รีวิวนครศรีธรรมราช :: How to spend a perfect weekend in Nakhon Si Thammarat

จะชมดอกไม้ต้องคอยฤดูใบไม้ผลิ จะเที่ยวน้ำตกต้องคอยฤดูฝน จะยลหิมะต้องคอยฤดูหนาว ทุกเรื่องราว มีช่วงเวลาที่ดีของมันเสมอ ส่วนซัมเมอร์นี้ก็เป็นเวลา ดีที่สุดในการพาตัวเองเอาเท้าไปย่ำทราย เอากายไป อาบแดด ปล่อยเวลาให้ไหลไปช้า ๆ กับสายลม ท้องทะเล ไอแดด และเป้าหมายทริป 2 วัน 1 คืน ในครั้งนี้ เราขอ มุ่งตรงสู่ “นครศรีธรรมราช” กับ 7 โลเคชั่นแสนสุนทรี ที่รับประกันเลยว่าดีงามครบรส แถมการเดินทางรอบนี้ มีเพื่อนร่วมทางระดับตำนานสุดคลาสสิคร่วมสมัยอย่าง Lambretta V200 Special มาเติมเต็มความเท่สไตล์ วินเทจ จะดีงามลงตัวสมช่วงเวลาที่ดีที่สุดมากแค่ไหน ตามมาพิสูจน์พร้อมกันได้เลย

นี่เป็นอีกครั้งที่เราออกเดินทางไปกับ Lambretta V200 Special สกู๊ตเตอร์คู่ใจ สีส้ม Sicilian Orange สุดสดใส ที่นอกจากจะมีดีตรงรูปโฉมสวยงามสไตล์เรโทรด้วยคอนเซ็ปท์ Wonderful Retro สมมงแบรนด์รถระดับตำนานจากประเทศอิตาลีแล้ว เรื่องการออกแบบก็ไม่เป็นรองใคร จากแนวคิดนำวิศวกรรมการออกแบบเครื่องเครื่องบินมาประยุกต์ผลิตเป็นโครงสร้าง จึงทนทาน น้ำหนักเบา ดูแลรักษาง่ายด้วยวัสดุคุณภาพสูง ในด้านการขับขี่ยังพัฒนาช่องลมให้ลมวิ่งผ่านเข้าสู่ภายในการขับเคลื่อน เครื่องยนต์จึงมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ครบเครื่องครบครันสดใหม่แต่คลาสสิคขนาดนี้ ตำแหน่งขวัญใจชาววินเทจคือไม่เกินไปจริง ๆ

Day 1

01 SASA Beach Cafe’ Sichon

พิกัดแรกเราเลือกเมืองสิชลเจ้าของคำขวัญ หาดหินงาม มุ่งตรงไปยังคาเฟ่สีขาวสะอาดตาที่มีชื่อว่า SASA Beach Cafe’ Sichon คาเฟ่ตั้งอยู่ชิดติดริมหาด ตัวร้านกว้างขวางทำจากปูนฉาบสีขาวดูเรียบ ๆ แต่เติมเสน่ห์ด้วยการใช้ไม้มาเป็นวัสดุเพิ่มความนุ่มนวล แม้ที่นั่งจะเป็นสไตล์โอเพ่นแอร์ แต่ทั่วทั้งร้านก็ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เราจึงสามารถนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจ และหามุมสวย ๆ สำหรับถ่ายรูป พร้อมรับลมทะเลโดยไม่ต้องปะทะไอแดดแบบตรง ๆ

ถึงร้านจะเป็นสไตล์ชิล ๆ อบอุ่นมินิมอลเป็นมิตรต่อใจ แต่อาหารที่เค้าเสิร์ฟมีทั้งอาหารใต้รสชาติจัดจ้าน อาหารฝรั่ง เบเกอรี่ และเครื่องดื่มอีกหลากหลายประเภท ส่วนตัวเราขอเริ่มทริปแบบเฟรซ ๆ ด้วยน้ำมะพร้าวสด กาแฟส้มอีกสักแก้ว เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทานคู่เคล้าไปกับ French Toast ราดน้ำผึ้งและไอศกรีมที่เลือกรสชาติได้อีกลูก และหากใครอยากชมควงกระบองไฟบางค่ำคืนของที่นี่เค้าก็มีโชว์ให้ดู โดยสามารถเช็คตารางกับทางร้านได้โดยตรง

ชาร์จพลังเติมความสดชื่นและอ่านหนังสือจบไปอีกหนึ่งบท ก็ได้เวลายกขาตั้ง สวมแจ็คเก็ต แล้วมุ่งหน้าสู่อำเภอขนอม บนทางเลียบชายหาดที่ต้นมะพร้าวเติบโตต่อคิวเรียงแถวสูงชะลูด เป็นแนวยาว เคียงคู่ไปกับหาดทรายขาวที่ยาวสุดลูกหูลูกตา เมื่อเวลาไม่เร่งเราก็ไม่ต้องรีบ ชอบตรงไหนก็แวะถ่ายรูปเก็บมุมความประทับใจไว้ในความทรงจำ สัมผัสอิสระเหนือเวลาเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ

02 ถนนเลียบชายฝั่งทะเล ขนอม-สิชล

ขับลัดเลาะรับลมเล่น ในที่สุดเราก็มาหยุดอยู่บนถนนที่เขาว่าสวยที่สุด ถนนเลียบชายฝั่งทะเล ขนอม-สิชล เส้นทางตัดใหม่ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตรนี้ อยู่ระหว่างอ่าวพลายดำและอ่าวท้องหยี เป็นทางลัดที่ย่นระยะเวลาจากสิชลไปขนอมถึง 33 กิโลเมตร จากเส้นทางปกติ และเป็นถนนสายอนุรักษ์ธรรมชาติที่ถูกโอบล้อมด้วยทิวแถวของต้นมะพร้าว และท้องฟ้าสีคราม ซึ่งหากมองลอดกิ่งก้านใบก็จะเห็นวิวท้องทะเลได้เต็มสายตา พอได้มาเห็นกับตาก็เถียงไม่ออกว่าสวยสุด ๆ จริง ๆ

เราขอเลือกแวะไหล่ทางตรงจุดชมวิวเขาพลายดำ เดินเล่นเก็บภาพเก็บบรรยากาศของถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยว และความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้าไว้โพสต์ลงโซเชียลอวดความเฟี้ยวของท้องทะเลฤดูที่สวยที่สุด พร้อมแคปชั่นสั้น ๆ อย่าง Beach Please ทุกอย่างดูสวยงามจนอดขอบคุณตัวเองและเจ้าสกู๊ตเตอร์สีส้มคู่ใจที่พาเรามาถึงนี่ไม่ได้

แม้จะต้องขับขึ้นเขา ลงเนิน เลี้ยวลดไปบนทางคดโค้ง อีกทั้งยังมีแรงปะทะจากลมทะเล แต่เราก็วิ่งฉิวไม่มีสะดุด เพราะ Lambretta V200 Special ขับขี่ด้วยเกียร์ออโตเมติก CTV ขับเคลื่อนด้วยสายพาน พร้อมเครื่องยนต์ 168.9 ซีซี 13 แรงม้า 1 สูบ 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ปลอดภัยด้วยระบบเบรค CBS ดิสก์เบรคหน้าหลัง พร้อมทั้งระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Telescopic ระบบกันสะเทือนหลังแบบคู่ จะเจอทางลาดยาง หรือลูกรัง ก็ผ่านง่ายแบบใส ๆ ที่สำคัญเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานท่อไอเสีย Euro 4

03 Chula Beach Khanom

ลงเนินเขาผ่านเนินโค้ง เราก็มาถึงริมหาดหน้าด่านบนทำเลงาม ๆ ที่ต้องตั้งของที่พักเราในค่ำคืนนี้ Chula Beach Khanom (จุฬา บีช ขนอม) ความโดดเด่นของที่นี่สามารถมองเห็นความแหวกแนวได้แต่ไกล กับอาคารสไตล์ลอฟท์ 3 ตอน 2 ชั้น สูงโปร่งโครงปูน แข็งแรงแต่ไม่แข็งทื่อ เพราะมีวัสดุจากไม้มาช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติ อีกทั้งท้องฟ้า ต้นมะพร้าว และน้ำทะเล ก็ช่วยให้อาคารนี้ดูละมุนขึ้นอย่างมาก

ที่นี่มีห้องพักให้บริการเพียง 6 ห้อง 3 Room Type เราเลือกเป็น Twin Beds with Beach Access ห้องพักที่สามารถเดินเชื่อมถึงหาดได้ในไม่เกิน 10 ก้าว เมื่อเข้ามาด้านในห้องสิ่งที่เราชอบมาก ๆ คือการจัดวางห้องที่แบ่งระหว่างโซนเตียงนอน และโซนนั่งเล่นได้ลงตัว รวมถึงบรรยากาศอันอบอุ่น เพราะทุกครั้งที่มองไปยังผนังสีขาว และเฟอร์นิเจอร์สีไม้ มันรู้สึกได้ถึงความคลาสสิคไม่กระโตกกระตากหรือตะโกนมากจนเกินไป แต่เป็นความรู้สึกชวนผ่อนคลาย โซนหน้าห้องยังมีเตียงผ้าใบ และบีนแบคริมหาด ให้เราสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ทั้งเช้าและเย็น

ด้วยความที่เจ้าของเป็นสถาปนิกและออกแบบอาคารนี้ด้วยตัวเอง เราจึงสังเกตเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งจากตัวอาคาร และจากแสงเงาของธรรมชาติได้โดยรอบ ใครที่ชอบถ่ายภาพสไตล์มินิมอลจะต้องถูกใจสิ่งนี้แน่ … หลังจากเก็บภาพดีเทลที่น่าประทับใจ เราเลือกใช้เวลายามเย็นซึมซับบรรยากาศของผืนทรายที่อยู่ใกล้ชิดติดแนบเท้า เฝ้ามองท้องฟ้าสีวนิลา หาดทรายที่ค่อย ๆ ถูกย้อมจนเป็นสีส้ม พื้นน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลง ตามจังหวะของลมที่หมุนเวียน จากเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของแต่ละสิ่งก็ได้ก่อตัวเป็นภาพใหญ่ที่สร้างความประทับใจ ให้เราจวบจนเข้านอน

Day 2

ภาพก่อนนอนช่างชวนฝัน ค่ำคืนที่ผ่านมาเราจึงนอนหลับสบาย และตื่นเช้าก่อนนาฬิกาปลุกจะทำงาน พร้อมกับแสงรำไรของดวงอาทิตย์ที่ลอดตัวผ่านม่านซึ่งเรามักแหวกไว้เล็ก ๆ เสมอหากได้ห้องฝั่งพระอาทิตย์ขึ้น เพราะนอกจากวิตามินดีจะมาในยามเช้าแล้ว บรรยากาศสบาย ๆ ที่เหมือนได้เวลาเพิ่มก็มาด้วยเช่นกัน

ใช้เวลาเรื่อยเปื่อยไม่รีบไม่เร่ง ท้องหิวเมื่อไหร่เราค่อยเดินย่ำเท้าไปนั่งทานอาหารโซนพื้นทราย รับไอแดดอุ่น ๆ ถูฝ่าเท้าทั้งสองข้างไปบนทรายนุ่ม ๆ พร้อมอาหารเช้าแบบ A La Cart ที่อร๊อยอร่อย โดยเราสามารถเลือกสองเซ็ตคืออาหารเช้าแบบอเมริกันสไตล์ ที่ในจานจะมาพร้อมกันทั้งข้าวผัด ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม และเบคอน เสิร์ฟคู่กับขนมปัง แยม และเนย อีกหนึ่งเซ็ตเป็นอาหารไทยมีหมูผัดกะปิ ใบเหลียงผัดไข่ ไข่พะโล้ และข้าวสวย โดยทั้งสองเซ็ตจะได้ผลไม้ น้ำส้ม และของหวานด้วย เป็นมื้อเช้าที่เราชอบที่สุดมื้อนึงไม่ว่าจะเป็นรสชาติของอาหารและบรรยากาศที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ

จากที่ได้ลองขับมาตลอดหนึ่งวัน เราก็ยิ่งรู้สึกชอบ Lambretta V200 Special สีส้มคันนี้มากยิ่งขึ้น เพราะขับได้สบาย ขี่ได้ปลอดภัย Detail เล็ก ๆ อย่างหน้าปัดเรือนไมล์ก็ออกแบบให้คงความคลาสสิคแต่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีซึ่งเป็นแบบ Semi-Digital Display บอกฟังก์ชั่นครบครัน แถมยังเพิ่มลูกเล่นความคูลด้วยหน้าจอที่สามารถปรับโทนสีได้ ส่วนระบบส่องสว่างก็เป็นแบบ Full LED ที่ซ่อน logo Lambretta เอาไว้ เป็นความเฉพาะตัวในเอกลักษณ์ที่ยากจะมีใครเหมือน นอกจากนี้ยังมีช่องสำหรับเก็บสัมภาระด้านหน้า เพิ่มความสะดวกให้ทุกเส้นทาง และพื้นที่พักเท้าขนาดใหญ่ จะขับไกลแค่ไหนก็สบายหายห่วง

04 KHLUEN sichon – Beach Beer BBQ

พอช่วงสายเราก็เช็คเอาท์ออกจากห้องพัก เลี้ยวรถมุ่งสู่ตัวเมือง โดยระหว่างทางแวะเติมความสดชื่นที่ KHLUEN sichon คาเฟ่ริมหาดที่ตกแต่งได้สวยเหมือนเดินอยู่ในอาร์ตแกลอรี่ ตั้งแต่หน้าทางเข้าร้านที่เลือกใช้สีขาวประกบกับสีแดงและสีน้ำเงิน เพิ่มความโดดเด่นด้วยเส้นสายดูร้อนแรง ทั้งต้นไม้ และทะเลก็ดูเก๋เหมือนจัดวาง โครงสร้างต่าง ๆ ก็ถูกกำหนดให้เป็นเส้นนำสายตาสู่ผืนผ้าใบที่ชื่อว่าท้องทะเล

เข้ามาด้านในก็เก๋ไม่หยอก ใครชอบแอร์ฉ่ำ ๆ กระจกบานใหญ่ ๆ นั่งชมวิวทะเลได้แบบเย็นสบายก็เลือกด้านในนี่แหละเหมาะ ส่วนใครชอบแนวเอ้าท์ดอร์ จะนั่งบีนแบคลายทางขาวแดง ฟังเสียงคลื่น จิบเครื่องดื่มไปพลาง ๆ ก็เป็นอีกมุมที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถ่ายรูปแล้วออกมาซ้ำกับคาเฟ่อื่น

เติมความสดชื่นให้ตื่นในยามสาย ด้วยเครื่องดื่มและของหวานกันสักหน่อย ที่นี่มีม็อคเทล ชา และขนมให้เราเลือกอย่างหลากหลาย ส่วนตัวเราเลือกชาใสหวานน้อยและมาการองสีครีมกับเขียวอย่างละชิ้น มาละเลียดนั่งชิลริมทะเลกับหนังสือเล่มใหม่ที่กำลังโปรดปราน

05 ย่านเมืองเก่าท่ามอญ-ท่าวัง

จากท้องทะเลที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายธรรมชาติ เราก็เปลี่ยนบรรยากาศมาสู่เมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ บน ย่านเมืองเก่าท่ามอญ-ท่าวัง ย่านการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองนครศรีธรรมราช พื้นที่เชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ชุมชนการค้าสองวัฒนธรรมไทย-พุทธ และไทย-จีน ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารและขนมที่มีเอกลักษณ์เลื่องชื่อ ที่สืบทอดตำนานความอร่อยมาตั้งแต่โบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ช่างเหมือนกันกับความคลาสสิคร่วมสมัยระดับตำนานของ Lambretta V200 Special สีส้มคู่ใจคันนี้เลย

ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ย่านที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดก็คือย่านการค้า แม้ตึกรามบ้านช่องบริเวณนี้จะเริ่มเก่าแก่ไปตามยุคและไม่ได้ทันสมัย แต่ร่องรอยของความรุ่งโรจน์ก็ยังเจิดจรัสอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนน นี่จึงเป็นพื้นที่รวมทรัพย์สินทางวัฒนธรรมสำคัญอันควรค่าแก่การมาเยือน นอกจากตึกเก่าแล้วเราก็ยังเห็นสตรีทอาร์ตที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความชอบของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

นอกจากสถาปัตยกรรมจะได้รับการสืบทอดมาแล้ว วัฒนธรรมการกินก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับการสืบทอดมาหลายเมนู แต่ที่เพื่อน ๆ ชาวนครฯ ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องมาชิมให้ได้ คือ  ไอศกรีมกะทิ ของร้านไอศกรีมเด่นไทย ไอศกรีมลูกขาว ๆ หวานมัน หอมกลิ่นกะทิสดกินเปล่า ๆ ก็ชื่นใจดับร้อนได้ดี แต่ถ้าได้กินคู่กับเม็ดบัว ลูกชิด ลูกเกด ที่ทำเองแบบโฮมเมดทุกสิ่งอัน ราดด้วยนมสดหอมมันอีกสักนิด ชีวิตก็ดีขึ้นได้ในพริบตา

06 Yongkang Cafe’

ตะวันเริ่มคล้อย ถึงเวลาช่วงบ่ายแก่ ๆ เราแวะเติมความสดชื่นและพลังงาน ณ อดีตคลินิกที่ปัจจุบันผันเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่สุดเก๋า เจ้าตำนานความเก่าระดับ 100 ปี ยงคัง คาเฟ่ ภายใต้ตัวตึกสีครีมสูงสองชั้น แค่มองจากภายนอกยังรู้สึกถึงกลิ่นอายประวัติศาสตร์แผ่ซ่านออกมา เมื่อได้ก้าวเท้าเข้าสู่ชั้นหนึ่งเราจะพบกับบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบของจีนโบราณ การจับคู่สีสันสดใสและแสงไฟสีส้มที่ให้ความรู้สึกร่วมสมัย แต่เมื่อเดินขึ้นสู่ชั้นสองเราก็จะได้เห็นความเป็นจีนที่จัดจ้านน้อยลงกว่าชั้นแรก แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนแวะมาเยี่ยมอากงอาม่าอย่างเต็มเปี่ยม

ที่นี่ให้บริการทั้งอาหารคาว เครื่องดื่ม ชากาแฟ และของหวาน ซึ่งบอกเลยว่าเค้าพิถีพิถันในการจัดสรรรูปร่างหน้าตาในทุกเมนู เราลองสั่งเมนูกาแฟบ๊วย กาแฟเข้ม ๆ กับบ๊วยเค็ม ๆ แม้จะเป็นอะไรที่แปลก แต่ก็สดชื่นดี ส่วนอาหารจานหลักสำหรับมื้อนี้เราเลือก ข้าวต้มอากง เมนูข้าวต้มกุ๋ยสุดคลาสสิค แต่เมื่อถูกจัดวางมาอย่างลงตัวก็ดูเรียบแต่โก้ ดูมีสีสันและสตอรี่เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว ส่วนรสชาติก็จัดได้ว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน

เดินทางมาไกลไม่ว่าส่วนไหนของรถเราก็เห็นถึงความสำคัญ เพราะฉะนั้นจุดเด่นอีกหนึ่งข้อซึ่งไม่พูดถึงไม่ได้คือ การออกแบบเบาะให้มีรูปทรงทันสมัย ทั้งยังนุ่มนั่งสบายทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อน แต่เสน่ห์ของความเป็นสกู๊ตเตอร์คลาสสิคกลับไม่สูญหายไปแม้แต่น้อย เรียกว่าสวยคงเดิมเพิ่มเติมความสบาย แล้วจะไม่ยกตำแหน่งเพื่อนคู่ใจให้ได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย?

07 กวงเม็ง

ปิดท้ายทริปกับอีกหนึ่งตำนานความอร่อย ณ ร้านเบเกอรี่ประจำท่าวัง กวงเม็ง อายุอานามก็ประมาณ 60 กว่าปี ร้านเบเกอรี่นี้เสิร์ฟขนมง่าย ๆ ไม่มีอะไรแฟนซี ไม่มีอะไรเกาหลีจ๋า แต่ว่ากลับอยู่ยั้งยืนยงกลางดงเค้กหน้าใหม่ ก็เพราะเค้กหน้าเก่าเหล่านี้สืบทอดสูตรลับ ความอร่อยและคงมาตรฐานรสชาติดั้งเดิมไว้อย่างดีไม่มีเปลี่ยน เราจึงเห็นภาพทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ล้อมวงเลือกขนมหน้าตู้อยู่เสมอ

เราเลือกสิ่งละอันพันละน้อย มาทานคู่กับกาแฟโบราณใส่ครีมร้อน ๆ หนึ่งถ้วย ส่วนเมนูที่เราถูกปากมากที่สุด เห็นจะเป็นสังขยาสูตรไหหลำ ซึ่งนำไข่และน้ำตาลมาเคี่ยวจนหวาน หอม ขึ้นสีเหลืองสวย ปราศจากแป้ง จึงออกมาละมุนลิ้นจะกินกับขนมปังก็ดี หรือจะเลือกกินแบบกะหรี่พัฟฟ์ไส้สังขยาก็อร่อย ปิดท้ายหากอยากซื้อเป็นของขวัญของฝากก็คงถูกปากคนรับด้วยเช่นกัน

จบไปแล้วกับ 2 วัน 1 คืน ภายใต้บรรยากาศช่วงเวลาที่ดีที่สุดของท้องทะเล และที่เที่ยวระดับตำนาน กับการเดินทางเก็บเกี่ยวความสุขและสั่งสมประสบการณ์ที่ต่อให้ผ่านกาลเวลาไปนานกว่านี้ เราก็มั่นใจว่าจะไม่มีวันลืม และมั่นใจยิ่งไปกว่าว่าเราจะยังคงออกเดินทางสร้างตำนานใส่ความทรงจำด้วยตัวของเราเอง หากใครชอบก็อย่ารอช้ารีบหาเวลาเดินทาง แพลนเที่ยวเดียวกับเราได้เลย