ปักหมุดเที่ยวรอบภูมิภาคชุบุครั้งนี้ขอจัดให้แบบอิ่มเอิมเปรมปรีดิ์กับ 2 จัดหวัดตัวท็อป ตะลุย 3 เมืองยอดฮิตอย่างนากาโน่ มัตซึโมโตะ และนาโกย่า คัดมาให้ฟินกระจายกว่า 18 โลเคชั่น เอาให้แพลนกันตาแตก เที่ยวแบบอินไซด์ประหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นกันไปเลย โดยรอบนี้เราขอเรียงให้จากเที่ยวธรรมชาติสวยระดับตำนาน บนเจแปนแอลป์ เทือกเขาอลังการที่งามหมดจดจนอยากหยุดเวลา ต่อด้วยชมเมืองเก่าเคล้าความคลาสสิกจากสถาปัตยกรรม ชมวิถีชีวิตของเมืองที่คุมโทนขาวดำแสนเรียบเท่ จากนั้นค่อยมุ่งตรงสู่ความศิวิไลซ์ ดื่มด่ำกับบรรยากาศของเมืองใหม่ ช้อปปิงให้เต็มมือ กินดื่มอาหารรสเลิศประจำภูมิภาคให้ฉ่ำใจ … เชื่อว่าเห็นแพลนนี้แล้ว เพื่อน ๆ ต้องรีบเก็บเงินแล้วตีตั๋วตามเราไปเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้แน่นอน
ถ้าถามถึงความชอบส่วนตัว ชูบุ คือหนึ่งในตัวท๊อปของภูมิภาคที่เราหลงรักมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะมาเที่ยวบ่อยแค่ไหนก็ยังคงมีอะไรให้ว้าวได้ตลอด และแน่อนอนว่าการเดินทางจากไทยมาเที่ยวโซนนี้แบบสะดวกที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นการบินตรงมาลงยัง Chubu Centrair International Airport ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีเพียงสายการบิน full service เพียงเจ้าเดียว นั่นก็คือ Thai Airways สายการบินประจำชาติที่บินทีไรก็อุ่นใจเสมอ โดยเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-นาโกยา นี้ จะบินจากสุวรรณภูมิทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ใช้เวลาบิยนประมาณ 6 ชั่วโมง
BKK – NGO / TG644 / 00:55 – 08:00
NGO – BKK / TG645 / 11:00 – 15:00
สำหรับเส้นทางนี้การบินไทยใช้ Airbus A350-900 เครื่อง ลำใหญ่ กว้างขวาง นั่งสบายทั้งในชั้น Ecomony และ Business Class โดยทริปนี้เป็นอีกครั้งที่เราเลือกชั้น Business Class ซึ่งที่นั่งจะเป็นแบบ 1-2-1 เลือกนั่งชิดติดหน้าต่างสุดไพรเวทแบบทุก ๆ ครั้ง โดยการบริการบนเครื่องจากพี่ ๆ แอร์เค้าใส่ใจดี มีขนมเครื่องดื่มให้รีเควสได้ตลอดไฟล์ท ส่วนอาหารจะเสิร์ฟเป็นมื้อเช้าก่อนเครื่องแลนดิ้ง ซึ่งเรื่องรสชาติเรามองว่ามันเป็นปัจเจกบุคคล และจากที่เราได้นั่งการบินไทยไปญี่ปุ่นเรื่อย ๆ ( เกิน 5 ครั้งหลังโควิด ) ก็ต้องบอกว่ารสชาติถูกปาก โดยเฉพาะ Set อาหารญี่ปุ่นเราว่าเค้าจัดเสิร์ดออกมาได้ดูดีน่าทาน รสชาติอร่อยใช้ได้เลย
Nagano-shi / Nagano Station
01 Hakuba Mountain Harbor
แพลนนี้เราจะเริ่มเที่ยวจากนากาโน่ที่ไกลสุดก่อนแล้วค่อยไล่ลงมาเรื่อย ๆ โดยพิกัดแรกจะเป็นเดย์ทริป ออกนอกเมืองไปเล็กน้อยที่ Hakuba Mountain Harbor จุดชมวิวบนยอดเขาให้เราเห็นทิวทัศน์อันงดงามของใบไม้ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนสีย้อมเทือกเขาแอลป์ทั้งลูกให้สดใสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่หากเพื่อน ๆ มาในช่วงฤดูหนาว ก็จะเจอกับลานเล่นสกีและสโนว์บอร์ดชั้นเลิศ ซึ่งด้วยความเพียบพร้อมนี้ก็ทำให้ที่นี่เคยถูกเลือกให้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อปี 1998 อีกด้วย วิธีการเดินทางมาจุดชมวิวนี้แสนจะง่ายดายด้วยการนั่ง Alpico Bus จาก Nagano Station ต่อด้วยขึ้น Gondola Lift ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง
สำหรับจุดไฮไลต์ของที่นี่จะอยู่ที่ร้านกาแฟแสนละมุน THE CITY BAKERY จัดเสิร์ฟเครื่องดื่มและเบอเกอรี่หอมกรุ่น ให้เราทานเคล้าวิวสวย ๆ ได้อย่างลงตัว ที่นั่งจะมีทั้งโซนอินดอร์เอ้าดอร์ มีจุดชมวิวที่อยู่บนยอดเขาสูงเกือบ 1,300 เมตร ลักษณะเป็นระเบียงไม้และกระจกทอดยาวออกไป ให้เราเห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้อย่างเต็มตา
ท่ามกลางกิจกรรมมากมายให้เราเลือก มีสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนได้ลองเล่น Yoo-Hoo! SWING ชิงช้าห้อยขาที่ให้เราเทคตัวบินออกไปนอกหน้าผา สร้างความเสียววูบวาบในหน้าท้อง เพิ่มระดับการสูบฉีดของเลือดให้พอใจเต้น เป็นการโหนชิงช้าวิวเทือกเขาแอลป์ที่เห็นทั้งหิมะบนยอดเขา และใบไม้เปลี่ยนสีที่หาชมจากที่ไหนไม่ได้แล้วจริง ๆ โคตรจะปังเลย
จากโซนนี้เรายังสามารถนั่งสกีลิฟต์ กระเช้าแบบเปิดโล่งลงมายัง Hakuba Hitotoki no Mori บนยอดเขา Iwatake ที่ความสูง 1,100 เมตร ลักษณะเป็นลานกว้างที่ให้เราเห็นเทือกเขาฮิดะ และหมู่บ้านฮาคุบะ เป็นวิวแบบ 360 องศา มีการจัดวางงานอาร์ตให้ได้ชม และกิจกรรมอีกมากมายทั้งปั่นจักรยาน ขับ Mountaincart บนทางวิบากให้ได้ลิ้มรสความแอดเวนเจอร์เบา ๆ
นอกจากนี้ยังมี Chavaty Hakuba คาเฟ่ในอาคารทรงคอทเทจเก๋ไก๋ ให้บริการขนมและเครื่องดื่ม มีเมนูเด็ดคือสโคนที่อบสดใหม่ทุกวันหลากหลายรสชาติ เสิร์ฟมาพร้อมแยมและครีมชีสรสละมุน มีซอฟเสิร์ฟ ชา กาแฟ และน้ำผลไม้หอมหวานสดชื่น จัดชุดมาเป็นเซ็ตเป็นน่ารักน่าชัง จิบเคล้าวิวนี้แล้วมันฟินเกินกว่าจะบรรยายจริงจริ้งงงงงง
นอกจากทั้งหมดที่ร่ายยาวมาข้างต้น … เรายังสามารถมาเทรคกิ้งในอุทยานแห่งชาติ เดินชมทะเลสาบกลางหุบเขา ซึ่งเที่ยวได้แบบวันเดย์ ยิ่งมาในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแบบนี้ยิ่งดี แม้เราจะต้องปะทะกับอากาศเย็น ๆ แต่เราก็จะถูกโอบกอดด้วยวิวแมกไม้โทนอุ่น ที่อยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า เป็นโลเคชั่นแรกที่เราตะโกนคำว่าสวยอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดปากเลยจริง ๆ
02 Zenko-ji Temple
พิกัดนี้เราขอหอบพรหอบบุญจากวัด Zenko-ji มาฝากทุกคน ที่นี่เป็นวัดพุทธแห่งแรกและมีพระพุทธรูปองค์แรกของประเทศญี่ปุ่น เริ่มสร้างมานานกว่า 1,381 ปี จนได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติแห่งชาติ ตัววัดเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการกว่าวัดเก่าแก่อื่น ๆ ที่เราเคยพบเจอมาก ไม่ว่าจะพื้นไม้ เสาวัดอันใหญ่โต คุมโทนทั้งหมดด้วยสีน้ำตาลเข้มมีมนต์ขลัง ไฮไลต์จะอยู่ที่ห้องใต้ดินบริเวณแท่นบูชา ที่เป็นอุโมงค์มืดสนิทให้เราเดินคลำทางไปเรื่อย ๆ จนไปเจอห่วงประตูสวรรค์ที่อยู่ตรงกับพระประธานพอดี เชื่อว่าใครได้มาสัมผัสสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตพบแสงสว่างนั่นเอง
พอรับบุญแล้ว เพื่อน ๆ ก็สามารถมาเดินละลายทรัพย์กันต่อด้านหน้าวัดบริเวณ Zenkoji Nakamise Street ที่ว่ากันว่าใต้พื้นทางเดินนี้ปูด้วยหินจำนวน 7,777 ก้อนพอดีเป๊ะด้วย สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยร้านรวงขายของที่ระลึก ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น แท่นบูชา เครื่องบูชาพระพุทธ ร้านอาหาร ขนมของกินเล่นคึกคักจอแจไปด้วยนักท่องเที่ยว และพ่อค้าแม่ค้า มีอะไรให้มองเพลินไปหมด
ของกินเล่นที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยคือ Oyaki dumpling ซาลาเปาย่างที่ทำจากแป้งสาลีและแป้งโซบะ ภายในมีไส้ให้เลือกทั้ง Nozawana(ไส้ผักดอง), Kiriboshi daikon (หัวไชเท้าฝอยต้มซีอิ้ว), มะเขือม่วงมิโสะ, ฟักทอง, ถั่วแดง และไส้ผักที่หาได้ตามฤดูกาล นำมาย่างโดยเตาผิงโบราณ Irori เป็นซาลาเปาที่มีกลิ่นหอมเนื้อหนุบหนับไม่เหมือนใคร แถมไส้ยังเป็นผักที่สดใหม่กินตอนร้อนแล้ว ๆ แล้วมันอร่อยสุด ๆ
03 Togakushi Shrine
พาไปวัดคู่เมืองแล้วขอพาไปดูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่แสนประทับจิตประทับจิตประทับใจเรากันบ้างที่ Togakushi Shrine ที่มีถึง 3 ศาลไล่ลำดับตามภูเขาคือ Hokosha(ศาลล่าง), Chusha(ศาลกลาง) และ Okusha(ศาลบน) เป็นทางเดินขึ้นเขาแบบง่าย ๆ ด่านแรกเราจะเจอกับประตูไม้สีซีดเนื้อเรียบเนียน จากนั้นขึ้นบันไดหินเดินชิล ๆ ประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะเจอร้านค้าให้บริการอาหารเครื่องดื่มอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ จนมาพบกับประตู Zuishinmon สีแดงที่จะพาเราทะลุยังมิติไปยังดินแดนแห่งเทพเจ้า
เมื่อผ่านประตูแดงเข้าไปก็จะได้พบกับความจึ้งของธรรมชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยจุดไฮไลท์จะอยู่ตรง Togakushi Okusha เหล่าต้นสนยักษ์ที่ยืนหยัดอย่างสวยงามทั้งสองฝั่งเป็นทางยาว ผ่านพ้นฤดูกาลมานานกว่า 400 ปี ถ้าเทียบแล้วตัวเรายังสูงแค่คืบเล็ก ๆ จากโคนต้นเท่านั้น ถือเป็น Power Spot อันทรงพลังของคนญี่ปุ่นเลย ถ้าเจอวิวแบบนี้เรื่อย ๆ เดินนานเป็นกิโลก็ไม่เหนื่อย เผลอแป็ปเดียวก็ได้ไหว้สักการะและขอพรที่ Okusha ศาลชั้นบนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวญี่ปุ่นแล้ว
04 Nakamura Farm
เพิ่มความฟีลกู้ดฟีลกรีนให้กับทริปด้วยการเข้าฟาร์มองุ่นสไตล์ญี่ปุ่น Nakamura Farm คัดเกรดแสนพรีเมียมออกสู่ท้องตลาด ที่วางอวดโฉมอยู่ตามซูปเปอร์ในราคาแสนแพง แต่ที่นี่เราสามารถเด็ดมากินได้สด ๆ แบบไม่อั้น เพลิดเพลินไปกับการตัดก้านพวงองุ่น ท่ามกลางบรรยากาศสุขสงบ โดยจุดเด่นขององุ่นที่นี่ คือขนาดที่ใหญ่ ไร้เม็ด พร้อมเท็กเจอร์และรสชาติที่โดดเด่น แตกต่างไปตามสายพันธุ์
โดยองุ่นที่ไร่นี้ เขาจะมีอยู่ 3 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่Shine Muscat องุ่นสีเขียวที่นิยมปลูกในจังหวัด Yamanashi และ Nagano สายพันธุ์ที่ญี่ปุ่นคิดค้นและพัฒนา จนได้ผลที่มีรสชาติหวาน หอม กรอบ เป็นที่นิยมทั้งในจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย ฯลฯ แม้ตอนนี้หลายประเทศจะเริ่มปลูก แต่ถ้าเพื่อน ๆ อยากสัมผัสรสชาติที่ดีที่สุดแบบออริจินอลก็ต้องมาลิ้มลองที่ญี่ปุ่น, Nagano Purple พันธุ์ดั้งเดิมของนากาโน่ ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย มีเนื้อนุ่มฉ่ำ เปลือกบาง รสอมเปรี้ยวนิด ๆ และ Queen Nina พันธุ์นี้พิเศษหน่อยด้วยเนื้อที่แน่น รสชาติหวานมาก และมีเท็กซ์เจอร์นุ่มเหมือนเยลลี่ จึงได้ตำแหน่งราชินีองุ่นแห่งญี่ปุ่นไปแบบไร้ข้อกังขา จะบอกว่าราคาในไทยแต่ละพวงจะอยู่ที่หลายพันบาทขึ้นไป แต่กินที่นี่เริ่มต้นเพียง 2,800 เยนเท่านั้น แถมได้เด็ดกินสด ๆ จากต้น มันยิ่งฟินนะแก
Matsumoto-shi / Matsumoto Station
01 Kamikochi
มาต่อกันที่สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติยอดนิยมของจังหวัดนากาโน่ Kamikochi ทางตอนเหนือของเจแปนแอลป์ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองมัตสึโมโตะ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เปิดเฉพาะเดือนเมษายน-พฤศจิกายน ถ้าอยากเห็นวิวใบไม้เปลี่ยนสีฉ่ำ ๆ แบบนี้แนะนำให้มาช่วงปลายตุลาคม-ต้นพฤศจิกายน
โดยจุดไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวต่างต้องการมาเช็คอินนั้นคือ สะพานคัปปะ สะพานแขวนทรงงามที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำอะซุสะ เป็นสะพานที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่องดินแดนของ ‘กัปปะ’ ภูติวิญญาณแห่งผืนน้ำ ความจึ้งไม่ได้อยู่ที่สะพานเท่านั้น ยังอยู่ที่วิวยอดเขาโฮตะกะ และเมียวจินดาเกะที่มีหิมะปกคลุมอยู่เสมอ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง พอบวกกับเหล่าใบไม้สีแดง เหลือง ท้องฟ้าโล่งโปร่ง น้ำสีเทอควอยซ์แล้ว มันสวยราวกับภาพสีน้ำมันเลยล่ะ
รอบ ๆ สะพานคัปปะจะคึกคักตลอดทั้งวัน เพราะจุดนี้จะมีร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก ขนมนมเนย ชากาแฟ รวมถึงร้านอาหารไว้ให้บริการ แน่นอนว่าหลังจากที่เดินเท้าชมความงามจนลืมเรื่องปากท้อง มาถึงตรงนี้มันก็เริ่มหิวโหย รีบเดินตามกลิ่นหอม ๆ ของโซบะร้อน จัดไปหนึ่งเซ็ต มานั่งละเลียดกินพลางชมวิว มองดูผู้คนที่กำลังเซลฟี่ นั่งเล่น เดินเล่น รวมถึงศิลปินที่มาแต้มสีลงบนผ้าใบอย่างละละเมียดละไม บอกเลยว่าฟีลกู๊ด ดีต่อใจสุด ๆ ไปเลย
นอกจากไฮไลท์ที่เราแนะนำ ในคามิโคจิยังมีจุดน่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถเลือกรูทเดินได้ทั้งใกล้ไกล แต่ระยะทางที่นักเดินป่าระดับ biginner นิยมมากันคือเส้นทางสระน้ำไทโช ( Taisho Pond ) – สระน้ำเมียวจิน ( Myojin Pond ) ระยะทาง 7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินต่อเนื่องประมาณชั่วโมงครึ่ง ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จัดสรรเส้นทางได้ดี การบริการครบวงจรเหมาะกับนักเดินป่ามือใหม่จริง ๆ
02 Matsumoto Castle
อีกปราสาทที่เราชอบที่สุด เพราะความเท่ไม่เหมือนใคร ถ้าให้เปรียบก็เหมือนชายหนุ่มสุดสามาร์ทในชุดโทนดำ Matsumoto Castle หรือที่เรียกกันว่าปราสาทอีกา แลนด์มาร์กประจำเมืองมัตสึโมโตะแห่งนากาโน่ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นอีกปราสาทที่คงสภาพได้สมบูรณ์ที่สุดในญี่ปุ่น จนได้ขึ้นเป็นทะเบียนสมบัติของชาติ ช่วงที่สวยสุดสำหรับมาเที่ยวคงหนีไม่พ้นฤดูใบไม้ผลิ เพราะสีดำของตัวปราสาท จะตัดกับสีชมพูจากดอกซากุระ บวกกับวิวเทือกเขาแอลป์ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะด้านหลัง เป็นภาพที่สวนจนชาวญี่ปุ่นเองยังหลงใหล แต่ถ้ามาตอนใบไม้เปลี่ยนสีทุกอย่างก็จะดูคมเข้มสวยงามแบบจัดจ้านไม่แพ้กัน
ภายในจะมีการจัดแสดงสมบัติ เครื่องใช้ ชุดเกราะ อุปกรณ์การรบโบราณ ภาพศิลปะพร้อมประวัติให้เราได้อ่านได้ชมกัน สิ่งที่เราชอบที่สุดคือการออกแบบภายในให้เหมาะแก่การต่อสู้ เช่น การสร้างรูหลอกตาเล็ก ๆ เพื่อลอบมองศัตรู และสำหรับยิงปืน เป็นต้น ขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดก็จะพบกับวิวเมืองมัตซึโมโตะแบบพาโนราม่า ขนาดใบไม้เปลี่ยนสีไม่เต็มที่ยังสวยขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนสีหมดมันจะสวยขนาดไหน คิดดู๊!
03 Yohashira Shrine
พิกัดต่อมาขอเอาใจสายมูกับ Yohashira Shrine ศาลเจ้าเก่าแก่ประจำเมืองมัตซึโมโตะที่สร้างขึ้นในสมัยเมจิ เพื่อถวายแก่เทพเจ้าชินโต 4 องค์ เป็นที่มาของชื่อโยฮาชิระ แปลว่าเสาสี่ต้น ถือเป็นที่รวมตัวของเทพเจ้า ผู้คนจึงนิยมมาสักการะขอพร โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่คนจะมาเยอะมาก ๆ และยังเป็นที่จัดงานแต่งงานแบบชินโตอีกด้วย แม้จะเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ แต่สถาปัตยกรรม บรรยากาศรอบ ๆ นั้นงดงามไม่แพ้ที่อื่น มีการดูแลรักษาอย่างดี ยิ่งถ้ามาในช่วงใบไม้ร่วง ต้นไม้บริเวณนี้จะแต่งแต้มไปด้วยสีสัน ห้อมล้อมด้วยอาคารคอนกรีตแต่กลับดูเข้ากันจนน่าประหลาด เป็นสปอตที่สงบจิตสงบใจได้ดีทีเดียว
04 Nawate Street
โลเคชั่นต่อมาเราจะพาทุกคนไปพับกบ เอ้ย!!! พบกับถนนคนเดินเส้นคิ้วท์ Nawate Street ที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าถนนกบ ด้วยความที่ตั้งอยู่เลียบแม่น้ำเมะโตะบะ ที่สมัยก่อนเซ่งแซ่ไปด้วยเสียงกบ และในภาษาญี่ปุ่นคำว่า Kaeru (กบ) ยังแปลว่ากลับบ้านได้อีกด้วย ด้านหน้าถนนจึงมีรูปปั้นกบตั้งอยู่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกกลับบ้านอย่างปลอดภัยนั่นเอง
ถัดเข้ามาจะเป็นบ้านเรือนเล็ก ๆ ทรงโบราณ ที่ดูน่ารักเหมือนในการ์ตูน เปิดขายของฝากกระจุกกระจิกส่วนใหญ่เป็นของที่ทำเป็นรูปกบ เครื่องแก้วเซริมิก ของมือสอง และขนมเซมเบ้ประจำถิ่น มีศาลเจ้ากบเล็ก ๆ เพื่อขอพรเรื่องการเดินทางปลอดภัยและโชคดีในการเดินทางด้วย และที่พลาดไม่ได้คือแวะชิมขนมหวานโบราณในร้านเบเกอรี่ที่เปิดมานานกว่าร้อยปี เดินแล้วใช้ฟีลเหมือนได้ย้อนยุคไปสมัยเอโดะเลย มันน่าร๊ากกกมันฟินมันพูดเสียงสองไม่หยุดเลย
05 Nakamachi Street | ถนนสายคลาสสิค
มัตสึโมโตะถือเป็นเมืองที่กักเก็บความคลาสสิกได้อย่างท่วมท้น ตรงนี้คือ Nakamachi Street ถนนนากามาจิ เป็นเส้นที่มีความชิคเก๋และเห็นวิถีชีวิตของชาวมัตสึโมโตะในปัจจุบันได้อย่างเด่นชัด บ้านเรือนตรงนี้เขาจะคุมโทนตึกให้เป็นสีขาว ดำ เทา โทนเดียวกับปราสาทประจำเมืองเลย สมัยก่อนอาคารเหล่านี้เป็นโกดังสำหรับเก็บสินค้า และเป็นย่านเริงรมณ์จึงเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง เขาจึงสร้างกำแพงนามาโกะ เส้นปูนสีขาวนูนบนผนังสีเทาที่เห็นนี่ล่ะ มีคุณสมบัติทนไฟเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นอันน่าทึ่ง แถมลายยังมินิมอลถูกใจวัยรุ่นอย่างเราสุด ๆ
ปัจจุบันอาคารเหล่านี้เปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟอีกเช่นกัน แน่นอนว่าสายคาเฟ่อย่างเราก็ต้องเอามาฝากสักร้านสองร้าน โดยร้านแรกที่อยากแนะนำคือ プリン専門店春夏秋冬 中町店 ร้านพุดดิ้งคุณภาพสูง ทำจากวัตถุดินชั้นดี อาทิ นมวัวที่เลี้ยงในอาซูมิโนะ และไข่ไก่จากฟาร์มมัตสึโมโตะไดระ เป็นหัวใจสำคัญในการทำพุดดิ้ง ให้ได้รสชาติกลมกล่อม การขึ้นรูปทรงที่กระชับและนุ่มนิ่มในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญไม่ใส่วัตุกันเสีย มั่นใจได้เลยว่าพุดดิ้งที่ได้ลิ้มลองนี้ทำสด ๆ วันต่อวันแน่นอน
ส่วนอีกร้านขอเอาใจคนชอบมันม่วง กับสารพัดเมนูมันญี่ปุ่น ณ ร้าน おいも日和 松本中町店 (Oimo Biyari) ที่มีตั้งแต่มันเผาสด ๆ ส่งกลิ่นหอมหลอกล่อผู้คนไปทั่วถนน โดยมันของเขาจะคัดคุณภาพจากฟาร์มมีการเก็บในห้องควบคุมความชื้นและอุณภูมิ 60 วันเพื่อทำให้ตัวแป้งเหนียวหนึบและหวานพอดี พลาดไม่ได้เลยคือเมนูซิกเนเจอร์ sweet potato brulee ขนมที่ทำจากมันเทศ ชีสครีม และคาราเมลเครมบรูเล่อยู่ด้านล่าง มีความหวานมันหอมอยู่ในคำเดียว กินไปเดินชมเมืองไปแล้วมันฟีดกู้ดเวอร์
06 Matsumoto City Museum Of Art
พิพิธภัณฑ์มัตสึโมะโตะ Matsumoto City Museum Of Art สถานที่จัดงานนิทรรศการถาวรของคุณยาโยอิ คุซามะ ศิลปินชื่อดังชาวอาทิตย์อุทัยที่มีถิ่นกำเนิดอยู่เมืองนี้ เจ้าของผลงานปังสุดแบบฉุดไม่อยู่กับลายโพลก้าดอท สีสดใสที่ตราตรึงผู้คน จนได้จัดงานนิทรรศการไปทั่วโลก คอลแลปกับสินค้าแบรนด์เนมระดับเวิร์ลคลาสมากมาย ถ้าเดินตามแมปมาเรื่อย ๆ จะเห็นมิวเซียมแห่งนี้แต่ไกลเลย เพราะทั้งอาคารถูกฉาบด้วยลายจุด พร้อมป็อปอัพอาร์ต ดอกไม้ยักษ์แสนเก๋ที่ยืนต้อนรับกันตั้งแต่ด้านหน้าเลย
ซึ่งที่มาของลายจุดนั้นมาจาก ภาพหลอนที่เธอมักจะเห็นลายจุดวนเวียนรอบ ๆ เสมอตั้งแต่เด็ก เธอจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากภาพหลอนเหล่านั้น โดยผลงานส่วนใหญ่ที่จัดโชว์ที่นี่จะถ่ายรูปไม่ได้ ทำให้เราเอามาฝากได้แค่นิดเดียวเท่านั้น แต่บอกเลยว่าใครเป็นแฟนลับคุณยายแกจะต้องไม่พลาด มันคุ้มค่ามากจริง ๆ ออ นอกจากงานของคุณยายแล้ว เขายังจัดวางผลงานของศิลปินชาวมิตสึโมโตะ และงานนิทรรศการหมุนเวียนอยู่ด้วยเช่นกัน
07 Sanzoku-yaki
เรื่องอาหารการกินเมืองนี้เขาก็ไม่น้อยหน้า จานเด็ดประจำถิ่นเลยก็คือ ไก่ซันโซะกุยากิ ไก่คาราเกะที่ผ่านปรุงรสก่อนนำไปทอด ขึ้นชื่อว่าเป็น Soul Food ของเมืองมัตซึโมโตะเลยก็ว่าได้ โดยรอบนี้เราเลือกมาที่ร้าน Matsumoto Karaage Center (松本からあげセンター) ตั้งอยู่ในสถานีรถไฟ Matsumoto เขาจะจัดเสิร์ฟซันโซะกุยากิที่ทำสดใหม่จานต่อจานให้เราได้ลิ้มลอง แน่นอนว่าไก่ทอดที่นี่ไม่เหมือนคาราเกะทั่วไป ตั้งแต่ปริมาณที่เยอะมาก เป็นไก่บริเวณปีกและอกที่เอาไปคลุกกับโชยุ เครื่องเทศ กระเทียม จากนั้นเอาไปชุปแป้งแล้วทอดในน้ำมันร้อน ๆ ออกมาได้เท็กเจอร์กรอบนอกนุ่มใน ชุ่มฉ่ำไปด้วยรสชาติของซอสหมักที่ซึมเข้าเนื้ออย่างพอดี กินคู่กับมายองเนสแล้วมันฟิน ฟิ๊น ฟิน~
08 Mensho Sakura
อีกเมนูท้องถิ่นที่ไม่ควรพลาดคือ ราเมง อาหารประจำชาติญี่ปุ่นที่ไปเมืองไหนก็มีจุดเด่นของตัวเองกันทั้งนั้น สำหรับมัตซึโมโตะเราขอยกให้ร้าน Mansho Sakura ร้านที่แอบซ่อนอยู่ในอาคารโกดังรูปทรงเก่า แต่มีการทาสีตกแต่งเหมือนใหม่ โดยร้านจะเปิดทุกวันแบ่งเป็นช่วงเที่ยง 11:30-15:30 น. และเย็น 17:30-22:00 น. หากเพื่อน ๆ มาตรงกับมื้อเที่ยง หรือเย็นที่คนเขาเลิกกงานกันจะต้องใจเย็นต่อแถวกันนิดนึง เพราะปริมาณคนท้องถิ่นที่มายืนรอต่อแถวเป็นเครื่องการันตรีชั้นดีในเรื่องของความปัง
ซึ่งความพิเศษของราเมงที่นี่คือการใช้ซอสชิซูมิโซะ ซอสที่ทำจากถั่วเหลือง ของขึ้นชื่อจังหวัดนากาโน่เป็นวัตถุดิบหลัก เคี่ยวกับกระดูกหมูเป็นเวลานานทำให้ซุปมิโซะของร้านนี้จะเข้มข้นกว่าร้านอื่น ๆ แต่ไม่เค็มจนเลี่ยน พอกินกับราเมงเส้นหนาแบบเหนียวนุ่ม แล้วมันอร่อยจนไม่ต้องปรุงเลย
Nagoya-Shi / Nagoya Station
01 Nagoya TV Tower
มาสู่เมืองสุดท้ายที่เราตั้งใจมาเช็คอินตามแลนด์มาร์กจึ้ง ๆ และชอปปิ้งกันแบบระเบิดระเบ้อ จุดแรกเรามากันที่ Nagoya TV Tower ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์แห่งแรกของญี่ปุ่นที่มีความสูง 180 เมตร ถามถึงอายุก็กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่ 70 แล้วหลังจากที่เปิดใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งปัจจุบันเขาได้ปรับเปลี่ยนเป็นหอชมวิว ให้เราชมเมืองจากที่สูงกว่าร้อยเมตร เดินดูรอบ ๆ ได้ถึง 360 องศา ให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความเจริญของภูมิภาคชูบุได้อย่างถนัดตา
02 Nagoya Castle
หนึ่งในมิชชั่นที่ทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ ตามเก็บภาพปราสาทของแต่ละเมือง ไม่เว้นแม้แต่ที่นี่กับ Nagoya Castle ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 411 ปีก่อน เพื่อใช้เป็นปราการสู้รบกับโอซาก้าในสมัยเอโดะ แต่กลับถูกไฟไหม้ทั้งหมดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการบูรณะให้เหมือนแบบเดิมมากที่สุด มีการจำลองของใช้ ชุดนักรบโบราณในสมัยนั้นให้ชม และที่ชั้นดาดฟ้ายังเป็นจุดชมวิวมองสวนรอบ ๆ ที่พร้อมอวดความงามที่ผันเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
03 Osu Kannon Temple
เอาใจสายมูอีกสักนิดด้วยการพามาไหว้พระพุทธรูปไม้แกะสลักอันแสนปราณีต เทพเจ้าคันนอนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเมตตา ณ Osu Kannon Temple วัดศาสนาพุทธที่มีความสำคัญอีกแห่งของนาโกย่า เพราะสร้างมานานมาก ตั้งแต่สมัยคามาคุระ (ปี1185-1333) และย้ายมาอยู่บริเวณนี้เมื่อ 411 ปีก่อน แต่ถูกน้ำท่วมหลายครั้ง อาคารที่เห็นปัจจุบันจึงเป็นหลังที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อศตรรษที่ 20 นั่นเอง และที่นี่ยังเก็บรวบรวมหนังสือภาษาญี่ปุ่นและจีนไว้มากกว่า 15,000 เล่ม ถือเป็นแหล่งข้อมูลประวัติศาสตร์ที่สำคัญสามารถบอกเล่าถึงต้นกำเนิดญี่ปุ่นได้เลยทีเดียว
04 Osu Shopping Street
ขอเอาใจสายช้อปกันต่อกับ Osu Shopping Street ย่านร้านค้าแสนครึกครื้นที่มีอายุนานกว่า 400 ปี เป็นถนนคนเดินเส้นยาวกว่า 1.7 กม. ทุกอณูเนืองแน่นไปด้วยร้านขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่นราคาดี สตรีทฟู้ดอร่อย ๆ ตู้เกมส์ ร้านขายของอนิเมะ พ่อค้าแม่ขายออกมาตะโกนแจ้งโปรโมชั่นกันอย่างสนุกสนาน เหมือนกับว่าที่แห่งนี้ไม่เคยหลับใหล และเราสังเกตว่ามีชุดคอสเพลย์ขายอยู่เพียบ สมกับเป็นย่านจัดประกวดคอสเพลย์ระดับโลก! พร้อมมุมถ่ายรูปสวย ๆ ที่เบลนด์ความเก่าเข้ากับยุคใหม่ได้แบบไม่ขัดตา
05 Nagoya City Science Museum
มิวเซียมที่เราชอบในความเล่นใหญ่เล่นโตของเขาที่สุด Nagoya City Science Museum ต้อนรับเหล่าผู้มาเยือนด้วยวัตถุทรงกลมสีเงิน คล้ายลูกโลกตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างตึก ดูล้ำสมัยตรงกับนิทรรศการภายในที่จัดเกี่ยวกับงานวิทยาศาสตร์ แบ่งให้เราเขาชม 5 ชั้น มีทั้งงานนิทรรศการถาวรและหมุนเวียน เป็นสถานที่ที่เหมาะกับคนที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ เนื่องจากมีทั้งข้อมูลแน่น ๆ ผสมการทดลองให้ได้ร่วมสนุก อาทิ การเกิดพายุทอร์นาโด การจำลองสภาพอากาศขั้วโลกเหนือ และที่พลาดไม่ได้เลยคือท้องฟ้าจำลองที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นอีกที่ที่เหมาะกับคนทุกเพศวัย
06 Atsuta Horaiken
พูดถึงเมนูอาหารที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงเมืองนาโกย่าคือข้าวหน้าปลาไหล เมนูที่มีอยู่ทั่วประเทศซึ่งถิ่นกำเนิดก็มาจากเมืองนี้นั่นเอง แต่ละร้านจะมีสูตรซอสและขั้นตอนการทำที่แตกต่างกันไป ร้านที่เรายกให้เป็นที่หนึ่งในใจเลยคือ Atsuta Horaiken มีสาขากระจายอยู่ทั่วนาโกย่า เป็นร้านแรกที่ทำเมนูข้าวหน้าปลาไหลที่เรียกว่า ‘Hitsumabushi’ มีมานานกว่า 140 ปี โดยการคัดพันธุ์ปลาไหลเนื้อเด้งหนึบมันน้อย นำมาย่างกับซอสสูตรพิเศษที่มีส่วนผสมของโชยุมิรินและน้ำตาล พลิกไปมาจนรสชาติเข้าเนื้อ และมีเท็กเจอร์กรอบนิด ๆ พอกินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ แล้วมันเพอร์เฟ็กสุด ๆ
โดยครั้งนี้เรามาลิ้มลองที่สาขา Jingu อาหารจะถูกจัดเสิร์ฟมาเป็นเซ็ตโดยรูปแบบการกินเขาจะให้เราเริ่มต้นด้วยการแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนแรกให้กินข้าวพร้อมปลาไหลย่างแบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม ให้ลิ้มรสชาติหวานของปลาและซอส สัมผัสความกรอบเป็นรสชาติแบบออริจินัล ส่วนที่สอง ให้เติมเครื่องปรุงอย่างวาซาบิ หอยซอย และสาหร่ายลงไปคลุกให้เข้ากัน เพื่อเพิ่มรสชาติให้กลากหลาย มาในส่วนที่สาม ก็คือจากแบบที่สองแล้วเติมซุปลงไปให้ฟีลข้าวต้มหน่อย ๆ เราคิดว่าวิธีนี้พอทำตอนหลัง ๆ แล้วมันช่วยตัดเลี่ยนจากความหวานได้อย่างดีเลย ส่วนสุดท้ายใครชอบกินแบบไหนจากทั้งสามวิธีก็สามารถเลือกได้ สำหรับเราคืออร่อยทุกแบบ
เอาเป็นว่าถ้าใครสามารถมาแล้วเที่ยวได้ครบทั้งสามเมือง ปักหมุดได้ตามทุกโลเคชั่นที่เราเสนอไป ก็จะได้ทั้งความสบายกายไปกับกิจกรรมท่องเที่ยวที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ สบายใจไปกับการได้ไหว้พระขอพร เอาตัวไปอยู่ในสภาพแวดล้อมดี ๆ และยังสบายพุงกับของกินอร่อย ๆ ประจำภูมิภาค เป็นการเที่ยวชูบุที่ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่นจริง ๆ ใครจะมาตามรอยก็สามารถบินตรงมาสบาย ๆ แบบฟูลเซอร์วิสกับการบินไทยได้เลย