ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใสและผืนทะเลสีครามของฤดูร้อน การได้ออกไปลุยทำกิจกรรมกลางแจ้ง คือหนึ่งในวิธีการพักผ่อนที่ทำให้เราได้ชาร์จพลังกลับมาเต็มเปี่ยม วันนี้เลยอยากชวนทุกคนเดินทางใกล้ ๆ ไปยัง “ระยอง” เมืองชายทะเลแห่งแดนตะวันออก ที่ขอบอกเลยว่ามีกิจกรรมให้ทำแบบจัดเต็มตลอด 3 วัน 2 คืน ไม่ว่าจะเป็นเล่นเซิร์ฟเรียกเหงื่อที่หาดแม่รำพึง ถ่ายรูปฟีลน่ารักที่เขาแหลมหญ้า เดินสำรวจรอบเกาะ พายคายัคใส นอนอาบแดดชิล ๆ ให้ผิวกรุ่นแดดที่เกาะมันนอก โดยทริปนี้เรามี สปอนเซอร์โก เป็นเพื่อนคู่ใจ ดื่มปุ๊บก็สดชื่นคืนฟอร์มปั๊บ พร้อมออกไปปล่อยพลังสู้แดด เก็บเกี่ยวความสุข ตักตวงประสบการณ์ในฤดูร้อนที่รักได้เต็มแม็กซ์
สายเที่ยวแบบเราจะกี่ลมร้อน กี่องศาก็ต้องพร้อมสู้ เพราะยิ่งแดดดีภาพที่ได้ก็ยิ่งสวยสุดใจ บรรยากาศได้หน้าก็ต้องห้ามพลาด ตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้เรายิ้มสู้ได้ทุกกิจกรรม ทุกทริป จะขึ้นเขา ลงทะเลก็ยังฮาเฮก็นี่เลย สปอนเซอร์โก พกง่าย ดื่มได้ทุกที่ทุกเวลา ดื่มปุ๊บคืนฟอร์มปั๊บ โพสยังไงก็ได้ไลค์แบบปัง ๆ สายกิจกรรมยังไงก็เลิฟแน่นอน
จุดเริ่มต้นทริปนี้ของเราอยู่ที่ Laem Yah Rayong Surf Club ใช่แล้ว ๆ นี่คือ Surf Club ริมหาดแม่รำพึง ที่ทำให้ทุกคนตะลึงว่าหาดแม่รำพึงก็เซิร์ฟได้!! ที่สำคัญเค้าก่อตั้งคลับนี้กันมาตั้งแต่ปี 2017 เติบโตจากสมาชิกหลักหน่วยสู่หลักสิบภายใน 2 ปี ซึ่งเป็นการพิสูจน์แล้วว่าภาพชายหาดแบบเดิม ๆ ของหาดแม่รำพึงกำลังเปลี่ยนไปโดยคนบ้านเพ คนท้องถิ่นที่ตั้งใจพัฒนาพื้นที่เพื่อถิ่นฐานของตัวเองอย่างจริงจัง!!
คลื่นลูกโต ๆ สวย ๆ ที่เหมาะกับการเล่นเซิร์ฟคือสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นบนหาดที่ใกล้เมืองกรุงฯขนาดนี้ เพราะสายตาอันคับแคบของเรามัวแต่จินตนาการไปถึงแดนใต้และต่างประเทศล้วน ๆ โชคดีที่คุณติ๋วและคุณกายผู้ก่อตั้งคลับมองเห็นศักยภาพของลูกคลื่นแห่งหาดแม่รำพึง และคำนึงถึงศักยภาพของคนในพื้นที่จึงพยายามผลักดันให้เซิร์ฟเข้ามาเป็นอีกหนึ่งกิจวัตร และหนึ่งในกิจกรรมของคนบ้านเพ ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราได้อานิสงส์ร่วมเฮ สามารถเข้ามาฝึกสกิลตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน โดยครูผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัวตั้งแต่บนบกจนเข้าที่เข้าทาง ถึงจะปล่อยลงทะเลไปฝึกปีกให้กล้าฝึกขาให้แข็งจนฉ่ำใจด้วยตัวเอง ส่วนใครที่มีสกิลติดตัวก็สามารถเช่าบอร์ดโดดลงน้ำโต้คลื่นได้ทันที
กว่าจะฝ่าลม โต้คลื่น จนยืนบนกระดานด้วยท่าเท่ ๆ เราต้องเค้นทั้งกำลังกายกำลังใจไล่ตั้งแต่แหวกว่ายพาบอร์ดและเราไปรอคลื่น พอคลื่นมาก็ดูจังหวะดันตัวยืนบนบอร์ดในท่ามาตราฐาน บิดตัว เอียงขา กางแขนให้ได้สมมาตรมากที่สุด โดยไม่ลืมกัดกราม ทำหน้าคูล ๆ เหมือนเกิดมาในทะเลให้เพื่อนเก็บภาพไปด้วย บอกเลยทั้งขำ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุกมันส์สุดแม้เหงื่อหยดติ๋ง แต่ก็ยังมีแรงเหลือไว้หัวเราะดัง ๆ ปล่อยพลังความสุขล้น ๆ ท้าคลื่น ท้าลม ไม่มีเสียฟอร์ม
ทำกิจกรรมกลางแจ้งพลังใจต้องเต็มปรี่ พลังกายต้องเต็มเปี่ยม เพราะแดดประเทศไทยไม่เคยปรานีใครมาก่อน ถ้ามัวแต่หลบร่มหนีร้อนคงพลาดโอกาสดี ๆ ไปหมดแน่นอน เราจึงพกสปอนเซอร์โก ไว้เป็นเพื่อนคู่ใจ คอยเติมความสดชื่นทุกครั้งที่ทำกิจกรรม จะเสียเหงื่อแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว ลุยกันให้สุดแบบไม่ต้องกักกันไปเลย
เพลิดเพลินกับการโต้คลื่นลูกแล้วลูกเล่า กว่าจะรู้ตัวอีกทีตะวันก็โค้งลงจนเกือบจะทิ้งตัวลงในน้ำ เรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าสลัดคราบสปอร์ตแมน มาใส่เสื้อผ้าโมโนโทนปรับลุคจากหนุ่มฮอตมาเป็นคนคูล ๆ เพื่อตรงไปยัง “เขาแหลมหญ้า” บนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า- หมู่เกาะเสม็ด จุดชมวิวที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าเด็ด ก็น้ำทะเลด้านหน้าใสสวยสะอาด ด้านหลังยังเป็นทิวเขาเขียวขจีที่นอนทอดตัวยาวเคียงข้าง จะแวะมาเดินเล่นชิว ๆ รอชมพระอาทิตย์ตกดินก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี หรือจะมาปักหลักตั้งแคมป์กางเต็นท์ค้างคืน นอนดูดาว ฟังเสียงคลื่น ดื่มด่ำกลิ่นอายทะเลก็สุดปัง
แต่ไม่ว่าจะมาเพื่อจุดประสงค์ใดแลนด์มาร์คห้ามพลาดก็คือ หอคอยไม้เล็ก ๆ สีขาว ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่อย่างเดียวดาย บนปลายทางเดินที่ยื่นลงไปในทะเล มุมฮิตชนิดที่ถ้าไม่ได้มานั่งแอคติ้งถ่ายรูปนิ่ง ๆ สัก 1-2 ช็อต ก็แทบจะเหมือนว่ามาไม่ถึงเขาแหลมหญ้าแห่งนี้เลยทีเดียว
สลัดภาพคนคูลกลับสู่โหมดสปอร์ตแมน หยิบหมวก สวมรองเท้าผ้าใบ ใส่กางเกงขาสั้น และฮัมเพลง พร้อมก้าวขายาว ๆ มุ่งตรงไปบนสะพานไม้ที่ทอดตัวยาวบนโขดหิน จุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเลียบทะเล ที่มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร กับวิวที่ต่อให้เดินบ้าง วิ่งบ้าง กระโดดบ้าง ก็ยังไม่ทำให้เราเหนื่อยหรือเมื่อย เพราะความสวยงามของป่าไม้ ภูเขา และท้องทะเล ล้วนกำลังพัดพาความสุขเข้าใส่จนหัวใจสดชื่น
ทอดน่องต่อมาเรื่อย ๆ ไม่นานนักเราก็มาถึงปลายทาง ลานหินสีน้ำตาลอันกว้างใหญ่กำลังรอคอยให้เราไปนั่งหย่อนก้น ทอดอารมณ์ ชมวิว ดื่มด่ำไปกับความสวยงามของธรรมชาติอันไร้ขอบเขต พลังใจล้นเปี่ยม กำลังกายก็ต้องการการรีเฟรซ จุดนี้ไม่มีอะไรเรียกฟอร์มคืนได้ดีเท่าสปอนเซอร์โกขวดเหลืองส้มขวดนี้อีกแล้ว ความสดชื่นเพิ่มขึ้น ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง ความสุขของวันนี้พุ่งทะยานจนแทบหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว
วันถัดมาเราขอพาทุกคนแล่นเรือจากท่าเรือแหลมตาลอ่าวไข่ มุ่งสู่หนึ่งในหมู่เกาะมัน ผ่านเกาะมันใน เกาะมันกลาง ไปยังเกาะที่อยู่ไกลจากฝั่งมากที่สุดอย่าง เกาะมันนอก เพื่อเข้าโหมดออฟไลน์แบบเต็มตัวสักหนึ่งคืน โดยระหว่างทางประมาณ 45 นาทีบนเรือประมงไม้ดัดแปลง 2 ชั้น สายลมพัดโชยเอื่อย คลื่นกระทบกาบเรือก่อนแตกออกเป็นฟองละเอียด นกสีขาวสะบัดปีกเล่นลม ท้องน้ำสีฟ้าพร่างพราวเหมือนแววตาของเราในตอนนี้ ที่อยากจะกระพริบตาหนึ่งทีเก็บภาพหนึ่งหนลงในเมมโมรี่ที่ชื่อว่าความทรงจำ
ยังไม่ทันรู้สึกว่านาน ในสายตาก็ปรากฏหาดทรายขาวและต้นไม้ที่แน่นขนัดบนเกาะใจกลางมหาสมุทร เป็นสัญญานว่าเรามาถึงเกาะมันนอกเป็นที่เรียบร้อย นอกเหนือจากหาดทรายนุ่ม ๆ ต้นไม้สูงชะลูด ก็ยังมีนกยูงออกมารำแพนแทนแผนกต้อนรับอยู่ด้วย ซึ่งบนเกาะแห่งนี้มี Koh Munnork Private Island เป็นรีสอร์ทเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นใครที่ชอบความไพรเวท หลงไหลธรรมชาติ ตกหลุมรักทะเล ที่นี่คงเป็นคำตอบที่ดีไม่น้อย
บนเกาะแห่งนี้มีห้องพักทั้งหมดเพียง 22 ห้อง 3 สไตล์เท่านั้น แต่ละห้องจึงอยู่เป็นเอกเทศเป็นส่วนตัวมาก ๆ เราเลือกพัก Garden Cottage ห้องพักสไตล์กระท่อมกลางสวน เมื่อเปิดประตูไม้ เราก็จะก้าวเข้าสู่ห้องพักที่ตกแต่งด้วยสีแนวเอิร์ทโทน บนผนังวางของประดับดีเทลเล็ก ๆ อย่างหมอนปักลาย โมบายแขวนผนัง และเก้าอี้ไม้ดิบ เพิ่มความโมเดิร์นด้วยพื้นปูนเปือยขัดมัน ตรงกลางคือเตียงคิงไซส์น่านอน ถัดไปคือห้องอาบน้ำแยกส่วนเปียกแห้ง ด้านหน้าและด้านข้างคือพื้นที่ระเบียงสำหรับชมวิวสวนและวิวทะเล
ความสงบเงียบคือเสน่ห์ของเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด ๆ ก็เหมือนอยู่บนเกาะส่วนตัว จะนอนเล่นหน้าห้อง อาบแดดริมหาด ว่ายน้ำกลางทะเล พายเรือคายัค นั่งพักชิว ๆ บนศาลาไม้ หรืออ่านหนังสือเบา ๆ บนเปลถัก ก็ล้วนผ่อนคลายสบายอารมณ์เป็นที่สุด
ทำกิจกรรมชิว ๆ จนแดดร่มลมตก ช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ ก็ได้เวลาที่เราจะออกไปทำกิจกรรมลุย ๆ เรียกเหงื่อสักนิด เราเลือกเดินชิลรอบเกาะ ฟังเสียงสายลมกระทบไบไม้ เดินชมโขดหินรูปร่างประหลาดที่ชวนให้จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย แวะคุยเล่นกับนกยูงที่ต่างคนต่างฟังกันไม่ออก กดชัตเตอร์ไปเรื่อย ๆ ตามความพอใจ จบท้ายกับการรอชมพระอาทิตย์ทอดตัวสู่ท้องทะเล ฉาบให้ผืนทราย ผืนฟ้า และผืนน้ำกลายเป็นสีส้ม
เช้าวันสุดท้ายของทริปนี้… เราตื่นแต่เช้ามาทานทานเบรกฟาสต์เบา ๆ แบบชิล ๆ สไตล์ทานหนึ่งคำ ดื่มกาแฟหนึ่งอึก ชมวิวหนึ่งนาที กว่าจะหมดเวลาก็ผ่านไปเนิ่นนาน แต่ใครสนกันล่ะ สำหรับที่นี่เวลาและกิจกรรมยังเหลืออีกมากให้เราเลือกใช้
ทานอาหารเสร็จแดดก็กำลังส่องประกายอย่างสวยงาม กิจกรรมที่ใคร ๆ ก็ต้องทำกันหากมาทะเลในยุคนี้ คงหนีไม่พ้นการพายเรือคายัคใส ที่ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับผืนทรายใต้ผืนน้ำมากยิ่งขึ้นโดยที่ตัวไม่ต้องเปียก ไม่ต้องกลั้นหายใจ แค่เสียกำลังกับการจ้วงพายเพียงเท่านั้น และแน่นอนเสียเหงื่อหนึ่งทีร่างกายก็ห่อเหี่ยวลง 1 ครั้ง ดังนั้นก็ได้เวลาจัดสปอนเซอร์โกตามด่วน ๆ
เราใช้เวลาที่เหลือก่อนเรือมารับกลับฝั่งตอนบ่าย 3 ไปกับเรื่องสัพเพเหระ ปล่อยทิ้งเวลาให้ไหลไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องห่วงเสียงแจ้งเตือนไลน์ เฟสบุ๊ค ช้อปปี้ ตัดทุกช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างสิ้นเชิง ทำให้เราได้ฟังเสียงรอบตัวจากธรรมชาติได้เพราะยิ่งขึ้น ได้ยินเสียงในหัวใจของตัวเองได้ชัดเจนกว่าที่เคย เกาะมันนอกที่เงียบสงบแห่งนี้จึงเป็นเหมือนแหล่งชาร์ตพลังงานชั้นยอดที่เราต้องขอยกนิ้วให้จริง ๆ
นอกจากสายเที่ยวแบบเราแล้ว สปอนเซอร์ก็ยังเหมาะที่จะเป็นเพื่อนข้างกายของทั้งสาย Urban สายสตรีท สายเฮทตี้ หรือแม้แต่สายชิล ชิม ช้อป ก็ดื่มได้ดื่มดีทุกคน เพราะอากาศร้อน ๆ ของบ้านเราจะทำกิจกรรมเบาแค่ไหน ร่างกายก็เสียเหงื่อได้ตลอดเวลา และหากเผลอเรอกับการเสียเหงื่อก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายของเราได้ การเติมเกลือแร่ด้วยสปอนเซอร์โกจึงเหมาะมาก ๆ กับเมืองร้อนสุด ๆ ของเรา ดื่มแล้วดี หาซื้อก็ง่าย ไม่ว่าจะที่ Family mart, Lotus’s, Bic C Mini, Macro ใกล้ที่ไหนโกที่นั่นได้เลย
ระยองก็คือระยอง เสน่ห์เฉพาะตัวของจังหวัดไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลกรุงเทพฯ แห่งนี้ ยังคงมอบการพักผ่อนดี ๆ ให้เราตลอด 3 วัน 2 คืน ด้วยเอกลักษณ์ในแบบของระยอง ที่ไม่มีใครเหมือน จะมากี่ครั้ง จะเที่ยวกี่วัน จะทำกี่กิจกรรมก็อดไม่ได้ที่จะบอกต่อเรื่องราวดี ๆ และอยากจะชักชวนทุกคนให้มาตามรอยอยู่เสมอ ดีจริงไม่จกตาแบบนี้ อย่ามัวรอวัน คอยเวลา แต่จง โก โก โก ตามเรามาด่วน ๆ เลย