ถ้าการสำรวจนอกโลกมีความตื่นเต้นฉันใด การเดินทางไปจีนก็มีเรื่องตื่นเต้นฉันนั้น ก็แหมมมม พอเอ่ยคำว่าจีนก็ต้องนึกถึงธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ สวยงามอลังการตะลึงพรึงเพริศไปจนวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ยาวนานที่กล่าวขานนับพันปี การันตีด้วยตำแหน่งจากยูเนสโก้ตบเท้าเรียงคิวกันมาให้เก็บแต้มไม่หวาดไม่ไหว แต่!! ไม่ใช่คราวนี้ เพราะเราจะพักความธรรมชาติจ๋า ๆ เดินสับขาเข้าสู่ Shanghai มหานครเจ้าของฉายา New York of the East พลิกมโนภาพเมืองจีนแบบเก่า แล้วมุ่งเข้าสู่ความเจริญหูเจริญตาพบกับความจีนที่ไม่จีนอย่างที่คิด ณ เมืองเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า ประดับประดาด้วยแสงสียามค่ำ คาเฟ่แสนเก๋ สวนสนุกระดับโลก รวมไปถีงมิวเซียมมากมายให้คนรุ่นใหม่ทั้งหลายได้ต่อยอดจินตนาการ โอ๊ยแม่!!! นี่แค่อินโทร ยังชวนสัมผัสขนาดนี้ ถ้าอ่านจนจบรีวิวนี่จะต้องการไปเที่ยวขนาดไหน เอาล่ะทุกคน!! ได้เวลาสลัดภาพจีนที่เคยคิดทิ้ง ไปหยิบเดรสที่เพิ่ง F มาใหม่ใส่ลงกระเป๋า แล้วสะบัดกระโปรงฟูลเทิร์นเข้าเกต บินลัดฟ้าไป Say hi มหานครไฮโซอันดับ 5 ของโลกได้เลยจ้า
ชุดพร้อม ใจพร้อม กายพร้อม ตั๋วเครื่องบินก็พร้อมแบบสุด!! เราก็ออกเดินทางไปกับ Thai AirAsia X ตัวจริงเรื่องบินจีน ที่แม้จะเป็นสายการบิน Low-cost แต่ก็เป็นโลว์คอสที่เลอค่า เพราะมาพร้อมความสะดวกสบายครบครันเมื่อเรากดเลือกแพ็คสุดคุ้ม เค้าให้ตั้งแต่เลือกที่นั่งมุมโปรด อาหารอุ่นร้อนอิ่มอร่อยสบายท้อง น้ำหนักกระเป๋า จัดชุดโคฟเป็นเจ้าแม่เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ได้แบบจุก ๆ ในราคาที่ถูกลงถึง 20% แถมเวลาไปยังดี๊ดี กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) – เซี่ยงไฮ้ (ผู่ตง) 00:01 ถึง 05:30 น. เดินออกจากเกต ฝากกระเป๋าที่โรงแรมเสร็จ ก็ออกล่าหามื้อเช้าแล้วเที่ยวตามแพลนแบบเต็มวันได้ทันที ส่วนเวลากลับก็ถึถึงไทยสิบโมงหน่อย ๆ โบกรถกลับบ้านได้ไม่ต้องกลัวรถติด แล้วล่าสุด AirAsia ได้เพิ่มไฟลท์บินตรง กรุงเทพ (ดอนเมือง) – เซี่ยงไฮ้ (ผู่ตง) มาเป็นทางเลือกเพิ่มเติมถึง 5 เที่ยวบิน/สัปดาห์ (จันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) เริ่มบิน 2 กุมภาพันธ์ 2567 นอกจากเซี่ยงไฮ้รูทจีนอื่น ๆ ก็ยังคงบินจากดอนเมืองนะทุกคน
DAY 1
01 New York Bagelous Museum (纽约贝果博物馆)
เริ่มสร้างความประทับใจแรกด้วยการหาของกินอร่อย ๆ ที่ร้าน New York Bagelous Museum สวรรค์ของเหล่าเบเกิลเลิฟเวอร์ อาหารมหัศจรรย์ที่เป็นได้ทั้งมื้อหลัก ของว่าง และของหวาน โดยเบเกิลของที่นี่จะมีให้เลือกมากกว่า 10 รสชาติ บวกกับบรรยากาศร้านที่ทำออกมาได้กิ๊บเก๋ มู้ดดีประหนึ่งอยู่นิวยอร์ก สร้างอาคารด้วยอิฐส้มเปล่าเปลือย ภายในใช้เฟอร์นิเจอร์ ชั้นวางทำจากไม้ดูโฮมมี่โฮมเมด มองลึกเข้าไปเห็นพี่ ๆ พนักงานกำลังนวดแป้ง ตกแต่งไส้กันอย่างขะมักเขม้น มีกลิ่นหอมของขนมอบคลุ้งไปทั่วร้าน ทำเรากลืนน้ำลายไปหลายรอบเลยทีเดียว
สิ่งที่เราหยิบมาแต่ละอย่างเรียกว่าสมมงมื้อเช้าของเด็กอ้วนสุด ๆ เพราะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน เป็นเบเกิลหน้าชีสอันนึง อีกอันสอดไส้ Chives Leeks Cheese Bagel อัดแน่นด้วยครีมชีสนัว ๆ กับกุยช่ายหอม ๆ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์และเบสต์เซลเลอร์ของเขา ถามถึงรสชาติ เราว่าทุกอย่างที่ใส่มา มันเข้ากันดีกับความเหนียวนุ่มของขนมปังมาก ๆ กินคู่กาแฟดำร้อน ๆ ช่วยให้คล่องคอ เป็นความอิ่มกำลังดี แถมให้พลังงานเยอะ เท่านี้ก็พร้อมลุยต่อแบบเต็มสูบแล้ว
02 The street of 1,000 red jars
เดินเบิร์นแบบเพลิน ๆ ให้ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่กินเข้าไป ไม่ไกลนักก็จะเจอกับจุดเช็คอินถ่ายรูปใหม่ล่าสุดของเมือง The street of 1,000 red jars แหล่งรวมร้านค้าร้านอาหาร มองจากภายนอกเราจะเห็นเป็นอาคารทรงเก่าแก่ สร้างขึ้นเมื่อสมัยฝรั่งเศสมีสัมปทาน ช่วงปี 1848-1943 แต่ภายในกลับมีความสลับซับซ้อน เป็นผลงานออกแบบของ Jean Nouvel ปัจจุบันได้รับการรีโนเวทใหม่ให้ดูสะอาด ทันสมัยขึ้น พร้อมทาสีแดงทับทั้งโครงสร้าง ถ้าสังเกตดี ๆ ตามระเบียงจะมีขวดโหลทรงจีนวางประดับพร้อมต้นไม้อยู่ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าพันใบ อันเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง เอาเป็นว่านี่คือสปอตล่าสุดที่เหล่า instagrammer จะต้องห้ามพลาดมาถ่ายรูปเช็คอิน
03 Xintiandi Street
หากกล่าวว่าเซี่ยงไฮ้คือนิวยอร์กแห่งซีกโลกตะวันออก ตรงนี้ก็คงเป็น Upper East Side นั่นแหละ เพราะความหรูหราผู้ดี ทำให้เราอดเปรยมาไม่ได้ ย่านนี้เต็มไปด้วยห้างหรูเรียงรายพร้อมใจกันขายของแบรนด์เนมระดับ Hi-end ระดับท็อป แล้วก็มีร้านประเภท Selected Shop หรือ ร้านของ Designer ชาวจีนเองมาวางขาย แต่หากไม่ใช่นักช็อป เราก็ภูมิใจนำเสนอการเดินไปรอบ ๆ ชมบ้านเรือนยุคเก่าของชาวไฮโซเซี่ยงไฮ้ กับสไตล์ที่เรียกว่า ฉือคู่เหมิน (Shikumen) หรือแปลเป็นไทยว่า ประตูหิน ลักษณะเป็นตึกแถว 2-3 ชั้น สร้างด้วยอิฐบล็อกแบบฝรั่ง มีประตูและกำแพงหินสวยงามคลาสสิก ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว และเป็นเอกลักษณ์ แค่เดินเผลอ ๆ หรือยืนถ่ายรูปกับกำแพงและประตูบ้านก็กลายเป็นคุณหนู คุณนายแบบไม่รู้ตัว
04 The Bund
หลงปังก็ต้องหลงเหล่า ถ้าอยากให้เธอหลงเราต้องทำไง วิ้ววววว ยอมใช้มุขฝืดขนาดนี้ เพราะพิกัดนี้เป็นหนึ่งในฉากหลักของภาพยนตร์เรื่อง ‘เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้’ นั่นเอง บอกเลยว่ามันเป็นฉากที่ติดตราตรึงในใจคนรุ่นแม่เราสุด ๆ จนคนไทยเรียกว่าหาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้กันเลยทีเดียว พื้นที่ของ The Bund เป็นทางเดินยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร เลียบแม่น้ำหวงผู่ แม่น้ำสายสำคัญของเมืองเซี่ยงไฮ้ อดีตเป็นท่าเรือสำคัญของเมือง มีตึกรามทรงยุโรปอายุนับร้อยปีมากมาย เดินชิล ๆ นวยนาดเลียบริมน้ำไปเรื่อย ๆ เราก็จะได้เห็นบรรยากาศของเมืองทั้งสองเขต “เมืองเก่า” คือพื้นที่ฝั่งเดอะบันด์ และ ”เมืองใหม่” พื้นที่ฝั่งหอคอยไข่มุก Shanghai Tower Pearl Tower ได้พร้อม ๆ กัน
อีกจุดที่เราไม่อยากให้ทุกคนมองข้ามคือบริเวณ Zhapulu Bridge สะพานที่เผยให้เราเห็นตึกฟอร์มยักษ์ ถ่ายรูปตรงเส้นสะพานนำสายตาไปด้านหลังก็คือปังไม่ไหว ถ้ามีเวลา แนะนำให้เดินทอดน่องช่วงเย็น ๆ ไปถึงค่ำ เพราะเมื่อทุกอาคารพร้อมใจกันเปิดไฟ เมื่อนั้นเราจะเจอความสวยสะกดจนแทบลืมหายใจเลยทีเดียว เหมาะกับการมานั่งชิล ๆ คนเดียว หรือจะพาแฟนมาดื่มด่ำกับความโรแมนติกให้สมกับที่เขาเป็น Waitan The Best Romantic of Shanghai ช่วยสร้างโมเมนต์ดี ๆ ให้กับชีวิตคู่ได้ด้วย
DAY 2
05 Shanghai Disneyland
กู๊ดมอร์นิ่งลมฟ้าอากาศ เริ่มต้นวันที่สองด้วยการทักทายผีเสื้อและแสงยามเช้าด้วยฟีลลิ่งสดใสสไตล์เจ้าหญิงดิสนีย์ เพราะวันนี้เราจะไปเติมเต็มความฝันวัยเยาว์เพื่อพิสูจน์ใจตัวเองว่า ไม่มีใครแก่เกินไปสำหรับสวนสนุก Shanghai Disneyland ที่ได้ยินแค่ชื่อแบรนด์ สาวๆ ทุกคนก็ตาลุกวาวเป็นประกายขึ้นมาทันที เริ่มต้นความหรรษาเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปเจอ Garden of Imagination สวนสวยที่มีเครื่องเล่นกรุบกริบสำหรับเด็ก ๆ มีฉากหลังเป็น Enchanted Storybook Castle ปราสาทในฝัน ให้เราโพสท่าร่วมเฟรมรัว ๆ จนชัตเตอร์ค้าง หลังจากนั้นก็สามารถเดินเที่ยวต่อเป็นวงกลมได้เลย เพราะที่นี่เค้าจัดโซน วางเลย์เอาท์ไว้ดีมาก ไม่งง ไม่หลง แน่นอน
เครื่องเล่นส่วนใหญ่ของเขาไม่ได้ Adventure แบบหวือหวาน่ากลัวมากนัก แต่ทั่วทั้งบริเวณยังคงความน่ารักตามสไตล์ดิสนีย์ให้เราแวะถ่ายรูปจนกินเวลาส่วนใหญ่ไปเลย ดังนั้น จะเลือกเล่นอะไรก็ให้โฟกัสที่อยากเล่นจริง ๆ แล้วใช้เวลาไปกับการเดินชิลแวะตรงนั้นตรงนี้ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ มีทั้งร้านของฝากและร้านอาหาร แต่ละร้านก็มีธีมการตกแต่งแตกต่างกันไป เตือนไว้ตรงนี้ด้วยความหวังดี ว่าถ้าใจไม่แข็งพอ อย่าเข้าเด็ดขาด เพราะแต่ละอย่างมันพาเราอินจนอยากหิ้วกลับมาเชยชมต่อที่บ้านสุด ๆ ไปเลย
ด้วยความเยอะเกินจะบรรยาย เราขอหยิบเล่าอันที่เจ๋ง ๆ เสียว ๆ และที่ชอบส่วนตัวแทนแล้วกัน โดยขอเริ่มที่โซน Tomorrowland กับเครื่องเล่นสุดคูลและเริ่ดที่สุดของเขา นั่นก็คือ TRON Lightcycle Power Run เป็นรถไฟเหาะแนว Futuristic ที่อิงตามเรื่อง TRON: Lagacy ขอบอกว่ายืนหนึ่งเรื่องความเสียว เพราะเราจะต้องนั่งลงหมอบกับตัวมอเตอร์ไซค์ จากนั้นเครื่องมันจะพุ่งไปตามรางจากด้านในที่เหมือนตะลุยอยู่ในโลกอนาคตสู่ด้านนอก ให้ออกไปสูดอากาศบนที่สูงแป๊บ ๆ ก่อนกลับเข้ามาใหม่ คือมันสนุกจริง ล้ำจริง ม่วนจริงนะอีหล่า..
โซนต่อไปน่าจะเป็นโซนที่แมสสุดของดิสนีย์แลนด์ทั่วโลก เพราะขาดโซนนี้ไปความน่ารักจะหายทันที นั่นก็คือ Fantasyland ที่ตั้งของปราสาทดิสนีย์ ซึ่งนอกจากจะมีปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาปราสาทดิสนีย์ทั่วโลกแล้ว รอบๆ บริเวณยังเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องเล่นจากคนดัง เช่น พี่หมีพูห์ ปีเตอร์แพน อลิส หรือห้องของสโนว์ไวท์ที่มาพร้อมกับคนแคระทั้ง 7
ก่อนจะไปรอดูขบวนพาเหรด เรามาใช้เวลาที่ Toy Story Land โซนที่ต้องยกคะแนนให้ 10 เต็ม มันมีความตะมุตะมิด้วยการจำลองตัวเราเป็นของเล่นขนาดจิ๋วเท่าตัวละคร ในส่วนของเครื่องเล่นก็มีมากมายน่ารักน่าลองไปหมด เช่น Woody’s Roundup รถม้าลากหมุนในหมู่บ้านคาวบอย หรือ Slinky Dog Spin ที่มีชื่อเล่นว่า หมาหมุน ซึ่งจริงๆ คือน้องหมาสปริง พาเราหมุนเหวี่ยงเป็นวงกลม รับรองว่าจะเด็กหรือไม่เด็กก็ต้องชอบใจแน่นอน
จุดพีคจุดปังของทุกวันต้องยกให้ขบวนพาเหรด ที่จะเริ่มต้นที่โซน Toy Story ชื่อการแสดง ‘Mickey’s Storybook Express’ ในวันที่เรามา เขามีจัดแสดง 2 รอบ 12:15 น. และ 15:45 น. ตั้งแต่ต้นขบวนยันท้ายขบวนใช้เวลาเกือบ 15 นาที เป็นขบวนที่แคสติ้งยิ่งใหญ่ไม่จกตา สานฝันวัยเด็กของแฟนคลับเจ้าหญิงอย่างเราสุด ๆ มาครบตั้งแต่ ดัฟฟี่และผองเพื่อน มิกกี้ มินนี่ตัวเด่น พร้อมบรรดาเจ้าหญิงที่รวมตัวโบกมือกันอย่างงดงาม พี่หมีพูห์ เอลซ่าก็มี หรือจะเป็นกองทัพทอยสตอรี่ก็มา บอกเลยว่าทางนี้กรี๊ดเสียงหลงให้แทบทุกคัน เพราะพี่ ๆ นักแสดงเล่นใหญ่ สดใสเกินต้าน จนคิดว่าหลุดมาจากการ์ตูนจริง ๆ
ยอมตื่นแต่เช้า เดินเล่นเริงร่ามาทั้งวัน ถ้าแกหมดแรงยอมแพ้ถอยหลังกลับก่อน 2 ทุ่ม นั่นก็แปลว่าที่แกทุ่มเทมาจะไร้ค่าทันที เพราะไฮไลต์อันโด่งดังของที่นี่คือการแสดง แสง สี เสียง พลุ แบบอลังการงานสร้าง ‘ILLUMINATE! A Nighttime Celebration’ จัดบริเวณปราสาทดิสนีย์ รับรองเลยว่าตระการตา แฟนตาซี โรแมนติก จนต้องกลับมาเพ้อต่อที่โรงแรมชัวร์
DAY 3
06 St.Ignatius Cathedral
เริ่มต้นเช้าแบบที่ลืมไปเลยว่านี่คือเมืองจีน ณ St. Ignatius Cathedral หรือที่คนจีนเรียกกันว่า Xujiahui Cathedral โบสถ์คาทอลิก ที่ออกแบบสไตล์ Gothic โดยสถาปนิกชาวอังกฤษ William Doyle และเหล่าคณะเยซูอิต ถ้าเอาตามความจริงโบถส์แห่งนี้สร้างมานานมากกว่า 110 ปีแล้ว แต่ด้วยปี 1966 ที่นี่เคยถูกทำลายจากปัญหาบ้านเมือง จึงมีการบูรณะครั้งใหญ่เกิดขึ้น หากใครได้มาเห็นด้วยตาตัวเองจะรู้ว่าเขาสร้างอย่างยิ่งใหญ่ ใส่ใจรายละเอียดมาก ภายนอกเป็นอิฐแดงดูมีมนต์ขลัง แต่ภายในกลับสว่าง โอ่โถง เรียบง่ายให้ฟีลยุโรปแบบถูกต้อง ยิ่งมาช่วงซัมเมอร์ จะมีดอกไม้ชูช่อรอเราอย่างเบิกบาน Vibe ดีจนไม่อยากไปไหนเลย
07 Zikawei Library
สถาปัตยกรรมที่ปากต้องลั่นวาจา Oh my god อย่างอัตโนมัติ คือ Zikawei Library ห้องสมุดสุดว้าวที่เพิ่งเปิดตัวปี 2023 ยิ่งใหญ่จนทำเราอิจฉาหนอนหนังสือประเทศนี้เป็นอย่างมาก นอกจากการออกแบบจะรีโนเวทอาคารเก่าที่เคยสร้างไว้ โดยโครงสร้างได้อินสไปเรชันมาจาก Chinese trousseau box ของราชวงศ์ฮั่น หลังจากที่ถูกทิ้งร้าง ทางการได้กลับมาต่อเติมใหม่จนดูโมเดิร์นร่วมสมัย โอ่โถงด้วยช่องเพดานสูงที่ตีทะลุให้เห็นตั้งแต่ชั้นล่างถึงชั้นบน แต่งสีแต่งไฟให้ดูสว่างน่าอ่านหนังสือมากขึ้น มีการแบ่งสัดส่วนอย่างดี ให้เราหามุมสงบได้ทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ มีร้านขายของที่ระลึก อาร์ตแกลนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นสถานที่ที่ขอปักหมุดเป็นรูปหัวใจไว้ในแมป เพราะต้องได้กลับมาอีกแน่นอน
08 CaféOtter+TextandImage (梯书店)
คาเฟ่ที่ถ่ายรูปได้โซคิวท์โซโคเรียสุด ๆ ขายทั้งกาแฟและเป็น Selected Shop วางขายของวัยรุ่นดีไซน์เก๋ โดยร้าน CaféOtter+TextandImage (梯书店) เขาจะปรับเปลี่ยนธีมไปเรื่อย ๆ ช่วงที่เรามาเป็นคอนเซปต์ “小狗电影院” หรือโรงหนังน้องหมา มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วหนังตกแต่งอยู่กลางร้านให้เราไปโพสท่าคู่ ด้วยโทนสีฟ้า-เทาใช้ไฟนีออน รวมกันแล้วได้บรรยากาศที่เก๋กรุบน่ารักไม่จกตา วางขายของกระจุกกระจิกธีมน้องหมา อาทิ สมุด เสื้อผ้าของสัตว์เลี้ยง ส่วนกาแฟก็ดี ขนมน่ารัก เจ้าของร้านยังแสนเฟรนด์ลี่ โดยรวมคะแนนเต็มสิบเราให้เกินร้อยเลย
09 CREATER SPACE | Huge
CREATER SPACE สถานที่ที่บ่งบอกถึงความใส่ใจด้านศิลปะของเมืองเซี่ยงไฮ้ หลายอาคารละแวกนี้เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ บ้างเป็น Co-working Space บ้างจัดนิทรรศการหมุนเวียน เราเลือกเข้ามาที่ ‘愚园路1107号创邑 SPACE’ อยู่ตรงถนน Yuyuan บนชั้นสองเขากำลังจัดแสดงผลงาน ‘RageBaby’ ตัวการ์ตูนเด็กโกรธในรูปแบบต่าง ๆ ดูน่ารักน่าหยิก ผลงานจาก Cai Jun ศิลปินชาวจีนที่ได้รับรางวัล ได้จัดแสดงใน Exhibition และ Art Festival มากมาย ด้วยลายเส้นที่ดูเรียบร้อย สีสันน่ารัก มีการล้อเลียนตัวการ์ตูนต่าง ๆ ถือเป็นศิลปินอีกคนที่น่าจับตามอง
10 Hengfu Historical Area
ย่านเมืองเก่าที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนไปอยู่นิวยอร์กสมัยก่อนถึงสิบเท่า Hengfu Historical Area พื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองจากการทำการค้ากับต่างประเทศเมื่อทศวรรษที่ 1900 เป็นเขตสัมปทานเก่าของฝรั่งเศส จึงมีอาคารทรงยุโรปตั้งเรียงรายอยู่มากมาย หลายตึกได้ขึ้นทะเบียนเป็นโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ปัจจุบันเป็นทั้งแหล่งช็อปปิงและย่านกินดื่มของคนเมือง กิมมิกที่น่าสนใจคือการรีโนเวทอาคารต่าง ๆ ทางการเขาจะใส่ใจรายละเอียดมาก ก้อนอิฐที่นำมาซ่อมแซมจะต้องผสม ผลิตใหม่ให้ได้คุณภาพเทียบเท่าของเดิม การทำกระเบื้องโบราณด้วยการหาซื้อสีที่คล้ายเดิมแล้วนำมาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้เห็นว่าหากจีนตั้งใจ เขาก็สามารถเป็นเลิศได้ในทุกด้านจริง ๆ ที่พลาดไม่ได้คือไอคอนิกอย่าง Wukang Mansion อาคารอิฐผสมเทาแดง ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหัวถนน เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของชาวจีนและต่างชาติ
11 Shanghai Natural History Museum
เสียค่าเข้าเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเทียบเท่ามูลค่าของสิ่งที่เจอข้างในนี้ได้ เพราะนี่ Shanghai Natural History Museum คือหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ท่ีอยู่คู่เมืองมานานกว่า 67 ปี เมื่อก่อนอยู่ในอาคารเล็ก ๆ ก่อนย้ายมายังที่ตั้งในปัจจุบัน ด้วยการออกแบบให้สมมงเมืองแห่งความล้ำสมัย จึงออกแบบเป็นรูปทรงคล้ายเกลียวเปลือกหอย สูงกว่า 5 ชั้น ใช้พื้นที่มากกว่าสี่หมื่นตารางเมตร อลังปังเวอร์ตั้งแต่ทางเข้าที่ล้อมรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ และงานปั้นดีไซน์เก๋ ส่วนด้านในชวนช็อกยิ่งกว่า เพราะมีตัวอย่างสัตว์และพืชหลายสายพันธุ์ จนไปถึงของสะสม รวมกว่า 290,000 ชิ้น ไล่เรียงมาตั้งแต่อดีต การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตยุคต่าง ๆ เพลิดเพลินกับการนำเสนอผ่านแสงสีเสียงที่น่าสนใจ เรียกว่าใช้เวลายาว ๆ เกือบ 3-4 ชม.กว่าจะเดินครบเลยทีเดียว
ที่พีคที่สุดคือชั้นจัดแสดงสัตว์ต่างๆ ที่มีทั้งตัวจริงมาสตัฟฟ์ และหุ่นจำลองเท่าตัวจริงในสเกลหนึ่งต่อหนึ่ง มีตั้งแต่ปลาวาฬ กวางมูส ไปจนถึงไดโนเสาร์ตัวโตหลากหลายสายพันธุ์ บางตัวคอยาวหางยาว แบบพาดจากด้านหนึ่งไปอีกด้านของตึกได้เลย ทำเราอึ้งในความทุ่มทุนสร้างของพี่จีน เขาเอาสุดทุกทาง เลิศไปทุกอย่าง ข้าน้อยขอยอมแพ้ ใด ๆ คือถ่ายรูปออกมาแล้ว เราดูเล็กตัวเล็กตัวน้อยไปเลยแก.. รูปโปรไฟล์ใหม่ต้องมีแล้ว 1
12 Shanghai Tower
อาคารสูงเสียดฟ้าที่ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ เป็นหนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดของจีน และติดอันดับสองโลก Shanghai Tower โดดเด่นด้วยความโค้งมน รูปทรงเกลียว ถือเป็นสัญลักษณ์การออกแบบของจีนสมัยใหม่ ทั้งยังช่วยลดการปะทะแรงลมได้มากกว่าอาคารทรงเหลี่ยม ภายในมีทั้งร้านอาหาร ร้านค้า คาเฟ่ โรงแรม และสำนักงาน และแน่นอนว่าต้องมีจุดชมวิวให้เราได้เทควิวเมืองเซี่ยงไฮ้ด้วยเช่นกัน ที่ ‘Observation Desk’ บนชั้น 118 แค่เดินออกจากลิฟต์ ก็แทบจะร้องกรี๊ดกับความไพศาลของเมืองอันเจริญหูเจริญตา เราสามารถเดินวนชมรอบได้ถึง 360 องศาเลยทีเดียว
แสงเย็นตรงหน้าว่างามแล้ว ทันทีที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บอกเลยว่าเดอะเบสต์ โมเมนต์ ออฟ มาย ไลฟ์ มากกกก.. เพราะทั่วทั้งเมืองจะเปิดไฟ บ้างเป็นดวงกลม บ้างเป็นเชปตามรูปทรงตึก เหมือนกล่องอัญมณีเล่นไฟระยิบระยับ เด่นสุดเห็นจะเป็น Oriental Pearl Tower ที่เขาเปิดไฟเป็นจังหวะ จนอยากจะถ่ายสตอรี่แล้วใส่เพลงฟีลดิสโก้เทค ตีตั๋วครั้งเดียวได้ทั้งแสงฟ้า และแสงไฟมันสุดจะคุ้มจริงเชียว
DAY 4
15 Yu Garden
ขอเริ่มต้นวันนี้ด้วยการงัดเอาสวนสวยอายุกว่า 400 ปีเข้าประกวด Yu Garden หรือสวนอี้หยวน (Yuyuan Garden) เป็นสวนขนาดใหญ่พื้นที่ 20,000 ตรม. ว่ากันว่าใช้เวลาสร้างกว่า 18 ปี กว่าจะสวยงามได้ขนาดนี้ อันที่จริงสวนนี้เป็นสมบัติส่วนบุคคลของเศรษฐีคนหนึ่งที่ตั้งใจจะสร้างไว้ให้พ่อกับแม่ไว้พักผ่อนเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอิน Must visit ของเซี่ยงไฮ้ไปเรียบร้อยโรงเรียนจีน
ที่นี่แบ่งเป็นสองส่วน สวนชั้นนอกเป็นแหล่งช็อปปิงแบบเก๋งจีน ตามตรอกซอกซอยมีร้านอาหาร ร้านขนม โรงน้ำชา ร้านขายของที่ระลึกที่เป็นงานฝีมือ ให้เดินเลาะชมไปไม่เบื่อ คึกคักคึกครื้นเนืองแน่นจอแจจนแทบจะคาดไม่ถึงว่า เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูไม้สีเทาบานใหญ่ บนกำแพงขาวเข้าสู่สวนชั้นในจะกลายเป็นอีกบรรยากาศประดุจหลุดเข้ามาในกระจกทวิภพทันที เพราะสวนชั้นในที่ล้อมรอบด้วยกำแพงมังกรแห่งนี้เงียบ สงบ สยบความเคลื่อนไหว เต็มไปด้วยต้นไม้อายุนับร้อยปี มีสะพานข้ามสระน้ำ สวนไผ่ บ่อปลาคาร์ป สิ่งปลูกสร้างและสถาปัตยกรรมจีนมากมาย ทั้งบ้านเรือนที่เป็นทรงเก๋งจีน ศาลาสมัยราชวงศ์หมิงที่นำเสนองานแกะสลักอันประณีตงดงาม
หากมาถึงย่านนี้แล้วอยากได้ร้านอาหารที่เป็น must eat!! เราขอผายมือให้กับ Nanxiang Steamed Bun (City God Temple) การันตีความเด็ดด้วยป้ายมิชลินไกด์หลายปีซ้อน พร้อมป้ายรางวัลของจีนเองอีกมากมาย โดยร้านนี้ขายอาหารจีนพื้นเมืองมานานกว่า 123 ปีแล้ว เมนูขึ้นชื่อคือเสี่ยวหลงเป่าสูตรโบราณ ที่ทำด้วยมือ ปรุงด้วยใจทุกชิ้น เนื้อแป้งจะบางดุจกระดาษ แต่เหนียวนุ่มอย่าบอกใคร กัดไปเจอซุปหวานเค็มเข้มข้น ไส้หมูสับที่ปรุงรสชุ่มฉ่ำด้วยเนื้อและมันที่แทรกกันอย่างพอดี กินแกล้มกับขิงซอย และจิ๊กโฉ่ว มันเหมือนขึ้นสวรรค์แบบก้นยังติดโต๊ะอยู่เลยจริง ๆ
16 Huxin Pavilion
เพื่อให้สมกับเป็นลูกตระกูลคนไทยเชื้อสายจีน เรามาร่วมพิธีกรรมล้างปากกันด้วยน้ำชาสักหน่อย ที่ร้าน Huxin Pavilion ศาลาจีนสูง 2 ชั้นตั้งอยู่กลางน้ำ สีแดงสดใสประดับด้วยงานสลักลวดลายจีน ภายในก็ตกแต่งอย่างหรูหราไม่แพ้กัน ทั้งโครงเพดาน เสา ขื่อ กรอบประตู เก็บดีเทลสวยงาม เนี้ยบ จัดวางเฟอร์นิเจอร์ไม้ทรงคลาสสิกที่ดูมีน้ำหนักมีราคา ทำหน้าที่เป็นโรงน้ำชามานานกว่า 168 ปี เคยเป็นที่นัดพบของเหล่าพ่อค้า และคนชนชั้นสูง เมนูที่ร้านจะเป็นสารพัดชา ที่รวบรวมใบชาที่ดีที่สุดจากทุกที่ในจีน ชงผ่านน้ำแร่เท่านั้น เราลองสั่งชาจัสมินมา ที่ชอบคือเราเห็นดอกไม้มาอยู่ที่ใต้กาแบบเรียล ๆ ไม่ใช่แค่ใบชาเหมือนทั่วไป เสิร์ฟมาพร้อมขนมสไตล์จีนโบราณ หน้าตาน่ารัก รสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ เข้ากับชาได้อย่างลงตัว ให้ฟีลเหมือนเป็นองค์หญิงในซีรีส์จีนย้อนยุคสุด ๆ
17 China Art Museum
อีกหนึ่งมิวเซียมเซี่ยงไฮ้ที่คนรักงานอาร์ตต้องมา China Art Museum แม้ว่าจะไม่ได้ฮอตเท่ามิวเซียมอื่น ๆ แต่ก็ไม่ควรพลาด แค่เดินมาถ่ายภาพกับตึกสีแดงเด่นตระหง่านตรงด้านหน้าก็ถือว่าปังมากแล้ว แล้ว ยิ่งได้รู้ว่าตึกใหญ่สไตล์จีนร่วมสมัย แสนสะดุดตาที่อยู่ตรงหน้านี้คือหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ก็ยิ่งต้องวิ่งเข้าหา โดยภายในเขาแบ่งจัดแสดงได้มากถึง 27 ฮอลล์ มีนิทรรศการหลักที่สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่หากอยากชมนิทรรศการหมุนเวียน ก็เสียค่าเข้าชมเพียงไม่กี่หยวนเท่านั้น
แม้ช่วงที่เรามาจะมีหลายห้องกำลังปิดเพื่อติดตั้งผลงาน แต่ก็ยังมีนิทรรศการเบสิก ๆ อย่างห้องจัดถาวรที่เก็บรวบรวมของเก่า เครื่องใช้ ประติมากรรมโบราณ ให้เราได้เดินชม และยังมีส่วนที่เป็นงานอาร์ตร่วมสมัยสไตล์จีน เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของเซี่ยงไฮ้ ซึ่งไม่ใช่ภาพวาดน่าเบื่อ ๆ อย่างที่คิด มันมีทั้งผลงานที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมให้เราได้พินิจพิจารณา มีเทคนิคการใช้สีที่น่าสนใจ สื่อความหมายออกมาได้หลากหลาย
18 World Expo Museum
สปอตต่อมาเป็นจุดเด็ดจุดปังของเหล่านักล่าคอนเทนต์ กับ World Expo Museum พิพิธภัณฑ์นานาชาติแห่งแรกของจีน ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 5 ปี ก่อนเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2017 ถูกสร้างมาในคอนเซปต์ ‘Eternal Moments’ อินสไปเรชันส่วนต่าง ๆ ของอาคารจากความทรงจำแห่งความสุขและความสวยงาม ส่วนด้านนอกจะเป็น ‘Historical Valley’ การใช้ผนังหินและ copper-aluminum ให้ความหมายถึง ‘eternity’ ส่วนตรงกลางจะเป็นแผงกระจก ‘Jubilant Cloud’ โค้งเว้าตัดเหลี่ยมอย่างมีชีวิตชีวา ที่สำคัญที่นี่เขาไม่เก็บค่าเข้าด้วย แค่เอาตัวมาวางอยู่ในนี้ก็ได้รูปสวย ๆ เพียบ คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ความปังในรอบนี้คือเรามาได้ตรงกับงานจัดแสดงของแวนโก๊ะ ‘Van Gogh Alive, Immersive Art Exhibition’ เป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นหลายที่ทั่วโลกไม่เว้นแม้กระทั่งไทย ซึ่งแฟนคลับอย่างเราก็ต้องเก็บให้ครบ เขาได้จำลองงานศิลปะของแวนโก๊ะออกมาเป็นฉากให้เราได้ถ่ายรูป เก็บรวมจดหมายกว่า 3,000 ฉบับมาให้ชม เสนอภาพงานศิลปะผ่านแสง สี เสียง สุดอลัง ตามเสา ผนัง และพื้น แต่ถ้าใครมาแล้วไม่เจองานนี้ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะได้ยินมาว่า ทุกงานที่ได้จัดที่นี่จะเป็นงานระดับโลกทั้งนั้น เผลอ ๆ อาจจะว้าวกว่าที่เราเจอก็เป็นได้
Day 5
19 Luneurs Boulanger & Glacier
วันสุดท้าย เรามาเริ่มมื้อเช้ากันที่ Luneurs Boulanger & Glacier ร้านขนมในตึกอิฐบล็อกสีแดงน่าพิศมัย มีความตะวันตกแบบสุดขั้ว แต่บางเมนูก็มีความจีนผสานมาหน่อย ๆ ด้วยความครีเอทีฟขั้นสุด ที่นี่จึงเป็นขวัญใจวัยรุ่นเซี่ยงไฮ้มาได้นานถึง 5 ปีแล้ว การตกแต่งร้านเน้นเป็นสีโทนอุ่น เปิดรับแสงจากหน้าต่างเล็ก ๆ ให้นั่งดื่มด่ำอยู่ภายใน หรือจะออกมาสูดอากาศฉ่ำ ๆ หน้าร้านก็ได้ไม่ว่ากัน เมนูเด่นของเขาคือบรรดาขนมหน้าสวยที่อบสดใหม่ มีชุดอาหารเช้าเสิร์ฟมาเป็นคอนโดแบบผู้รากมากดี ทีเด็ดคือครัวซองต์มีความกรอบนอกนุ่มในแบบถูกต้องทุกจุด หรือถ้าใครอยากมาจัดขนมเบา ๆ เราแนะนำเป็นเค้ก หรือไอศกรีม เขามีเมนูใหม่มาทุกซีซันให้เราได้ลิ้มลอง
อีกกิจกรรมที่ทำให้เราได้ดื่มด่ำกับเสน่ห์ของเซี่ยงไฮ้ คือการเดินเลาะตามตึกรามบ้านช่องอันทันสมัย ที่มีกลิ่นอายความคลาสสิกเจืออยู่อย่างกลมกลืน แค่หลงทางก็ไปเจอซอกซอยใหม่ ๆ เห็นเงาพาดผ่าน สร้างลวดลายบนตึก แค่นี้ก็รู้สึกว่างดงามราวภาพศิลปะ ถ่ายรูปแนวสตรีท ๆ ได้สนุกสุด ๆ เดินไปเดินมาเจอคนมาพรีเวดดิ้ง เจอโมเมนต์น่ารัก ๆ ไปหลายมุม ฉะนั้นไม่ว่าแพลนจะแน่นขนาดไหนก็อยากให้ทุกคนได้ลองจริง ๆ เชื่อว่าจะรักเมืองนี้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยล่ะ
20 Bund Art Center
เซี่ยงไฮ้ถือเป็นหนึ่งในเมืองของจีนที่ตรงกับเทสต์เราจริง ๆ เพราะเขาให้ความสำคัญกับความสะอาด ความเจริญ และยิ่งไปกว่านั้น ให้ความสำคัญกับศิลปะมาก ๆ เราสามารถหาชมอาร์ตแกลได้แทบทุกย่านดัง ๆ นอกจากที่แพลนมาบ้างแล้ว ก็มีหลายจุดที่บังเอิญเจอ อย่างที่ Bund Art Center นี้ เขาก็กำลังจัดงาน Janus Interface เป็นงานป็อปอาร์ตเท่ ๆ ที่เห็นแล้วแอบเติมพลังใจให้เราได้มาก โดยเขาจะจัด Exhibition หมุนเวียนอยู่ตลอด เรียกว่ารอบหน้ามาเซี่ยงไฮ้ เราก็ต้องได้เสพงานใหม่ ๆ ต่อยอดไอเดีย สร้างอินสไปเรชันได้อีกแน่นอน
21 Shamei building
ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันกับการ City walk ได้รูปจนพอใจ เราก็มาหาที่เติมความหวานหลังมื้อกลางวันให้ร่างกายสักหน่อย ที่ร้านกาแฟบนดาดฟ้าของ Shamei building อาคารสไตล์ Neo-Renaissance อายุมากกว่าร้อยปี กินพื้นที่ทั้งหัวมุมถนนระหว่างถนน Beijing East และ Sichuan Middle ความน่าสะพรึงของการตกแต่งนั้นมีอยู่ทั้งภายในและภายนอก ตั้งแต่หินแกะสลัก การวางองค์ประกอบคือเป๊ะ ขนาดที่คนรักสถาปัตยกรรมแนวนี้จะต้องกรี๊ด ส่วนคาเฟ่นี้ก็ให้ฟีลฝรั่งเศสแบบตะโกน ไม่ว่าจะหน้าตาเครป รสชาติกาแฟ เจอลมเย็น ๆ พร้อมแดดอุ่น ๆ นี่มันย่านแซ็ง แฌร์แม็ง เด เพร ชัด ๆ
22 FLOWER COFFEE BAR
ยังไม่จุใจ เราลงมาดื่มด่ำกับวิวกันต่อที่ริมแม่น้ำซูโจว กับร้าน FLOWER COFFEE BAR คาเฟ่เล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ระเบียงอันกว้างขวาง ให้เราเลือกนั่งอย่างอิสระ วิวที่เห็นเยื้องไปนั้นเป็นความอลังการที่คุ้มค่าราคากาแฟสุด ๆ จ่ายแค่ไม่กี่สิบหยวนก็สามารถมานั่งอ้อยอิ่ง ชมวิวตึกที่เป็นไอคอนทั้งหลายของเมืองได้อย่างเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็น Shanghai tower, Oriental Pearl Tower, Shanghai World Financial Center, Jin Mao Tower ฯลฯ
23 Nanjing Road
มาใช้ชีวิตเมืองกันให้คุ้มค่า กับการกินดื่มยามราตรีที่ Nanjing Road ย่านช็อปปิงอันเก่าแก่แต่ไม่เคยหลับใหล คอยต้อนรับผู้คนทุกยุคทุกสมัยมานานถึง 103 ปี ตลอดความยาวถนน 5-6 กิโลเมตรนี้ เต็มไปด้วยร้านค้าตั้งแต่ สตรีทแบรนด์ จนไปถึงแบรนด์เนมทั้งของจีนและต่างประเทศ ร้านเครื่องสำอางแบบ Multi-brand คาเฟ่ ร้านอาหาร เรียกว่าเป็นย่านที่ยั่วทุกความอยาก ละลายทุกทรัพย์ที่เหลือในกระเป๋าอย่างแน่นอน และอย่าหาใช้คำว่า ‘เอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยมาซื้อ’ เพราะมันเดินยาวมาก ร้อยทั้งร้อยไม่ได้กลับมาแน่นอน อยากได้อะไรซื้อเลย ที่สำคัญ ยิ่งดึก ย่านนี้ก็ยิ่งสวย แต่งแต้มไปด้วยแสงนีออนจากป้ายร้าน ทำให้เราเดินเพลินจนลืมทางกลับโรงแรมกันเลยทีเดียว
24 YUBARE HOT POT
เดินจนรองเท้าแทบร้องขอชีวิต เราเลยมานั่งพักหาอะไรกินให้อุ่นท้องกันที่ร้าน YUBARE HOT POT ร้านที่เราอยากแนะนำให้แก่ชาบูเลิฟเวอร์ทั้งหลาย เราเลือกเป็นซุปหม่าล่า รสเผ็ดร้อนชาสะใจ ตัดกับซุปมะเขือเทศเปรี้ยวหน่อย ๆ ซดคล่องคอ กินกับเนื้อที่คัดสรรมาอย่างดี ผ้าขี้ริ้ววัวมีความสดกรุบกรอบไร้กลิ่นสาบ แกล้มกับฟองเต้าหู้ทอดก็คือลงตัวแบบคู่แท้สุด ๆ ส่วนบริการประทับใจแบบให้คะแนนเต็มสิบ การตกแต่งร้านให้เต็มร้อย เป็นฟีลโรงเตี๊ยมสมัยก่อนที่มีความโมเดิร์น ใช้คู่สีดำ-แดง แต่งแต้มด้วยโคมจีนไฟส้ม ยิ่งเห็นยิ่งเจริญอาหาร
ความจริงของการค้นพบระบบสุริยะและจักรวาลของโลกใบนี้เริ่มต้นขึ้นจากการตั้งคำถามเพียงคำถามเดียว ซึ่งหากเทียบกับเรา เซี่ยงไฮ้ก็คือ 1 คำถามในใจก่อนหน้าที่เราจะได้สัมผัสจีนแผ่นดินใหญ่เช่นกัน หากไม่เกิดคำถามและไม่ลองเปิดใจให้เซี่ยงไฮ้ในวันนั้น เราก็คงพลาดโอกาสในการสัมผัสโลกกว้างที่มีแต่ความอัศจรรย์ไม่สิ้นสุดแบบวันนี้ ลองลบมายาคติแล้วฟังเสียงหัวใจตัวเองอีกสักครั้ง การไปเที่ยวจีนไม่ยากเท่าไปนอกโลก และนอกโลกไม่มีสีสันครบรสแบบเซี่ยงไฮ้ในทริปนี้แน่นอน สำหรับเพื่อน ๆ ที่เวลายังเหลือ ๆ สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงไปต่อหางโจวได้นะ เพียงหนึ่งชั่วโมงจากเซี่ยงไฮ้ก็จะได้สัมผัสเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสวยเหมือนสวรรค์บนดิน แถมยังเลือกบินตรงจากหางโจวกลับกรุงเทพฯ(ดอนเมือง)ได้อีกด้วย มันเลิศ
สุดท้ายใครที่เลือกบินตรงกับ Thai AirAsia X ตามรอยทริปนี้ของเรา ย้ำกันอีกครั้งว่า … เค้ามีบินเส้นทาง กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) – เซี่ยงไฮ้ (ผู่ตง) แทบทุกวัน และกำลังจะมีบินตรงจากดอนเมืองตั้งแต่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป