รีวิวฮ่องกง :: The PERFECT 4 Days in Hong Kong Itinerary [2023 Edition]

เปลี่ยนนิยามจากเมืองชอปปิงสุดป๊อป ให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดปัง กับรีวิว Hong Kong ที่จะทำให้รู้ว่าเกาะเล็ก ๆ นี้ มันเล็กพริกขี้หนูขนาดไหน โดยทริปนี้เราขอพาทุกคนมาเปิดประสบการณ์มองฮ่องกงแบบใหม่(แบบสับ) ใช้เวลา 4 วัน ให้ชิคไปกับแลนด์มาร์กสุดคูลที่ซ่อนเรื่องเล่าภูมิหลังของฮ่องกงอย่างกลมกล่อม สตรีทโฟโต้เท่ ๆ กับสตรีทอาร์ตหลากอารมณ์ ร้านอาหารเทรดดิชั่นนอลจึ้ง ๆ คาเฟ่ฟีลเก๋ อาร์ตแกลยิ่งใหญ่ในพื้นที่กว้างระดับโลก โชว์งานอาร์ตระดับจักรวาล และขาดไม่ได้คือการไปแตะมือร่วมเฟรมกับเหล่าการ์ตูนตัวโปรดที่ดิสนีย์แลนด์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำให้ฉ่ำใจ ซึ่งทั้งหมดนี้บอกเลยว่ามันคือรีวิวอัพเดทฮ่องกง 2023 ฉบับผู้ใหญ่เที่ยวได้ เด็กเที่ยวดี จับกลุ่มมากับเพื่อนก็ครบรส หรือจะลุยเดี่ยวแบบตัวแม่ตัวมัมก็จัดจ้าน เพราะฮ่องกงเขามีดีมากกว่าที่คิดแน่นอน

เพื่อการเดินทางอย่างตรงเวลาที่สุด ไม่ว่าจะบินใกล้ไกลทั่วเอเชียเรายังคงไว้ใจ แอร์เอเชีย เจ้าของตำแน่งสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก 13 ปีติดเสมอ โดยรูทฮ่องกงตอนนี้เขามีให้เลือกบินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงวันละ 2 เที่ยว จะออกแต่เช้าเพื่อไปเริ่มเที่ยวบ่ายก็ดี หรือออกบ่าย ๆ แล้วไปกินมื้อค่ำพักเอาแรงก็เลิศ เพราะเส้นทางนี้ใช้เวลาบินเบา ๆ เพียง 3 ชั่วโมง แต่มันจะยิ่งสะดวกสบายแบบสุด เมื่อกดแพ็คสุดคุ้มตอนจองตั๋ว ซึ่งเค้าให้มาครบจบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเลือกที่นั่ง อาหารอุ่นร้อน รวมถึงน้ำหนักกระเป๋า ในราคาที่ลดมากถึง 20% แค่ได้เริ่มต้นทริปด้วยการจับจองที่นั่งริมหน้าต่าง มองวิวท้องฟ้าเคล้าผัดไทยกุ้งชิ้นโต และชานมไข่มุกบุกแก้วโปรด แค่นี้ก็ฟินตั้งแต่เครื่องยังไม่แลนด์ดิ้งแล้วจ้า สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยู่เชียงใหม่ ภูเก็ต ก็สามารถบินตรงกับแอร์เอเชียสู่ฮ่องกงได้วันละ 1 เที่ยวบิน

Day 1

001 Hong Kong Culture Centre

เหตุผลง่าย ๆ ที่เรายอมตื่นมาบินรอบเช้าสุด ก็เพราะจะได้ใช้เวลาช่วงบ่ายเริ่มเที่ยวได้แบบคุ้มจุก ไม่ต้องเสียวันลาหยุดไปฟรี ๆ และเพื่อไม่เป็นการทรมานร่างกายมากนัก วันแรกเราจะขอเน้นเดินเล่นกินลมชมวิวกันชิล ๆ ที่ Hong Kong Culture Centre ตึกทรงแปลกตาในย่านจิมซาจุ่ย แหล่งชอปปิงสุดป๊อปฝั่งเกาลูน ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้จัดแสดงงานทางวัฒนธรรมสำคัญ ๆ ของฮ่องกงมานานกว่า 23 ปีแล้ว อาคารขนาดใหญ่เคลือบด้วยสีน้ำตาล ตรงฐานจะออกแบบเป็นผนังแนวเฉียง ด้านในตึกจึงมีทางเดินทรงสามเหลี่ยมมุมฉาก พร้อมทางแสงเท่ ๆ จนกลายเป็นจุด Instagrammable ยอดฮิตที่ชาวฮ่องกง และต่างชาตินิยมมาถ่ายรูปไปโดยปริยาย

002 Clock Tower

ในพื้นที่เดียวกันก็ยังมีมุมประวัติศาสตร์ Clock Tower หอนาฬิกาคู่บุญที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของย่านจิมซาจุ่ย สร้างตั้งแต่ 108 ปีก่อน ด้วยอิฐแดงและหินแกรนิตตัดเป็นทรงเหลี่ยมตกแต่งอย่างเรียบร้อย สูง 44 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียน เดิมทีเคยเป็นส่วนหนึ่งของสถานีรถไฟ KCR station เส้นทางเกาลูน-กวางตุ้ง บ่งบอกถึงความเจริญด้านการเดินรถไฟหัวจักรไอน้ำ ปัจจุบันเขาได้รื้อถอนตัวสถานีเพื่อปรับพื้นที่ให้เป็นที่สาธารณะ ให้ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ โดยมุมเด็ดที่พวกแกควรมาลั่นชัตเตอร์ร่วมเฟรมขอยกให้ตรงซอกอาคารที่มองตรงไปแล้วเจอหอนาฬิกาตั้งตระหง่านอยู่พอดี สีเข้าธีม มุมเข้าล็อก เป๊ะมาก

003 Tsim Sha Tsui Promenade

เดินขยับมาชิดริมน้ำอีกหน่อย เราจะเจอกับ Tsim Sha Tsui Promenade ทางเดินริมน้ำยาวกว่า 1.6 เมตร ให้เราเทควิวอ่าววิคตอเรีย ทอดยาวไปถึงฝั่งฮ่องกงที่เต็มไปด้วยตึกสูงหลากทรง ทั้งเหลี่ยม กลม มน แหลม บ่งบอกถึงความศิวิไลซ์ ที่นี่จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนตลอดทั้งวัน ซึ่งหากมาตอนกลางวันแบบนี้ เราก็สามารถเทคไทม์เพลิน ๆ นั่งโต้ลมเย็น ถ่ายรูปปัง ๆ ชมผิวน้ำสีน้ำเงินเข้มและความมีชีวิตชีวาของผู้คน เป็นอีกมุมในฮ่องกงที่ชิลที่สุดที่ทุกคนต้องเพิ่มลงในลิสต์ที่ต้องมา

กวาดตาไปมาต้อง ถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นสิ่งปลูกสร้างทรงลูกบาศก์สีทองแสนน่ารัก ตามสัญชาตญาณรู้เลยว่าต้องเป็นคาเฟ่แน่นอน นี่คือร้าน %ΔRΔBICΔ สาขา Victoria Dockside เป็นสาขาที่ได้รับการออกแบบจากผู้ชนะรางวัล Pritzker (รางวัล international architecture) ชื่อผลงาน Gianotten KUBE โดยเขาจะออกแบบให้มีแสงทองส่องประกายในตอนกลางวัน และเรืองแสงในตอนกลางคืน ข้าง ๆ มีที่นั่งหินอ่อนสีดำวางเรียงเน้นความเรียบง่ายแต่โดดเด่น และเรื่องคุณภาพกาแฟนั้นก็ตรงตามมาตรฐาน  %ΔRΔBICΔ เลย คั่วอ่อนหอมละมุนสไตล์เราสุด ๆ 

004 Symphony of Lights

ค่ำคืนอันเฉิดฉายในฮ่องกง ถือเป็นอีกไฮไลต์อันดับต้น ๆ ของเขา โดย First day in HK เราเลือกจบวันไปกับ Symphony of Lights บริเวณอ่าววิคตอเรีย เป็นการแสดงแสงสีเสียงริมน้ำที่จัดมายาวนานเกือบ 20 ปี เรียกผู้คนนับล้านมายืนยลชมเรือน้อยใหญ่แล่นผ่านไปมา และหนึ่งในนั้นคือเรือสำเภาแดงทรงคลาสสิกนามว่า Aqua Luna สัญลักษณ์ของฮ่องกงที่ทำหน้าที่พาผู้คนนั่งชมวิวอ่าวแบบ 360 องศา พร้อมบริการอาหารเครื่องดื่ม เมื่อถึงเวลา 2 ทุ่ม ตึกน้อยใหญ่กว่า 40 ตึกของฝั่งฮ่องกงและเกาลูนจะร่วมแรงร่วมใจกันฉายไฟ ยิงแสงเลเซอร์โพยพุ่งเป็นแฉกสู่ท้องฟ้าตามจังหวะเพลง เรียกว่าเล่นใหญ่แบบตัวแม่ตัวมารดาสุด ๆ

Day 2

 005 光榮冰室 (Glory Cafe)

‘โจว๋ สั่น’ ตื่นเช้ามาวันที่สองพร้อมทักทายกันด้วยภาษากวางตุ้ง ฝึกปรือก่อนจะไปลิ้มลองอาหารโลคอลที่ร้าน 光榮冰室 (Glory Cafe) ร้านแบบ cha chan tang (คาเฟ่สไตล์ฮ่องกง) เป็นร้านตัวมัมขวัญใจคนท้องถิ่น เริ่มตั้งแต่การตกแต่งร้านที่ตะโกนความเป็นฮ่องกงได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้ กำแพงกระเบื้องสีเขียว เหมือนฉากในหนังฮ่องกงสมัยเด็กเป๊ะ เมนูอาหารเช้าที่นี่จะได้รับอิทธิพลมาจากอังกฤษ เช่น ซุปมักกะโรนีใส่แฮม ไข่กวนไข่ดาวที่ทำได้หอม ๆ มัน ๆ เห็นหน้าตาไลท์ ๆ แบบนี้ พอกินคู่กับชานมหวานกลมกล่อมแล้ว รสชาติมันใช้ได้อยู่นะ บวกกับบรรยากาศเทิดเทิงรอบ ๆ ก็ถือเป็นมื้อเช้าที่ได้อารมณ์ความเป็นฮ่องกงสุด ๆ

006 Hong Kong Disneyland

และแล้วก็ถึงวันแห่งการปลดปล่อยที่รอคอย.. พิกัดนี้เราขอให้ทุกคนละทิ้งความกังวล ปล่อยใจไปกับตัวการ์ตูนที่ชอบ ทำตัวบ้าบิ่นให้เต็มที่ ในสวนสนุกระดับโลก Hong Kong Disneyland ธีมปาร์คยิ่งใหญ่ บนเกาะลันเตาที่จัดโซนให้เราได้เดินสำรวจทุกซอกมุมอย่างสนุกสนาน แม้คนเยอะขนาดไหนก็ยังสามารถเอ็นจอยได้อย่างมีความสุข โดยหลังจากเดินผ่านช่องตรวจตั๋วเรียบร้อย ด่านแรกที่เราต้องเจอคือ Main Street USA ตรงนี้ต้องใจแข็งนิดนึง อย่าให้ผีนักชอปมาครอบงำ เพราะเต็มไปด้วยร้านขายของน่ารัก ๆ เราขอให้ปรับมาโฟกัสเรื่องถ่ายรูปแทน กับตึกทรงวิคตอเรียนสีพาสเทล โลดเต้นไปพร้อมเสียงเพลง จนถึงปลายถนนจะเป็นมุมกว้าง เห็นปราสาทดิสนีย์แบบเต็มตา สร้างความฟีลกู้ดตั้งแต่โซนแรกเลยแก

ภายในสวนสนุกแห่งนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 7 โซน ทุกโซนคือดินแดนแห่งจินตนาการที่แบ่งไปตามธีม มีเหล่าคาแรกเตอร์ตัวโปรดของเราแอบซ่อนอยู่ เด็กซนอย่างเราก็ขอวิ่งพุ่งชนโซน Tomorrowland ก่อนเลย ตรงนี้เขาจะออกแนวอวกาศ หุ่นยนต์ ฟีลได้อยู่ในโลกอนาคต และแน่นอนว่าเป็นที่ตั้งของเหล่าฮีโร่ขวัญใจหนุ่มน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Star war, Ant-man, I-ron man ฯลฯ มีเครื่องเล่นออร์บิทรอนจากเรื่อง tomorrowland ที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ถ้าเด็กโตหน่อยขอผายมือสู่ ไฮเปอร์สเปซ เมาน์เทน ไปอยู่ท่ามกลางสนามรบในเรื่อง Star war เลยฮะ 

ส่วนอนิเมชันที่เป็นนัมเบอร์วันในใจของวัยใสยันวัยทำงานต้องขอยกให้ Toy Story โซนนี้จะเต็มไปด้วยความคัลเลอร์ฟูล เพราะธีมโซนนั้นเป็นถังสี ที่เหล่าตัวของเล่นได้ออกมาเล่นซนอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นวู้ดดี้ คาวเกิร์ลเจสซี่ บัซไลท์เยียร์ พิกกี้แบงค์ และตัวที่เราชอบสุด ๆ คือ ลิตเติลกรีนแมน มนุษย์อวกาศตัวเขียวที่เขาชอบเอามาเป็นทรงขนม และเครื่องเล่นตรงโซนนี้บอกเลยว่ามีทั้งเอ็กซ์ตรีมผู้ใหญ่ร้องกรี๊ด เบสิกเด็กร้องว้าว แค่โซนเดียวก็ดูดเวลา ดูดพลังงานเราไปเกือบหมดเลย

นอกจาก 2 โซนสุดโปรดที่เราหยิบยกมาเล่าเป็นน้ำจิ้มแล้ว ยังมีอีกหลายโซนที่พร้อมปรนเปรอความเป็นเด็กของเราอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Fantasy Land แลนด์ของพี่หมีพูห์ น้องช้างดัมมี่ สวนป่าแฟนตาซี หรือจะเป็นโซนบ้านกระรอก Grizzly Gulch ที่น้อง ๆ มายืนรอต้อนรับถ่ายรูปกันตัวเป็น ๆ ส่วนใครอยากมาเน้นเล่น เน้นความเสียวก็เดินตรงไปที่ Adventure Land ได้เลย นอกจากนี้รอบสวนสนุกยังมีตัวละครเดินกระจัดกระจายเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับ แถมมีร้านขนมฟู้ดทรัคทรงน่ารักน่าหยิกให้กินเพลิน ๆ ตลอดทั้งวันอีกเพียบ

ฟินกับโซนต่าง ๆ ตามธีมแล้ว ในทุก ๆ วันเรายังจะได้เอ็นจอยไปกับโชว์สุดสเปเชียลที่เป็นซิกเนอเจอร์ของดิสนีย์แลนด์อีกด้วย ทั้งการโชว์ขบวนพาเหรดยาวเหยียด ตกแต่งอลังการที่จะเริ่มในเวลา 13:15 น. และ 17:00 น. หรือจะเป็นโชว์บนเวทีสุดยิ่งใหญ่ Follow Your Dream ด้านหน้าปราสาท และโชว์ในสเตจเล็ก ๆ แต่แสงสีจัดเต็มในโซนต่าง ๆ ก็มี เช่น Festival of The Lion King, Moana พอนาฬิกาเริ่มตีเข้าเลขสองทุ่มครึ่ง ก็รีบเดินกลับมาที่หน้าปราสาท เพื่อชม “Momentous” Nighttime Spectacular การแสดง illuminate พร้อมเสียงเพลง ปิดจบวันด้วยพลุสุดอลัง เติมเต็มความฝันของคนที่อยากมีชีวิตในเทพนิยาย

007 Mak’s Noodle

อิ่มอกอิ่มใจกับแสงสียามค่ำคืนสุดตระการตาไปแล้ว ทางเราก็มาเติมความอิ่มท้องก่อนเข้านอนด้วยสุดยอดบะหมี่แห่งเกาะฮ่องกง Mak’s Noodle ร้านที่เป็นตำนานมากกว่า 100 ปี โดย Mak Woon Chi ซึ่งอพยพมาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สืบทอดกิจการรุ่นสู่รุ่น แต่ยังคงรสชาติเดิม จนปัจจุบันมีร้านอยู่ถึง 6 สาขาทั่วฮ่องกง สาขาที่เรามากินคือจิมซาจุ่ย ร้านสีเขียวหยกตัดสลับขาว ดูเรียบหรูแต่เข้าถึงง่าย มีพนักงานอายุคราวพ่อ สวมกั๊กสีดำสะอาดเรียบร้อยคอยต้อนรับ ซึ่งคุณพี่เขาก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี แนะนำนู่นนี่ ป้ายยาจนรู้ตัวอีกทีก็สั่งมาจนเต็มโต๊ะเลยทีเดียว

รอไม่นานนัก อาหารทั้งหมดก็มาเสิร์ฟไว้ตรงหน้า เราสั่งบะหมี่เกี๊ยวน้ำ บะหมี่แห้ง ผักลวกหวานกรอบราดซอสหอยนามรมฉ่ำ ๆ และขาหมูมันแน่นเนื้อยุ่ยเอาใจสายคอลลาเจน แต่ทั้งหมดทั้งมวล เราขออวยยศให้กับเมนูหมี่กวางตุ้ง กับเส้นบะหมี่ขนาดเล็กที่ทำจากไข่เป็ด ลวกสุกระดับอัลเดนเต้ มีความแน่น เหนียว กรุบกำลังดี กินคู่กับเกี๊ยวกุ้งเนื้อกรอบชิ้นโตแสนจุยซี่ เคล้าน้ำซุปหน้าใสแต่กลมกล่อม โรยกุ้ยช่ายขาวเพิ่มกลิ่นหอม ซดคล่องคอ ถือเป็นการจบทริปวันแรกที่อร่อยน้ำตาริน เอ็นโดรฟินหลั่ง ออ ถึงแม้ตอนนี้เขามีมาเปิดสาขาในไทยแล้ว 1 แต่การได้ลิ้มรสความออริจินัลถือเป็นสิ่งควรค่าที่แกควรทำ

Day3

008 Ma Sa Restaurant

หลังจากที่วันก่อนเล่นเยอะจนนอนละเมอยิ้มไปทั้งคืน เช้านี้ขอสวมบทหนุ่มเท่สาวเก๋ จัดโฟโต้เดย์ อาร์ตแกลทัวร์สักหนึ่งกรุบ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง โลแรกจึงต้องเริ่มด้วยอาหารเช้าสไตล์ฮ่องกงอีกเช่นเคยที่ร้าน Ma Sa Restaurant ชูโรงด้วยเมนูสะท้านโลกันต์ Triple Sunny Side Up Eggs ข้าวไข่ดาว 3 ฟอง เพิ่มโปรตีน โอเมก้าให้ร่างกายแบบจุก ๆ สามารถแอดท็อปปิ้งพวกเนื้อสัตว์ หมูทอด แฮมสแปม ไส้กรอกได้ด้วย ทีเด็ดคือไข่แดงไม่สุก กรีดเยิ้ม ๆ ตักไว้บนข้าวสวยร้อน ๆ คลุกกับซีอิ๊วขาว แกล้มกับหมูแดง มันคือเดอะเบสต์ออฟฮ่องกงเบรคฟาสต์จริง ๆ อร่อยแบบตราตรึง อร่อยแบบโอ้มายก้อดดด

009 Graham Street Mural

แม้ตัวเมืองฮ่องกงจะดูเล็ก แต่ความอาร์ตของเขาเล่นใหญ่เล่นโตใช้ได้เลยทีเดียว มีแซมอยู่ทั้งบนตึก ริมถนน ตามซอกซอยเต็มไปหมด และย่านสตรีทอาร์ตที่ไม่ควรพลาดเลยคือ Hollywood Street ย่านชอปปิงเก่าแก่ที่สุดของฮ่องกง บ่งบอกถึงความครีเอทีฟของคนที่นี่ โดยเฉพาะเส้นเชื่อมต่อไปยัง Graham Street Mural จะมีมุมไฮไลต์กับเนินถนนลาดเอียง บนกำแพงฉาบด้วยพื้นสีฟ้าสดใส แต่งแต้มภาพตึกสไตล์ฮ่องกง ลงเส้นได้ละเอียดน่ามอง เปลี่ยนซอยแสนคร่ำครึให้กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตไปโดยปริยาย หากเดินสำหรับเรื่อย ๆ เราก็จะได้พบกับสตรีทอาร์ตชิ้นโบแดงอีกมากมายที่รอให้เข้าไปโพสท่าด้วย สามารถไปอ่านสตอรี่ของแต่ละผลงานเพิ่มได้ที่ www.hkwalls.org/ 

010 Yue Po Chai Antique Co.

อีกมุมถ่ายรูปริม Hollywood Street สุดเก๋ จะอยู่ด้านหน้าร้าน Yue Po Chai Antique Co. เป็นตึกกำแพงกระเบื้องแดงฉาน ตั้งตรงทางลาด มีประตูทรงกลมแบบจีนโบราณ ตัดกับสีเขียวหยกลายงาม ที่นี่เป็นร้านขายของสะสมทั้งผลงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์โบราณ เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเรื่องเซรามิกจีนชั้นดี และยังเป็นจุดถ่ายรูปชั้นยอดของ social lover ให้ได้มุมเด็ดมุมปังไปอัพอวดเพื่อนแบบรัว ๆ แนะนำให้มาช่วงร้านปิดคือวันอาทิตย์ หรือมาก่อนร้านเปิดเวลา 10:30 น. ในทุก ๆ วัน จะได้ภาพปัง ๆ เดินหามุมได้สบายใจ ครีเอทท่าได้ไม่ต้องเขินใครแบบนี้เลย

011 Cheung Hing Kee Shanghai Pan-Fried Buns 

อาหารเช้าเริ่มสลายไปกับการเดินหามุมกดชัตเตอร์ เราก็มารองท้องกันต่อกับร้านสตรีทฟู้ดระดับตำนาน Cheung Hing Kee Shanghai Pan-Fried Buns ที่ได้รับการแนะนำในมิชลินไกด์ปี 2016 กับเมนูเสี่ยวหลงเปาเซี่ยงไฮ้ทอด ที่ต้องกินร้อน ๆ แล้วมันโดนใจสุด ๆ เพราะตัวเนื้อแป้งด้านนอกจะเหนียวหนุบกำลังดี มีความเบิร์นจากการทอดและอบเล็กน้อย ภายในเป็นไส้หมูหมักกับเครื่องปรุงรสเค็มหวานกลมกล่อม กัดเข้าไปจะเจอน้ำซุปทะลักออกมาแบบเต็มคำ รวมกันแล้ว เรียกว่าเป็นรสชาติฟ้าประทานที่แท้ กินหมดรวดเดียวแบบไม่ต้องขอน้ำจิ้มเลย

012 Tai Cheong Bakery 

กินคาวไปแล้ว ก็ลองมาดูของกินเล่นแบบหวานละมุนกันบ้าง ที่ฝั่งตรงข้ามเขามีอีก 1 ตำนานความอร่อย ที่ถ้าไม่เลี้ยวไปคงเสียเกียรติชื่อเสียงอันโด่งดังที่มีมายาวนานมากว่า 69 ปี Tai Cheong Bakery ร้านขายขนมฮ่องกงแบบ traditional เป็นผู้ริเริ่มการทำแป้งรสเนย เมนูที่ใครกินแล้วจะต้องใจสั่นเพราะความอร่อย ก็คือทาร์ตไข่ ที่เขาจะทำสดใหม่ทุกวัน รสชาติพรีเมียมจนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทาร์ตไข่ที่ดีที่สุดในฮ่องกง จากสื่อทั้งในและต่างประเทศ อย่าง CNN Travel ด้วยทาร์ตหน้าเหลืองนวล ไส้คัสตาร์ด เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น กัดไปพร้อมกับแป้งทาร์ตกรุบกรอบชุ่มเนย รสออกเค็มเล็กน้อยแล้วมันฟินสุด แค่คิดถึงก็น้ำลายไหลแล้ว

อีกสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาฮ่องกง คือ การนั่งรถราง 2 ชั้น ยานพาหนะที่เพิ่มสีสัน เติมเสน่ห์แก่ฮ่องกงมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 สาย ค่าตั๋ว HKD 3 ตลอดสาย ถือว่าถูกที่สุดในการเดินทาง ให้บริการเฉพาะฝั่งฮ่องกงเท่านั้น (ไม่มีในฝั่งเกาลูน) โดยเราสามารถนั่งชมเมืองตั้งแต่ย่าน Kennedy Town นำพาเราไปสู่แหล่งชอปปิง ละลายทรัพย์ได้ทุกจุด สุดทางที่ Shau Kei Wan ย่านอยู่อาศัยอันเงียบสงบ ถ้ามีเวลานั่งยาว ๆ ก็จะเห็นฮ่องกงในมุมที่หลากหลาย แถมได้รูปเท่ ๆ กลับบ้านไปอีกเพียบ แน่นอนว่าเติมพลังได้ครึ่งท้อง เราก็ขอออกตามล่าหาสปอตถ่ายรูปเจ๋ง ๆ กันต่อ 

013 Oneday. hongkong

นั่งรถรางชมวิวเมืองจนมาถึงย่าน Victoria Park เราก็เดินเตร็ดเตร่เรื่อย ๆ จนมาเจอคาเฟ่สีขาวสะอาดตานามว่า Oneday. ภายในฉาบไปด้วยไฟสีส้มดูน่าทะนุถนอม ความกลมมนของขอบผนังร้าน และโคมไฟทรงกลมทำให้ร้านดูนุ่มนิ่มน่ากอด ยิ่งมาเจอขนมอบรูปหมีกลมดิ๊กยิ่งใจฟู โดยน้องจะมี 4 รสชาติที่เราชอบสุดคือชา Earl grey เขาชูกลิ่นชาให้ออกมาพอดีมาก ๆ ไม่มีกลิ่นเนยกลบ ตัวแป้งหนานุ่มเคี้ยวเพลิน ส่วนเรื่องกาแฟขอยกให้เป็นนัมเบอร์วัน รังสรรค์โดยบาริสต้าหน้ามนมีสไตล์ ทำกาแฟออกมาได้เข้มเข้ากับนมเป็นอย่างดี ถูกปากเรามาก ๆ 

014 Yick Fat Building

มุมนี้ที่คิดถึง กับช่องตึกยอดฮิตในตำนาน ที่ปรากฏอยู่ในหนังระดับพระกาฬอย่างเรื่อง Transformers และตามหน้านิตยสาร สื่อโซเชียลมากมาย Yick Fat Building ลานกว้างที่ห้อมล้อมด้วยอาคารสูงเสียดฟ้าทั้ง 4 ด้าน สร้างขึ้นในยุค 60 ยิ่งเวลาผ่านไป ตึกเหล่านี้ก็ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น เพราะแต่ละตึกใช้สีสันคละเคล้ากันไป ทุกชั้นอัดแน่นไปด้วยที่อยู่อาศัย ดูรกแต่ไม่ร้าง มีกลิ่นอายความเป็นอยู่ของคนเมืองแบบเรียล ๆ กลายเป็นซีนสุดคูล ที่ต้องมาร่วมเฟรมด้วยตัวเองสักครั้งจริง ๆ 

015 Arte M

เดย์ธรีขอปิดจบแบบอาร์ตตัวพ่อ คนคูลตัวแม่ที่ Arte M อาร์ตแกลลอรีเปิดใหม่ล่าสุดของฮ่องกง จัดนิทรรศการแบบ Immersive art experiences เน้นงาน Holography, Digital Projection สาดแสงไฟในห้องโล่งกว้าง พร้อมเคลื่อนไหวตามจังหวะบรรเลงเพลง ภายในจะแบ่งออกเป็น 4 ห้อง 6 ชิ้นงาน เน้นความเป็นนิรันดร์ของธรรมชาติ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เราเดินผ่านประตูไป เหมือนว่าได้หลุดไปอีกมิติหนึ่งที่เต็มไปด้วยความดำมืด และสีสันอันสดใสของพฤกษาจากจินตนาการ ถูกจัดวางในองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ จนเรารู้สึกดำดิ่งไปกับมัน

โดยชิ้นงานทั้ง 6 จะอิงกับธรรมชาติทั้งหมด ไฮไลต์สวยที่สุดจนเราแทบล้มทั้งยืนคือ Beach Aurora ให้เรายืนบนคลื่นน้ำ ชมแสงเหนือทุกรูปแบบที่ร่ายรำอย่างสวยงาม รองมาคือ WAVE คลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าหาเราอย่างไม่หยุดยั้ง และสนุกกับการชมดอกไม้กับ Flower Camellia สีแดงฉานฉาบทั่วห้อง, Flower Rapeseed ดอกไม้สีเหลืองกระจายละอองเกสรอย่างสวยงาม, Jungle Tropic ป่าเมืองร้อนสีสดใส, Jungle Glow ป่าในจินตนาการอันน่าค้นหา ซึ่งทั้งหมดนี้คุ้มค่าสุด ๆ กับราคาค่าเข้าที่ HKD 128 ในวันธรรมดา / HKD148 วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุด

Day4 

Cube Of Discovery Park 

วันสุดท้าย ทางเราขอพาไปอัปเดตที่เที่ยวฉบับ museum lover โดยขอเริ่มพิกัดที่บอกเลยว่าตอบโจทย์คนหลงใหลในความเงียบสงบของโลกใต้ท้องทะเล เพราะที่ Cube Of Discovery Park มีเพียงฟองคลื่น เสียงน้ำ และเหล่าแมงกะพรุนที่แหวกว่ายไร้ทิศทาง สร้างความนิ่งสงบให้กับจิตใจ ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงโลกใต้น้ำแห่งแรกที่สร้างอยู่กลางเมืองฮ่องกง พร้อมต้อนรับเราด้วยตู้กระจกแมงกะพรุนอันใหญ่ ให้เราสังเกตท่วงท่าผสานแสงไฟไล่สีที่ทะลุตัวน้อง และสเปเชียลเอฟเฟกต์เป็นปลาตัวเล็ก ๆ ว่ายมาทักทายรอบตัวเราอย่างซุกซน สวยงามดั่งต้องมนตร์ สะกดจนเราเคลิ้มไปเลย

นอกจากความสวยงาม ที่นี่ยังสอดแทรกไปด้วยความรู้เกี่ยวกับแมงกะพรุน มีส่วนร่วมสนุก ๆ กับเกมส์ที่ให้เราสวมบทเป็นปลาตัวน้อย คอยว่ายหลบซ่อนปลานักล่าที่อยู่ใกล้ ๆ หรือร่วมช่วยเหลือเต่าทะเลที่กำลังเกยตื้น ส่วนกิจกรรมต้องห้ามพลาด เพราะเขารวมไปในค่าตั๋วแล้ว คือการให้อาหารแมงกะพรุน ที่ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ หาทำได้ยากสุด ๆ เชื่อเลยว่าถ้าพาเด็ก ๆ มา จะสนุกสนานแบบไม่ยอมกลับบ้านกันแน่นอน เพราะขนาดเรายังโดนตก ใช้เวลากลับที่นี่ไปมากว่าที่แพลนไว้

017 M+ 

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่กลายเป็นอีกหนึ่ง Photoganic ใหม่สำหรับเรา เพราะแค่การออกแบบตึกและตกแต่งภายในก็เรียกอินเนอร์ความเป็นตากล้องของเราออกมาได้อย่างท่วมท้น แถม M+ ยังขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยรูปทรงตัว T กลับหัว กินพื้นที่กว่า 17,000 ตร.ม. บรรจุแกลลอรี 33 ห้อง โรงหนัง 3 โรง ศูนย์การเรียนรู้ สวนดาดฟ้าสำหรับชมวิว ร้านอาหาร ฯลฯ มีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนระดับโลก เหล่าศิลปินต่อแถวเรียงรายอยากมาโชว์ผลงานที่นี่มากมาย

ครั้งนี้เราตั้งใจจมาดูงานของศิลปินคนโปรดคุณย่าลายจุด Yayoi Kusama ที่เราตามไปชมงาน exhibition ของเขาทั้งที่ญี่ปุ่น อเมริกามาแล้วหลายครั้ง แล้วก็ต้องหลงรักทุกรอบกับพลังการสร้างผลงานเหนือจินตนาการ สำหรับที่ M+ จะจัดผลงานของคุณป้าถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 66 โดยค่าตั๋วรวมกับค่าเข้าแกลลอรีอยู่แล้วที่ราคา HKD 240 ซึ่งห้องมาสเตอร์พีชสำหรับงานครั้งนี้ เราขอยกให้ Dots Obsession – Aspiring to Heaven’s Love ห้องกระจก ที่เต็มไปด้วยลูกบอลสีดำพร้อมจุดเรืองแสง สะท้อนกับกระจกกลายเป็นโลกของลายจุดไม่มีที่สิ้นสุด ถ่ายรูปสวยมาก สวยจนไม่อยากเดินไปห้องอื่นเลย

นอกจากนี้ก็ยังมีงานศิลปะติดผนัง งาน Installation Arts ของคุณป้าให้ชมแบบจุก ๆ เหมือนขนมาทั้งหมดที่มี อีกชิ้นงานแสนโด่งดังที่เขายกมาคือ Pumpkin (2022) ฟักทองลายจุดสีเหลืองดำ ที่สร้างชื่อเสียงแก่คุณป้า จนกลายเป็นอาร์ติสต์ที่สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนมากมาย เปลี่ยนจุดด้อยที่เห็นลายจุดเป็นภาพหลอน ให้กลายเป็นจุดเด่น ใครที่ยังไม่เคยเห็นอาร์ตของเขา เราแนะนำให้มาที่นี่ บินจากไทยใช้เวลาแป๊บ ๆ ก็ได้ดูผลงานประหนึ่งไปชมที่บ้านเกิดเขาเลยทีเดียว 

ด้วยความที่เราเป็นคนชอบดูงานศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ ต้องบอกเลยว่า ที่นี่เขาจัดมาให้เยอะและคุ้มค่าจริง ๆ นอกจากงานของศิลปินคนโปรดแล้ว ยังมีงานอีกมากมายที่ใช้เวลา 1 วันก็ยังชมไม่หมด เอาเป็นว่าใครที่ไม่ใช่สายอาร์ต ถ้าได้มาชมก็อาจจะโดนป้ายยา เข้าลัทธิกันได้ง่าย ๆ หรือถ้าใครแพลนแน่นเวลาน้อย อาจจะแวะมาถ่ายรูปสักชั่วโมงสองชั่วโมง ให้พอได้รูปเลิศ ๆ ไปเชิดใส่เพื่อนในไอจีได้เหมือนกัน

018 Halfway Coffee

ตามธรรมเนียม ออกจากมิวเซียมก็ต้องมาฮอปปิงคาเฟ่กันต่อสักกรุบ เพราะร้านกาแฟฮ่องกงเขาสามารถฮีลใจคนติดคาเฟอีนอย่างเราได้ดีไม่แพ้ใคร เริ่มกันที่ Halfway Coffee ร้านฟีลลอฟต์ปูนเปลือย ดิบ ๆ เท่สะบัด ใช้โครงตึกเก่าที่เราเห็นทั่วไป ติดกระจกนิด จัดเก้าอี้หน่อย ก็กลายเป็นร้านเก๋ จัดเสิร์ฟขนมเครื่องดื่มดั่ง decorative art ซิกเนเจอร์ของเขาเลยคือแก้วร้อน ที่สั่งทำพิเศษเป็นลายจีนโบราณที่เราใช้ไหว้เจ้า แต่อยู่ในทรงแก้วยุโรป ส่วนกาแฟก็ละมุนเอยละมุนใจ จิบเพลินแบบเบรกไม่อยู่เลย

019 FIKAFABRIKEN Hong Kong

ปรับโหมดลดความเท่ลงนิด เพิ่มความชิคเก๋มินิมอลขึ้นหน่อย ที่ร้าน FIKAFABRIKEN ร้านที่แปลว่าโรงน้ำชา ในภาษาสวีเดน คาเฟ่สีขาวสะอาด เน้นงานไม้เรียบร้อยสไตล์สแกนดิเนเวีย ให้เราได้ฟีลเหมือนบินข้ามโลกมาดื่มฝั่งยุโรปจริง ๆ เพราะทั้งการตกแต่งเอย เมนูเอย กลิ่นขนมอบเอย คือใช่ทุกจุด ทั้งกาแฟโทนเข้มนิด ๆ มีความนัตตี้ แซนด์วิชเปิดหน้าสไตล์นอร์ดิก ขนมโบราณ Semla หน้าตาคล้ายชูครีม ที่มีต้นกำเนิดนานกว่า 480 ปี รสชาติเมื่อก่อนเป็นไงไม่รู้ รู้แต่ว่าปัจจุบันต้องจับขึ้นหิ้งเป็นขนมชิ้นโปรดไว้เลย ครีมอร่อยนุ่มชุ่มปากชุ่มคอมาก 

020 Artlane

พักจากกาแฟมาชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่ กับมุมถ่ายรูปคิ้วท์ ๆ มีความฮ่องเอยฮ่องใจ อยู่ไม่ไกลกับคาเฟ่นัก ตรงย่าน Sai ying Pun จะมี Artlane ช่องทางเดินที่พื้นผนังเต็มไปด้วยภาพวาดน่ารัก ๆ คัลเลอร์ฟูลฝุด ๆ เป็นผลงานของศิลปินทั้งในและต่างประเทศ นาน ๆ ทีจะมีการเปลี่ยนลวดลายไปเรื่อย ๆ ครั้งที่เรามาคือหวานฉ่ำตา ถ่ายรูปฉ่ำใจมาก ๆ เหมาะสำหรับสาว ๆ มาสะบัดผ้า เดินตัวปลิว และหนุ่ม ๆ มาโพสท่าทำทรง เดินเหม่อเท่ ๆ ก็ไม่ติด

021 Victoria Peak

เปิดทริปไปแบบแกรนด์โอเพนนิ่งแล้ว ก็ขอจบทริปกันแบบฟิเนเล่ ด้วยการพาทุกคนขึ้นรถรางทะลุยอดไม้ไปยังจุดชมวิวฮอตฮิตบนยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 396 เมตร โดยเราจะต้องนั่งขึ้นไปประมาณ 1.27 กม. ซึ่งรถรางที่เรานั่งนั้น เปิดให้บริการมานานถึง 135 ปีแล้ว สมัยก่อนผู้ที่จะขึ้นจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือแขกบ้านแขกเมือง คนชนชั้นสูงเท่านั้น ขณะที่นั่งเราอยากให้ทุกคนสังเกตตึกที่อยู่ด้านล่าง ถ้าเรานั่งรถขึ้นเขาธรรมดา จะเห็นทุกอย่างเป็นเส้นตรง แต่บนรถรางนี้ เราจะเห็นตึกเอนไปด้านหน้า ฟีลลิ่งหลอกตา ที่ทำเรางงอยู่เหมือนกัน 

มาถึงด้านบน เราจะเจอวิวฮ่องกงสุดอลัง ในอดีตด้านบนนี้ เป็นพื้นที่ส่งสัญญาณในการเดินเรือสมุทร ไม่ต้องบอกก็คงรู้แล้วสินะ ว่าวิวมันจะจึ้งใจขนาดไหน มีความพาโนรามาสุดลูกหูลูกตามาก เห็นทั้งป่าที่อยู่ด้านล่าง ไล่ไปยังตึกสูงมากมายชูช่อขึ้นสู่ฟ้า ผ่านเวิ้งอ่าวอันกว้างใหญ่ สุดไปอีกฝั่งที่เป็นเมืองศิวิไลซ์ มันคงจะพีคมาก ๆ ถ้าได้มาตอนพระอาทิตย์ตก ยามฟ้าเปลี่ยนสีและเหล่าอาคารเปิดไฟระยิบระยับ ลองจินตนาการดูก็รู้สึกว่าต้องแพลนมาใหม่อีกรอบแล้ว

ลาแล้วฮ่องกงแต่คงไม่ใช่ลาลับ เพราะเดินไปตามถนน เราเจอร้านเจ๋ง ๆ อาร์ตแกลคูล ๆ ที่นั่งเล่นริมน้ำชิล ๆ อีกเพียบ!! ครั้งหน้าคงต้องเตรียมเวลา เช็คเสื้อผ้าเท่ ๆ มาทำคอนเทนต์อีกสักรอบ ส่วนใครกำลังตัดสินใจว่าจะมาดีมั้ย.. เราบอกเลยว่ารีบตีตั๋ว มันถ่ายรูปสนุก ช้อปก็เพลิน ตาล่าหาของกินฟิน ๆ ก็คือเลิศเว่อร์