Hello Thailand from Amsterdam~
วันนี้เรามีอีกเมืองแสนชิลแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ที่อยากชวนทุกให้ลองมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ กับ 10 โลเคชั่น ที่กระจายอยู่บนผังเมืองที่เป็นระบบระเบียบอย่างดีจนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 2010 “Amsterdam” เมืองนี้เต็มไปด้วยทั้งเรื่องเล่าในอดีตที่ถูกบรรเลงท่วงทำนองส่งผ่านมาให้เราค้นหาอย่างคลาสสิก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารในตำนาน คาเฟ่ชิค ๆ สถาปัตยกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ รวมถึงผลงานศิลปะเจ๋ง ๆ จากศิลปินชื่อดังที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์เจ๋ง ๆ ให้ได้เชยชมอย่างเต็มอิ่มมากมาก
อะไรดี จะเที่ยวไปไหนก็ว่าดี.. อย่างบัตร PLANET SCB ใบนี้ถือว่าคุ้มที่สุดเท่าที่เราเห็น ณ เวลานี้แล้ว อย่างแรกคือใช้ง่านผ่าน SCB EASY App ได้แทบทุกอย่าง ไม่ต้องทำธุรกรรมผ่านธนาคาร การแลกเงินก็ทำได้ด้วยปลายนิ้ว แถมให้เรทเทียบเท่ากับร้านแลกเงินดัง ๆ มากถึง 13 สกุลเงินยอดนิยม ไม่ต้องพกเงินสดให้เป็นกังวล หากบัตรหายก็สามารถอายัตผ่านแอปพลิเคชั่นได้ และสามารถกดเงินผ่านตู้ ATM ต่างประเทศได้สูงสุด 100,000 บาท/วัน หรือช้อปออนไลน์ที่รับบัตร VISA ได้สูงสุด 500,000 บาท/วัน ทั่วโลกอีกต่างหาก ที่เจ๋งกว่านั้นคือฟรี!! ค่าธรรมเนียมรายปีตลอดชีพอีก บอกเลยว่าสายท่องเที่ยวต้องรีบสมัครแล้วล่ะ.. มันมีแต่ได้กับได้จริง ๆ
01 Rederij Plas (Damrak Waterfront)
สิ่งที่นึกถึงเป็นอย่างแรกเมื่อพูดถึงอัมสเตอร์ดัมคือวิวของตึกริมน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ บริเวณท่าเรือ Damrak Waterfront ตรงข้ามกับถนน Damrak จุดที่เรายืนนี้จะมีคลองกั้นกลาง ฉากหลังเป็นตึกสวยทรงแปลกตา คละสีสันบวกกับฟ้าตอนบ่ายก็ยิ่งเพิ่มความสดใสชวนมอง แต่ถ้ามาตอนกลางคืนเขาจะเปิดไฟส้มให้เราเห็นเงาตึกสะท้อนน้ำ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้ฟีลโรแมนติชวนหลงใหลเข้าไปอีก และตรงนี้ยังเป็นจุดลงเรือสำหรับทัวร์ล่องเรือกระจกชมคลองสำคัญ ๆ ที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงศตรรษที่17 ยุครุ่งเรื่องทางการค้าของเนเธอร์แลนด์ เป็นอีกกิจกรรมที่จะทำให้ทุกคนรู้จักเมืองนี้มากยิ่งขึ้น
02 Amsterdam City
เตรียมวอร์มเท้าให้ดีเพราะพิกัดนี้เราจะชวนทุกคนมาเดินท่องทั่วเมืองอัมสเตอร์ดัม เมืองที่มีคลองเส้นยาวกว่าร้อยกิโลเมตร เกาะแก่งอีก 90 แห่ง และสะพานที่พาเราลัดเลาะไปจุดต่าง ๆ ถึง 1,500 จุด จนถูกขนานนามว่าเป็นเวนิสแห่งยุโรปเหนือ ซึ่งอาคารแถบนี้ใช้การออกแบบผสมผสานระหว่างสเปนกับเรอเนอซองส์ ตัวตึกมีหน้าแคบ ตกแต่งตามกรอบเสาด้วยปูนปั้นแบบกรีก และที่จั่วจะมีคานไม้เป็นที่แขวนลอกเพื่อชักลอก เอาสิ่งของเข้าทางหน้าต่าง เนื่องจากหน้าประตูส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ทุกตึกคุมโทนไปในทิศทางเดียวกันทำให้เราถ่ายรูปเพลิน ครีเอทมุมได้ไม่หยุดหย่อน
และตึกที่ทุกคนต่างมายืนโพสท่าถ่ายรูปด้วยคือ Het Wapen van Riga (The Arms of Riga) อาคารสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่แถว Oudezijds Voorburgwal 14 ฉุดทุกสายตาให้หันมองด้วยอิฐแดงที่ฉาบทั้งอาคาร พร้อมบานหน้าต่างสีแดงสด ตัดกับสีขาวของกรอบประตู หน้าต่าง และงานปั้น เป็นการออกแบบสไตล์ดัตช์เรอเนอซองส์ ของพ่อค้าชาวริก้าเมื่อราว ๆ 400 ปีก่อน ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่เด่นแบบตะโกนจนกลายเป็นอีก The Must ของอัมสเตอร์ดัมอีกแห่ง
03 Dam Square
อย่างที่เรารู้กันดีว่าตามเมืองใหญ่ ๆ แถบยุโรป เขาจะมีจัตุรัสที่ใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ซึ่งที่อัมสเตอร์ดัมก็เช่นกัน ย้อนไปเมื่อ 800 กว่าปีก่อนจุดนี้เป็นเพียงลานกว้างและเขตก่อสร้างของเขื่อนแห่งแรกในเนเธอร์แลนด์ริมแม่น้ำอัมสเตอร์ดัม ต่อมาเริ่มมีสิ่งปลูกสร้างมากมายกลายเป็นแหล่งการค้าและเส้นทางสัญจร จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ก็เป็นพื้นที่ในการเผยแพร่ข่าวสารด้านการเมือง เมื่อสงครามเสร็จสิ้นจึงมีการสร้างอนุเสาวรีย์แห่งชาติเพื่อระลึกถึงทหารจากศึกสงครามโลกครั้งที่2 ณ จุดนี้นั่นเอง
นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว อาทิ พระบรมมหาราชวัง Koninklijk Paleis, โบสถ์ Nieuwe Kerk พร้อมห้างสรรพสินค้า ร้านขายของฝาก ร้านอาหารและคาเฟ่ เรียกว่าเป็นจุดนัดพบที่ให้ทุกคนในทริปไปเดินเที่ยวตามจริตที่ชอบ แล้วมาจบตรงนี้ได้เลย ใด ๆ คือจะรูดจ่ายค่าอาหารระหว่างทริป หรือช้อปปิ้งร้านรวงต่าง ๆ ย่านนี้ ก็ทำได้อย่างสบายใจผ่านบัตร PLANET SCB ใบนี้ เพราะไม่มีค่าอัตราความเสี่ยงแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ 2.5% แลกเงินต่อเงินได้แบบเพียว ๆ อีกอย่างที่บัตรใบนี้ทำให้เราอุ่นใจขณะเดินทางอยู่เสมอเพราะเขามอบประกันเดินทาง 10 วันให้ฟรี ดูแลค่าใช่จ่ายรักษาพยาบาลสูงสุด 1 ล้านบาท พร้อมดูแล 24 ชม. แม้เดินทางคนเดียวก็ยังรู้สึกว่ามีเพื่อนคอยเป็นห่วง เพราะแบบนี้ไงถึงได้ใช้จ่ายผ่านบัตรนี้แทบทุกทริปเลย
04 Van Gogh Museum
จะเรียกเราว่าเป็นติ่งแวนโก๊ะหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะบินมาลงอัมสเตอร์ดัมทีไรก็ต้องตีตั๋วเข้ามาที่ Van Gogh Museum สถานที่ของศิลปินในดวงใจของใครหลาย ๆ คน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 50 ทำหน้าที่เก็บรักษาและจัดแสดงผลงานของแว๊นโก๊ะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถึงแม้ว่าเขาจะจากไปนานถึง 130 ปีแล้ว แต่งานอาร์ตของเขาก็ยังคงได้รับความนิยม ยังมีผู้คนหลั่งใหลเข้ามาชมอยู่ทุกวัน แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าช่วงนี้ต้องจองตั๋วล่วงหน้าก่อนไปด้วยนะ เพราะเต็มไวมาก
ภายในอาคารทรงสวยกลางสนามหญ้าสีเขียวราบเรียบนี้แบ่งออกเป็น 2 อาคาร อาคารแรกที่เป็นทรงกลมมี 2 ชั้น และอาคารด้านหลังอีก 3 ชั้น จัดแสดงผลงานแวนโก๊ะอยู่ราว ๆ 200 ชิ้น และภาพร่างอีกกว่า 1,000 ชิ้น การจัดวางเรียงตามลำดับเวลา ทำให้เห็นถึงพัฒนาการด้านศิลปะ ผ่านการเดินทางตั้งแต่เนเธอร์แลนด์ ปารีสและเมืองอาร์ล เมืองสุดท้ายที่เขาเลือกจบชีวิตตัวเอง
งานระดับ Masterpiece ที่ไม่ควรพลาดเลยคือ Van Gogh’s self-portraits, Bedroom in Arles, Almond Blossom, Sunflowers และ Sunflowers reproduction รูปดอกทานตะวันที่สร้างขึ้นมาใหม่มีเท็กเจอร์คล้ายเดิมมากที่สุด ให้เราได้สัมผัสกลิ่นของภาพในตำนานนี้ได้ บอกเลยว่าใครที่เป็นแฟนตัวยงของแวนโก๊ะอยู่แล้วน้ำตาไหลแน่นอน ดีมากจริง ๆ
05 Rijksmuseum
ส่วนใครที่ชอบชมผลงานศิลปะแบบรวมความเด็ด ความดัง ทุกยุคสมัยเอาไว้แล้ว เราขอแนะนำให้มาที่ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอัมสเตอร์ดัม หรือ Rijksmuseum แห่งนี้เลย ภายใต้อาคารอิฐแดงขนาดใหญ่ ออกแบบสไตล์กอทิกผสมเรเนซองส์ โดยสถาปนิกชื่อดัง ปิแอร์ เคย์เปอร์ส อายุกว่า 220 ปีนี้ ถูกอัดแน่นไปด้วยผลงานศิลปะ ของสะสมของเหล่าศิลปินชาวดัตซ์กว่า 8,000 ชิ้น
ภายในแบ่งเป็น 3 ชั้นจัดแสดงงานตามช่วงเวลาไล่จากด้านล่างที่เป็นงานเก่าแก่สุดตั้งแต่ยุคกลางหรือราว ๆ 900 ปีก่อน ขึ้นมาด้านบนตามลำดับยุคจนถึงศตรรษที่20 ผลงานเด่น ๆ คือ Night watch ของ Rembrandt, Waterloo ของ Jan Willem Pieneman, Triptych with the last judgement ของ Lucas Van Leyden ฯลฯ บอกเลยว่าเช็กอินที่เดียวได้ดูงานแบบจุก ๆ ไปเลย
06 The Pancake Bakery
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ต้องมนต์สะกดแห่งของหวานประเภทแพนเค้ก เราขอแนะนำให้ย่ำเท้ามาที่ The Pancake Bakery ร้านเก่าแก่ที่เปิดมาเกือบ 50 ปี ภายในอาคาร ‘Hope’ หนึ่งในตึกเก่าแก่ของบริษัท Dutch East India Company ที่เคยเจริญรุ่งเรืองสมัยศตวรรษที่17 อาคารทรงเรียบเท่โดดเด่นอยู่ริมคลอง Prinsengracht (Prince’s canal) โดยบรรยากาศร้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่แสนคลาสสิก ตรงกลางร้านเป็นครัวแบบเปิดให้เราได้กลิ่นแพนเค้กลอยฟุ้งเตะจมูกเป็นระยะ ๆ
แพนเค้กของเขามีทั้งแบบคาวและหวาน มีของให้เลือกกินคู่กันเยอะมากไม่ว่าจะเป็น แฮม เบคอน ชีส เห็ด สับปะรด หัวหอม กล้วย ช็อกโกแลต วิปครีม ไอศกรีม ซอสรสต่าง ๆ รวมไปถึงแบบมังสวิรัติก็มี และยังมีเมนูแพนเค้กของหลากหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส กรีซ อินโดนิเซีย แม็กซิกัน ไทย ฮาวาย ซึ่งจะเน้นใช้วัตถุดิบที่บ่งบอกถึงอาหารประเทศนั้น ๆ เรื่องรสชาติบอกเลยว่าอร่อยสมคำร่ำลือแป้งของเขาจะเป็นแผ่นบางใหญ่คล้ายแป้งเครป แต่เท็กเจอร์และกลิ่นคือนุ่มเด้งหอมวานิลลา มีความหวานอ่อน ๆ เข้ากับเครื่องเคียงทุกชนิด
07 van Wonderen Stroopwafels
อีกร้านขึ้นชื่อที่ขายขนมประจำชาติเนเธอร์แลนด์ ‘สโตรปวาฟเฟิล’ วาฟเฟิลแผ่นบางกรอบ สอดไส้คาราเมลหวาน ๆ หนึบ ๆ นิยมทานคู่กับ Hot Americano และมักเป็นของฝากหนึ่งในใจของใครหลาย ๆ คน เวลาเราได้มาจะชอบเอาแผ่นวาฟเฟิลมาวางปิดทับแก้วกาแฟร้อน ให้วาฟเฟิลค่อย ๆ อ่อนตัวลงมันจะยิ่งหอมกลิ่นชินนาม่อนและคาราเมล โดยที่ร้าน van Wonderen Stroopwafels นอกจากจะขายแบบปกติแล้ว เขายังมีแบบ ready to eat เน้นท้อปปิ้งแน่น ๆ เราลองเลือกหน้าบราวนี่และไวท์ช็อกฯ หวานสุดใจอร่อยไม่บันยะบันยังจริง ๆ
08 Manneken Pis Damrak
เดินกินเพลินจนแทบจะเป็น Food Blogger แล้ว แต่มันก็หยุดไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่ว่าจะเส้นถนนไหนก็มีแต่ร้านเด็ด ๆ ทั้งนั้น อย่างร้านเฟรนช์ฟรายส์ Manneken Pis Damrak นี้ถือเป็นร้านนัมเบอร์วันของชาวดัตช์เหมือนกัน มีไอคอนเป็นรูปปั้นเด็กยืนฉี่อยู่ทั่วร้าน ส่วนเมนูก็อลังการไม่เหมือนใครตรงไซส์ของชิ้นมันฝรั่งจะใหญ่กว่าปกติมาก พร้อมซอสให้เลือกกว่า 20 ชนิด ขนาดสั่งไซส์เล็กสุดยังทำเราอิ่มไปถึงมื้อเย็นเลย เรื่องรสชาติเราขอยกความดีความชอบให้กับซอสมันมีความเข้มกลมกล่อม ช่วยตัดเลี่ยนได้ดีมาก ๆ พอกินตอนร้อน ๆ กัดแล้วเจอมันฝรั่งนุ่ม ๆ ด้านในก็สุดปังอยู่นะ
09 Frens Haringhandel
ถ้าอาหารจานเด็ดของไทยคือตำปูปลาร้า ของเนเธอร์แลนด์เราก็ขอยกให้ Dutch Herring ปลาทะเลที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ อีกอาหารพื้นเมืองของชาวดัตช์ที่ใครได้มาเยือนจะต้องลองสักครั้ง แม้อาหารประเภทนี้จะหาได้ทั่วไปในเนเธอร์แลนด์ แต่เราขอแนะนำให้มาเริ่มลองที่ร้าน Frens Haringhandel นี้ก่อน เพราะถ้าซื้อทานแบบสำเร็จรูปตามซุปเปอร์อาจจะตกใจกับความเค็มของเกลือที่ใช้ดอง แต่ของร้านนี้เขาคัดคุณภาพอย่างดีและแร่ให้เรากินสด ๆ มันจะกินได้ง่ายกว่าเยอะ เราลองสั่งเป็นเมนู Dutch Herring เป็นปลาดิบมีผักดองและหัวหอมเป็นเครื่องเคียงช่วยตัดเลี่ยน และ Bun With Smoked eel ขนมปังยัดไส้ปลา สำหรับเรามันคือรสชาติแปลกใหม่ที่โอเค สามารถกินได้จนหมด ซึ่งน่าจะถูกปากคนพื้นเมืองมากทีเดียวเพราะเป็นเมนูที่มีมายาวนานนับศตวรรษแล้ว
10 Zaanse Schans
พิกัดสุดท้ายถ้ามีเวลาอยากให้เพื่อน ๆ นั่งรถออกนอกเมืองมาสัมผัสความน่ารักปุกปิกของหมู่บ้านกังหันลมกันสักนิดที่ ZAANSE SCHANS อดีตหมู่บ้านอุตสาหกรรมอันรุ่มรวย จากความชาญฉลาดของชาวดัตช์ที่ไม่ได้ใช้กังหันลมไว้วิดน้ำเท่านั้น แต่ใช้เป็นพลังงานทดแทนเพื่อผลิตสินค้ามากมาย จนในช่วงปี 1588-1672 ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการสี มีกังหันลมมากว่าพันหลังเลยทีเดียว และเมื่อเวลาผ่านไปการใช้ไฟฟ้ามีอย่างทั่วถึงโรงงานอื่น ๆ จึงเริ่มย้ายออก จนปัจจุบันกังหันลมที่ยังคงใช้ได้นั้นเหลือเพียง 6 หลังเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของหมู่บ้านลดลงเลย เพราะบรรยากาศแสนดีมีลมโกรกตลอดเวลา มีประวัติของสถานที่ต่าง ๆ ให้ค้นหา หรือจะเดินเล่นขี่จักรยานก็เหมาะ เรียกว่าเป็นเมืองตากอากาศดี ๆ เมืองนึงเลยล่ะ
การเที่ยวที่นี่สามารถทำได้ทั้งแบบครึ่งวัน หนึ่งวัน และค้างคืน เพราะมีจุดเช็คอินอยู่ทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตเม็ดสีคุณภาพที่เปิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่18 โรงงานผลิตรองเท้าไม้ของฝากประจำชาติที่เราเห็นจนชินตา โรงสีน้ำมัน โรงผลิตชีสอันเก่าแก่ที่ยังใช้วิธีดั้งเดิม จุดชมวิวบนสะพานข้ามแม่น้ำซาน เดินชมเมืองถ่ายรูปตามมิวเซียม ร้านขายของฝากที่รวมทุกของเด็ดในหมู่บ้านไว้ที่เดียวพร้อมขนม Stroopwafel และซอฟเสิร์ฟทูโทนแสนอร่อย บอกเลยว่าเที่ยวได้จุก ๆ จนลืมเวลาไปเลย
เที่ยวจัดหนักทั่วเมืองขนาดนี้เราไม่ค่อยห่วงเรื่องเส้นทางเพราะระบบขนส่งของอัมสเตอร์ดัมเขาดีมาก มีให้เลือกเดินทางทั้งรถไฟ บัส รถราง รถไฟใต้ดิน และเรือเฟอร์รี่ ซึ่งสามารถใช้บัตร OV-chipkaart ใบเดียวได้เลย โดยเขาจะมีเครื่องเติมเงินซึ่งเราก็ใช้บัตร PLANET SCB นี่ล่ะแตะจ่าย ได้เรทเงินดีแถมสะดวกสบายขนาดนี้ ต้องมีติดกระเป๋าไว้แล้วนะ
เที่ยวอัมสเตอร์ดัมครั้งนี้บอกเลยว่าเป็น 10 พิกัดแสนดีที่ฮีลใจเรามาก ๆ เป็นเมืองที่มีพลังงานบวกวนอยู่อย่างอบอวล ทั้งผู้คนที่ดูสุขภาพจิตดีไม่รีบร้อน ไม่วุ่นวาย สถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ อากาศหนาวเย็นเมื่อยามต้องแดดกลับเป็นอุ่นกำลังดี อาหารเครื่องดื่มอร่อย ๆ ที่อยู่แทบทุกหัวมุมถนน อัมสเตอร์ดัมเที่ยวกี่ครั้งไม่เคยพอจริง ๆ