รีวิวฝรั่งเศส : Paris is Always a Good Idea – 12 Best Things To Do 🇫🇷 

Bonjour Paris 🇫🇷

รีวิวนี้เราขอพาทุกคนบินลัดฟ้าไปเยือนมหานครอันเจิดจรัสที่เป็นเหมือนศูนย์กลางแฟชั่นโลก เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศและสิ่งปลูกสร้างอันแสนเจริญหูเจริญตา ไม่ว่าจะเป็นปิกนิกบนสนามหญ้าหน้าหอไอเฟลให้ฉ่ำใจ แวะไปเช็คอินกับภาพโมนาลิซ่าในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ เชยชมพระราชวังแวร์ซายแสนวิจิตรงดงามชวนต้องมนต์ เดินยลเมืองลัดเลาะรับไอแดดริมแม่น้ำแซน ใช้เวลาช้า ๆ ละเลียดครัวซองต์กับกาแฟแก้วโปรดในคาเฟ่ ทำตัวเท่ ๆ ราวกับชาวปารีเซียงในร้านหนังสือ ก่อนจะย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กแสนดื้อวิ่งซนในดิสนีย์แลนด์ รวมถึงทำกิจกรรมชวนฝันอื่น ๆ อีกมากมายแบบไม่มีเบื่อ เพราะทั้ง 12 สปอตที่ชวนไปสัมผัสปารีสรอบนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ครบรส หลากสไตล์ จนทำให้อยากออกเดินทางตามรอยเราไปเที่ยวอย่างแน่นอน 

FLIGHT TO PARIS

ทริปนี้เราเดินทางจากไทยสู่กรุงปารีสกับ Etihad Airways สายการบินแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีกสายการบินที่เราประทับใจตอนไปอเมริกาในทริปก่อนหน้านี้ โดยเส้นทาง BKK-CDG เค้าใช้ Boeing 787-9 เครื่องใหญ่ใจป๋ากับชั้น Business Class ที่จัดที่นั่งมาแบบ 1-2-1 ทั้งสองไฟล์ทจากกรุงเทพและอาบูดาบี ซึ่งรอบนี้ต้องบอกว่าถูกใจเช่นเดิม เพราะเลือกที่นั่งติดหน้าต่างไม่ต้องนั่งติดกับใคร มีความเป็นส่วนตัวตลอดการเดินทาง และอีกอย่างเวลาที่ต้องเทคไฟล์ทยาว ๆ เราจะแฮปปี้มากถ้าได้แวะเปลี่ยนเครื่องมายืดเส้นยืดสายเดินเล่นช้อปปิ้งก่อน 

ยิ่งถ้าใครยังไม่สบายใจกับเรื่องโควิด ยิ่งต้องเลือกสายการบินนี้ เพราะเขาดูแลใส่ใจด้านความสะอาดมากเป็นพิเศษ โดยก่อนขึ้นเครื่องเจ้าหน้าที่จะคลีนห้องโดยสารอย่างดี มีการแจกชุดป้องกันเชื้อไวรัสโควิดแบบพกพา บรรจุในแพจเกจสวยหรู มีทั้งหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ กระดาษฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาด ที่สำคัญความใส่ใจของเหล่าแอร์โฮสเตสหน้าคมตาหวานก็แสนจะดี บริการอย่างนุ่มนวลเอาใจเก่ง อาหารจัดเสิร์ฟเป็นคอร์สมีตั้งแต่ สตาร์ทเตอร์ เมนคอร์ส ของหวาน ระหว่างไฟล์ทยังมีของว่างและเครื่องดื่มให้เราสั่งแบบไม่อั้นตลอดเที่ยวบิน ส่วนเรื่องรสชาติเราว่าถูกปากคนไทย ทางนี้ก็กินเกลี้ยงอยู่นะ สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจอยากเดินทางกับ Etihad Airways สามารถเข้าไปดูเส้นทางบินและกดจองตามได้เลย -> https://www.etihad.com/en-th/book

Book your activities with Klook!

และสำหรับการเดินทางภาคพื้นดิน สิ่งที่อำนวยความสะดวกแก่เราขั้นสุดก็ต้องยกให้ Klook ช่องทางการซื้อตั๋วและบริการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ครบเครื่องมากสุด จะพิพิธภัณฑ์หรือสวนสนุกไหนที่ว่าซื้อตั๋วยาก แค่ปัดซ้ายขวาจิ้มเลือกวันก็ Book!! ได้ดั่งใจ ยิ่งได้ซื้อวันที่เรทเงินดี ๆ ก็จะช่วยประหยัดทั้งเงินประหยัดทั้งเวลา แพลนเที่ยวไหลลื่นไม่สะดุดไม่ต้องไปยืนต่อคิวให้เสียพลังงาน โดย Klook เขาให้บริการทั้งบนหน้าเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น นอกจากไว้จองตั๋วที่เราบอกข้างต้นแล้ว ยังสามารถจองที่พัก รถเช่า บริการอื่น ๆ เช่น ทัวร์เดย์ทริป ล่องเรือ ปั่นจักรยาน แม้กระทั่งซิมการ์ดก็ยังมีขาย โดยกิจกรรมที่เราจองล่วงหน้าของปารีสรอบนี้ก็จะมี Louvre Museum, Palace of Versailles และก็ Disneyland Paris เอาล่ะตั๋วเครื่องบินได้แล้ว ตั๋วมิวเซียม สวนสนุกได้แล้วก็มาออกเดินทางกับ 12 พิกัดห้ามพลาดแห่งมหานครปารีสกันได้เลย Klook : https://bit.ly/3KtEwaJ 

01 :: Domaine National du Palais-Royal

สถานที่แรกเขาขอเปิดมากับพระราชวังปาแล-รัวยาล พระราชวังหลวงอันยิ่งใหญ่ เป็นอาคารทรงยาวสุดตาที่มีกลิ่นอายของปารีสที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ศิลปะ และประวัติศาสตร์ เป็นอีกแลนด์มาร์กที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันดีที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 จุดที่สะดุดตาเราคือลาน The Cour d’Honneur ที่เต็มไปด้วย เสา Buren กว่า 260 ต้นบนพื้นที่ 3,000 ตร.ม. เป็นผลงาสนศิลปะที่ออกแบบโดย Daniel Buren เมื่อ 37 ปีก่อน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความสกปรกของพื้นที่ที่คนมาจอดรถนั่นเอง เห็นแล้วมันอดขึ้นไปนั่ง ขึ้นไปยืนถ่ายรูปไม่ได้จริง ๆ

นอกจากลานสุดเท่แล้วรอบ ๆ ยังรายล้อมด้วยสวนอันชุ่มฉ่ำ Palais-Royal Garden สวนสไตล์ฝรั่งเศสอายุกว่า 390 ปี สบายตากับพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ พร้อมจุดสนใจที่เรียกสายตาเราได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีน้ำพุตั้งอยู่ตรงกลาง รอบ ๆ จัดวางเก้าอี้กลางแจ้ง มีผู้คนจับจองนอนอาบแดดยามบ่ายพร้อมรับละอองน้ำแบบชิล ๆ ตัดเลี่ยนจากสีเขียวด้วยรูปปั้นโบราณหินอ่อน เดินไปอีกหน่อยก็มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ กลางทิวต้น Linden หรือ  le tilleul ยืนเรียงเป็นแถวตอนลึกรอเราไปร่วมเฟรม

02 :: Eiffel Tower

มาถึงปารีสถ้าไม่แวะหอไอเฟลจะงงมากกก..​ สิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่สัญลักษณ์ประจำชาติฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแซน โดดเด่นด้วยความสูงกว่า 300 เมตร อยู่คู่เมืองมานานถึง 133 ปีแล้ว โดยสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศส ถือเป็นชิ้นงานที่บ่งบอกถึงการออกแบบที่ล้ำสมัย แม้กระนั้นผู้คนในสมัยก่อนก็ยังไม่เก็ตเท่าไหร่ทำให้เกิดการร้องเรียนมากมาย จนเมื่อเสร็จสมบูรณ์ความสวยงามก็เป็นที่ประจักษ์ ได้รับการยอมรับและกลายเป็นที่รักของคนทั่วโลกอีกด้วย

หอชมวิวนี้มีโครงสร้างที่แข็งแรงจากแผ่นโลหะกว่า 18,000 ชิ้นรวมน้ำหนัก 7,000 ตัน มีบันไดสู่จุดบนสุด 1,710 ขั้น ใช้เวลาสร้างนานกว่า 2 ปี 2 เดือน นั่งอ่านข้อมูลแล้วเจอตัวเลขอลังการขนาดนี่ล่ะ ทำให้เราอยากมาชมสักครั้งในชีวิต และเมื่อได้มาดูด้วยตาตัวเองก็รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่สมมงหนึ่งในแลนด์มาร์กของโลกจริง ๆ  อีกมุมที่เราว่าสวยสะกดไม่จกตาคือบริเวณ Pont de Bir-Hakeim สะพานที่หลายคนอาจเคยเห็นในหนังหลาย ๆ เรื่อง เป็นสะพานสองชั้น ชั้นบนสำหรับรถไฟวิ่ง ส่วนชั้นล่างให้คนเดินและรถวิ่ง ชอบตรงโครงเสามีความโค้งเว้าดูเก๋ไก๋ไฮแฟชั่นมาก แถมอยู่ใกล้หอไอเฟลได้ร่วมเฟรมพร้อม ๆ กันอีกต่างหาก

หลังจากเดินถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ ทางเราเลือกมานั่งชิลที่สวน Trocadéro Gardens เพื่อมองหอไอเฟลจากมุมไกล พร้อมบรรยากาศครึกครื้นของผู้คน มีการแสดงเปิดหมวก นักท่องเที่ยวเดินโฉบไปมา และน้ำพุยักษ์  Fontaine du Jardin du Trocadéro เหมาะซื้อกาแฟและขนมจากร้านดังมาจิบทำตัวเนียน ๆ ประหนึ่งชาวปารีเซียงท่านหนึ่ง แต่ถ้าใครอยากขึ้นไปชมวิวบนหอไอเฟลเราแนะนำให้จองตั๋วผ่าน Klook มาก่อนเพราะราคาน่ารักแถมมีแพคเกจพร้อมทัวร์ล่องเรือในแม่น้ำซานด้วย 

03 :: Louvre Museum

เคยฝันไว้ว่าอยากเห็นตัวเองเดินเฉิดฉายอยู่ท่ามกลางความงามของสถาปัตกรรมเก่าและใหม่ตรงหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ และแล้ววันนี้ฝันก็เป็นจริง เพราะที่นี่ถือเป็นมิวเซียมที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อยู่คู่เมืองปารีสมานานกว่า 229 ปี ภายในอัดแน่นไปด้วยผลงานอันทรงคุณค่ากว่า 35,000 ชิ้น บางงานมีอายุเก่าแก่ถึง 7,000 ปี ไอคอนที่เป็นภาพจำของชาวโลกคือพีระมิดแก้วทรงสามเหลี่ยมที่สร้างขึ้นภายหลังช่วงปี 1988  เป็นจุดที่เราเห็นตามไอจีเยอะมาก ๆ ถือเป็นอีกแลนด์มาร์กตีคู่มากับหอไอเฟลเลย

เห็นแค่หัวพีระมิดอาจจะคิดว่าคงใช้เวลาเดินชมไม่เท่าไร่ แต่ข้างในเขามีพื้นที่เยอะจนแบ่งให้เราชมได้ถึง 10 โซนเลยนะคะคุณผู้ชม ฉะนั้นแนะนำให้มากันตั้งแต่เช้าเผลอ ๆ ออกมาอีกทีอาจจะมืดแล้วก็ได้ เป้าหมายของเราคือภาพ Mona Lisa ผลงานของศิลปินผู้ปราดเปรื่อง Da Vinci เป็นงานศิลปะที่สร้างปริศนาถึงที่มาขอบหญิงสาว พร้อมข้อสันนิษฐานมากมายจนปัจจุบันก็ยังถกเถียงกันอยู่ สร้างเสน่ห์และกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ 

นอกจากนี้ยังมีผลงานชิ้นสำคัญอื่น ๆ อีก อย่างภาพหญิงสาวร่างสูงใหญ่ ชูธงชาติฝรั่งเศสท่ามกลางสมรภูมิเป็นภาพจินตนาการของศิลปินที่บ่งบอกถึงความเป็นชาตินิยมและเสรีนียมของเขา ถ่ายทอดออกมาในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสล้มล้างระบบศักดินาเมื่อปี 1830 และยังมี  The Winged Victory of Samothrace รูปปั้นสีขาวสะอาดเป็นร่างผู้หญิงที่มีปีกกางอย่างสวยงาม รายละเอียดอ่อนช้อยจนเหมือนเป็นร่างคนจริง ๆ ชิ้นนี้คือศิลปะยุคกรีกเฮเลนิสติกราว ๆ 300 ปีก่อนคริสตกาล บอกเลยว่ามีแต่งานว้าว ๆ จนคนที่ไม่ได้อินกับงานศิลปะมากเท่าไหร่แบบเรายังแอบหลงรัก เดินเพลินไปหลายชั่วโมงเลย

04 :: อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ ดูว์ การูแซล (Arc de triomphe du Carrousel) + สวนสาธารณะตุยเลอรี (Tuileries Garden) 

พิกัดต่อมาขอเสิร์ฟแบบแพ็คคู่ชูชื่น เพราะอยู่ติดแบบเดินถึงกันได้ ณ Arc de triomphe du Carrousel  คือประตูชัยขนาดเล็ก สร้างขึ้นเมื่อปี 1806 เพื่อประกาศชัยชนะของนโปเลียนในหลาย ๆ สมรภูมิทั่วยุโรป ออกแบบโดย Percier และ Fontaine ภายในประตูเขาแกะสลักลวดลายให้เหมือนกับเสาแบบคอรินเทียน พร้อมรูปปั้นทหารทั้งหลายด้านบน ตั้งแต่ทหารราบ ทหารม้า ทหารถือปืน ฯลฯ ในสมัยนั้นตั้งใจสร้างไว้บนเส้นทางเดินที่ทอดยาวสู่พระราชวัง Tuileries และเมื่อพระราชวังถูกทำลายพื้นที่ใกล้เคียงที่เราเห็นจึงมีเพียงสวนสาธารณะ Tuileries นั่นเอง 

ถัดมาที่สวนสาธารณะตุยเลอรี (Tuileries Garden) สวนที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในกรุงปารีส จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกจาก UNESCO  บนเนื้อที่กว่า 175 ไร่ แต่ก่อนเป็นสวนของพระราชวังที่ถูกเผาทำลายไปนั่นเอง ต่อมาเขาได้เปิดให้เป็นพื้นที่ของประชาชนหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส บอกเลยว่าเราชอบมากเพราะทั่วทั้งสวนเต็มไปด้วยผืนหญ้าโล่งเตียน แบ่งออกจากกันอย่างเป็นระเบียบ มีทั้งน้ำพุ สระน้ำ ต้นไม่น้อยใหญ่กระจายให้ร่มเงา เห็นชาวเมืองเอาผ้ามาปูนอนอาบแดดกันอย่างสบายอารมณ์เป็นพื้นที่สาธารณะที่มีความไพรเวทสูงมาก 

05 :: Arc de Triomphe

ประตูชัยนโปเลียนอายุมากกว่า 200 ปี อนุสรณ์อันเป็นเกียรติแก่จักรพรรดินโปเลียนที่1 ที่รับชัยชนะจากศึกสงคราม โดดเด่นด้วยรูปปั้นแกะสลักหินนูนต่ำอยู่ 6 ชิ้น ฝีมือจากช่างมือทองแห่งยุคอย่าง ณอง-ปีแอร์ กอร์โตต์, ฟรองซัวร์ส์ รูด, อองตวน เอเตกซ์ ฯลฯ ตรงโถงเพดานมีชื่อสงครามสำคัญ ๆ ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส และที่เสามีสลักชื่อผู้กล้าที่ร่วมรบในการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ การปลุกใจ ความเสียสละของเหล่าทหารหลายยุคสมัย และด้วยความสูงเกือบ 49.5 เมตร กว้าง 45 เมตร ลึก 22 เมตร ทำให้ที่นี่กลายเป็นประตูชัยที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลกอีกด้วย 

และที่พลาดไม่ได้เลยคือการนั่งทอดเวลาไปกับท้องฟ้ายามเย็นบนประตูชัยแห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองไปเราจะเห็นทั้งหอไอเฟล และถนนกว่า 12 เส้น ท่ามกลางแสงสีทองที่สาดส่อง สร้างเงาตกกระทบตัวตึก รถ และผู้คนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ทั่วเมือง เป็นภาพสีซีเปียสุดโรแมนติกที่สวยชวนสะกดจริง ๆ

06 :: Sacré-Cœur

สำหรับปารีสที่ไหนมีพื้นหญ้าที่นั่นมีผู้คนมานั่งเล่น นอนอาบแดดทั่วทุกอณูจริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่มหาวิหารซาเคร-เกอร์แห่งนี้ โบสถ์หินสีขาวหลังโตที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงที่สุดของปารีสอยู่ที่ 130 เมตรจากระดับน้ำทะเล รอบ ๆ มีพื้นหญ้าโล่งเตียนไล่ระดับมาตามเนินให้ผู้คนได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ โดยตัวมหาวิหารนี้มีอายุถึง 147 ปีใช้เวลาสร้างนานเกือบ 40 ปีเลยทีเดียว เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมัน-ไบแซนไทน์ คือมีความใหญ่โตแบบโรมันผสมหลังคาทรงโค้งซึ่งถือว่าแตกต่างจากมหาวิหารอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบกอธิก ที่นี่สร้างขึ้นจากความรักที่ชาวคริสตศาสนามีต่อพระเยซูเจ้า เชิญชูหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตามคำแปลของชื่อโบสถ์นั่นเอง 

แม้ภายในมหาวิหารจะเน้นความเรียบง่ายสบายตา แต่ความใหญ่และโอ่โถงที่เห็นกลับทำให้เราขนลุกได้ง่าย ๆ และด้วยบรรยากาศที่เงียบสงัดมีผู้คนกระจัดกระจายนั่งสวดขอพรยิ่งเพิ่มความขลังให้กับสถานที่มากขึ้น อีกสิ่งที่สะดุดตาทุกคนที่เข้ามาชม คือภาพโมเสกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Great Mosaic of Christ ใช้เวลาสร้างนานถึง 10 ปี เป็นภาพพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ มาพร้อมกับหัวใจสีทองที่ส่องสว่าง พร้อมสัญลักษณ์ต่าง ๆ ทางศาสนาทั้งนกพิราบขาว ไม้กางเขน รอบข้างมีเหล่านักบุญและผู้คนให้การสรรเสริญพระองค์อยู่

และอย่าลืมไฮไลต์หลักที่ทำให้ทุกคนเดินทางมายังมหาวิหารแห่งนี้คือการได้ขึ้นมาชมวิวเมืองปารีสจากมุมสูง เมืองที่อัดแน่นไปด้วยอาคารสูงใหญ่ สถาปัตยกรรมหลากหลายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา อ่อ.. ใกล้ ๆ ยังมีพิกัดถ่ายภาพแสนเก๋ เป็นเนินเขาที่ลาดเฉียงบังอพาร์ตเม้นต์ทรงสวย Building on Rue Lamarck พอเราตั้งกล้องเอียงตามก็จะได้ภาพหลอกตา ถือเป็นมุมหายากที่ไม่ค่อยเคยเห็นที่ไหน

07 :: Notre-Dame de Paris & Point zéro des routes de France

กลับมาเที่ยวกันต่อที่ใจกลางปารีสที่มหาวิหาร Notre-Dame de Paris เป็นที่ตั้งของ Zero Point หมุดสัญลักษณ์บ่งบอกว่าตรงนี้คือหลักกิโลเมตรที่ศูนย์หรือสะดือปารีส เชื่อว่าใครได้มายืนอธิษฐานให้ได้กลับมา ณ จุดนี้ คำขอจะเป็นจริงด้วยล่ะ เราถูกดึงสายตาตั้งแต่เดินเข้าใกล้พื้นที่ กับภาพมหาวิหารสไตล์กอธิกสุดตระการตาที่มีความสูงถึง 69 เมตร สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1163 หรือราว ๆ 860 ปีก่อน และใช้เวลาสร้างนานกว่า 182 ปี ก็ดูการแกะสลักอันแสนละเอียดนั่นสิ.. ไม่แปลกใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมใคร ๆ ก็ต่างมุ่งตรงมาที่นี่ ด้านหน้าวิหารจะมีประตูอยู่ 3 บานคือ ประตูพระแม่ ประตูคำพิพากษาครั้งสุดท้าย และประตูแซงค์แอนด์ น่าเสียดายที่เขายังไม่เปิดให้ชมด้านในเพราะกำลังซ่อมแซมจากการถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อปี 2019 เราเลยชมได้แค่ภายนอกเท่านั้น

08 :: Palace of Versailles

พระราชวังแวร์ซายที่เราได้ยินชื่อติดหูมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงความเลิศหรูอลังการของเขา ขึ้นชื่อว่าเป็นปราสาทที่มีความใหญ่และสวยงามที่สุดในโลก อยู่ห่างจากปารีสประมาณ 17 กม. แต่ก่อนเป็นชาโตว์เล็ก ๆ ไว้ให้กษัตริย์มาพักผ่อนล่าสัตว์ จนมาสร้างเป็นปราสาทจริง ๆ จัง ๆ ในสมัยพระพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 บนพื้นที่กว่า 800 เอเคอร์ ใช้เวลาสร้างนานกว่า 30 ปี เป็นที่พำนักของกษัตริย์ตลอดมาจนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่16 ที่เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้น สุดท้ายถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ดังเช่นปัจจุบัน เมื่อเราได้มาเห็นกับตาตัวเองถึงกับต้องยกมือขึ้นมาหยิกแก้ว เพราะมันใหญ่โต หรูหรา โอ่อ่าจนเกินความเป็นจริง ไม่แปลกใจเลยที่เขาได้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และขึ้นทะเทียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอีกด้วย 

ทั้งวังเขาจะแบ่งออกเป็น 5 โซนใหญ่ ๆ คือ The Palace, The Gardens, The Estate of Trianon, The Royal Stables และ The Park ถ้าให้เดินท่ัววังคงต้องเก็บเสื้อผ้ามานอนสักเดือน ทางเราขอโฟกัสแค่ในตัวปราสาทแล้วกัน อะ… ดูสิว่ามันมโหฬารขนาดไหน สถาปัตยกรรมของที่นี่จะเป็นแบบบารอค-รอคโคโค ที่เน้นความนุ่มนวลและอ่อนไหว แบ่งห้องได้มากกว่า 700 ห้อง มีหน้าต่างกว่า 2,000 บาน บันได 60 จุด นอกจากการตกแต่งที่อลังการแล้ว ที่นี่ยังอัดแน่นไปด้วยหลักฐานและผลงานอันสำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิ รูปภาพกว่า 6,123 ภาพ งานแกะสลัก 15,034 ชิ้น ห้องลงนามสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 บอกเลยว่าว้าวไม่ไหว ว้าวตั้งแต่โถงด้านในยันสวนข้างนอก แนะนำให้มาเลยคุ้มค่าเข้าแน่นอน

09 :: Disneyland Paris

สำหรับโลนี้ขออนุญาตเอาตัวเองในเวอร์ชั่นอายุ 30 ไปเก็บ สวมวิญญาณวัยกำลังซ่าเข้ามาแทนที่ เพราะที่ดิสนีย์แลนด์แห่งนี้เหมาะกับมู้ดเริงร่า เริงใจเท่านั้น!! ครั้งนี้เราตบเท้าเข้าสวนสนุกอย่างไวเพราะซื้อตั๋วมาแล้วกับ Klook ที่ขายตั๋วทุกแบบ เลือกวันเข้าได้ มีตั้งแต่ 1-3 วัน หรือซื้อตั๋วรวมดิสนีย์แลนด์ทั้ง 2 แห่ง จากนั้นแค่สแกน QR ที่หน้าทางเข้าก็เดินสวย ๆ ผ่านไปได้เลย ไม่ต้องยืนต่อแถวให้เสียอารมณ์ สำหรับ Disneyland Paris นี้ถือเป็นดิสนีย์แลนด์เดียวของยุโรป แบ่งเป็น Disneyland Studio, Dinney Village และ Disneyland Park ที่เราจะมาเน้นกัน.. ปาร์คที่นี่จะออกแนวหลุดเข้าไปในเทพนิยาย คลาสสิกชวนฝันมากกว่าที่อื่น น่าจะเพราะภาษาและหน้าตาของผู้คนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวผมทองตาน้ำข้าว เหมือนในอนิเมชั่นของดิสนีย์เป๊ะ ๆ เราเลยอินกว่าปกติ

แนะนำให้ใส่รองเท้าแบบเบาสบายที่สุด เพราะภายในปาร์คแบ่งออกเป็นโซน ๆ ที่ทำเราขาลากไปถึงเย็นเลย เริ่มตั้งแต่โซน Main Street USA เอาใช้สายช้อปสายชิล ฟีลคอมมูนิตี้เบา ๆ โซน Frontierland เล่นเครื่องเล่นเก่าแก่ Phantom Manor ที่อยู่คู่ดิสนีย์ปารีสมาอย่างยาวนาน เอาใจสายลุยลายกรี๊ดคอแตกที่โซน Adventureland และ โซน Discoveryland Tomorrowland สำหรับสาว ๆ หัวใจปริ๊นเซสต้องห้ามพลาดกับ Fantasyland ที่ตั้งของปราสาทเจ้าหญิงนิทราสีหวาน พร้อมกิจกรรมอีกล้านแปดที่ทำให้เราลืมโลกแห่งความเป็นจริงไปซะสนิท

อีกสิ่งที่เรารอคอยมาตลอดทั้งวันคือขบวนพาเหรด ไฮไลต์ของดิสนีย์แลนด์ทั่วโลก ซึ่งหลังจากการระบาดของโควิดนี่ก็คงเป็นช่วงแรก ๆ เหล่าตัวละครจึงวาดลวดลายอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนเราเองยังอดกระโดดโลดเต้นไปด้วยไม่ได้ ส่วนขบวนตกแต่งของอนิเมชั่นแต่ละเรื่องบอกเลยว่าอลังการสมมงนัมเบอร์วันออฟเดอะเวิล์ดจริง ๆ อย่าลืมเช็คตารางเวลาดี ๆ นะ จะได้มาจับจองพื้นที่หน้าสุดกันทัน

10 :: Shakespeare & Company

เติมพลังความเป็นหนอนหนังสืออีกหน่อยกับเช็คอินสปอต ที่จะมาช่วยแต่งแต้มการพรรณาของเราด้วยวรรณกรรมดี ๆ สักเล่ม ที่นี่คือร้านหนังสืออันโด่งดังขวัญใจนักเขียนทั่วโลก เราเห็นร้านนี้ครั้งแรกในหนังเรื่อง Midnight in Paris และ Before Sunset ถ้าเริ่มนับตั้งแต่การก่อตั้งแรกสุด ร้านนี้มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว เคยถูกปิดตัวลงในช่วงสงคราม และกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ที่นี่เป็นอีกแหล่งผลิตนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง เพราะเคยเปิดเป็นที่พักให้แก่นักเขียนที่ต้องการหาแรงบันดาลใจ  แลกกับการเป็นพนักงานที่ร้าน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาสร้างร้านมาจากความรักที่มีต่อตัวหนังสือจริง ๆ เดินเข้าไปเราจะพบกับตู้ไม้ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือหลากสีหลายขนาดตั้งแต่พื้นจรดเพดาน มีทั้งหนังสือสำหรับเด็ก-ผู้ใหญ่ แนวแฟนตาซี ความรักโรแมนซ์ วรรณกรรมต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษทำให้เราเลือกซื้อได้อย่างคล่องมือ

นอกจากนี้เขายังมีคาเฟ่เป็นของตัวเองที่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2015 แต่ก็ยังไม่แคล้วคงความคลาสสิก เป็นร้านสีขาวให้ฟีลโล่งโปร่งสบายมีพื้นที่ให้นั่งทั้งด้านในและด้านนอก สามารถจิบกาแฟพร้อมชมวิวมหาวิหาร Notre-Dame de Paris ได้อย่างพอดิบพอดี โดยเขาจะเสิร์ฟกาแฟแบบ Specialty ชา ผลไม้ปั่น พร้อมอาหารแบบวีแกน เบเกิล ทาร์ต สลัด ซุป ขนมอบมากหน้าหลายตา อย่างโดนัทที่เห็นก็เป็นแบบวีแกนซึ่งอร่อยไม่แพ้โดนัททั่วไปเลยส่วนกาแฟก็ละมุนนุ่มลึกแบบฉบับยุโรปแท้ ๆ

11 :: Le Consulat

อยากจะใช้ชีวิตสวยน่ารักแบบสาวปารีเซียง เราแนะนำให้มาถ่ายรูปสักกรุบกับหน้าร้าน Le Consulat ที่ตั้งอยู่ใจกลาง Montmarte โดดเด่นด้วยอาคารสีขาว 3 ชั้น ตัดกับป้ายร้านสีแดงที่กลางตึด มีผ้าใบแดงสลับเขียวสีจัดจ้าน เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้วกลับเก๋กู้ดไม่ซ้ำใคร ด้วยการออกแบบที่ร่วมสมัยทำเราเดาไม่ออกเลยว่าร้านนี้เปิดมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่19 แล้ว และได้อยู่ในบันทึกของเหล่าศิลปินผู้มีชื่อเสียงอย่าง Picasso, Sisley และ Van Gogh ฯลฯ ด้วย 

พอพูดชื่อแวนโก๊ะแล้วหูผึ่ง ขาทั้งสองข้างเดินเข้าร้านอย่างอัตโนมัติ เพราะอยากมีโมเมนต์ร่วมกับศิลปินคนโปรดอีกสักหน่อย ซึ่งที่ร้านมีที่นั่งทั้งแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์ ตกแต่งคุมโทนด้วยสีขาวแดงตัดกันอย่างชัดเจน เฟอร์นิเจอร์มีความคลาสสิกผสมเรโทน  ด้านในสุดที่ไม่มีหน้าต่างก็ติดโคมไฟสีแดงทรงเก๋ส่องไฟส้มสร้างบรรยากาศสลัว ๆ มีภาพงานศิลปะโบราณ และกราฟฟิกออกแบบร่วมสมัยติดตามผนัง กวาดตามองไปมุมไหนก็ไม่เบื่อเลย

ถ้าใครได้มาเราขอแนะนำให้ทุกคนจัดเป็นมื้ออาหารแบบเราเลยดีที่สุด ที่เห็นเยอะ ๆ แบบนี้เราสั่งตามที่คนเขามารีวิวแทบทุกจาน ซึ่งอร่อยจนอยากจะเดินเข้าไปหอมแก้มเชฟ โดยเฉพาะหอยทากอบเนยกระเทียม เสิร์ฟมาแบบชิ้นโต ๆ เนยและเครื่องปรุงอบเข้าเนื้อเท็กเจอร์หนุบ ๆ กรึบ ๆ มีกลิ่นเนยและเครื่องเทศหอมแผ่ซ่านไปทั่วปาก ยิ่งกินคู่กับไวน์ยิ่งอร่อยเลิศเต็มคาราเบลไปเลย

12 :: Café Kitsuné – Palais Royal 

คาเฟ่แบรนด์ดังที่แม้ตอนนี้จะมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลกไม่เว้นแม่กระทั่งไทยเรา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมาเช็คอินกับหนึ่งในสาขาออริจินัลสักหน่อย สำหรับในปารีสนี้เราเลือกเช็คอินที่ Palais Royal สาขาที่2 ของแบรนด์ (สาขาแรกอยู่ที่โออายาม่า ประเทศญี่ปุ่น) ที่นี่ให้มู้ดผู้มากรากดีหรูหราแต่เข้าถึงง่าย ด้วยแบรนด์ที่เป็นแบรนด์แฟชั่นมาก่อน พอมาทำคาเฟ่ก็กิ๊บเก๋กิมมิกดีอย่างที่เห็น ร้านตั้งอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ทรงคลาสสิกสีขาวนวล จัดวางร่มและชุดที่นั่งกลางแจ้งให้เราได้จับจอง นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาพร้อมจิบกาแฟสไตล์คนไฮแฟชั่น

ยิ่งนั่งยิ่งชอบ ความชิคคูลของผู้คนที่นั่งอยู่รอบกาย มันระยิบระยับกระแทกหนังตาจนหยุดมองไม่ได้เลย เหมือนทุกคนแต่งตัวมาเพื่อนั่งเป็น decorate ของร้าน ที่ทำให้บรรยากาศดูดีขึ้น การจัดเสิร์ฟขนมเครื่องดื่มแม้จะดูง่าย ๆ พอเอามาวางบนโต๊ะก็ดูมินิมอลแบบไม่ต้องพูดเยอะ ส่วนรสชาติก็ถือว่าอร่อยได้มาตรฐานคาเฟ่ฝรั่งเศส

เอาจริง ๆ แม้เราจะพยายามรีวิวให้เห็นความแจ่มของปารีสขนาดไหน นี่ก็เป็นเพียงเสี้ยวที่เขามีเท่านั้น เราสามารถแพลนเที่ยวแบบโฟกัสตามจริตที่ชอบได้เลยไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ วีถีคนเมือง ฯลฯ มาอยู่นานเป็นเดือนก็ยังเที่ยวไม่หมด ใครที่มีวันหยุดเหลือยาว ๆ ก็ลองแพลนมาท่องยุโรปแวะเที่ยวเล่นปารีสสักอาทิตย์ รับรองว่าได้ความฟินติดตัวกลับบ้านแน่นอน