัยรุ่นชาวญี่ปุ่นเองต้องจดลิสต์เพื่อขึ้นมาสักครั้งในชีวิตเช่นกัน

และไม่ต้องกลัวว่าจะเหนื่อยจนหอบแบบหมดสนุก เพราะตลอดเส้นทาง เขามีจุดพักให้เราได้หายใจหายคอ พร้อมความงดงามของโบราณสถานเก่าแก่ให้เราหยุดดู อาทิ ประตูไม้ อาคาร ศาลเจ้า หินขนาดมหึมามากมาย โดยรวมแล้วเราใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง จนมาถึงจุดไคลแมกซ์ ‘Godaido Hall’ บริเวณริมผาที่มีหินก้อนใหญ่ พร้อมศาลาสีแดงฉานตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของวัดนี้ เป็นวิวพาโนราม่าเห็นหุบเขาขาวสะอาด สลับทับซ้อนไปไกลสุดตา พร้อมหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงกลาง ยามฤดูหนาวเราจะเห็นไอร้อนจากบ้าน การเคลื่อนตัวของรถยนต์ได้อย่างชัดเจน มองไปมองมาแล้วเหมือนเมืองตุ๊กตาในฝันเลย 

สิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินกับการเที่ยววัดญี่ปุ่นได้ไม่เคยเบื่อคือ เครื่องรางของขลังประจำวัด แต่ละที่จะมีความเด่นแตกต่างกันไป บ้างเรื่องเรียน บ้างเรื่องความรัก สุขภาพ การงาน แม้กระทั่งการคลอดลูก สำหรับที่นี่จะเป็นการขอพรด้านการเงิน ที่หลวงพ่อโฮเตะ นั่นก็คือพระสังกัจจายของบ้านเรานั่นเอง และเครื่องรางขึ้นชื่อคือ Kokeshi  ตุ๊กตาไม้โบราณ ที่เชื่อว่าช่วยปกป้องบ้านจากไฟไหม้ ขับไล่ภูตผี และบันดาลให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ แม้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความต้องการของเรา แต่ทางนี้ว่าน่ารักน่าชัง มันต้องมีติดตัวแล้วสักหนึ่ง!

Day 4

เช็กเอาท์จากโรงแรมในยามากาตะแต่เช้า ก่อนยิงยาวเข้าโตเกียวเราก็มาแวะเที่ยว Shiroishi เมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดมิยางิ ที่มองดูเหมือนเป็นเมืองชนบทอันแสนสงบ แต่ความจริงแล้วที่นี่เต็มไปด้วยสมบัติทางวัฒนธรรม และเรื่องราวอันเข้มข้นด้านประวัติศาสตร์ พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ เรียกได้ว่าเหมาะกับคนชอบเที่ยวแทบทุกสไตล์ แต่ด้วยมีเวลาวันเดย์ทริปเราจึงเลือกฝากกระเป๋าที่สถานีแล้วเดินทางด้วยแท็กซี่ ซึ่งแน่นอนว่าจ่ายผ่าน PLANET SCB สะดวกมาก

006 Shiroishi Castle

เราขอทำความรู้จักกับเมืองนี้ผ่านโลเคชั่นแรกที่ ‘Shiroishi Castle’ ก่อนเลยแล้วกัน เดิมปราสาทแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูล Katakura ที่ปกครองปราสาทมายาวนานกว่า 11 รุ่น จนถึงช่วงปฏิรูปยุคเมจิในปี 1867 เกิดสงครามโบชิน ทำให้ที่นี่ถูกทำลาย ก่อนได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1995 และดูแลรักษาอย่างดีจนถึงปัจจุบัน ความสวยงามของตัวปราสาทยิ่งสวยขึ้นเมื่อมีหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ

รอบตัวปราสาทถูกจัดให้เป็นสวนสาธารณะ ปลูกต้นซากุระไว้ราว ๆ 400  ต้น จึงเป็นอีกจุดที่เหมาะสมสำหรับเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่สำหรับช่วงหิมะแบบนี้ เราขอเข้าไปอบอุ่นร่ายกายในปราสาทแทน ภายในนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของปราสาทเอาไว้ มีตั้งแต่แผนผัง ชุดเกราะ เครื่องใช้เหมือน ๆ กับที่อื่น แต่ที่พิเศษกว่าใครคือเขามีโรงหนัง 3 มิติคุณภาพสูง รอให้เราไปชมที่ชั้น 3 เป็นละครเกี่ยวกับเมือง และอีกอย่างที่เห็นแล้วใจบางสุด ๆ เป็นงานภาพระบายสีฝีมือเด็ก ๆ ที่แต่งแต้มลงบนกระดาษปอนด์ดูสดใส วางตั้งโชว์ไว้กลางปราสาท หรือจะขึ้นไปเทควิวเมืองบนดาดฟ้าก็เพลินไม่แพ้กัน

007 Hikarian

จากนั้นเราขอปรนเปรอตัวเองด้วยอาหารอันโอชะที่ร้าน ‘Hikarian’ หนึ่งในร้านที่อยู่ในลิสต์ Michelin Guide Miyagi 2017 เรามองเห็นความคลาสสิก ความเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจตั้งแต่ภายนอก กับบ้านหลังคามุงจากแบบ Kayabuki Yane หากไม่นับตามพิพิธภัณฑ์ บ้านแบบนี้หาชมยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหลังนี้เองก็เคยเป็นบ้านเก่าของซามูไรสมัยเอโดะ เดินเข้าไปข้างในก็ตื่นตากับโครงสร้างบ้านโบราณที่ยังคงสวยงาม แบ่งสัดส่วน จัดวางโต๊ะกระจายอยู่ตามห้องต่าง ๆ มีความเรียบขรึม เหมาะกับคนที่ชอบกินอาหารในบรรยากาศเงียบสงบ เน้นการลิ้มรสชาติของอาหารจริง ๆ

สิ่งที่ทำให้มงมิชลินลงที่ร้านนี้คือเส้นชิโรอิชิ ซึ่งมีมานานกว่า 400 ปี คิดค้นสูตรโดยชายผู้กำลังดูแลพ่อที่มีปัญหาเรื่องกระเพาะ ตัวเส้นจึงไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซึ่งทางร้านรีดมือแบบดั้งเดิม เราลองสั่ง Shiroishi Umen เสิร์ฟแบบร้อน สัมผัสพิเศษของเส้นชนิดนี้คือเป็นเส้นขนาดเล็ก สั้น ๆ มีความนุ่ม ลื่น กินง่ายไม่หนักท้อง พอกินคู่กับเห็ด และซุปรสหวานเค็มอูมามิก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ ส่วนอีกจานที่เราสั่งมาเพิ่มรสชาติคือ เต้าหู้มาโฝ เป็นเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ที่ทางร้านทำออกมาได้เผ็ดร้อน เป็นตัวช่วยให้เราออกไปสู้กับอากาศหนาวข้างนอกได้อย่างดี 

008 Zao Fox Village

สปอตที่ใช้ปิดทริปครั้งนี้ เราขอกลับไปทักทายน้องหมาจิ้งจอกหน้าสวยที่ ‘Zao Fox Village’ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า Zao Kitsune Mura ตั้งอยู่บนเทือกเขา Miyagi วิธีเดินทางจริงมีเพียงรถส่วนตัว และแท็กซี่เท่านั้น ช่วงที่มาถือเป็นช่วงพีคที่น้อง ๆ จะดูน่ารักน่ากอดสุด ๆ เพราะในฤดูหนาวขนของเขาจะฟูฟ่องกว่าทุกช่วง โดยจะมีจิ้งจอกให้ชมทั้งหมด 6 สายพันธุ์ แบ่งการจัดแสดงเป็น  2 โซน จุดแรกจะแยกเป็นกรง ๆ ที่มีทั้งจิ้งจอง กระต่าย ม้า ฯลฯ มีกิจกรรมให้เราได้ป้อนนมลูกสุนัขจิ้งจอก และโซนต่อมาคือไฮไลต์เด็ด สวนกว้างใหญ่ที่ห้อมล้อมไปด้วยหมาจิ้งจอกนั่นเอง 

สิ่งที่ชอบคือเขาดูแลน้อง ๆ ได้เป็นธรรมชาติ ทุกตัวมีอิสระ แม้อยู่ในรั้วเหล็ก แน่นอนว่าหมาจิ้งจอกกว่าร้อยตัวในนี้ก็จะมีกิจกรรมแตกต่างกัน ให้เราชมไม่รู้เบื่อ และมอบอิสระในการเดินชมแก่เราเช่นกัน แต่ก็มีกฎระเบียบที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด เพราะน้องเป็นสัตว์ป่า ที่ไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ เราจึงไม่ควรไปแตะต้องหรือเข้าใกล้จนเกินไป ห้ามให้อาหารด้วยมือเปล่า แต่จะมีโซนระเบียงไม้สูง ๆ ให้เราโยนอาหารแก่น้อง ๆ ได้ ถ้าใครได้มาแถวนี้ช่วงหิมะ แนะนำเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด 

นี่ถือเป็นอีกครั้งในรอบหลายปี ที่เราได้กลับมาเที่ยวโทโฮคุในช่วงที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เอาจริง ๆ ความงดงามยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือชาวญี่ปุ่นเขาดูแลรักษาทุกสถานที่ได้ดีมาก ๆ ทั้งความสะดวกด้านภาษา ชอยส์ในการเดินทางที่มากขึ้น ร้านรวงใหม่ ๆ ที่รอเราไปค้นพบ นี่สินะที่เรียกว่าจบทริปแบบจำไม่รู้ลืม ทุกอย่างชัดเจนกว่าภาพถ่าย ร่างกายยังคงรู้สึกได้ถึงความพิเศษเหล่านั้น ต้องขอบคุณทุกความสวยงามที่ญี่ปุ่นและโลกนี้มอบให้เรา ความสะดวกสบายที่มนุษย์คิดค้นมาเพื่อการเดินทางที่ง่ายขึ้น การใช้จ่ายที่ทำให้เราไร้กังวลไม่ยุ่งยาก ถ้ามีโอกาสกลับมาอีก เราจะรีบเก็บเสื้อพกบัตร PLANET SCB มาใบเดียว แล้วเที่ยวอีกครั้งอย่างไม่ลังเลเลย

ใครยังไม่มีบัตร สมัครได้ที่แอป SCB EASY หรือที่สาขาธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ กันเลยนะ ลิงค์สมัครบัตร

https://info.scb.co.th/scbeasy/easy_app_link.html?URI=scbeasy://planetscbcard/marketconduct