ถ้าให้บอกชื่อสถานที่ในไทยที่จำกัดความถึงความสนุก ความมีชีวิตชีวา และความรัก เราขอเทใจให้กับ “Chiang Mai” แบบหมดหน้าตักไปเลย เพราะจังหวัดนี้เป็นเหมือนลิตเติ้ลเจแปนในอุดมคติของเราจริง ๆ ความเหมือนนั้นไม่ใช่เพราะสิ่งปลูกสร้าง แต่คือความรู้สึกเวลาที่ได้มาเยือน มันให้ฟีลเวลาได้ออกไปเที่ยวในชนบทญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ ความชิลของชีวิตคนเมือง แค่เดินเล่นก็พบเจอความคราฟต์ ของทำมือ ร้านคาเฟ่เก๋ ๆ แบบไม่คาดคิด กิจกรรมสนุก ๆ ให้เลือกหลากหลาย แม้กระทั่งธรรมชาติที่เพียงขับรถออกเมืองแป๊บ ๆ ก็เจอความเขียวฉ่ำ ขึ้นเขาหน่อยก็เจออากาศหนาว ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สามารถอธิบายได้หมดในพารากราฟเดียว เลยทำเป็นรีวิวฉบับนี้ขึ้นมาให้เพื่อน ๆ ได้เห็นความคาวาอี้ของเชียงใหม่ พร้อมไอเท็มลับเพิ่มฟีลลิ่งความญี่ปุ่นขึ้นไปอีกด้วย Dutchie 0% Fat Japanese Limited Edition เชื่อว่าเลื่อนอ่านจนจบ ทุกคนจะต้องอยากกระโจนเข้าไปโอบกอดเมืองต่อนยอนแห่งนี้พร้อมกับเราแน่นอน
ทริปเชียงใหม่ สไตล์ลิตเติ้ลเจแปนของเรารอบนี้ จะแพลนแบบชิล ๆ เน้นให้เวลาสนุก ๆ กับทุกที่ และเพื่อสร้างฟีลลิ่งให้อินไปกับญี่ปุ่นมากขึ้น เรามีอีกไอเท็มที่พกติดไปด้วยกับ ดัชชี่ 0% fat ฉบับ Japanese Limited Edition รสเบอร์รี่ซากุระ และรสขนมโมจิคินาโกะ ให้เราอร่อยสดชื่นตลอดทริปแบบไม่ต้องกลัวหุ่นพัง เพราะน้องเป็นโยเกิร์ตดี ไม่มีไขมัน มีแต่วิตามิน B5 จับมือมากับไฟเบอร์ ทำให้อยู่ท้องไม่หิวบ่อย ที่สำคัญน้ำตาลและแคลอรียังน้อยกว่าสูตรปกติ โคเลสเตอรอลก็ต่ำอีก เหมาะกับสายกินจุบจิบอย่างเราที่สุด ที่สำคัญหาซื้อง่ายมาก ทั้งในเซเว่น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และสาวดัชมิลล์ สาวดีไลท์ ทั่วประเทศ
Day 1
12 Feb Homey Café
โลเคชั่นแรกเราปักหมุดมาที่คาเฟ่ฟีลนิปปอนจับใจ “12 Feb Homey Café” เป็นสไตล์บ้านกลางสวน มีธารน้ำไหลผ่านย่านหางดง แค่มองจากข้างนอกก็บอกได้เลยว่าคือทรงบ้านที่หลายคนใฝ่ฝัน เป็นอาคารชั้นเดียวแนวยาว ผสมการออกแบบของญี่ปุ่นและนอร์ดิกเข้าด้วยกัน เน้นวัสดุที่ทนทาน ลักษณะคล้ายไม้ทำให้ดูอ่อนโยนไปซะหมด เดินเข้ามาข้างในก็จะเจอกับโถงบ้านกว้างขวาง เพดานสูงโปร่ง ผนังลึกสุดของร้านเป็นชั้นวางของตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ตั้งโชว์งานเซรามิกฟอร์มมินิมอล พร้อมติดตั้งกระจกรอบร้าน เพื่อรับแสงธรรมชาติได้ตลอดวัน เรียกว่าเดินถ่ายรูปลงสตอรี่ได้เป็นจุดไข่ปลาเลยทีเดียว
หลังจากที่ลงสตอรี่จนฉ่ำจิตฉ่ำใจ เพื่อนส่งข้อความมาอิจฉาจนอินบ็อกซ์แทบแตก ทางเราก็เก็บมือถือมาเปิดหนังสือนั่งอ่าน เพื่อเสพบทความดี ๆ พร้อมกับชีสเค้กองุ่นไชน์มัสแคท คู่กับ 12FEB เครื่องดื่มประเภทโซดาสูตรซิกเนเจอร์ เป็นการสร้างไวป์ให้เราฟีลกู้ดตั้งแต่เริ่มต้นทริป
Magokoro Teahouse
ร้านแรกว่าชอบแบบบ้านแล้ว ร้านที่สองยังตอกย้ำความมีเสน่ห์ของอาคารแบบญี่ปุ่นเข้าไปอีก กับร้านแถวช้างคลาน “Magokoro Teahouse” หรือชื่อไทยว่า ‘มีใจให้มัทฉะ’ ร้านของคนไทยที่หลงใหลในการชงชาแบบญี่ปุ่น เน้นความประณีต ละเมียดละไม บรรยากาศร้านให้ฟีลเหมือนเราวาร์ปไปร้านชาใจกลางเกียวโต เป็นบ้านญี่ปุ่นทรงโบราณสไตล์เอโดะ ด้านหน้าติดเป็นกระจกทั้งแถบ เติมความละมุนด้วยผ้าม่านขาว เดินเข้าไปจะเจอกับเคาน์เตอร์รับออเดอร์ ยาวไปจนถึงที่ชงชา มีเชลฟ์วางขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาจัดวางสวย ถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนผลงานศิลปะเสียมากกว่า ทุกอย่างดูสะอาดเรียบร้อยน่านั่งน่าอยู่ไปซะหมด
เราเลือกนั่งโซนเอาท์ดอร์บริเวณชานบ้าน หันหน้าไปเจอสวนหิน ตกแต่งด้วยต้นไผ่ มันเป็นการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เห็นถึงความตั้งอกตั้งใจให้ฟีลญี่ปุ่นจริง ๆ ส่วนเมนูต้องขอยกให้กับชาเขียว ที่เจ้าของไปคัดเลือกเองถึงไร่ มีให้เลือกหลากหลาย รองมาคือขนมที่เขาเลือกทำวากาชิ ขนมญี่ปุ่นโบราณที่ต้องปั้นทรงอย่างสวยงาม ทั้งรูปแบบโมจิ ถั่วขาว ถั่วแดงกวน วุ้น ฯลฯ รสชาติจะออกหวานมากแต่ไม่แสบคอ เหมาะสำหรับกินคู่กับชาเขียวขม ๆ เป็นที่สุด หรือจะจัดขนมสไตล์เบเกอรี่ก็มีให้บริการเช่นกัน แถมรสชาติยังทำได้เนียนละมุน หวานน้อยกินกับชาเขียวแบบใสได้อย่างคล่องคอ
Giant Trees Alley
จากกลางเมือง ขับรถกันยาว ๆ มาที่เชียงดาว อีกสวรรค์ของเชียงใหม่ที่สายกรีนจะต้องหลงรัก ด้วยเสน่ห์ของดอยหลวงเชียงดาว หนึ่งในเทือกเขาที่ต่อเนื่องกับเทือกเขาหิมาลัย ถึงไม่ได้ขึ้นไปพิชิต แต่มาอยู่รอบ ๆ ก็เจอวิวสุดสตั๊น พร้อมเรื่องราวสนุก ๆ ที่สร้างรอยยิ้มให้เราได้ทั้งวัน เริ่มจากจุดถ่ายรูป “Giant Trees Alley” อยู่ระหว่างเส้นทางที่ตรงไปยังถ้ำเชียงดาว รูปทรงถนนคดเคี้ยวเป็นทรงสวย ขนาบข้างด้วยต้นยางสูงใหญ่อายุนับร้อยปี ซึ่งช่วงปลายฝนแบบนี้อากาศกำลังเย็น ความเขียวกำลังชอุ่ม ถ่ายรูปได้สวยสะบัดแบบมงลง แนะนำให้มาช่วงเช้า ไม่ก็ตอนเย็นที่แสงพาดเฉียงสักหน่อย จะได้เงาไม้พาดบนถนนปัง ๆ ด้วย
Anda.Warin
สำหรับเชียงดาว เราเลือกมาพักผ่อนที่หมู่บ้านยางปูโต๊ะ ณ “Anda.Warin” ที่พักท่ามกลางทุ่งหญ้า ดอกไม้ ฉากหลังคือดอยหลวงเชียงดาว มีไอหมอกลอยมากระทบยอดให้ชมทั้งเช้า-เย็น พร้อมธารน้ำธรรมชาติไหลผ่านตลอดปี ดีเด่นเรื่องความไพรเวท เพราะมีบ้านพักเพียง 2 หลังที่ออกแบบแตกต่างกัน ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการตั้งชื่อลูกว่า อันดา : เด็กชายผู้แข็งแรง และเข้าใจในธรรมชาติ จึงใช้โครงสร้างทำจากไม้สักที่ทนทาน ส่วนอีกหลังคือวรินทร์ : เด็กหญิงผู้ร่าเริงสดใสและรักในผลงานศิลปะ จึงเน้นไปด้วยวัสดุทำมือ งานจักรสาน ที่ดูอ่อนโยนแต่แข็งแรง แค่อ่านคอนเซปต์ก่อนไปพักก็ว้าวแล้ว แต่พอได้ไปนอนจริง ๆ กลับว้าวยิ่งกว่า ด้วยความใส่ใจทุกรายละเอียดการตกแต่ง ทำให้เราหาจุดติไม่ได้เลยทีเดียว
First impression ของเราคือสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่กระทบทุกโสตประสาท ไม่ว่าจะเป็นลมเย็นที่พัดมาสัมผัสผิว ความเขียวสบายตาทุกมุมที่กวาดตามอง เพิ่มเติมสีสันด้วยเจ้าบ้านแสนน่ารักน้องข้าวปุก กับเจ้าทองม้วน ที่วิ่งดุ๊ก ๆ มาต้อนรับเราอย่างเป็นมิตร ประหนึ่งคุ้นเคยกันมานานแสนนาน เป็นส่วนที่ช่วยสร้างรอยยิ้ม ความสนุกสนาน และเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่นาทีแรกที่ก้าวเข้ามาเลย จากนั้นเราไปนั่งรอตรงบาร์ชงกาแฟ เพื่อเช็กอินพร้อมเอนจอย welcome set ที่ทางที่พักจัดไว้ให้ เป็นแตงโมปลาแห้งหวานเย็นชื่นใจ และวาราบิโมจิเหนียวนุ่ม ที่กินตัดกันแล้วช่วยชูเท็กซ์เจอร์กันได้ลงตัวอย่างน่าประหลาด
บ้านที่เราพักชื่อว่าบ้าน Anda เป็นบ้านที่ทำจากไม้สักอย่างที่บอกไปตอนแรก แต่การออกแบบนั้นเรียกว่าโมเดิร์นโคซี่เหมือนหลุดมาจาก MUJI เลยทีเดียว หน้าบ้านหันออกไปทางดอยหลวงเชียงดาว ให้เราเทควิวหลักล้านได้แบบเต็มตาตลอดวัน ร่มรื่นไปด้วยกอไผ่ใหญ่โตอายุกว่า 50 ปีที่ชูช่ออยู่ข้าง ๆ ทั้งห้องนั่งเล่นและห้องนอนเน้นกระจกให้ทางแสงลอดเข้ามาได้อย่างสวยงาม ไวป์ดีจนอยากจองเพิ่มอีกสักคืน
การอยู่ที่นี่ทำให้รู้สึกเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หันมามองฟ้าอีกทีก็ได้เวลาของมื้อค่ำแล้ว โดยราคาที่พักของเขาจะรวมอาหารเย็นไว้ด้วย เมนูวันนี้คือชุดอาหารเหนือที่จัดใส่กระด้งมาเซ็ตใหญ่ สำหรับกินสองคนแล้วอิ่ม เป็นการจบวันที่หลากหลายอารมณ์ ทั้งตื่นเต้นจากวิวอลังการของธรรมชาติ สนุกสนานจากการวิ่งเล่นกับน้องหมา ก่อนจะมานอนอ้อยอิ่งอ่านหนังสือแบบชิล ๆ นี่คงเป็นเสน่ห์ของที่นี่ ที่ใครมาเป็นต้องหลงรักอย่างแน่นอน
Day 2
เช้าวันนี้เรารีบตื่นมาปูผ้าดื่มด่ำบรรยากาศที่กลางสวนก่อนใคร อากาศยามเช้าที่เชียงดาวเรียกว่าบริสุทธิ์ประหนึ่งน้ำผึ้งอันหอมหวาน ที่เราอยากเก็บไว้ดอมดมตลอดปี ทั้งกลิ่นไอชื้นจากน้ำค้าง กลิ่นดินที่โชยมาพร้อมลมเย็น บวกกับภาพหมอกที่ไหลผ่านภูเขาไม่หยุดหย่อน เปลี่ยนฉากให้ดูแตกต่างกันไปทุก ๆ นาที และไม่ลืมที่จะหยิบตัวช่วยมารองท้องกับ ดัชชี่ 0% fat ‘รสเบอร์รี่ซากุระ’ โยเกิร์ตหอมกลิ่นซากุระ ที่มีเนื้อเงาะให้เคี้ยวเพลิน ๆ เป็นรสชาติ Limited Edition ที่คนรักโยเกิร์ตจะต้องห้ามพลาด
ส่วนมื้อเช้าของที่นี่จะเป็นข้าวต้มโบราณ ที่มีหมูสับ กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ข้าวนุ่ม ๆ ใส่มาในน้ำซุปกลมกล่อมสดชื่นไปด้วยกลิ่นทะเล เคียงคู่มากับไข่กระทะ โบกโปรตีนมาจุก ๆ ทั้งหมูยอ กุนเชียง ของหวานคือลำไยสด ที่เจ้าของเขาเพิ่งเก็บมาจากสวน พร้อมด้วยกาแฟดริปทำแก้วต่อแก้ว ค่อย ๆ ต้ม ค่อย ๆ เทน้ำอย่างบรรจง เมื่ออิ่มเอมจากมื้อเช้า เราก็ใช้เวลาอีกสักพักในการล่ำลาที่นี่ เพื่อไปหากิจกรรมฟีลนิปปอนเกิร์ลทำกันต่อ
Bhagava cafe & cuisine
ก่อนยิงยาวกลับเข้าเมือง เราขอแวะคาเฟ่ที่ยืนหนึ่งเรื่องการออกแบบได้คลีนสุดใจในเชียงดาว “Bhagava cafe & cuisine” ร้านที่เปิดมานานกว่าสิบปีและเพิ่งรีโนเวท ตกแต่งใหม่สไตล์มินินอล เป็นอาคารทรงเรียบหลังใหญ่โตที่มีขอบหน้าต่าง ประตูโค้งเว้า ใช้โทนสีขาวสะอาดตา แซมด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน ขัดเนื้อเนียนสวย มีช่องรับแสงกระจายอยู่ทั่วร้าน ทำให้ถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน เลือกนั่งได้ถึง 2 ชั้น พร้อมโซนเอาท์ดอร์ ตั้งโต๊ะแยกระยะกัน มอบความไพรเวทให้แบบสับ ๆ
เรื่องของกินบอกเลยว่าขนมเต็มตู้ เมนูอาหารเต็มเล่ม เครื่องดื่มไม่ต้องพูดถึง มีให้เลือกแบบกินได้ทั้งเดือนแบบไม่ซ้ำ เราจิ้มเลือก Strawberry Shortcake มีความนุ่มละไมหวานอ่อน ๆ ตัดกับผลไม้สดได้อย่างลงตัว ฟีลโฮมเมดขั้นสุด เป็นสูตรที่ทางร้านพัฒนาขึ้นเอง กินคู่กับกาแฟ Biscoff ยอดฮิต มีทั้งกลิ่นอะโรมากาแฟหอม ๆ และชินนามอนจากคุกกี้ กินแล้วมันจะฟิน ๆ หน่อย
La Luna Gallery
เสพธรรมชาติกันจนฉ่ำปอดแล้ว ขับรถเข้าเมืองมาเสพงานศิลป์ให้ฉ่ำใจกันบ้างที่ “La Luna Gallery” อยู่ภายในบ้านคุณารักษ์ อาคารเก่าสไตล์โคโรเนียลอายุกว่า 80 ปี ย่านชุมชนวัดเกตที่ได้รับการซ่อมแซมบำรุงอย่างดีจนแทบเหมือนใหม่ โดยผู้ชุบชีวิตเปิดเป็นแกลลอรีนี้คือชาวเยอรมันผู้รักในงานศิลปะ ที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่นานหลายสิบปี งานส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะร่วมสมัยที่ไม่จำกัดประเภท มีทั้งงานจัดแสดงหมุนเวียน งานของสะสม จนไปถึงงานหัตถกรรม และศิลปะล้านนา ที่ชอบสุด ๆ คือการจัดวางองค์ประกอบ การใช้โทนสีขาวตัดด้วยงานไม้ พอวางงานอาร์ตสีฉูดฉาด เห็นถึงความคอนทราสต์ระหว่างความคลาสสิกและชิกเก๋ แต่กลับอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว
ช่วงที่เรามานั้นเป็นงานนิทรรศการ OLD BOI รวมงานจากศิลปินสมัยใหม่ เป็นงานกราฟฟิกดีไซน์ลายเส้นเฉพาะตัว ทั้งแบบ Pixel, เกมส์, คาแรกเตอร์ และการ์ตูน นอกจากความแตกต่างของงานวาดแล้ว ยังมีเรื่องเทคนิคการใช้กระดาษ การใช้สีที่น่าสนใจ มีการสอดแทรกวัฒธรรมที่เป็น Symbol เข้ามาในงานศิลปะได้แบบไม่น่าเบื่อ ทำให้เราสามารถเดินละเมียดชมทีละภาพได้อยู่หลายชั่วโมงเลยทีเดียว
Posie Flowers Shop
กิจกรรมสำหรับสาวหวานโลกสวยอย่างเรา คงหนีไม่พ้นเรื่องดอกไม้ แต่ขอหยุดพักจากการเข้าสวน เปลี่ยนเป็นซื้อดอกไม้ไปแชะรูปเล่นกันแทน ที่ร้าน “Posie Flowers Shop” โดยดอกไม้ร้านนี้จะพิเศษหน่อย ตรงที่น้องจะไม่มีวันเหี่ยวเฉา เพราะทำจากกระดาษสาธรรมชาติ 100% แล้วทำออกมาได้นุ่มนวลละม้ายคล้ายดอกไม้จริงมาก ถ้าไม่เดินเข้าไปจับก็แยกไม่ออกเลยว่าเป็นของจริงหรือของปลอม โดยร้านจะแยกโทนสีของดอกไม้วางเรียงให้เราเลือก จะจัดช่อสีคัลเลอร์ฟูลเอาใจผู้ใหญ่ หรือเน้นคุมโทนแบบเกาหลีเกาใจก็ได้หมด เป็นได้ทั้งพร็อปถ่ายรูป ของขวัญแทนใจ และของตกแต่งบ้าน บอกเลยว่าคุ้มสุด ๆ
อ่างแก้ว มช.
ปิดทริบแบบสวยกับสวนสาธารณะที่มารอบที่ล้านแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักครั้ง “อ่างแก้ว มช.” แหล่งรวมกิจกรรมสนุก ๆ ทั้งยามเช้าและยามเย็นของชาวเชียงใหม่ เป็นที่ที่มาคนเดียวก็ไม่เหงา โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน นอกจากวิวจะสวย มุมถ่ายรูปจะเยอะแล้ว มันจะมีหลายเส้นเรื่องให้เรามองเพลินมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น คนมาวิ่งออกกำลังกาย โยนบอล พาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น กลุ่มคนมานั่งปิกนิก จนไปถึงนั่งวาดรูป ฯลฯ เป็นที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและรอยยิ้มอยู่เสมอ
เพื่อทำตัวให้เข้ากับบรรยากาศ เราจึงเตรียมมานั่งปิกนิกด้วยเช่นกัน เริ่มจากหามุมสวย ๆ ปูผ้าพร้อมหนังสือเล่มโปรด หยิบโยเกิร์ต ดัชชี่ 0% fat รส ‘ขนมโมจิคินาโกะ’ ขึ้นมากินแกล้ม ก็จะได้ความฟินไปกับเท็กซ์เจอร์หนุบหนับคล้ายโมจิจากบุก มีกลิ่นหอมคินาโกะโชยมาอ่อน ๆ กินแล้วให้ฟีลญี่ปุ่นสุด ๆ ไอเลิฟโซมัส
นอกจากจะอร่อยแล้ว โยเกิร์ตสองถ้วยนี้ยังเติมความสดชื่นให้ทริปเชียงใหม่แก่เราได้แบบเต็มร้อย เพราะน้องมาช่วยเพิ่มพลังยามท้องว่างได้ทันเวลา ทำให้มีกำลังในการเที่ยวอย่างสนุกสนาน สมกับสโลแกน ‘ดัชชี่ 0% Fat อร่อย สดชื่น มั่นใจ ไม่มีไขมัน กินทุกวัน ดีทุกวัน’ จริง ๆ
ใครกำลังตีตั๋วมาเที่ยวเชียงใหม่ก็ลองจัดธีมลิตเติ้ลเจแปนแบบเราดูได้นะ แค่มิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อให้ดูเรียบเก๋แบบนิปปอนเกิร์ล เตรียมผ้าปู หนังสือมานิด ๆ หน่อย จากนั้นปักหมุกเช็กอินตามโลเคชั่นที่เรามา รับรองว่าได้รูปไปอัพฟีลเที่ยวญี่ปุ่นจนเพื่อนงงแน่นอน