เที่ยว เวียดนาม ครั้งนี้เราจะพาทุกคนบินลัดฟ้าไปใช้เวลา 4 วัน 3 คืน ให้สุดแสนเพอร์เฟก โดยเริ่มจากไต่กระเช้าระดับ Word Record แหวกม่านหมอกแห่งเมือง ดานัง สู่ยอดเขาเพื่อสัมผัสสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศษ แล้วไปปิดทริปฟิน ๆ ด้วยการพาตัวพาใจไปเติมความสดใสที่เมืองมรดกโลก ฮอยอัน สีสันแห่งเวียดนามตอนกลางที่สวยจัดชัดจริง ในบรรยากาศเก่า ๆ กับมุมถ่ายรูปคูล ๆ ทั้งเช้าทั้งค่ำแบบฉ่ำใจสายโซเชียล ถ้าอยากรู้ว่าเที่ยวครั้งเดียวยังไงให้ได้รูปแน่นแทนสองปีที่ผ่านมา ก็ตามมาดูเรื่องราวที่ชวนว้าวผ่านภาพถ่ายปัง ๆ จาก vivo X80 Pro 5G ที่เราตั้งใจเก็บมาฝากทุกคนด้วยกันเถอะ
เพราะนี่คือยุคที่โลกกลับมาเปิดกว้างให้เราไปเริงร่าได้อีกครั้ง ดังนั้นเราจึงรีบคว้า vivo x80 Pro 5G สีดำ Cosmic Black สุดคูลสเปคเทพระดับ Hi-End กับการจัดเต็มตั้งแต่หน้าจอขนาด 6.78 นิ้วสวยเต็มตา ตัวเครื่องใช้วัสดุ Ultimate Aesthetic ที่ให้มีผิวสัมผัสแบบด้าน การเกิดรอยนิ้วมือน้อย จะมองมุมไหนก็หรูหราไร้ที่ติ แบตเตอรี่มาพร้อมระบบ Fast Charge 80 w สามารถชาร์จเต็ม 100% ภายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง และโดดเด่นเหนือใครมากที่สุดต้องขอยกให้เรื่อง ‘เลนส์กล้อง’ ที่ vivo ได้ ZEISS แบรนด์เลนส์ชื่อดังระดับโลกที่ผลิตเลนส์ให้กับกล้องตัวท้อปหลากยี่ห้อมาเป็น Co-Engineered เพื่อผลิตชิ้นเลนส์พิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ แถมยังเสริมทัพให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้นด้วยชิปประมวลผลภาพถ่ายแบบ V1+ ISP สามาร์ทโฟนรุ่นนี้จึงไม่ใช่แค่ดูดีแบบเกินต้าน แต่ยังถ่ายรูปสวยแบบขั้นเทพ
Danang
Day 1 :
01 Ba Na Hills
ถึงแม้นิยายประเภทเจ้าชายบุกรังปีศาจไปช่วยเจ้าหญิงผมบรอนด์ตาฟ้าจะเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน แต่ปราสาทหินอันใหญ่โตงดงามตั้งตระหง่านบนเขาท่ามกลางสายหมอกกลับมีอยู่จริงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะที่นี่คือ Ba Na Hills สถานที่ท่องเที่ยวอายุหลัก 100 อดีตบ้านพักตากอากาศของชาวฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาของเมืองดานัง ที่ใคร ๆ ก็สามารถไต่กระเช้าเจ้าของสถิติยาวและสูงที่สุดในโลก ซึ่งได้รับการบันทึกจาก Guinness Word Record ด้วยระยะทาง 5 กิโลเมตร และสูง 5,801 เมตร ผ่านผืนป่า น้ำตกสายใหญ่ แล้วเข้าสู่ใจกลางหมอกเพื่อไปหยุดยืนหน้าประสาทอันใหญ่โตได้เหมือนกัน
เพราะสร้างโดยชาวฝรั่งเศส การได้เห็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปแท้ ๆ ที่ใหญ่โตโอ่อ่า ยืนตระหง่านโดดเด่นอยู่ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อความความโดดเด่นของตึกรามบ้านช่องบวกเข้ากับความสวยงามของทัศนียภาพที่รายล้อม ก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองท่ามกลางสายหมอกและไอเย็นที่มีครบทั้งวิลล่า โรงแรม รีสอร์ท และสาธารณูปโภคต่าง ๆ จึงสวยสับ สวยคูณสิบ สวยแหวกหมอก ควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยียนสักครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ที่นี่จะเพิ่งได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลังจากปล่อยร้างมานานในปี 2009 ที่ผ่านมา แต่เพราะอดีตคือเมืองหนึ่งที่เคยงดงามมาก French Village แห่งนี้จึงน่าทึ่งแทบจะทุกมุมมอง โดยเฉพาะบนถนนสายยาวที่ตัดผ่านสลับกันไปมา และคราคร่ำคึกครื้นไปด้วยผู้คน ซ้ายคือปราสาทหินสูงตระหง่านหลังคาโค้งมนสีเทา ขวาคือคาเฟ่ที่มีระเบียงยาวไว้นั่งจิบกาแฟชมวิวเมือง ส่วนจตุรัสใจกลางเมืองคือที่ตั้งของโบสถ์คาทอลิก ซึ่งสร้างเลียนแบบมหาวิหารนอร์ทเทอร์ดาม แห่งกรุงปารีส นาทีนี้จึงราวกับเรากำลังเดินเล่นอยู่ใจกลางเมืองฝรั่งเศสก็ไม่ปาน
เดินเที่ยวมาครึ่งค่อนวัน แต่ความสดชื่นกลับแปรผันตามจำนวนรูปที่เพิ่มขึ้นในเมมโมรี่อย่างมีนัยยะ ยิ่งครั้งนี้มี vivo x80 Pro 5G ความทรงจำก็ยิ่งสวยงามมากกว่าที่เคย เพราะรุ่นนี้ตัวเลนส์มาพร้อมกันถึง 4 ระยะ ไม่ว่าจะเป็นเลนส์หลัก (Normal) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล จะถ่ายมุมไหนก็สวยเนี๊ยบ ชัดเป๊ะ, Periscope Telephoto เลนส์ซูมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถซูม Optical ได้ถึง 5 เท่า, Telephoto (Portrait) เลนส์ถ่ายภาพบุคคล ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมระบบโฟกัสอัตโนมัติ Dual Pixel PDAF ถ่ายคนคมชัด หน้าสวยหลังละลาย ดูละมุนทุกมุมมอง และเลนส์ช่วงสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ Ultra Wide กับความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพได้กว้างถึง 114 องศา ตอบโจทย์ทุกความต้องการขนาดนี้จะกี่ทริปก็ขาดไม่ได้แล้ว
และหากพูดถึงในแง่กิจกรรมที่นี่ก็นับว่าสุดปัง เพราะนอกจากเดินเล่นชมเมืองแล้ว Ba Na Hills ยังมีกิจกรรมให้ทำได้ตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็นสวนสนุกขึ้นชื่ออย่าง Fantasy Park สำหรับคนชอบความตื่นเต้น, Game Centerเอาใจสายชิว และ Alpine Coaster รถรางที่จะพาเราไหลไปตามระดับความสูงชันบนเนินเขา ผ่านทั้งวิวแบบยุโรป และวิวธรรมชาติ เอาใจคนรักความแปลกใหม่สุด ๆ
เดินเล่นและทำกิจกรรมเพลิน ๆ จนตะวันลับขอบฟ้า ความคึกครื้นเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบ ท้องฟ้าสดใสเปลี่ยนเป็นสีดำ แสงไฟที่ประดับประดาตามตึกได้เปลี่ยนบรรยากาศที่เคยสดใสเป็นความโรแมนติคในพริบตา การเก็บภาพช่วงนี้เราเลือกใช้ Night mode ที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ เปลี่ยนภาพยามค่ำที่ง่ายต่อการสั่นไหวและสีสันไม่สดใส ให้เป็นภาพที่คมชัด สีสด สวยสู้ทุกแสงโดยไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้อง จะโพสกี่ท่าชัตเตอร์ก็ลั่นไวทันใจ ลงสดก็สวยแต่ถ้าอยากใส่ฟิวเตอร์ด้วยก็มีลูกเล่นมากมาย ทั้งการดูดสี เติมแสง หรือเปลี่ยนโบเก้ธรรมดา ๆ ในโหมดพอตเทรตให้ละลายหลังแบบเก๋ ๆ ก็ทำได้ดี
Day 2 :
เช้าอันแสนสดใสเริ่มขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ยามเช้าของเรา จุดหมายแรกของวันคือจุดหมายที่ใครมาเยือนดานังต่างต้องแวะ เพราะนี่คือมุมยอดฮิตที่ควรมีประดับไอจี กับสะพาน Golden Bridge สะพานสีเข้มที่ทอดตัวเลียดแนวเขายาว 150 เมตรนี้ ถูกออกแบบมาเสมือนลอยตัวกลางเวหาในอุ้งมือยักษ์บนยอดเขาที่สูงถึง 1,400 เมตร เมื่อยืนอยู่บนนี้ก็ราวกับจะสูงจนสามารถเอื้อมมือคว้าท้องฟ้าได้จริง ๆ อากาศก็เย็นสบายเหมือนถูกโอบกอดจากปุยเมฆ สวยขนาดนี้มุมกว้างต้องมี มุมแคบต้องมา หน้าชัดหลังเบลอก็ต้องไม่ขาด
จุดถัดมาคืออีกหนึ่งมุมสุดปังที่สวยจนเหมือนได้ตื่นมาเดินเล่นในภาพฝัน สวน Le Jardin d’ Amour สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ภายในมี 9 โซน ทุกโซนล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ สถาปัตยกรรมปูนปั้น คนปั้น มีมุมบันไดกว้าง ๆ มีมุมชมสวนแคบ ๆ ให้เลือกชิลแบบจุก ๆ เดินกันจนแทบเป็นตะคริวก็ยังไม่แล้วเสร็จ ถ่ายรูปกันจนท่าโพสหมดสต๊อกก็ยังมีมุมสวยให้เราคิดท่าโพสโผล่มาตลอดทาง งานนี้ต่อให้ผีเสื้อบินเข้ามาก็ยังต้องงงว่าชั้นควรต้องผสมเกสรให้ดอกไหนก่อนดี!!
มุมถ่ายรูปสวยจุใจ ฟีเจอร์ของกล้องก็มีให้เลือกถ่ายได้แบบไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะ Portrait Mode Style ที่มาพร้อมเลนส์ 50mm ระยะเลนส์ที่ได้ชื่อว่าถ่ายคนสวยที่สุด และเทคโนโลยีกันสั่น Gimbal (กิมบอล) ที่มีเฉพาะในสมาร์ทโฟน vivo เท่านั้น ด้านในยังจุใจกับลูกเล่นปังๆจากเลนส์คลาสสิคของ ZEISS ที่สามารถจำลองการเบลอของโบเก้ได้หลากหลายทั้ง Distagon, Planar, Sonnar และ Biotar รวมถึง Cinematic ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในรุ่นนี้ด้วย งานนี้ต่อให้มุมซ้ำกันแต่อารมณ์ภาพที่ได้ไม่ซ้ำใครแน่นอน
02 Boulevard Gelato & Coffee
เดินเล่นบนยอดเขาจนเข่าเกือบอ่อน ก็ได้เวลาที่เราจะมุ่งสู่ตัวเมืองดานัง หาที่นั่งที่ทั้งปังทั้งป๊อบเป็นจุดแวะพัก เราเลือก Boulevard Gelato & coffee คาเฟ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศครีมเจลาโต้หลากรส บิงซู และกาแฟ ตัวร้านเปิดโล่งแบบ open-air มี 2 ชั้น ตกแต่งสไตล์มินิมอล ใช้โทนสีขาวและน้ำตาลเป็นหลัก เพิ่มความอบอุ่นด้วยโคมไฟ warm tone เสริมความโมเดิร์นด้วยประตูหน้าที่มีความโค้งมน ร้านนี้เริ่มเปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 และมีชื่อเสียงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะมันเป็นจุดแวะพักที่มาที่เดียวได้ทั้งความสดชื่นและได้รูปแจ่ม ๆ ไปพร้อม ๆ กัน
จุดขายของร้านยู่ที่ไอศครีมเจลาโต้โฮมเมดสไตล์อิตาเลียน บนแนวคิดที่เจ้าของร้านเชื่อว่า ‘คุณภาพมาจากความหลงใหล’ เราจึงได้เห็นไอศครีมโฮมเมดหลากรสที่ใช้ส่วนผสมชั้นดี ทั้งส่งตรงมาจากอิตาลี และส่วนผสมอันโดดเด่นในประเทศเวียดนาม ทุกรสชาติปราศจากสารแต่งสีและสารกันบูด 100% พร้อมเสิร์ฟทั้งรสชาติพื้นฐานอย่าง White Chocolate, Tiramisu, Vanilla Bour Bon และรสชาติพิเศษ ๆ อย่างเจลลาโต้ทุเรียน และเจลลาโต้มะม่วง รวมถึงเจลลาโต้แบบ Vegetarian และแบบ Gluten Free
03 Dragon Bridge
ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยการไปเดินเล่นริมแม่น้ำฮันชมแสงสีและความยิ่งใหญ่ของแลนด์มาร์คใจกลางเมืองบน Rong Cao หรือ Dragon Bridge หรือ สะพานมังกรที่ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 ตัวแทนฉลองครบรอบ 38 ปีอิสรภาพของเมืองดานัง ที่นี่เราจึงได้เห็นมังกรตัวใหญ่รูปร่างปราดเปรียว สัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของชาวเอเชีย ที่มีความยาวถึง 666 เมตร กว้าง 37.5 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางถนน 6 เลน ที่ใช้สำหรับข้ามแม่น้ำฮัน และทุก ๆ คืนในเวลา 21:00 น. เจ้ามังกรตัวเขื่องนี้ก็จะพ่นไฟให้ทุกคนได้ชม
ตึกสูงใหญ่ยืนโดดเด่น แสงไฟเริงระบำเล่นบนผืนน้ำที่เรียบนิ่งและไร้ขยะแม้แต่ชิ้นเดียว ลมเย็นพัดพาให้ใจสบาย เราเดินเล่นเรื่อยเปื่อยถ่ายรูปวิวทิวทัศน์บ้าง เซลฟี่บ้าง และลองเลือกใช้โหมดต่างๆของ vivo x80 Pro 5G ที่มีอยู่หลากหลายไปเพลิน ๆ เผลอแป๊บเดียวก็หมดวันแบบชิว ๆ ซะแล้ว
Day 3 :
04 P Coffee
ก่อนเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่เมืองมรดกโลกอย่างฮอยอัน เราก็ขอทำตัวชิค ๆ ฟีลวัยรุ่นเวียดนาม แวะเข้าเชคอินคาเฟ่ที่สวยเท่หมดจด ณ P Coffee คาเฟ่สูงสี่ชั้นที่ตั้งอยู่บนถนนที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองดานัง ด้านหน้าตกแต่งให้ดูมีความขรึม คมเข้ม สไตล์ Industrial เน้นวัสดุที่ทำจากเหล็กและไม้ งานนี้จะนั่งถ่ายรูปหน้าร้านแบบนิ่ง ๆ ขยับตัวมาครีเอทมุมเดินแบบเผลอ ๆ หรือจะแกล้ง ๆ เดินผ่านแบบไม่ได้ตั้งใจ สับขาไว ๆ ก้าวยาวแบบเท่ ๆ ก็ได้รูปไว้ลงเก๋ ๆ ในไอจีสตอรี่แน่นอน
เมื่อเปิดประตูเข้าร้านที่อบอวลไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เราก็จะพบกับความปรานีตลงตัวทั้งในแง่การดีไซน์และในแง่ของฟังก์ชัน ชั้น 1 และชั้น 2 ออกแบบโดยใช้การจับเอาคู่ตรงข้ามมาผสานกันจนกลมกล่อม เลือกใช้สีโทนสว่างอย่างสีเงินและขาว มาเข้าคู่กับสีโทนเข้มอย่างสีไม้และดำ ก่อนคลุกเคล้าความต่างด้วยแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่สาดผ่านกระจกใสบานใหญ่ ตรงกลางคือเคาท์เตอร์สีสแตนเลสตัวโตกับพนักงานที่แสนจะดูคูลและน่ารักในชุดหมี!!! มีมุมให้เลือกชิลหลายจุด ไม่ว่าจะโต๊ะขาวทรงกลม โต๊ะไม้ทรงรี และเก้าอี้ดีไซน์แปลกตาหลายสิบตัว
ความดีงามของที่นี่ก็ไม่ได้จบลงแค่เพียงดีไซน์และสไตล์ที่โดดเด่น แต่ยังมีเมนูเค้กและเครื่องดื่มที่หลากหลาย ทั้งเมนูประจำร้านและเมนูใหม่ ๆ ที่คอยเปลี่ยนมาอัพเดทหมุนเวียนให้ลูกค้าไม่เบื่ออยู่เรื่อย ๆ ส่วนเมนูที่เราได้ลองชิมและถูกใจจนอยากบอกต่อขอยกให้กับเมนู Coconut Coffee น้ำมะพร้าวที่มาในรูปแบบของก้อนน้ำแข็งเมื่อผสมกับกาแฟหอมกรุ่นอุ่น ๆ คือเคมีลงตัวเข้ากันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนอีกเมนูที่ถ้าคุณมาเวียดนามก็ควรจะลองกับรสชาติของกาแฟแท้ ๆ ฉบับเวียดนาม กาแฟไข่ กาแฟอุ่น ๆ โป๊ะด้วยฟองครีมไข่นุ่ม ๆ และหากอยากได้ The best breakfast combined เราก็ขอแนะนำให้สั่งครัวซองต์ไข่เค็มมาทานคู่สักชิ้น
เสพย์งานออกแบบที่อบอวลไปด้วยความแปลกใหม่จนเต็มอิ่ม เราก็ขึ้นมาเดินเล่นต่อที่ชั้น 3 ชั้นนี้บอกเลยว่าเหมือนเราเดินอยู่ในอาร์ตแกลอลี่มาก ๆ เพราะเค้าจะเอาภาพวาดที่รังสรรค์โดยสตาฟของร้านมาจัดแสดงรอบ ๆ ผนังสีขาวเรียบ ๆ มีเค้าท์เตอร์บาร์สำหรับชงกาแฟดริปที่ให้อารมณ์ดิบ ๆ แต่เนี้ยบมากรอบริการ มีเก้านั่งเล็ก ๆ ให้ฟีลมาชมงานอาร์ต มีกระจกบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติ ด้านนอกคือ City View ถนนสายยาว ตึกรามบ้านช่อง และผู้คน เมื่อมองผ่านมุมนี้ก็กลายเป็นงานศิลปะอีกชิ้นไปโดยปริยาย ฟีลดีแบบตะโกน
สำหรับยุคนี้กล้องหน้าดี ๆ จึงเป็นอีกสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยในทุกการเดินทาง และสำหรับกล้องหน้าของ vivo X80 Pro 5G ก็ตอบโจทย์มาก ๆ เพราะเจ้าตัวนี้สามารถถ่ายภาพเซลฟี่ด้วยกล้องที่มีความละเอียดถึง 32MP รูรับแสงกว้างถึง f/2.45 แถมยังปรับผิวให้ดูนวลและปรับแสงให้สวยละมุนได้อย่างเป็นธรรมชาติและชาญฉลาด จะกี่เรื่องราวดี ๆ ก็ถูกบันทึกได้อย่างสวยงาม ไม่มีหลุดโฟกัสแน่นอน
05 Hoi An Ancient Town
วันนี้เราเปลี่ยนฉากการเดินทางจากยอดเขาเมืองดานังสู่ย่านเมืองเก่า Hoi An อดีตเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ในปี ค.ศ.1999 เพราะนอกจากเมืองท่าแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ผสมผสานศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนและของนานาชาติได้แก่จีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย คู่ค้าเคยทำการค้าร่วมกันตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 แล้วความสวยงามอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้ยังคงถูกอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพซึ่งแทบจะเหมือนเดิมได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ถึงจะเดินทางมาไม่ทันสมัยศตวรรษที่ 15 แต่การเดินทางมาของเราในศตวรรษที่ 20 นี้ ก็ยังคงได้เห็นวิถีชีวิตอันหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์แบบโบราณอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเก่าแก่สไตล์เวียดนามผสมนานาชาติกำลังเปิดขายอาหารพื้นเมือง ของที่ระลึก และงานศิลปหัตถกรรม ทำให้พอจินตนาการเห็นภาพอดีตที่เคยรุ่งเรืองยังคงเฟื่องฟุ้งมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
การเที่ยวชมที่นี่จะใช้วิธีการเดินก็ดี ขี่จักรยานก็ได้ แต่ใครอยากได้ฟิวท้องถิ่นขึ้นอีกนิดและชิวมากขึ้นอีกหน่อยเราก็ขอแนะนำให้นั่งรถจักรยานสามล้อเบาะแดงที่เรียกว่า แซบาแบ้ง หรือ Cyclo ส่วนใครอยากอินกับความโบราณย้อนยุคให้มากกว่าการเดินเล่น เขาก็มีร้านขายและเช่าชุดอ่าวหญ่ายกับหมวกงอบ Nón Lá เครื่องแต่งกายพื้นเมืองของชาวเวียดนามให้เราได้ลองสวมใส่เพิ่มความอินแบบขีดสุดด้วย และเพราะดีขนาดนี้เดินเที่ยวแป๊บเดียวเราก็เก็บรูปไว้ได้หลายมุมกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว
โลเคชั่นแรกในเมืองฮอยอันที่ไม่ควรพลาดคือ Japanese Covered Bridge หรือสะพานญี่ปุ่นแลนด์มาร์กของเมืองฮอยอันและสัญลักษณ์ของการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่าง 2 ชุมชน เมื่อครั้งที่ชาวญี่ปุ่นเคยมาอยู่อาศัยตั้งแต่ 400 กว่าปีก่อน สะพานที่ทอดตัวข้ามสายน้ำในระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ เปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งสังเกตได้จากหลังคากระเบื้องแบบลอนคลื่นสีเขียวเหลือง และเจดีย์ทรงจัตุรัสบริเวณกลางสะพาน มุมนี้เราเลือกใช้ระยะถ่ายมุมมองปกติ (Linean) แล้วยืนออกมาในจุดที่สามารถเก็บภาพของสองชุมชนโดยมีสะพานสีน้ำตาลเข้ม และเงาที่สะท้อนบนผืนน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำทูโบนเป็นตัวเชื่อม
ไฮไลท์สำคัญในบริเวณนี้ที่หากมาแล้วจะพลาดไม่ได้อีกจุดนั่นก็คือบริเวณประตูวัดโบราณ Ba Mu Temple Gates ที่ยืนหยัดโชว์ความประณีตมานานกว่า 400 ปี มุมนี้ขาดไม่ได้เลยคือภาพมุมกว้างที่เห็นประตูครบทั้ง 3 บานและต้องไม่ลืมเห็นเงาประตูที่สะท้อนอยู่ในสระบัวกลางวัดด้วย อีกมุมหนึ่งที่ควรมีเช่นกันก็คือมุมภาพแบบเจาะ ๆ เห็นทั้งเราที่ไปเที่ยวและประตูที่เป็นเจ้าบ้าน จะได้เก็บดีเทลวิจิตรบรรจงรอบข้างตามแบบฉบับของคนโบราณได้อย่างชัดเจน
สีสันอย่างหนึ่งของการมาเที่ยวย่านเมืองเก่าที่เราชอบมาก ๆ ก็คือการที่ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารท้องถิ่นในบรรยากาศแบบดั้งเดิม และสตรีทฟู้ดของฮอยอันก็เรียกได้ว่าละลานตาเป็นอย่างมาก ส่วนเมนูที่อยากให้ทุกคนลองชิมดูคือ Banh Beo (บั๊นแบ่ว) หรือขนมถ้วยแบบเวียดนามนั่นเอง เมนูนี้จะเสิร์ฟมาในถ้วยตะไลแบบบ้านเรา แต่เปลี่ยนจากแป้งหวาน ๆ เป็นแป้งนิ่ม ๆ สีขาว ด้านบนโรยด้วยเนื้อสัตว์กรอบ ๆ อารมณ์แคปหมู เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มหวานสไตล์เวียดนามสีเหลืองอ่อน เป็นรสชาติแปลกใหม่ที่อร่อยจนเราคาดไม่ถึง
มาเยือนย่านเมืองเก่าแม้แต่เครื่องดื่มก็ยังเป็นแบบโบราณร้าน Mot Hoi An หรือร้านชาดอกบัวแห่งนี้ คือหนึ่งในร้านที่ขึ้นชื่อมาก ๆ ของเมืองฮอยอัน ถึงแม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ก็ตกแต่งได้สดชื่น มีดีเทลเก๋ ๆ ของต้นไม้ดอกไม้ เป็นตัวเพิ่มสีสันและจุดดึงดูด ทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลงเข้าไปชิมราวกับเป็นหมู่ภมร เครื่องดื่มที่ขายล้วนเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร สูตรเฉพาะของทางร้าน ที่มีทั้งชาขิง ตะไคร้ มะนาวดอกบัว และยาแผนโบราณอายุ 100 ปี ที่เสิร์ฟในชื่อ An Thai Ong Thay Tai ด้วย
แต่สำหรับสายโซเชียลสิ่งที่เรากดหัวใจให้มากที่สุดก็คือรูปแบบการเสิร์ฟ ที่ร้านทำได้น่ารักน่าหยิกและดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะเขาเลือกใช้แก้วกระดาษสีขาวสกรีนชื่อร้านสีน้ำตาลแบบมินิมอล ตกแต่งด้านบนเครื่องดื่มด้วยกลีบดอกบัวใบไม้และหลอดที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ใครเห็นต่างก็รู้ทันทีว่านี่คือเอกลักษณ์ของร้านชาดอกบัวในเมืองฮอยอัน
กิจกรรมสุดท้ายที่นำมาฝาก… ก็แสนจะฮิตติดลมบนของเมืองโบราณฮอยอัน คือการล่องเรือชมบรรยากาศ 2 ฟากฝั่งของแม่น้ำทูโบน ซึมซับช่วงเวลายามเย็นที่สุดแสนจะโรแมนติก และการลอยกระทงกระดาษแบบไม่ต้องรอวันพระจันทร์เต็มดวง เวลานี้เราจะเห็นร้านรวงเริ่มเปิดไฟ และผู้คนพากันถือตะเกียงสีสันสดใส ออกมาเดินเล่นริมน้ำบ้าง นั่งเล่นอยู่บนเรือบ้าง กลายเป็นสีสันยามค่ำคืนที่ชวนตื่นตาตื่นใจ เป็นอีก 1 ช่วงเวลาสำคัญที่ต้องได้ภาพดี ๆ เก็บไว้
ฟินกับสายน้ำยามใกล้ค่ำ เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า ดวงจันทร์ขึ้นมาแทนที่อย่างสวยสง่า เราก็ขึ้นเรือและพาตัวเองไปยังตลาดไนท์มาร์เก็ตซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสะพานเท่าใดนัก ตลาดกลางคืนเต็มไปด้วยความคึกคักของนักท่องเที่ยวและเหล่าพ่อค้าแม่ขาย ที่พากันออกมาแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าราวกับวันเวลาที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีตไม่เคยจางหายไป ไฮไลท์ของตลาดกลางคืนคือโคมไฟหลากสี หลายลวดลาย ที่ส่องประกายวิบวับท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิด สวยจนชัตเตอร์ได้แต่ลั่น ลั่น ลั่น ถ่ายกันสนั่นมันส์มือมาก
และโชคดีที่เจ้า vivo X80 Pro 5G มีข้อดีที่ทำให้แม้จะถ่ายภาพในที่แสงน้อยก็ยังได้รูปสวยสมใจ เพราะตัวเลนส์มาพร้อมกับเทคโนโลยีการเคลือบเลนส์ ZEISS T* Coating (ไซส์ – ที – สตาร์ – โค้ตติ้ง) เทคนิคการเคลือบเลนส์แบบพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS จึงช่วยให้การถ่ายภาพตอนกลางคืนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดการเกิดแสง Flares, Ghosting, Stray light นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับความไวแสงที่โดดเด่น, Real Time Extreme Night Vision 3.0 และ Gimbal Stabilization 3.0 ของ vivo ที่ช่วยให้โฟกัสได้รวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ภาพที่ได้คมชัดแม้ในเวลากลางคืน
Day 4 :
ปิดทริปส่งท้ายก่อนมุ่งหน้าสู่สนามบินกับคาเฟ่ที่ได้รับการโหวตว่าเป็นหนึ่งในร้านที่ควรแวะมากที่สุดแห่งหนึ่งในฮอยอัน FaiFo Coffee คาเฟ่สูง 3 ชั้นนี้ตั้งอยู่ภายในตึกโบราณสีเหลืองสดใสตามสไตล์ฮอยอัน ด้านในเลือกใช้เพียง 2 สีคือสีเหลืองและสีน้ำตาล ทำให้รู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับต่าง ๆ ก็ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในยุคโบราณ การตกแต่งใด ๆ ล้วนไม่มีคำว่ามินิมอล จะมีก็เพียงแต่คำว่าโบราณ คลาสสิค เป็นเอกลักษณ์ และเฉพาะตัว นี่จึงเป็นความต่างที่ทำให้คาเฟ่แห่งนี้ ไม่เหมือนใคร
ภายในร้านมีให้เราเลือกทานและดื่มอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นเมือง ขนมหวานสไตล์ฝรั่ง และเครื่องดื่มหลากหลายสไตล์ เราเลือกสั่ง Vietnamese Coffee with Milk ซึ่งก็ตรงตามชื่อว่าคือกาแฟเวียดนามใส่นม ไม่ว่าจะกลิ่นหรือรสก็ถือได้ว่าเป็นกาแฟดี เมื่อทานคู่กับชีสเค้กและมูสเค้ก ละเลียดไปพลางมองผู้คนที่สัญจรไปมา เดินบ้าง ปั่นจักรยานบ้างไปพลาง เช้านี้ของเราก็สดชื่นเต็มอิ่ม ราวกับได้รับรสของเมืองฮอยอันอย่างเต็มที่แล้ว
เปลี่ยนจากมองผู้คนและบ้านเรือนในมุมราบ ขึ้นไปยังชั้น Rooftop เพื่อชมเมืองฮอยอันจากมุมสูงกันดูบ้าง แม้ที่นี่จะสูงเพียง 3 ชั้นแต่เมื่อขึ้นมายังดาดฟ้าเราก็สามารถเห็นท้องฟ้าผ่อง ๆ และภาพของบ้านเรือนสีเหลืองสดใสได้อย่างเต็มสายตา โดยไม่มีตึกสูงเสียดฟ้ามาขวางกั้น เบื้องล่างคือภาพผู้คนที่กำลังสัญจรไปมา และหลังคาของรถสามล้อท้องถิ่น เป็น Ancient City View ระดับมรดกโลก ถือเป็นมุมปิดทริปที่ว้าวตาแตกประทับจิตประทับใจมาก ๆ เลย
ก่อนสรุปจบปิดทริปขอกระซิบย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าภาพสวย ๆ ทั้งหมดที่เห็นนี้คือการบันทึกเรื่องราวผ่าน vivo X80 Pro 5G สุดยอดสมาร์ทโฟนที่ทำให้เราสนุกกับการถ่ายภาพทั้งกลางวัน กลางคืน ทั้งมุมกว้าว มุมแคบ มุมคน และมุมไกล ได้อย่างไฉไลโดนใจสายถ่ายภาพ ดังนั้นใครที่อยากมีไว้ครอบครอง สามารถไปจับจองได้แล้วที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ในราคา 39,999 บาท ดูข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vivo.com/th/products/x80pro ออ นอกจากนี้ใน vivo X80 Series 5G ยังมีรุ่น X80 5G ราคาน่ารัก 29,999 สเปกโดนใจให้เลือกเช่นกัน
ไม่ได้เจอกันมานานสำหรับเมืองที่เคยเจอกันอยู่บ่อย ๆ กลับมาครั้งนี้ดานังและฮอยอัน ยังคงสวยงามและเป็นสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ยืนหนึ่งโดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์ได้เหมือนเดิม การเดินทางในครั้งนี้จึงเหมือนการที่เราได้มาเดินเก็บความคิดถึงอีกครั้งหนึ่ง และการที่เราสามารถเริ่มเดินทางต่างประเทศได้อย่างปกติ ก็ทำให้อะดรีนาลีนในร่างกายของเราสูบฉีดหล่อเลี้ยงหัวใจให้กลับมาสดใส ซาบซ่า สมกับเป็นนักเดินทางสายถ่ายรูปที่มีความฝันคือ เที่ยว เที่ยว และเที่ยวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อโลกเปิดโอกาสให้เราอีกครั้งก็อย่ารีรอ รีบตามรอย บินตรงไปสัมผัสอากาศดี ๆ บรรยากาศใหม่ให้ไวที่สุดกันดีกว่า