เที่ยวเมืองแฟนตาซีใกล้บ้านคราวนี้ ขอจัดให้แบบเกินต้านด้วยการพลิกวันคืนอันวุ่นวาย มาหยุดอยู่ในเมืองมรดกโลก เปลี่ยนนาฬิกาชีวิตให้เดินอย่างเนิบช้า เพื่อดื่มด่ำไปกับเสน่ห์ของ “Luang Prabang” อดีตเมืองหลวงของประเทศลาวที่ห้อมล้อมด้วยภูเขา ให้เราได้อยู่ท่ามกลางความชุ่มฉ่ำของธรรมชาติ ชมโค้งลำน้ำโขง แม่น้ำคาน มีทั้งที่ท่องเที่ยวสำหรับสายกรีนได้ฟอกปอด ที่หลับนอนแสนบูทีกได้พักใจ กิจกรรมปั่นจักรยานชมเมือง นั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองอย่างสุขสงบ แล้วจบทริปด้วยการนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเช็คอินที่เวียงจันทร์ อัปเดตคาเฟ่เก๋ ๆ แลนด์มาร์กปัง ๆ สักนิดก่อนกลับ งานนี้รับรองได้เลยว่าจะต้องเป็น 4 วัน 3 คืน กับประเทศเพื่อนบ้านที่ตราตรึงแบบไม่รู้ลืมแน่นอน
ไม่ว่าจะบินในประเทศหรือไปประเทศเพื่อนบ้าน สายการบินแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ AirAsia เสมอ อย่างไฟล์ทกรุงเทพฯ บินตรงสู่หลวงพระบาง (DMK-LPQ) เขาก็มีให้เลือกถึงสองเวลา แพลนได้ตั้งแต่แลนดิ้งเช้าตรู่เที่ยวเต็มอิ่มตั้งแต่วันแรก หรือเดินทางสบาย ๆ ออกสาย ๆ พร้อมใบหน้าสวยฉ่ำไปรอบบ่ายก็เหมาะเว่อร์กับสายชิล แต่ใด ๆ สิ่งที่ห้ามปัดผ่านขณะจองคือการเลือก Value pack รับบริการแบบคุ้มเต็มขั้นในราคาที่ลดถึง 20% ไม่ว่าจะเป็นโหลดกระเป๋า 20 กิโลกรัม ให้เราขนคอสตูมแน่น ๆ ไว้เปลี่ยนถ่ายรูปคูล ๆ เลือกที่นั่งตามใจหวังได้ฟิน ๆ รวมถึงอาหารร้อนอร่อยสบายพุง ที่พอสัญญาณรัดเข็มขัดดับปุ๊บ ก็มาเสริ์ฟให้เราตรงหน้าปั๊บ
Day1
01 LuLaLao COFFEE
แน่นอนว่าสายคอนเทนต์อย่างเราต้องเลือกไฟล์ทเช้าสุด แลนดิ้งถึงเก้าโมงนิด ๆ แล้วมาเริ่มต้นทริปด้วยร้านกาแฟตามสไตล์คาเฟอีนแอดดิกต์ที่ LuLaLao COFFEE ร้าน Slow Bar เน้นขายกาแฟดริปในราคาหลักสิบ แต่เมล็ดกาแฟเป็นแบบ Specialty!! ซึ่งความพิเศษนี้แอบซ่อนอยู่ในบ้านไม้ห้องเล็ก ๆ หลังคาสังกะสีแสนธรรมดา แต่การจัดวางดูดีมีสไตล์คุมโทนสีน้ำตาลทั้งร้าน ภายในมีบาร์เล็ก ๆ พร้อมบาริสต้ายืนดริปกาแฟอย่างใจเย็น มีเก้าอี้วางบริการอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก ให้เราหามุมนั่งรอได้ตามใจ
ด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นชาวญี่ปุ่น เราจึงเห็นความพิถีพิถันอยู่ทุกจุดของร้าน โดยเขาจะเป็นคน Process ขั้นตอนการทำกาแฟด้วยตัวเอง ทำให้มีเมล็ดและเบลนด์ที่หลากหลายให้เราเลือก แถมทำชาร์จของรสชาติกาแฟแต่ละแบบให้ดูด้วย มีทั้งแบบ Cinnamon-Almond, Red Cherry-Apricot, Lemon-Peanut, Jusmine-Candy จากนั้นก็เลือกว่าจะดื่มเป็นเมนูอะไรตั้งแต่ Espresso Americno Latte Coffee Soda Latte Rum หลายเมนูดูแปลกตาที่เชื่อว่าคอกาแฟจะต้องกรี๊ดแน่นอน
02 Xieng Thong Temple
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน การไปมาลาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองก็เป็นสิ่งที่น่ารักเสมอ ที่นี่คือ วัดเชียงทอง วัดโบราณที่สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ช่วงปี พ.ศ. 2101-2103 ด้วยโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ที่นี่จึงถือเป็นวัดประตูเมือง หรือท่าเทียบเรือทางเหนือที่กษัตริย์และชาวต่างชาติใช้เดินทางในสมัยนั้น เอกลักษณ์ของวัดคือความอ่อนช้อยของโครงสร้าง และการเล่าเรื่องราวผ่านงานศิลปะทั้งภายนอกและภายใน ถือเป็นวัดที่มีความสมบูรณ์และเก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบางเลยก็ว่าได้
อีกอาคารที่ถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่คือ หอไหว้พระพุทธไสยาสน์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ หอไหว้สีกุหลาบ ด้วยผนังของอาคารที่ออกเป็นสีชมพูอมแดง ประดับตกแต่งด้วยงานกระจกบอกเล่าเป็นนิทานพื้นบ้าน สอนเรื่องธรรมะ แสดงให้เห็นวิถีชีวิตของชาวลาว ภายในมีองค์พระนอนอายุกว่า 400 ปี ให้เราเข้าไปกราบสักการะ ขณะเดียวกันยังได้รูปเก๋ ๆ คู่กับสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่านี้ด้วย
03 Sofitel Luang Prabang
มาหลวงพระบางทีไร ใจก็พร่ำเพ้อถึงแต่ Sofitel Luang Prabang เพราะประทับใจกับครั้งก่อน ที่เราได้ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์พร้อมการดูแลดุจคนพิเศษจนต้องหาโอกาสกลับมาอีกครั้ง พอเราลากกระเป๋ามาที่ล็อบบี้ที่เป็นแบบ Open Air ก็ทำให้หวนคิดถึงอดีตอีกครั้ง จำได้ว่าเราชอบการตกแต่งที่สะท้อนความเป็นหลวงพระบางสอดแทรกอยู่ทุกระเบียดนิ้ว แม้จะดูไม่หวือหวาแต่ก็มีกิมมิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สร้างความสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง ส่วนการบริการก็เป็นไปอย่างนุ่มนวลแบบฉบับชาวลาวเหนือ มุมรีแลกซ์ก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็นสปา ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ห้องอ่านหนังสือ หรือจะไปเดินสวนทักทายกระต่ายตัวน้อยก็ชื่นใจ แค่เดินสำรวจก็รู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกได้ถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายตั้งแต่วันแรกเลย
แม้ที่นี่จะเป็นโรงแรมโซฟิเทลที่เล็กที่สุดในโลก มีห้องพักเพียง 25 ห้อง แต่ยังแฝงด้วยประวัติและความสำคัญระดับโลกเอาไว้ นั่นคืออาคารที่เราพักถูกออกแบบเป็นสไตล์โคโลเนียล สร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1900 ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อเข้าไปดูในห้อง เขาตกแต่งให้ฟีลอบอุ่นมาก ๆ แต่ยังไม่คลายความหรูหราตามสไตล์โซฟิเทล ห้องที่เราพักมีสระน้ำส่วนตัว สามารถถ่ายรูปทำคอนเทนต์ได้แบบไพรเวท และด้วยโลเคชั่นของโรงแรมที่ไม่ได้อยู่ย่านใจกลางเมือง บ้านเรือนรอบ ๆ ก็เป็นแบบพื้นบ้าน ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนสุด ๆ
04 Phousi Hill
หลังจากเอนหลังพักกายกันพอหายเหนื่อย ช่วงเย็นเราแพลนขึ้นไปสักการะ พระธาตุพูสี พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาเล็ก ๆ ใจกลางหลวงพระบาง ถ้าให้เปรียบเรื่องความนิยมก็จะเหมือนวัดอรุณ วัดพระแก้วของบ้านเราที่ฝรั่งชอบมากันนี่ล่ะ.. ความพิเศษของพระธาตุองค์นี้คือเราสามารถมองเห็นได้จากทุกมุมของหลวงพระบาง กระทั่งบนเครื่องบินที่กำลังล่อนลงสู่ท่าอากาศยานก็ยังโดดเด่น และเป็นอีกจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดของเมืองด้วย เราเลือกมาช่วง 4 โมงเย็น เพราะอยากนั่งมองแสงสีทองฉาบทับเมืองแห่งความเนิบนาบนี้สักครั้ง ว่ามันจะงามระยับตาขนาดไหน แต่ก่อนที่จะไปเจอความสวยงาม เราก็ต้องสู้กันหน่อย เพราะต้องเดินขึ้นบันไดถึง 328 ขั้น เพื่อขึ้นไปสู่ยอดเขา ถือเป็นการออกกำลังที่พอให้เลือดสูบฉีดได้ดีจริง ๆ
05 Artisan Bar
ส่งท้ายวันด้วยการหาเครื่องดื่มเคล้าเสียงเพลงสักนิด ในบาร์ลับสุดชิค Artisan Bar ตั้งอยู่ในซอกซอยย่านชุมชน พอเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ.. อย่างกับอยู่คนละโลก ด้วยการออกแบบที่อินสไปร์มาจากขบวนรถไฟสุดหรูสวยเย้ายวนระดับ Oriental Express มีที่นั่งอยู่ 15 ที่ เพิ่มความ gorgeous ด้วยเฟอร์นิเจอร์เครื่องหนังเนื้อดี หมอนอิงลายม้าลาย และโต๊ะหินอ่อน เหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยยุค 90 มีกลิ่นหอมหวานของเครื่องดื่มค็อกเทลหอมอบอวลไปทั่วร้าน
สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวเรื่องแอลฯ เขาก็มีม็อกเทลให้เลือกเช่นกัน เรื่องการจัดเสิร์ฟถือว่าสวยงามเข้ากับสถานที่ บวกกับแสงไฟร้านที่จัดให้ถ่ายรูปได้ ดูแพงจนแทบไม่ต้องแต่งรูป เหมาะชวนเพื่อนสักคนสองคน มาจิบเครื่องดื่มดี ๆ ท่ามกลาง vibe ชิล ๆ ใช้ชีวิตเก๋ ๆ เป็นที่สุด
Day 2
อารมณ์ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเช้าวันนี้เรามาเติมพลังแบบจุก ๆ กับไลน์อาหารเช้าของที่พัก โดยห้องอาหารที่นี่จะเป็นแบบ Open Air ทรงคล้ายกระโจมดูแปลกตา ภายในจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไม้เนื้อเรียบขัดเงา ห่างกำลังดีให้แขกแต่ละโต๊ะได้ความเป็นส่วนตัว ภาชนะใส่อาหารก็เป็นของคนลาวที่เอามาประยุกต์ใช้ได้เก๋ ๆ ซึ่งมีประเภทอาหารให้เลือกเยอะมาก เป็นคอนทิเนลทัล และอาหารลาว เมนูที่อยากแนะนำคือคั่วเฝอ ฟีลคล้ายผัดไทย ที่มีผักและไข่เป็นส่วนประกอบ พร้อมหอมเจียวเพิ่มรสชาติ เป็นเมนูที่เรากินตุนอย่างหนักให้มีแรงสำหรับแพลนวันนี้
06 Kuang Si Waterfall
อีกมหัศจรรย์ธรรมชาติที่ทำเราตราตรึงใจได้อยู่เสมอคือ น้ำตกตาดกวางสี น้ำตกหินปูนอันยิ่งใหญ่ที่สูงถึง 75 เมตร มีอยู่ทั้งหมด 4 ชั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง เพราะแร่ธาตุของชั้นหินปูนละแวกนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ทำให้แอ่งน้ำกลายเป็นสีเทอร์ควอยซ์สวยสะกด มีน้ำอยู่ตลอดปี สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดู แต่ช่วงที่สวยที่สุดจะเป็นตอนปลายฝนต้นหนาวที่ธรรมชาติรอบด้านเขียวชอุ่ม ปริมาณน้ำตกกำลังงาม ด้านหน้ามีศูนย์อนุรักษ์หมีควายคอยต้อนรับให้เราแวะดูความน่ารักของน้อง ๆ ก่อนเดินเข้าไปเห็นภาพน้ำตกและผู้คนหลายชนชาติมากระโดดเล่นน้ำ แหวกว่ายอย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวา
สำหรับมุมไฮไลต์ที่ไม่อยากให้พลาดอยู่ตรงชั้นสุดท้าย ที่เราจะเห็นตามหน้าสื่อโปรโมตการท่องเที่ยวหลวงพระบางอยู่บ่อย ๆ คือตรงสะพานไม้ข้ามแอ่งน้ำที่มี Background เป็นน้ำตกตาดกวางสี ให้เราเห็นเท็กซ์เจอร์ของน้ำตกอย่างใกล้ชิด พร้อมละอองน้ำที่ลอยมาตามแรงตกกระทบ สร้างความสดชื่นยามสัมผัสผิวกาย ได้ภาพฟุ้ง ๆ จึ้ง ๆ ไปเป็นรูปโปรไฟล์ใหม่ได้เลย
อีกวัฒนธรรมการกินของชาวลาวที่เราจอยมากคือการปู่เสื่อปิกนิกริมน้ำตก โดยเซตที่เราเอามาคืออาหารสุดหรูจากโรงแรม ทั้งชีสบอร์ด สลัด พาสต้า ฟรุตสลัด ฯลฯ ใส่ตะกร้าผูกปิ่นโต จัดวางอย่างสวยงาม รับประทานเคล้ากลิ่นธรรมชาติหอม ๆ ถือเป็นมื้อเที่ยงที่ฟินเนเล่มาก ๆ
07 Lao Buffalo Daily Farm
ออกจากน้ำตกช่วงบ่าย ๆ เราก็เปิดประสบการณ์การดื่มนมควายครั้งแรกในชีวิตที่ Lao Buffalo Daily Farm ฟาร์มควายนมแห่งเดียวของหลวงพระบาง ซึ่งควายของที่นี่จะต้องเป็นตัวเมียที่กำลังท้องอยู่เท่านั้น โดยเขาศึกษามาแล้วว่านมควายมีฟอสฟอรัสสูงกว่านมวัว ในขณะที่วิตามินเอมีปริมาณพอ ๆ กัน นมควายสีขาวมีปริมาณไขมันที่สูงกว่า จึงเป็นที่นิยมในหลาย ๆ ประเทศ สามารถนำมาผลิตชีส ไอศกรีม ทำขนม ชงเครื่องดื่มได้เหมือนนมวัวเลย และยังช่วยกระจายรายได้แก่ชุมชน เพราะควายที่เห็น เขาขอเช่าจากชาวบ้านเพื่อพารีดนม จากที่ลอง เรารู้สึกว่ามันมีเท็กซ์เจอร์หนักและหอมนมกว่า โดยรวมคืออร่อยม๊ากกกกกก..
08 Explore UNESCO World Heritage
บ่ายแก่ ๆ ขอกลับเข้าเมืองพร้อมสวมบทเป็นสาวน้อยนักปั่น สวมหมวก และคว้าจักรยานทรงคิ้วท์มาปั่นสำรวจเมืองหลวงพระบาง ค้นหาเหตุผลที่ทำให้ที่นี่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกมายาวนานถึง 28 ปี เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราใกล้ชิดผู้คน ชมวิถีชีวิตคนเมืองเก่าได้อย่างแจ่มชัด กิมมิกหลักของที่นี่คือบ้านเรือนเก่าแก่ทั้งแบบเฮือนลาว และโคโลเนียลที่ได้รับอิทธิพลสมัยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ภายในอาคารเหล่านั้นยังคงเปิดให้บริการเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ที่พักที่มีกลิ่นอายความคลาสสิก เหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยสามสิบปีก่อนเลย
ยิ่งมาเที่ยวช่วงหน้าหนาวมันก็ยิ่งเพลิน เราตะลอนเที่ยวได้แบบไม่รู้เหนื่อย แถมวิวที่พบเจอก็ไม่น่าเบื่อ นอกจากบ้านเรือนแล้ว ยังมีพระราชวังหลวงพระบางตัวอาคารเป็นแบบฝรั่งหลังคาเป็นลาวที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ วัดอันแสนวิจิตรอย่างวัดแสนสุขาราม หอพระบาง ฯลฯ อยากฮอปร้านกาแฟก็ได้ หรือจะหาตำหลวงพระบางยั่ว ๆ รองท้องก็ไม่ติด เรียกว่าให้เวลาครึ่งวันยังไม่พอ
09 Sofitel Sunset Cruise with 3-course dinner
พอพระอาทิตย์เริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะลาลับ เราจึงกลับมาที่โรงแรม เพื่อใช้บริการ Sofitel Sunset Cruise ดื่มด่ำกับบรรยากาศอาทิตย์อัสดงกลางลำน้ำโขงแบบลักซ์ชัวรี่ พร้อมกับดินเนอร์แสนชิลบนเรือไม้คลาสสิกที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเครื่องใช้แบบลาว การฉลุลายไม้ และบุงานสานไว้ที่เพดานอย่างลงตัว โดยเรือนั้นจะเปิดรับลมโกรกสดชื่นได้ทุกทิศทาง ที่หัวเรือเป็นเหมือนระเบียงลอยน้ำให้เราได้นั่งทานอาหาร ชมวิวแบบไพรเวท การต้อนรับแรกที่ก้าวขึ้นมา คือเวลคัมดริงก์สีสวย อัญชันมะนาวในแก้วทรงสูง นอกจากถ่ายรูปสวยแล้ว ยังเพิ่มความสดชื่นได้อย่างเต็มเปี่ยมด้วย
เราจะได้รับเซอร์วิสจากบัทเลอร์และเชฟส่วนตัวที่จะอยู่กับเราตลอดทั้งทริปล่องเรือ ในส่วนของอาหารจะมีทั้งหมด 3 คอร์สด้วยกัน เริ่มจาก Appetizer แบบลาวสไตล์จำพวกของทอด ข้าวจี่ จิ้มกับน้ำพริกรสชาติถูกปากคนไทยอย่างเรามาก ๆ ส่วน Main Dish มีให้เลือกเป็นปลา เนื้อ และไก่ ทำแบบสดใหม่เสิร์ฟร้อน ๆ อย่างสวยงาม และตบท้ายด้วยมูสช็อกโกแลตขนาดกำลังดี เคียงมากับผลไม้หั่นพอดีคำ
ตอนอยู่บนเรือ เรารู้สึกว่าเวลามันหมุนช้าลงมาก ๆ ขนาดพระอาทิตย์ที่กำลังตกยังเป็นแบบสโลว์โมชั่น นั่งอ่านหนังสือจบเป็นบท ๆ เงยหน้ามายังพบกันแสงทองกระทบน้ำให้เหม่อมองได้เป็นชั่วโมง แถมยังมี Soft Drink เสิร์ฟให้ไม่ขาดช่วง ถือเป็นการพักผ่อนที่รื่นรมย์ที่สุดตั้งแต่เริ่มปีมาเลย
ล่องเรือจบ แต่อารมณ์ยังไม่จบ ค่ำคืนนี้เราขอส่งท้ายด้วยการมานั่งต่อที่ริมสระ ในอุณหภูมิสิบองศาต้น ๆ เหมาะแก่การจิบไวน์คู่กับ Charcuterie Board เป็นโมเมนต์ที่เราอยากตักตวงความสุขสงบเข้าสู่ทุกโสตประสาทก่อนเข้านอนให้เต็มอิ่ม
Day 3
10 Almsgiving Ceremony
เป็นวันที่ต้องตั้งนาฬิกาแบบขัดใจตัวเองในเวลาตีห้าครึ่ง เพื่อมาร่วมกิจกรรมไฮไลต์ยามเช้าของหลวงพระบาง ให้เราเห็นวัฒนธรรมอันงดงามที่โด่งดังไปทั่วโลก นั่นคือการตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเราจะเห็นทั้งชาวเมืองและชาวต่างชาติมานั่งอยู่ริมถนนเต็มสองข้างทาง นั่งรอขบวนพระสงฆ์มารับบาตร แอบบอกนิดนึงว่าควรแต่งกายให้สุภาพแล้วลองหาสไบมาห่มเฉียงบ่าสักผืนเนียนเป็นสาวชาวลาว ดูอ่อนหวานขึ้นสามร้อยเปอร์เซ็นต์
11 Le Banneton Café French Bakery
อิ่มบุญกันแล้ว เราก็มาอิ่มท้องกันกับมื้อเช้าใน Le Banneton Café French Bakery คาเฟ่สไตล์ฝรั่งเศสเจ้าดังที่น่าจะได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคม ตัวร้านเป็นอาคารปูนผสมไม้แบบโบราณตั้งอยู่ริมถนนศักรินทร์ ใกล้ ๆ กับที่คนมาตักบาตรข้าวเหนียว ภายในตกแต่งอย่างคลาสสิกด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้ทรงโบราณ ใช้ไฟสลัวสีส้มโทนอุ่น ส่วนด้านนอกก็จัดวางโต๊ะให้เราเลือกนั่งดื่มแบบสภากาแฟ ชมผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างคึกคัก
แม้หน้าตาของร้าน และขนมที่อยู่ในตู้จะดูแสนคลาสสิคดูหาทานได้ทั่วไป แต่กลิ่นและรสชาติ เราการันตีได้เลยว่าอร่อยสมคำร่ำลือ โดยเฉพาะครัวซ็องหอมกรอบชุ่มเนยที่เห็นนี่ล่ะ คือจานมาสเตอร์พีซที่เราอยากให้ทุกคนได้มาลอง เอามาจุ่มกับคาปูชิโนร้อนแล้วมันฟินมากเลยแม่
ไหน ๆ มาถึงลาว เห็นใคร ๆ ได้นั่งรถไฟความเร็วสูง ทางเราก็ไม่น้อยหน้า ขอเที่ยวควบหลวงพระบาง-เวียงจันทร์ ในทริปนี้ทีเดียวไปด้วยเลย โดยรถไฟความเร็วสูง LCR นี้เพิ่งเปิดวิ่งเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมานี้เอง ทั้งสถานีและรถไฟจึงดูสะอาดเอี่ยมน่านั่งน่าใช้ไปซะทุกจุด สำหรับเส้นทางหลวงพระบางสู่เวียนจันทร์ใช้เวลาประมาณ 1.50 ชม. ราคาก็ดีงาม ถือว่าคุ้มค่ามาก นับเป็นอีกวิธีเดินทางข้ามเมืองที่เราขอแนะนำเลย
12 The Mystery Cafe
รถไฟเรามาถึงเวียนจันทร์ประมาณบ่ายสอง ช่างเป็นช่วงเวลาเหมาะเจาะในการจิบกาแฟพอดิบพอดี เราเลยปักหมุดโลแรกมาที่ The Mystery Cafe ร้านกาแฟในตึกอิฐแดงขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนหัวถนน มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปตั้งแต่ด้านหน้า ลามไปจนถึงภายในที่เป็นอาคารสองชั้นเพดานสูง โอ่โถงสบายตา เพิ่มความเก๋าด้วยหลอดไฟเอดิสันห้อยไล่ระดับจากเพดานลงมา ผนังแต่ละด้านมีทั้งกระจกซี่เก๋ ๆ กรอบรูปขาวดำเท่ ๆ และวอลเปเปอร์ดอกไม้โทนเข้มดูมีเสน่ห์ จัดวางโต๊ะเก้าอี้บุหนังอย่างมีสไตล์ พร้อมโซนเอาท์ดอร์ในสวน ที่มีซุ้มไม้เลื้อยให้ร่มเงา ซึ่งถ้ามาช่วงบ่าย บอกเลยว่าทางแสงปังมาก โพสท่ากดชัตเตอร์รัว ๆ แบบตัวแม่กันไปเลย
เมนูของที่ร้านมีทั้งเครื่องดื่ม ของคาว ของหวาน และไอศกรีมผ่านการจัดเสิร์ฟที่สวยงามสไตล์เอิร์ธโทน บอกเลยว่ากาแฟจัดว่าดีงามมาก ๆ เรานั่งดูวัยรุ่นชาวลาวแวะเวียนมาถ่ายรูปเช็คอิน ซึ่งเหล่าคาเฟ่ฮอปที่นี่เขาแต่งตัวชิคเก๋ไม่แพ้บ้านเราเลย เห็นแล้วมันเพลินตาดีจริง ๆ
13 Patuxay Monument
แสงเย็นวันนี้เราตั้งใจมาเก็บภาพงาม ๆ กันที่แลนด์มาร์กแห่งเวียนจันทร์ ที่ประตูไซ Patuxay Monument หรือประตูชัยที่สร้างมานานกว่า 55 ปี เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงผู้กล้าที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพื่อประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส รูปทรงมองไกล ๆ จะคล้ายกับประตูชัยที่ฝรั่งเศส แต่เมื่อเข้ามาพินิจดูดี ๆ เขาจะตกแต่งด้วยศิลปะล้านช้าง มีรูปสลักของเหล่าสัตว์ป่าหิมพานต์ เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หากใครอยากชมเมืองเวียนจันทร์แบบ 360 องศา ก็สามารถเดินขึ้นบันไดวน 197 ขั้นสู่ชั้น 7 เพื่อชมวิวได้เช่นกัน
ที่เราเลือกมาเวลานี้เพราะคิดว่าสวนด้านหน้าประตูชัยจะต้องมีบรรยากาศยามเย็นที่ดีมากแน่ ๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เมื่อแสงงามสีทองนี้ตกกระทบบนงานแกะสลัก ทำให้เกิดเงานูนต่ำเห็นรายละเอียดศิลปะได้ชัดเจน ทอดสายตาออกไป พบลานน้ำพุอันใหญ่โตเป็นภาพย้อนแสง ให้เราครีเอทมุมถ่ายรูปได้มากมาย รอบด้านเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว และคนท้องถิ่นที่มาออกกำลังกาย นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ช่างเป็นโมเมนต์ที่แสนจะคึกคักสดใส
Day4
14 Need Cafe
เข้าสู่วันสุดท้ายที่แพลนเราจะรีแลกซ์ที่สุด ตื่นสาย ๆ ปัดแก้ม เติมปากอ่อน ๆ แล้วออกมาเช็คอินในคาเฟ่คิ้วท์ ๆ ใจกลางเมืองอย่าง Need Cafe ที่เน้นการออกแบบอย่างเป็นมิตร ด้วยการปรับอาคารพาณิชย์ธรรมดาให้เป็นตึกทรงเก๋ โดยร้านจะเน้นโทนสีน้ำตาลจากฉากกั้นหน้าร้านและหลังร้าน ใช้ประตูทรงโค้งทำให้ดูมีลูกเล่น ด้านในตัดด้วยสีขาวของอาคาร จัดวางชุดเฟอร์นิเจอร์อย่างเป็นระเบียบ พร้อมบาร์กาแฟเล็ก ๆ ทรงน่ารักน่าหยิก
ตอนสำรวจร้านว่าน่ารักแล้ว พอได้รับเครื่องดื่มที่สั่งก็ยิ่งร้องว้าวเข้าไปใหญ่ กับลวดลายบนแก้ว มีทั้งกราฟฟิกน่ารักสีสวยเพิ่มรสชาติให้ชาพีชในแก้วสดชื่นขึ้น และลายพี่หมีโพลาร์น่ากอดในเมนู Snow Milk Pola Bear เมนูสเปเชียลเฉพาะเดือน รสนมวานิลลาหอมหวาน มาทานคู่กับครอฟเฟิล ที่เขาทำออกมาให้เหมือนไก่ทอดเจ้าดัง ความครีเอทเต็มสิบ รสชาติเต็มร้อยจริง ๆ
15 Kualao Restaurant
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลาฉันใด การท่องเที่ยวก็ย่อมมีวันจบทริปเก่าเพื่อเริ่มทริปใหม่ฉันนั้น 555 ซึ่งตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงโลเคชั่นสุดท้ายของทริป เลยขอจัดอาหารลาวชุดใหญ่ทิ้งทวนก่อนกลับสักหน่อย ซึ่ง Kualao Restaurant เป็นร้านที่เพื่อนคนลาวแนะนำ พอเราปัดเข้าไปเช็ครีวิว มงก็ลงที่ร้านนี้เช่นกัน ร้านอาหารยืนหนึ่งแห่งเวียนจันทร์นี้ตั้งอยู่ในวิลล่าสไตล์วินเทจ ที่ออกแบบผสมผสานระหว่างอินโดจีนและโคโลเนียล เป็นอีกสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เหล่านักการเมือง นักธุรกิจชาวลาวและฝรั่งเศสมาประชุมและต่อรองกัน เราสั่งอาหารมาแบบไม่คิดชีวิตเกือบสิบอย่าง บอกเลยว่าแซ่บทุกจาน อร่อยแบบแค่เห็นรูปตอนเขียนรีวิวก็อยากกลับไปกินใหม่แล้ว
เดินทางมาไกลถึงเวียงจันทร์ เราคงไม่นั่งรถกลับไปหลวงพระบางเพื่อขึ้นเครื่อง เพราะทางแอร์เอเชียเขาก็มีบินตรงสู่กรุงเทพฯ เช่นกัน กับเส้นทาง VTE-DMK มีให้เลือกสองช่วงเวลาแล้วแต่ความสะดวก ใครมีเวลามากกว่า 4 วัน เราแนะนำให้ไปเที่ยววังเวียงด้วย รวมเป็น 3 เมืองเก๋ ๆ ถือเป็นประเทศที่เดินทางสะดวกมาก ทำให้สายเที่ยวอย่างเราแพลนทริปง่ายขึ้นเยอะเลย
เป็นการมาเที่ยวลาวครั้งใหม่ที่สวยสับ สวยเปลืองจนต้องขยี้ตาตัวเองหลายที แม้เมืองหลวงพระบางจะต้องเก็บรักษาบรรยากาศความเก่าแก่ให้สมกับการได้เป็นมรดกโลก แต่ก็ยังแอบซ่อนความชิคเก๋เอาไว้ให้เราค้นหาได้ไม่หยุดหย่อน แถมการเดินทางข้ามเมืองยังสะดวกสบาย จนเราอยากกลับมาสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในลาวอีกสักทริป เชื่อว่าใครได้มาตามรอยจะต้องหลงเสน่ห์เพื่อนบ้านแสนน่ารักคนนี้เหมือนกันแน่นอน